"อย่าขยับ! ถ้าพวกแกไม่อยากถูกยิง ค่อย ๆ เอามือพาดที่ท้ายทอยแล้วก้มหัวลงเดินมาทางนี้!"
หว่านหว่านคือหญิงสาวอายุยี่สิบเก้าเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่ถูกมารดาทิ้งเอาไว้ในโรงพยาบาลที่เมืองจีน ก่อนที่หญิงสาวจะถูกรับเลี้ยงโดยสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในมณฑลเทียนจิน เธอเติบโตขึ้นมาอย่างดีด้วยเพราะเรียนเก่งจึงสามารถคว้าทุนการศึกษามาได้มากมายจนกระทั่งเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ยที่ดูดีและได้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งหญิงสาวอายุยี่สิบเก้า ในช่วงเวลาที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิต เธอพึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสาขาย่อยแห่งหนึ่งและกำลังจะย้ายเข้ารับตำแหน่งในอีกหนึ่งถึงสองวัน
เป็นเพราะว่าต้องการทำความคุ้นเคยกับสถานที่จึงได้เดินทางมาก่อนล่วงหน้าหลายวัน ในขณะที่เธอกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ในห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้น อาชญากรกว่ายี่สิบคนจับลูกค้าภายในห้างแห่งนี้เป็นตัวประกันและหนึ่งในนั้นก็คือเธอ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ดูเหมือนว่าอาชญากรเหล่านั้นจะพูดคุยกับตำรวจไม่เข้าใจ พวกมันจึงไม่คิดจะปล่อยตัวประกันไป ตัวประกันถูกลากออกมาสังหารทีละคน จนกระทั่งผ่านไปห้าคนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าด้านนอกจะยังไม่มีสัญญาณส่งความช่วยเหลือเข้ามาแม้แต่น้อย
ระหว่างนั้นมีเด็กคนหนึ่งอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นก่อนจะออกตัววิ่งตามสัญชาตญาณของหญิงสาวเธอลุกขึ้นแล้วคว้าตัวเด็กน้อยคนนั้นเข้ามากอดไว้แนบอกก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นต่อเนื่องหลายนัด หว่านหว่านรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจจะเคลื่อนไหวร่างกายของเธอได้อีกแล้วพร้อมกับร่างบางที่ค่อย ๆ ล้มลงกระแทกกับพื้นเสียงดัง ตึง! ดวงตาของเธอค่อยหรี่เล็กลงพร้อมกับลมหายใจที่รวยริน เธอคิดในใจว่าจริง ๆ แล้วความตายมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแต่เธอยังไม่อยากจะตายเลยสักนิดมีชีวิตรอดมานานถึงเพียงนี้ชีวิตดี ๆ ยังไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้งทำไมต้องมาตายง่าย ๆ แบบนี้ด้วยนะ!
ดวงตาที่กำลังจะหลับพลันมองไปเห็นป้ายโปรโมตนิยายเรื่องดังที่กำลังมาแรงที่สุด ได้ข่าวว่านักเขียนที่เขียนเรื่องนี้หล่อมากแฟนคลับสาว ๆ เพียบเลยทีเดียว น่าอิจฉาชะมัด หว่านหว่านหัวเราะในลำคอเธอคงไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถึงเวลาที่ต้องนอนพักสักหน่อยแล้ว
เสียงกรีดร้องของตัวประกันรอบ ๆ ร้องขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่สุดแสนสะเทือนใจ มารดาของเด็กคนนั้นลากตัวลูกของตัวเองเข้ามากอดไว้แนบอกเด็กอายุแค่ห้าขวบ เพียงเพราะการกระทำชั่ววูบทำให้หญิงสาวคนหนึ่งต้องมาตายแทน สายตาหลายสิบคู่มองมาที่ผู้เป็นมารดาของเด็กคนนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บ้างก็คิดว่าเป็นเพราะแม่ไม่ดูแลเด็กให้ดี บ้างก็คิดว่าหญิงสาวคนนั้นไม่จำเป็นต้องวิ่งออกไปช่วยเหลือเลยสักนิดเพราะคนทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรกัน
ในขณะนั้นสายตาเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าผู้เป็นมารดาของเด็กน้อยคนนั้นมิได้ใส่ใจลูกเป็นเพราะเธอกำลังคอยสังเกตหว่านหว่านอยู่ หญิงวัยกลางคนผู้นั้นรู้สึกตกใจไม่น้อยที่ในตอนแรกเธอได้เจอกับหว่านหว่าน แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่รู้จักเธอแต่เธอนั้นรู้จักหว่านหว่านเป็นอย่างดี เพราะหว่านหว่านคือเด็กที่เธอคลอดออกมาเองแล้วก็ทิ้งเอาไว้ที่โรงพยาบาลเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน หลังจากนั้นเธอก็ได้ข่าวว่าเด็กน้อยถูกรับไปเลี้ยงก่อนจะตามไปเฝ้าสังเกตเด็กสาวในทุก ๆ ปี เพียงแต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทาย
มาวันนี้บุตรสาวที่นางทอดทิ้งกลับเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องน้องชายที่เธอไม่เคยได้รู้จัก ก่อนจะจบชีวิตลงอย่างน่าสงสาร เธอนั่งมองร่างของบุตรสาวที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจลงโดยไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย หัวใจที่ปวดร้าวแหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาที่จะแนะนำตัวเองกับเธอ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยเรียกขาน ได้แต่นั่งนิ่งพร้อมกับเหม่อลอยออกไปไกล ก่อนจะคิดในใจว่าหากแลกได้ขอให้นางตายแทนหญิงสาวได้เธอเองก็ยินดี!
อีกด้าน
กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าของม้าที่ควบเร็วฝ่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ใบหน้าที่งดงามล่มเมืองฟาดแส้ไปที่บั้นท้ายของม้าเพื่อเร่งความเร็ว ด้านหน้าของหญิงสาวมีห่อผ้าอย่างหนาห่อเด็กน้อยตัวขาวราวหิมะเอาไว้ ในขณะที่ด้านหลังของนางมีชายชุดดำที่กำลังควบม้ามาติด ๆ ราวสี่ถึงห้าคน
นางคือเมิ่งจิ่วซือบุตรสาวคนโตของตระกูลเมิ่ง ทายาทเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ก่อนจะได้รับราชโองการให้สมรสกับโอรสองค์โตของฮ่องเต้ เป่ยติ้งหรงอ๋องหรือตู๋กูหรงเซ่อ บุรุษที่เป็นยอดนักรบที่เหี้ยมโหดสังหารคนโดยไร้ซึ่งความปรานี ฉายาของเขาคือยอดนักรบปีศาจ
เมิ่งจิ่วซือแต่งเข้าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋องมานานเกือบสองปีก่อนจะให้กำเนิดบุตรสาวตัวน้อยที่ในตอนนี้อายุหกเดือน ตำหนักอ๋องที่เต็มไปด้วยอสรพิษทั้งยังมีไส้ศึกและยังมีคนของจวนและตำหนักต่าง ๆ ที่ส่งเข้ามาเพื่อเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเป่ยติ้งหรงอ๋อง แต่ชายผู้นั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทั้งยังปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับปีศาจสาวผู้หิวกระหายเหล่านั้นมาตลอด หากไม่เพราะนางยังพอมีเล่ห์เหลี่ยมแล้วละก็คงไม่อาจคลอดบุตรสาวออกมาได้อย่างปลอดภัย
แม้ว่านางจะรู้ดีว่าชายหนุ่มจะไม่มีวันปล่อยให้นางตายและเขาได้วางตัวองครักษ์เงาเอาไว้รอบ ๆ ตัวนางไม่น้อย นั่นก็เป็นเพราะเขายังต้องการใช้ประโยชน์จากนางอยู่และตระกูลเมิ่งก็ยังคงเก็บซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ ซึ่งมีเพียงเมิ่งจิ่วซือเท่านั้นที่รู้ว่าความลับนั้นคือสิ่งใด หากแต่นางก็เก็บซ่อนมันไว้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดก็เพื่อความปลอดภัยของนางเอง หากเขารู้เรื่องราวความลับนั้นชีวิตของนางก็คงจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป!
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ความปลอดภัยที่เขาเคยมั่นใจเสมอมาว่าดีที่สุด แต่แล้วในวันนี้กลับกลายเป็นอันตรายที่สุด เมิ่งจิ่วซือใช้ผ้าพันร่างของบุตรสาวตัวน้อยแล้วมัดเข้ากับร่างของนางเอาไว้ ก่อนจะทะยานขึ้นบนหลังม้าแล้วควบหนีไปให้ไกลที่สุด หากแม้นว่าสุดท้ายแล้วชีวิตนางจะไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ก็ขอเพียงบุตรสาวของนางอยู่รอดปลอดภัยเท่านี้นางก็พอใจแล้ว
หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดควบม้าไปด้วยความรวดเร็วดุจดั่งพายุ ม้าศึกตัวใหญ่ที่สามีทิ้งเอาไว้ตัวนี้เป็นม้าที่ดีที่สุดที่เป่ยติ้งหรงอ๋องทิ้งเอาไว้ให้กับนาง แม้นทั้งคู่จะไม่ได้มีความรู้สึกมากมายต่อกันเฉกเช่นสามีภรรยา หากแต่ในยามที่นางยังคงมีประโยชน์ต่อเขา ชายหนุ่มก็ดูแลนางเป็นอย่างดีในฐานะพระชายาเอกเป่ยติ้งหรงอ๋อง
ความว่องไวในฝีเท้าของม้าตัวนี้ช่างดีเยี่ยมทำให้ม้าของนางนั้นห่างจากม้าของนักฆ่าอยู่ราวหลายลี้ แต่เมื่อมองไปยังหนทางข้างหน้าเมิ่งจิ่วซือก็ต้องตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าทางข้างหน้านั้นเป็นหุบเหวสูงชัน หญิงสาวรั้งเชือกบังคับม้าจนสุดแรงก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเลือกที่จะวิ่งเข้าป่าไป ในขณะที่เหล่านักฆ่ากลุ่มนั้นพยายามไล่ล่านางอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง นางรู้สึกเหนื่อยหอบทั้งยังหมดเรี่ยวแรงในขณะที่ก้มลงมองดูบุตรสาว เด็กน้อยกลับนอนหลับสนิทอย่างว่าง่ายได้เห็นใบหน้าที่ใสซื่อของเด็กน้อยมันกลับทำให้นางมีแรงที่จะออกวิ่งต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก ในขณะเดียวกันนักฆ่าก็กำลังตามมาติด ๆ จวนใกล้ที่จะประชิดตัวแล้ว
ในตอนสุดท้ายที่เมิ่งจิ่วซือมองเห็นปลายทางของแสงสว่างก็พลันยินดีหากแต่ในเวลาต่อมานางก็เริ่มหน้าซีดเมื่อทางข้างหน้าไม่มีให้วิ่งต่อ หุบเหวข้างหน้าทำให้หญิงสาวหวาดกลัวที่สุดในชีวิตก่อนจะก้มลงมองบุตรสาวในอ้อมอกอีกครั้ง
นางเป็นสตรีบอบบางไม่มีทางต่อสู้กับนักฆ่ายอดฝีมือถึงห้าคนได้อย่างแน่นอนและสุดท้ายนางจะไม่เหลือสิ่งใด พวกมันจะต้องฆ่านางและบุตรสาวอย่างไม่เหลือซาก ในขณะที่เท้าข้างหนึ่งเกือบจะตกลงไปที่ขอบเหวหญิงสาวหยุดชะงัก นักฆ่าเหล่านั้นที่เห็นว่าหญิงสาวไม่มีเส้นทางให้วิ่งต่อและพวกมันคงคิดว่านางคงไม่กล้าที่จะกระโดดลงไปเป็นแน่ ด้านล่างนั้นเป็นแม่น้ำลึกหากตกลงไปลำพังร่างกายของหญิงสาวที่บอบบางกับเด็กเล็ก ๆ อย่างไรก็ไม่อาจรอดชีวิตได้
แต่พวกมันคาดเดาผิดและดูถูกในความรักของมารดาที่มีต่อบุตรมากเกินไป เมิ่งจิ่วซือมองดูใบหน้าของนักฆ่าแต่ละคนที่กำลังสาวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ ก่อนที่นางจะตัดสินใจกระโดดลงไปเบื้องล่างโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของนักฆ่าทั้งห้าพวกมันยืนมองหญิงสาวตกลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะได้ยินเสียง
ตู้ม!!!
ร่างบางได้หล่นลงตกกระทบผิวน้ำเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะจมดิ่งลงไป
แขนเรียวเสลาทั้งสองข้างของนางโอบกอดบุตรสาวเอาไว้ ก่อนที่ร่างทั้งสองจะค่อย ๆ จมลงสู่พื้นเบื้องล่าง ความหวังสุดท้ายของเมิ่งจิ่วซือคือนางเพียงหวังให้บุตรสาวของนางอยู่รอดปลอดภัย
แค่ให้บุตรสาวของนางเติบโตขึ้นไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับสกุลตู๋กูอีก ให้นางได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นสตรีธรรมดา ได้แต่งงาน มีบุตรที่น่ารัก เพียงแค่นั้นนางก็พอใจแล้ว
ร่างบางค่อย ๆ หมดลมหายใจลงอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางบรรยากาศใต้น้ำที่หนาวเย็นวงแขนของนางยังคงโอบกอดร่างของบุตรสาวไว้ไม่ยอมปล่อย!
พร้อมกันนั้นก็มีแสงสว่างบางอย่างเกิดขึ้น!
ในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังจะหมดลมหายใจนางได้ซ่อนของสิ่งหนึ่งเอาไว้ในอกเสื้อของบุตรสาว ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้ตู๋กูรั่วหวาแล้ว เพราะนางคงไม่สามารถอยู่ดูแลบุตรสาวได้อีกต่อไปจิ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ เสียงร้องของนกน้อยหลายตัวที่เกาะอยู่ริมหน้าต่างทำให้หญิงสาวรู้สึกรำคาญใจก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ แสงสว่างภายนอกทำให้ร่างบางรู้สึกแสบตาจนต้องขยี้ตาเบา ๆ หว่านหว่านรู้สึกแปลกใจที่เธอยังไม่ตายแต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อบรรยากาศโดยรอบนั้นช่างไม่คุ้นตา ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลหากแต่ว่าเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง สภาพเรือนที่กลางเก่ากลางใหม่ที่ดูเหมือนถูกดูแลอย่างดีจนสะอาด ต่อมาเมื่อก้มลงมองดูที่ร่างของตนเองก็ต้องตื่นตกใจหนักขึ้นเมื่ออยู่ ๆ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าของคนยุคปัจจุบันแต่เป็นเสื้อผ้าของคนยุคโบราณ"นะ นี่! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" หว่านหว่านรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาก่อนที่อยู่ ๆ ประตูจะถูกเปิดออก หญิงวัยกลางคนที่แต่งกายคล้ายกับสาวใช้อาวุโสในละครย้อนยุคก้าวเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่น ที่นางรู้ว่ามันอุ่นเพราะในอ่างยังมีละอองควันพว
"เรียนนายหญิง มีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ""พบข้า ผู้ใดกัน?" หว่านหว่านแสดงสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางไม่อาจไว้ใจผู้ใด นางพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงชั่วยาม ข้าวของกลับถูกเตรียมพร้อมเอาไว้จนเสร็จสรรพ แล้วในตอนนี้ยังมีคนมาหานางได้ถึงที่นี่อีก"เป็นคนของนายท่านเจ้าค่ะ นายหญิงฝากคุณหนูไว้กับบ่าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ""ไม่เป็นไรหวาหวาไม่ใช่เด็กงอแง ข้าจะพานางไปด้วย" หว่านหว่านเอ่ยออกมาตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้นางหวาดระแวงและไม่กล้าฝากบุตรสาวไว้กับผู้ใด"เจ้าค่ะ เชิญนายหญิงด้านนี้เจ้าค่ะ"หว่านหว่านเดินเข้ามาในห้องรับรองเล็ก ที่มีเก้าอี้วางเอาไว้สองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะพบกับชายชราที่ดูท่าทางใจดีผู้หนึ่ง เมื่อเขามองเห็นหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพนางในทันที"คารวะนายหญิง ข้าน้อยมีนามว่าไห่ลู่ เป็นพ่อบ้านในจวนของนายท่านเสิ่นขอรับ นายท่านกลัวว่านายหญิงจะหวาดระแวงจนกระทั่งไม่กล้าไว้ใจและอาจจะหนีไปแล้วได้รับอันตราย จึงได้ส่งข้าน้อยมาชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนขอรับ""เชิญท่านพ่อบ้านนั่งลงก่อนเถิด""ขอบคุณนายหญิง""แท้จริงแล้วนายท่านของพวกเจ้าคือใครกันแน่ หากว่าวันนี้ตัวข้าไม่ได้รับความกระจ่าง
"นะ นี่มัน!" ความยิ่งใหญ่อลังการเกินจะกล่าวของสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าทำเอาหว่านหว่านเข่าแทบทรุด ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ"นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ"สิ่งที่ปรากฏให้นางเห็นตรงหน้าก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีเงินทองกองอยู่เป็นภูเขา มากมายขนาดนี้ต่อให้ใช้ก่อตั้งราชวงศ์ก็คงจะร่ำรวยไปอีกหลายร้อยปี หว่านหว่านลองหยิบก้อนทองร้อยตำลึงขึ้นมา ก่อนที่นางจะใช้ฟันหน้าของนางลองกัดดูเพื่อพิสูจน์ในขณะที่ก้อนทองคำถูกหยิบออกจากหีบมาอยู่ในมือของนาง ทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่ หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะลองพิสูจน์ด้วยการหยิบทองขึ้นมาสองก้อนเพียงไม่นานทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่! ดวงตาของนางเบิกกว้างแล้วคิดในใจว่า นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วจริง ๆ"ให้ตายเถอะ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ใช้ไปอีกสิบชาติก็คงไม่มีทางหมดแน่"ระหว่างนั้นก็ปรากฏภูตตัวน้อย ขนาดเท่ากับฝ่ามือของนางโผล่ออกมา ภูตน้อยมีปีกคล้ายผีเสื้อทั้งยังบินได้"เจ้าเป็นใครน่ะ!" หว่านหว่านถึงกับสะดุ้งก่อนจะเอ่ยถามไปด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ"ข้าคือภูตผู้ดูแลความลับของตระกูลเมิ่ง เจ้าคือเมิ่งจิ่วซือ ไม่ใช่สิ! ร่างคือเมิ่งจิ่วซือแต่วิญญาณนั้นไม่ใช่""เจ้ารู้!""ข้า
ย้อนกลับไปยังต้นตระกูลเมิ่งในกาลก่อนนับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนบรรพชนตระกูลเมิ่งได้มีบุญคุณต่อผู้เป็นใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อรักษาอีกฝ่ายจนกระทั่งหายดี ของวิเศษนี้จึงถูกมอบให้แก่บรรพชนตระกูลเมิ่ง หากแต่ต้องแลกมาด้วยสัญญาเลือดที่ความลับนี้จะต้องมีเพียงทายาทที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานของวิเศษได้ และหาก ว่าต้องการส่งต่อของวิเศษนี้แก่ทายาทรุ่นต่อไป หลังจากที่ส่งมอบแล้วผู้ส่งมอบจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและความลับนี้จะต้องกลายเป็นความลับตลอดกาลไม่มีผู้ใดรู้ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนั้นคือสิ่งใด หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดความหวาดระแวงไม่น้อย คนตระกูลเมิ่งราวกับต้องคำสาป ในทุก ๆ รุ่นจะมีทายาทที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นตระกูล จนกระทั่งหลายปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งผู้เป็นท่านปู่ของเมิ่งจิ่วซือได้จากไป ตระกูลเมิ่งก็หลงเหลือนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวสิ้นสุดนับจากนี้เมิ่งจิ่วซือได้รับราชโองการให้แต่งงานกับตู๋กูหรงเซ่อพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้แคว้นต้าซ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเมิ่งนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่และถึงแม้ว่าจะเหลือเมิ่งจ
เช้าวันต่อมาหว่านหว่านให้คนของนางเตรียมของฝากนางตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย หากแต่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือนเสียก่อน"เกิดอันใดขึ้นหรือ?""เรียนนายหญิง ท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ""ขอพบข้าหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า"ชายชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าร่างกายของเขายังแข็งแรง ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนด้วยความเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทำความเคารพเมิ่งจิ่วซือ"คารวะนายหญิงเมิ่ง ข้าน้อยลู่ถงเป็นผู้นำหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแห่งนี้ขอรับ"หว่านหว่านเลิกคิ้วนางพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เช่นนั้น... มิน่าเล่า"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองกำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนท่านอยู่พอดี ไม่คิดว่าจะต้องให้ท่านแวะมาก่อนช่างเสียมารยาทนัก""มิกล้า ๆ นายหญิงเมิ่งอย่าได้คิดมาก อย่างไรก็ต้องมาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้ว" หญิงสาวพอใจในท่าทีของชายชราก่อนจะส่งสัญญาณให้ไห่หมัวมัวนำของขวัญแรกพบมามอบให้กับชายชรา"นี่เป็นของขวัญพบหน้า ขอท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ""เช่นนี้จะดีหรือ?""ย่อมดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ""เ
ปัง! เพล้ง!"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย""หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึงเป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่ง
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ"แอ้!""คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอนนางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ""มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออก
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย