ผ่านค่ำคืนที่แสนมีความสุขของจวนตระกูลจิน พวกเขารู้สึกโล่งอกที่ผ้าไหมและผ้าปักของร้าน มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เพียงเปิดร้านวันแรกก็ขายดีจนผ้าบางผืนเหลือไม่กี่พับ ส่วนเรื่องสินค้าที่เหลือน้อยได้รับการแก้ไขจากบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว มู่ถงกับฮูหยินอย่างจือเหมยจึงได้วางใจ
เพราะซูอันรู้ดีว่าบิดามารดามักจะคิดมากอยู่เสมอ “ท่านพ่อท่านแม่มีข้าอยู่ทั้งคน พวกท่านเลิกคิดมากได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าลูกค้าของพวกเราจะสั่งสินค้าจำนวนมากเพียงใด ข้าย่อมมีส่งให้ครบตามจำนวนแน่นอน พวกท่านปักผ้าอย่างมีความสุขเถิดนะเจ้าคะ”
“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ จากนี้ไปพวกท่านสองคนก็มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้นั่งทำงานปักอย่างสบายใจ ไม่ต้องเร่งรีบจากความกดดันเช่นแต่ก่อนอีก ส่วนเรื่องที่ร้านผ้าไหมข้ากับอันเอ๋อร์จะดูแลจัดการเองเจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงกล่าวเสริมคำพูดน้องสาวอีกคน
จือเหมยยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ที่บุตรสาวทั้งสองของนางกับสามี ไม่เคยริษยาต่อกันตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง “ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ ยามนี้บุตรสาวของพวกเราเติบโตขึ้นมาก แต่หลิงเอ๋อร์เลยเวลาออกเรือนมาเกือบสองปีแล้ว ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครมาสู่ขอนางนี่สิเจ้าคะ”
มู่ถงคิดเรื่องการแต่งงานของเยี่ยนหลิงอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่อยู่ที่ตระกูลหลิว เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขากับฮูหยินต้องพบเจอ พร้อมบุตรสาวทั้งสองนั้น เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก หากบุตรสาวของเขาต้องแต่งไปพบเจอเรื่องอดสูเช่นเดิม มิสู้เขายอมให้พวกนางเป็นสาวเทื้อใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ดีกว่าหรือ
“เฮ้อ ฮูหยินเจ้าปล่อยวางเรื่องออกเรือนนี้ไปเสียเถิด ถึงแม้ไม่มีบุรุษใดมาพึงใจสู่หลิงเอ๋อร์กับอันเอ๋อร์ ข้าก็สามารถเลี้ยงดูพวกนางได้อยู่แล้ว”
เยี่ยนหลิงพยักหน้ารัว ๆ เข้าข้างบิดา “ใช่ ๆ ๆ ท่านแม่ท่านเลิกคิดเป็นห่วงเรื่องนี้เถิดนะเจ้าคะ ถึงจะไม่มีบุรุษใดมารักใคร่เอ็นดูข้าก็ช่าง ขอเพียงได้อยู่กตัญญูดูแลพวกท่านต่อไปย่อมดีที่สุดเจ้าค่ะ”
“หึ บุรุษคนใดกล้าคิดอยากได้พี่หญิงไปเป็นฮูหยิน หากได้พี่หญิงไปแล้วละเลย ปล่อยให้ถูกคนในตระกูลรังแก ข้าจะตามไปพาพี่หญิงกลับมา และให้หย่ากับบุรุษนิสัยเลวทรามนั่นเองเจ้าค่ะ” ซูอันคิดจะทำเช่นที่พูดจริง ๆ หากพี่สาวของนางต้องเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ นางไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นแน่
ระหว่างที่พ่อแม่ลูกกำลังพูดหยอกล้อกัน เสียงของอวี้เหลียนก็เตือนซูอันขึ้นมาเสียก่อน “คุณหนูเล็กได้เวลาที่ท่านกับคุณหนูใหญ่ต้องไปที่ร้านผ้าไหมแล้วขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่ข้ากับพี่หญิงไปก่อนนะเจ้าคะ พวกท่านสองคนจู๋จี๋กันตามสบายนะ อิ อิ” ซูอันมิวายหยอกเย้าบิดามารดาก่อนจะออกจากจวน
จือเหมยเขินอายกับคำพูดของบุตรสาว จึงทำทีเป็นไล่พวกนางสองคนเสียอย่างนั้น “ดูพูดเข้าเจ้าลูกคนนี้ จะซุกซนมากเกินไปแล้วนะ ไป ๆ ๆ ป่านนี้ที่ร้านลูกค้าคงมารอซื้อผ้ากันแล้วล่ะ”
“ข้ากับอันเอ๋อร์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ พวกเราจะรีบกลับมากินมื้อเย็นกับพวกท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงยิ้มได้มากกว่าเดิม เมื่อครอบครัวผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาได้ นางต้องใช้เวลาขจัดความคิดที่โทษตนเองอยู่นาน ที่ทำให้น้องสาวอย่างซูอันต้องบาดเจ็บ
รถม้าขนาดกลางที่มีหีบใส่ผ้าไหมบางส่วน พร้อมคนติดตามอีกสี่คน ออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังร้านผ้าไหมของตระกูล โดยที่พวกนางยังไม่รู้ตัวว่าวันนี้ จะได้พบเจอแขกที่อยากทำความรู้จัก จนแทบจะเหมาผ้าไหมในร้าน เพื่อไม่ให้พวกนางต้องเหน็ดเหนื่อยกับการขายผ้า
เช้าวันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความประหลาดใจ จนหยางไท่หมิงแทบจดบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานว่า สหายของเขาอย่างฟงเฉิงฮ่าว สามารถตื่นขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่กลางยามเหม่า ทั้งที่ยามอยู่เมืองหลวงหากไม่ถึงยามเฉิน ไม่มีทางได้เห็นแม้แต่ชายอาภรณ์
“หึ สงสัยเมืองผู่เถียนคงพบกับภัยพิบัติเป็นแน่”
ฟงเฉิงฮ่าวยังไม่เข้าใจสิ่งที่สหายของตนพูด “หืม อาหมิงเหตุใดเมืองผู่เถียนต้องพบภัยพิบัติด้วยเล่า ทำไมข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่จะเกิดเรื่องร้ายแรง ยิ่งกว่าพวกคนร้ายลักพาตัวช่างทอผ้า”
หยางไท่หมิงวางถ้วยน้ำชาพร้อมส่ายหน้าเบา ๆ แต่ได้ไห่หยวนที่อธิบายให้เจ้านายของตนได้ฟังแทน “เอ่อ คุณชายรองขอรับ ที่คุณชายหยางพูดมานั้นความหมายก็คือว่า ปกติท่านไม่เคยตื่นนอนแต่เช้าเช่นวันนี้น่ะขอรับ”
ขวับ! “อาหมิงนี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนชอบนอนตื่นสายเช่นนั้นรึ”
“หรือไม่จริง”
ฟงเฉิงฮ่าวกำลังจะโต้กลับสหาย แต่พอคิดให้ดีก็รู้สึกแปลกใจกับตนเองเช่นกัน “นั่นมันก็...จริงอย่างที่เจ้าพูด”
“หึ ทำไม เมื่อคืนมีเรื่องกวนใจทำเจ้านอนไม่หลับ หรือว่านอนหลับฝันดีจนอยากตื่นมาแต่เช้า เพื่อรอพบเทพธิดาของเจ้าล่ะอาฮ่าว” หยางไท่หมิงยังหยอกล้อสหายอย่างอารมณ์ดี
“เจ้ารู้ได้อย่างไรอาหมิง! ว่าข้าฝันถึงเทพธิดาที่เพิ่งเจอเพียงครั้งเดียวน่ะ เอ๋ แต่ดูท่าคงมิใช่ข้าผู้เดียวที่ตื่นเช้ากระมัง เจ้าเองก็ออกมานั่งดื่มชาตรงนี้แต่เช้า คงไม่ได้มารอหญิงสาวที่ดูดื้อรั้นผู้นั้นกระมัง”
เมื่อถูกสหายรู้ทันหยางไท่หมิงจึงไม่ตอบโต้ เขาทำเป็นนั่งนิ่ง ๆ ดื่มน้ำชาในมือต่อไป
‘คุณหนูใหญ่ คุณหนูเล็ก ข้าจะให้พวกเว่ยโฉวอยู่ดูแลพวกท่าน ส่วนข้าจะรีบไปจัดการเรื่องซื้อที่ดินให้เสร็จโดยเร็วขอรับ’
‘อืม เจ้ารีบไปจัดการเถิด อย่าลืมเรื่องนายช่างโจวซุ่นด้วยล่ะ’
‘ขอรับคุณหนูเล็ก’
‘อันเอ๋อร์เจ้าให้อวี้เหลียนไปซื้อที่ดิน มีแผนจะทำอันใดเพิ่มงั้นหรือ’
‘เดี๋ยวข้าจะเล่าให้พี่หญิงฟังนะเจ้าคะ ตอนนี้พวกเราไปทำงานก่อนเถิดเจ้าค่ะ’
‘พี่ตามใจอันเอ๋อร์’
‘เว่ยโฉวเจ้ากับเป่าโยวและจงชิ่ง ช่วยกันยกหีบผ้าไหมเข้าไปด้านใน หรือจะเรียกหลงจู๊เหวยฉินมาช่วยอีกแรงก็ย่อมได้’
‘รับทราบขอรับคุณหนูเล็ก’
แต่ขณะที่ฟงเฉิงฮ่าวคิดจะเอาคืนสหายอยู่นั้น เขาพลันได้ยินเสียงสนทนาฝั่งตรงข้ามเสียก่อน เมื่อหันไปมองก็กวักมือเรียกหยางไท่หมิงทันที “อาหมิง ๆ ๆ พวกนางมาที่ร้านผ้าไหมแล้วเจ้ารีบมาดูสิ เด็กดื้อของเจ้ายามนางพูดคุยกับเทพธิดาของข้า ช่างดูสดใสร่าเริงแต่พอหันไปสั่งงานบ่าวไพร่ กลับมีดวงตาและน้ำเสียงที่ทรงพลังเสียอย่างนั้น”
หยางไท่หมิงย่อมได้ยินการสนทนานั้นเช่นสหาย ในเมื่อเขาก็เป็นผู้มีวรยุทธ์ชั้นเลิศ ระยะห่างเพียงเท่านี้ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน และความคิดของเขาก็ไม่ต่างกับสหาย “อืม ข้าถึงบอกว่านางน่าสนใจอย่างไรเล่า”
“แต่ดูแล้วนางจะยังไม่ปักปิ่นนะอาหมิง นี่ข้าจะมีสหายเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนหรือนี่ ฮ่า ๆ ๆ” ฟงเฉิงฮ่าวอดจะขำไม่ได้
เมื่อพูดถึงความห่างของอายุของพวกเขา“เจ้าสิแก่ ข้าเพิ่งอายุครบยี่สิบปีได้ไม่นาน ไม่ได้รีบร้อนอยากแต่งฮูหยินเข้าจวนในตอนนี้แน่ และดูท่าเด็กดื้อของข้าก็คงไม่คิดเรื่องนี้เช่นกัน แต่ถ้าอยากรู้ พวกเราควรไปหยั่งเชิงดูไม่ดีกว่าหรือ?” หยางไท่หมิงพูดออกมาประหนึ่งว่าอ่านใจของซูอันได้
หมับ! “สมกับเป็นสหายของข้า อาหมิงเจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนักไปกันเถิด พวกเราควรทำความรู้จักกับพวกนาง อย่างน้อยก็เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดี”
“อืม”
ฟงเฉิงฮ่าวและหยางไท่หมิงที่อยู่ในชุดผ้าไหมราคาแพง การแต่งกายของพวกเขาคือคุณชายฐานะร่ำรวย มีผู้ติดตามอีกสามคนท่าทางดุดันคอยดูแลไม่ห่าง จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าร้าน หลงจู๊เหวยฉินที่คอยต้อนรับลูกค้าเห็นเข้า จึงเข้าไปต้อนรับอย่างสุภาพเรียบร้อย
“โอ้ คุณชายทั้งสองร้านผ้าหงส์ทอเมฆายินดีต้อนรับ ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการผ้าไหมแบบใดหรือขอรับ ที่ร้านของเรามีผ้าไหมหลายแบบให้ท่านเลือก หรือจะเป็นผ้าปักลวดลายงดงาม สำหรับเป็นของฝากสตรีที่พึงใจ คนในครอบครัวรวมถึงมิตรสหาย ก็มีให้เลือกซื้อมากมายเลยขอรับ”
หยางไท่หมิงมองผ้าไหมที่วางอยู่บนชั้นไม้ แม้แต่บนโต๊ะกลางร้านก็นึกชื่นชมอยู่ในใจ ว่าผ้าไหมร้านนี้เป็นอย่างที่หลงจู๊กล่าวมา มิได้พูดจาโอ้อวดเกินจริงแม้แต่น้อย
แต่ยังคงเป็นฟงเฉิงฮ่าวที่เรียกสติของหยางไท่หมิง “อาหมิงเจ้าดูผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกมู่ตานผืนนี้สิ หากท่านแม่กับหลานเอ๋อร์ได้เห็น คงจะชื่นชอบจนซื้อกลับจวนทั้งหมดเป็นแน่”
“ฝีมือการทอผ้าและฝีเข็มการปักผ้าไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าผ้าปักในร้านนี้ยังเหนือกว่าช่างในกองภูษาเสียอีก หรือเจ้าไม่ได้คิดเช่นนั้นหรืออาฮ่าว” เพราะมารดาเป็นถึงพระขนิษฐาของฮ่องเต้ หยางไท่หมิงย่อมมีโอกาสได้รับชุดจากกองภูษาอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อลูกค้าให้ความสนใจผ้าปัก หลงจู๊เหวยฉินย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ “คุณชายทั้งสองช่างรอบรู้เรื่องการปักผ้ายิ่งนัก นี่เป็นฝีมือการปักของผู้เป็นเจ้าของร้านผ้าแห่งนี้ อีกส่วนหนึ่งเป็นของช่างปักผ้า ที่ได้รับการฝึกฝนจากนายท่านด้วยตนเองขอรับ”
หลังจากได้เห็นความงดงามของลายปักแล้ว หยางไท่หมิงและฟงเฉิงฮ่าวจึงเห็นพ้องต้องกัน เรื่องที่ต้องพบเจ้าของร้านโดยเร็ว
หยางไท่หมิงที่มักเจรจาการค้าบ่อย ๆ หันมาเอ่ยถามหลงจู๊เหวยฉิน แทนการเลือกซื้อผ้าปักตรงหน้า “หลงจู๊ไม่ทราบว่า
เจ้านายของท่านอยู่ที่ร้านหรือไม่ ข้ากับสหายมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดคุยด้วยสักเล็กน้อย”“ไอหยา พวกท่านสองคนช่างโชคดีจริง ๆ วันนี้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูเล็กนำผ้ามาส่งที่ร้านพอดี หากท่านต้องการเจรจาเรื่องการค้า เช่นนั้นเชิญตามข้าไปที่ห้องทำงานที่ชั้นบนเถิดขอรับ” หลงจู๊เหวยฉินเข้าใจคำพูดของหยางไท่หมิงไปอีกทาง
“เชิญ...”
ในห้องทำงานซูอันกำลังคิดลายปัก ส่วนเยี่ยนหลิงกำลังฝึกทำบัญชีของร้าน แต่ทั้งสองต้องหยุดมือไว้แค่นั้น เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
ก๊อก ๆ ๆ “คุณหนูขอรับ มีลูกค้าสองท่านต้องการเจรจาเรื่องการค้ากับพวกท่าน ไม่ทราบว่าจะให้เข้าพบหรือไม่ขอรับ”
“เชิญเข้ามาด้านในเถิด รบกวนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่างมาให้ข้าด้วยนะ” ซูอันเอ่ยอนุญาตให้พาลูกค้าเข้ามาพบได้ แต่นางคาดไม่ถึงว่า ลูกค้าวันนี้จะหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังน่าเกรงขาม
ฟงเฉิงฮ่าวที่มองไปยังเยี่ยนหลิง ที่วันนี้นางอยู่ในชุดสีเหลืองนวล ทำให้นางดูน่าทะนุถนอมมากกว่าเมื่อวาน ส่วนคนถูกมองก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้าแปลก ๆ จนไม่รู้ว่าจะเก็บมือไม้เอาไว้ที่ใด
อีกด้านกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะหยางไท่หมิงกับซูอัน แม้จะชื่นชมลักษณะภายนอกของอีกฝ่ายอยู่ในใจ แต่ยามนี้ทั้งสองกำลังจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายไม่กระพริบ เนื่องจากซูอันรู้สึกได้ว่าลูกค้าทั้งสองที่มาขอพบ มิได้เป็นพ่อค้าที่ต้องการทำการค้ากับนางแน่นอน
เป็นซูอันที่เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “พวกท่านเป็นใคร ที่พวกท่านต้องการพบข้ามิได้เกี่ยวกับการค้า ข้าพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยนหลิงได้ยินเสียงของน้องสาวเอ่ยออกมาเช่นนั้น ก็รีบเดินมาอยู่ข้าง ๆ ซูอันด้วยท่าทางกังวลใจทันที “อันเอ๋อร์เจ้าว่าพวกเขาต้องการอันใดจากพวกเรางั้นหรือ”
“พี่หญิงไม่ต้องตกใจเดี๋ยวข้าจัดการเองนะเจ้าคะ”
“ดะ ดะ ได้พี่ให้เจ้าตัดสินใจ”
หยางไท่หมิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อได้อยู่ตรงหน้าของเด็กดื้อ คำพูดและท่าทางของนาง ช่างเหนือความคาดหมายของเขาเหลือเกิน “หึ คุณหนูเล็กช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ในเมื่อคุณหนูพูดอย่างตรงไปตรงมา ข้าย่อมมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับท่านแน่ แต่พวกเราควรนั่งลงแล้วมาพูดคุยกันไม่ดีกว่าหรือ”
ซูอันผายมือเป็นการเชิญแขกนั่ง “เชิญคุณชายทั้งสองนั่ง และบอกจุดประสงค์ของพวกท่านมาเถิด”
หยางไท่หมิงนั่งลงตรงข้ามกับซูอัน แต่เขายังไม่พูดสิ่งใดออกมา ส่วนฟงเฉิงฮ่าวเห็นอาการตื่นตกใจของเยี่ยนหลิง ก็อยากจะพูดกับนางไม่ให้ตกใจ แต่บรรยากาศภายในห้องยามนี้ เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาควรเงียบ เนื่องจากท่าทางที่จริงจังของสหายรัก และหญิงสาวผู้เป็นที่น่าสนใจของสหายอีกเช่นกัน
หยางไท่หมิงรอจนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่าง วางลงบนโต๊ะและกลับออกไปเสียก่อน จึงได้เริ่มสนทนากับซูอัน โดยมีฟงเฉิงฮ่าวกับเยี่ยนหลิง นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคน“รบกวนคุณชายพูดธุระของท่านมาเถิด ข้ากับพี่สาวยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”หยางไท่หมิงมองซูอันนิ่ง ๆ อย่างชอบใจกับท่าทางของนาง จากนั้นจึงได้พูดเรื่องสำคัญกับนาง “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูทั้งสองตกใจ ข้ามีนามว่าหยางไท่หมิง ส่วนสหายของข้าเขามีนามว่าฟงเฉิงฮ่าว บอกคุณหนูทั้งสองตามตรงว่า พวกข้าได้รับภารกิจจากราชสำนัก ติดตามสืบข่าวการหายตัวไปของช่างทอผ้าอย่างเงียบ ๆ”“แล้วอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”“สายของข้าส่งข่าวรายงานมาว่า สถานที่ที่ช่างทอผ้าหายไปมากที่สุดอยู่ที่เมืองผู่เถียน เมืองถู่หลานและเมืองผู่หยาง จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง คือคนในแคว้นเป่ยชางหรือแคว้นใกล้เคียง” หยางไท่หมิงพูดโดยไม่หลบสายตาที่มองซูอันอยู่ตลอดเวลาฟงเฉิงฮ่าวมีช่องให้ได้เอ่ยพูดกับเขาบ้างแล้ว “ถูกต้องแล้วคุณหนูเล็ก ช่างทอผ้าที่หายตัวไปล้วนมีฝีมือดีทั้งสิ้น ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ได้ประโยชน์อันใด”เยี่ยนหลิงยิ่งตระหนกตกใจมากกว่าเดิม เมื่อนางคิ
เสียงฝนกระหน่ำลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่ามกลางถนนที่มืดมิดและเปียกชื้น รถคันหรูแล่นไปด้วยความเร็ว ภายใต้แสงไฟจากไฟฟ้าริมสองข้างถนน เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ ไม่ได้รบกวนสมาธิของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านคนขับ แม้แต่เสียงฝนที่กระทบกระจก ก็ยังไม่สามารถกลบเสียงของรถยนต์หลายคัน ที่กำลังพยายามเร่งความเร็วเพื่อกำจัดเธอในครั้งนี้หลิวเสวี่ยหงจับพวงมาลัยแน่น ดวงตาคู่เรียวทั้งมองถนนและมองรถที่ติดตามมา ตอนนี้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความเครียด จากการถูกศัตรูคู่แข่งในวงการมาเฟียไล่ล่า แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าการไล่ล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มิใช่ว่าเธอไม่เคยเจอแต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกน้องของเธอ ถูกศัตรูขวางทางเอาไว้จนตามมาไม่ทันเธอเห็นแสงไฟจากรถยนต์ของศัตรู ที่ตามมาในกระจกมองหลัง รถที่มาพร้อมกับความเร็วสูง ไม่ยอมปล่อยให้เธอหนีไปได้แม้แต่วินาทีเดียว“แค่ฉันมีความสามารถมากกว่าพวกแกถึงกับรับไม่ได้ อดทนอดกลั้นมาได้นานขนาดนี้คงวางแผนกับเครือข่ายอื่นล่ะสิ แต่คนอย่างหลิวเสวี่ยหงจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาทำลายทุกสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นด้วยสองมือของฉันแน่!”เสียงพูดลอดไรฟันของหลิวเสวี่ยหงดังอยู่ในรถ และมีแค่เธอที่
เมื่อครอบครัวเล็ก ๆ ได้บุตรสาวกลับคืน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าในร่างนี้มิใช่บุตรสาวที่ตนรู้จัก แต่ด้วยอุปนิสัยไม่ยอมคนของหลิวซูอัน ผู้มาครอบครองร่างทีหลังย่อมสวมรอยได้ไม่ยากเพราะยังมีงานที่ต้องทำค้างอยู่ ทั้งสามคนจึงให้หลิวซูอันพักผ่อน โดยงานในส่วนของนางผู้เป็นพี่สาวจะรับผิดชอบทำแทนให้เองจือเหมยเอ่ยบอกกับซูอันอย่างห่วงใย “อันเอ๋อร์เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถิดนะ หากแม่กับพ่อและพี่สาวของเจ้าทำงานที่ค้างไว้เสร็จ จะรีบทำโจ๊กมาให้กินส่วนเรื่องยา ค่อยให้พ่อของเจ้าแอบไปซื้อมาต้มให้ดื่มทีหลังนะ”ซูอันที่รับรู้เรื่องการเงินจากร่างเดิมแล้ว ก็รีบเอ่ยปรามเอาไว้เสียก่อน “ท่านแม่เรื่องยาสมุนไพรอย่าได้เปลืองเงินเลยเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บเหมือนตอนถูกตีแล้ว ขอแค่โจ๊กฝีมือท่านแม่และได้นอนพัก อีกไม่กี่วันก็มีแรงช่วยพวกท่านทำงานแล้วเจ้าค่ะ”ซูอันพูดภาษาในโลกนี้ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยตอนที่นางเรียนหนังสือยังมีวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงภาษาของแต่ละพื้นที่ทำให้นางเอามาปรับใช้ได้ไม่ยากเย็นนัก“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าถูกไม้ตีรุนแรงมากนะอันเอ๋อร์ แค่นอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามเจ้ากลับบอกว่าไม่เจ็บแล้ว” เยี่ยนหลิงไม่
หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้นจือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอา
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมาย ใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต
แค่ทองคำแท้หนึ่งแท่งขนาดเล็กที่ซูอันนำไปขาย ก็ทำเงินให้นางมากถึงสิบตำลึงทอง แต่นางไม่ลืมแลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอีแปะเผื่อเอาไว้ ยามหยิบใช้จะได้สะดวก ก่อนออกเดินทางไปยังเมืองผู่เถียน เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้าและผ้าปักอันงดงาม ซูอันไม่ลืมพาครอบครัวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ราคาไม่แพงเกินไปมาสวมใส่ชั่วคราวระหว่างการเดินทางซูอันตระหนักได้ว่า เมื่อนางมาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ เงินทองที่ใช้จ่ายย่อมมิใช่ที่ใช้ในยุคที่จากมา จึงให้จีจี้เปลี่ยนทองคำแท่งทั้งหมด ให้กลายเป็นตำลึงทอง ตำลึงเงินและเหรียญอีแปะไว้ ทำให้ง่ายต่อการหยิบมาใช้สอยได้ทุกเวลาครอบครัวตระกูลจินจ้างรถม้ารับจ้าง ให้ไปส่งพวกเขาที่เมืองผู่เถียน ระหว่างเดินทางซูอันกับเยี่ยนหลิงนั่งมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้า การเดินทางไม่พบเจอปัญหาอันใดทุกอย่างราบรื่น จนผ่านมาสิบห้าวันในที่สุดซูอันกับครอบครัวก็มาถึงเมืองผู่เถียนเสียทีเมื่อผ่านประตูเข้าสู่เมืองความคึกคักของตลาดขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็ปรากฏแก่สายตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านแผงลอย และสีสันของผืนผ้าที่วางเรียงรายอยู่ในร้านค้าต่าง ๆ ทำให้
วันรุ่งขึ้นซูอันและเยี่ยนหลิงจ้างรถม้า ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น การไปหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพราะซูอันต้องการหาคนงาน ที่มีฝีมือในการเลี้ยงไหม ย้อมสี และลูกจ้างที่มีฝีมือการตัดเย็บไปทำงานกับร้านค้าของครอบครัวของนางครั้นซูอันกับเยี่ยนหลิงมาถึงหมู่บ้านซานอี๋ ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศของหมู่บ้านดูเงียบงันผิดปกติ ชาวบ้านบางส่วนที่เป็นเด็กและสตรี ต่างพากันหลบอยู่ในบ้านของตน“อันเอ๋อร์ดูเหมือนว่าหมู่บ้านซานอี๋มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าออกจากบ้านเช่นนี้” เยี่ยนหลิงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วซูอันพยักหน้าและคิดเช่นเดียวกับพี่สาว ก่อนจะเร่งให้รถม้าไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นพวกนางพบกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคน กำลังยืนล้อมกลุ่มชาวบ้านที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว และกำลังร้องขอความเมตตาจากชายฉกรรจ์กลุ่มนี้“คุณชายกู้ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าทำกับผ้าไหมของพวกเราเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าสุดฝีมือ ทุกขั้นตอนล้วนทำด้วยตนเองทั้งสิ้น มันจะกลายเป็นผ้าไหมเก่า ๆ ที่ท่านนำมาได้อย่างไรกัน”“น
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร
หยางไท่หมิงรอจนหลงจู๊เหวยฉินนำน้ำชาและของว่าง วางลงบนโต๊ะและกลับออกไปเสียก่อน จึงได้เริ่มสนทนากับซูอัน โดยมีฟงเฉิงฮ่าวกับเยี่ยนหลิง นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคน“รบกวนคุณชายพูดธุระของท่านมาเถิด ข้ากับพี่สาวยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก”หยางไท่หมิงมองซูอันนิ่ง ๆ อย่างชอบใจกับท่าทางของนาง จากนั้นจึงได้พูดเรื่องสำคัญกับนาง “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูทั้งสองตกใจ ข้ามีนามว่าหยางไท่หมิง ส่วนสหายของข้าเขามีนามว่าฟงเฉิงฮ่าว บอกคุณหนูทั้งสองตามตรงว่า พวกข้าได้รับภารกิจจากราชสำนัก ติดตามสืบข่าวการหายตัวไปของช่างทอผ้าอย่างเงียบ ๆ”“แล้วอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”“สายของข้าส่งข่าวรายงานมาว่า สถานที่ที่ช่างทอผ้าหายไปมากที่สุดอยู่ที่เมืองผู่เถียน เมืองถู่หลานและเมืองผู่หยาง จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลัง คือคนในแคว้นเป่ยชางหรือแคว้นใกล้เคียง” หยางไท่หมิงพูดโดยไม่หลบสายตาที่มองซูอันอยู่ตลอดเวลาฟงเฉิงฮ่าวมีช่องให้ได้เอ่ยพูดกับเขาบ้างแล้ว “ถูกต้องแล้วคุณหนูเล็ก ช่างทอผ้าที่หายตัวไปล้วนมีฝีมือดีทั้งสิ้น ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ว่าคนที่ทำเรื่องนี้ได้ประโยชน์อันใด”เยี่ยนหลิงยิ่งตระหนกตกใจมากกว่าเดิม เมื่อนางคิ
ผ่านค่ำคืนที่แสนมีความสุขของจวนตระกูลจิน พวกเขารู้สึกโล่งอกที่ผ้าไหมและผ้าปักของร้าน มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เพียงเปิดร้านวันแรกก็ขายดีจนผ้าบางผืนเหลือไม่กี่พับ ส่วนเรื่องสินค้าที่เหลือน้อยได้รับการแก้ไขจากบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว มู่ถงกับฮูหยินอย่างจือเหมยจึงได้วางใจเพราะซูอันรู้ดีว่าบิดามารดามักจะคิดมากอยู่เสมอ “ท่านพ่อท่านแม่มีข้าอยู่ทั้งคน พวกท่านเลิกคิดมากได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าลูกค้าของพวกเราจะสั่งสินค้าจำนวนมากเพียงใด ข้าย่อมมีส่งให้ครบตามจำนวนแน่นอน พวกท่านปักผ้าอย่างมีความสุขเถิดนะเจ้าคะ”“ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ จากนี้ไปพวกท่านสองคนก็มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้นั่งทำงานปักอย่างสบายใจ ไม่ต้องเร่งรีบจากความกดดันเช่นแต่ก่อนอีก ส่วนเรื่องที่ร้านผ้าไหมข้ากับอันเอ๋อร์จะดูแลจัดการเองเจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงกล่าวเสริมคำพูดน้องสาวอีกคนจือเหมยยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ที่บุตรสาวทั้งสองของนางกับสามี ไม่เคยริษยาต่อกันตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียทุกอย่าง “ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ ยามนี้บุตรสาวของพวกเราเติบโตขึ้นมาก แต่หลิงเอ๋อร์เลยเวลาออกเรือนมาเกือบสองปีแล้ว ข้ากลัวว่า
หยางไท่หมิงและฟงเฉิงฮ่าว ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมผู่เฉิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ยอมพักผ่อนเนื่องจากรอฟังข่าวจากไห่หยุน ผู้รับคำสั่งจากฟงเฉิงฮ่าวไปสืบความเป็นมา เกี่ยวกับสตรีที่เจ้านายให้ความสนใจ ทันทีที่มาถึงเมืองผู่เถียน ซึ่งมิใช่แค่ไห่หยุนที่แปลกใจ แต่บ่าวที่ติดตามเจ้านายทั้งสองคนก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันไห่หยุนเดินสอบถามพ่อค้าแม่ค้า บริเวณที่เจ้านายพบเจอสตรีทั้งสอง แต่รายละเอียดที่ได้ยังไม่เพียงพอ ทำให้ไห่หยุนต้องไปสอบถามเรื่องตระกูลจินจากท่านเจ้าเมืองผู่เถียน ที่ตอบคำถามจากหลักฐานการโยกย้ายถิ่นฐานจากเมืองถู่หลาน มาตั้งรกรากเปิดร้านขายผ้าไหมอยู่ที่นี่ รวมถึงการเปลี่ยนแซ่ของครอบครัวเล็ก ๆ เท่านั้นเมื่อสืบเสาะเรื่องราวได้เท่าที่มี ไห่หยุนจึงรีบกลับไปพบเจ้านาย เพื่อรายงานในสิ่งที่ตนสืบได้ความมาก๊อก ๆ ๆ “คุณชายรองบ่าวไห่หยุนเองขอรับ”พอได้ยินเป็นเสียงคนของตน ฟงเฉิงฮ่าวรีบอนุญาตอย่างรวดเร็ว “รีบเข้ามา”แต่เป็นหยางไท่หมิงที่ให้ไห่หยุนรีบเล่าสิ่งที่รู้ออกมา “ได้ความเกี่ยวกับพวกนางว่าอย่างไร รีบเล่ามาให้พวกข้าสองคนฟังโดยเร็ว อย่ามัวพิธีรีตองให้มากนัก”“เรียนคุณชายหยาง บ่าวได้สอ
ภายในห้องรับรองด้านบนร้านค้าผ้าไหม ยามนี้ซูอันและแขกผู้เป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายผ้าไหม รวมถึงผ้าปักลวดลายต่าง ๆ ที่ร้านตระกูลจินได้ทำออกมาวางขายวั่นจิ่นต้านร้อนใจเกรงว่าตนจะไม่ได้สินค้าที่อยากได้“เอ่อ คุณหนูเล็กท่านมีข้อเสนออันใด เกี่ยวกับผ้าที่วางขายในร้านของท่านบ้าง ช่วยบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่”ซูอันเห็นอาการกระตือรือร้นของลูกค้าตรงหน้า จึงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปด้วยเหตุผลประกอบการซื้อขาย “ข้อเสนอของข้ามิได้ซับซ้อนแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านลุงมีความจริงใจที่จะทำการค้าร่วมกัน เรื่องอื่นย่อมพูดคุยกันได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”“ไอหยา คุณหนูเล็กท่านอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพ่อค้าคนอื่นเลยนะ ตระกูลวั่นของข้าทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ หากข้าเป็นคนคดโกงเห็นแก่ตัวแล้วละก็ คงทำการค้าในเมืองหลวงมายาวนานมิได้แน่” วั่นจิ่นต้านพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เพราะตระกูลของเขานั้นยึดถือคำสอนของบรรพบุรุษ ที่ให้ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา“ขอบคุณท่านลุงที่แสดงความจริงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านลุงต้องการผ้าไหมจำนวนเท่าใดหรือเจ้าคะ พวกเราจะได้ทำใบสั่งซื้อสินค้า และลงชื่อไว้เป็นหลักฐา
ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนการต่อสู้จากการสั่งสอนของซูอัน หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งทั้งสิบคนล้วนมีความมุ่งมั่น เพื่อให้ตนเองกลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลจิน ที่มีทั้งความแข็งแกร่งด้านร่างกาย รวมไปถึงการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าหรือใช้อาวุธ และทุกเช้ามักจะมีซูอันมาร่วมฝึกด้วยเสมอหลังจากการฝึกร่างกายของตน ซูอันจะกลับมาพูดคุยกับบิดามารดาและพี่สาว เกี่ยวกับลายปักที่ครอบครัวของนาง ได้เริ่มลงมือปักลวดลายดอกไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผ้าไหมแต่ละผืน แต่ยังคงเป็นซูอันที่มีตัวอย่างของลายปัก ซึ่งมีความแตกต่างมาให้ครอบครัวได้ทำ ทั้งพัดที่สตรีชอบถือติดตัวหรือจะเป็นผ้าเช็ดหน้า ถุงใส่เครื่องหอม ฉากกั้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ไม่เพียงแค่คนในครอบครัวของซูอันที่ทำงานปักผ้า ลูกจ้างของนางจากหมู่บ้านซานอี๋ทั้งสี่คน ก็ได้มาเรียนรู้และปักตามลายที่ซูอันกำหนด ด้านผ้าไหมที่นางสั่งกับชาวบ้านไว้ จะมีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง นำใส่หีบอย่างดีมาส่งให้นางถึงจวนเมื่อครบหนึ่งเดือนยิ่งใกล้ถึงวันเปิดร้านผ้าของครอบครัว งานปักผ้าและตัดเย็บเป็นชิ้น ๆ ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก ซูอันสังเกตเห็นว่าชุดที่นางกับทุกคนใส่ประจำนั้น สีของม
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้ เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้นเพื่อฝึกฝนร่างกาย ในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ
ภายหลังที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซูอันจะได้พูดคุยและทำความเข้าใจกับว่าที่หน่วยคุ้มกัน ซึ่งพวกเขาจะต้องพักอยู่ที่จวนแห่งนี้เพื่อรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการฝึกที่นางกำหนดไว้ซูอันหันมาทางบุรุษทั้งสิบคนที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ อย่างรู้มารยาท “เอาล่ะพี่ชายทั้งหลายถึงเวลาของพวกท่านแล้ว ตามข้าไปด้านหลังของจวน เนื่องจากสถานที่แห่งนั้นคือการเริ่มต้น เพื่อฝึกฝนร่างกายในการเป็นหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งของตระกูลจิน”“ขอรับคุณหนูเล็ก”ซูอันพาลูกน้องมือใหม่ไปยังด้านหลังจวน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจการทำหน้าที่ และค่าจ้างที่คนทั้งสิบจะได้รับ เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหลังจวนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำเอากลุ่มของอวี้เหลียนต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างกับสิ่งที่เรียกว่าสนามฝึก“อะ อะ อวี้เหลียนเจ้าว่าพวกเรากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ใช่ลานฝึกต่อสู้ที่คุณหนูเล็กพูดถึงงั้นรึ!” หยิ่งเจาเคยทำงานเป็นคนส่งผักมาก่อน เขาเคยเห็นในจวนของบุตรหลานคหบดี มักจะมีลานฝึกวิชาต่อสู้มาบ้างอึก “ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เช่นกันหยิ่งเจา บางอย่างข้าไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ” อวี้เหลียนตอบสหายอย่างตรงไปตรงมาคนอื่น ๆ ท
ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อยเมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากันซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมือง
ในที่สุดชาวบ้านต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเลี่ยงหยาง ย่อมเป็นตัวแทนของทุกคน ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ซูอันและกล่าวขอบคุณนาง“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยเหลือขอรับ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ วันนี้คงมีชาวบ้านที่ต้องเจ็บตัวจากตระกูลกู้อีกเป็นแน่ แต่ว่าท่านควรระวังคนตระกูลนี้เอาไว้นะขอรับ”ซูอันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับน้ำใจ “พวกท่านเองก็อย่าถือเป็นบุญคุณเลยนะ การยอมก้มหัวให้คนเช่นนั้นมิใช่ทางออกที่ดีเสมอไป หากยอมให้พวกเขากดขี่ข่มเหง เหตุการณ์ก็จะเป็นอย่างวันนี้ที่พวกท่านต้องพบเจอตลอดไป ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ให้คนไปบอกกับข้าที่จวนตระกูลจินในเมืองผู่เถียนได้”เยี่ยนหลิงเองก็มีคำพูดบอกกับชาวบ้านบ้าง “ข้ากับน้องสาวเชื่อว่า หากท่านลุงท่านป้าไปตีกลองร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง ย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน”“พวกข้าจะจำไว้ขอรับ ว่าแต่พวกท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเรา มีกิจธุระอันใดหรือไม่ขอรับ” เลี่ยงหยางถามสตรีสองคนที่เป็นพี่น้องกัน เพราะเขารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญเป็นซูอันที่ตอบไปสั้น ๆ “ใช่แล้ว พวกข้าสองคนมีธุระจริง ๆ”ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันนิ่งเงียบ เพื่อร