เช้าวันต่อมา
หว่านหว่านให้คนของนางเตรียมของฝากนางตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย หากแต่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือนเสียก่อน
"เกิดอันใดขึ้นหรือ?"
"เรียนนายหญิง ท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ"
"ขอพบข้าหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า"
ชายชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าร่างกายของเขายังแข็งแรง ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนด้วยความเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทำความเคารพเมิ่งจิ่วซือ
"คารวะนายหญิงเมิ่ง ข้าน้อยลู่ถงเป็นผู้นำหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแห่งนี้ขอรับ"
หว่านหว่านเลิกคิ้วนางพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เช่นนั้น... มิน่าเล่า
"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองกำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนท่านอยู่พอดี ไม่คิดว่าจะต้องให้ท่านแวะมาก่อนช่างเสียมารยาทนัก"
"มิกล้า ๆ นายหญิงเมิ่งอย่าได้คิดมาก อย่างไรก็ต้องมาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้ว" หญิงสาวพอใจในท่าทีของชายชราก่อนจะส่งสัญญาณให้ไห่หมัวมัวนำของขวัญแรกพบมามอบให้กับชายชรา
"นี่เป็นของขวัญพบหน้า ขอท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ"
"เช่นนี้จะดีหรือ?"
"ย่อมดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณนายหญิงเมิ่งแล้ว" ชายชรารับกล่องของขวัญมาแล้วส่งให้บ่าวของเขาถือเอาไว้
"ข้าพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น" หว่านหว่านเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอ้อมค้อม
"ถูกต้องแล้วขอรับ แต่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นทั้งสิ้น เพราะแต่เดิมที่ดินแห่งนี้เป็นพื้นที่รกร้าง หากแต่นายท่านผู้เฒ่านั้นเป็นคนใจดีมีเมตตาหลังจากสงครามผ่านพ้นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงได้รับเอาชาวบ้านที่ไม่มีที่ไปมาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านแห่งนี้"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นช่างดียิ่ง" หญิงสาวเอ่ยชมอย่างจริงใจ
ชายชราพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเอ่ยต่อ
"นายหญิงเมิ่งเป็นแขกของนายท่านผู้เฒ่าพวกเราย่อมต้องดูแลรับรองท่านเป็นอย่างดี"
"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธี คิดเสียว่าข้าเป็นสมาชิกในหมู่บ้านที่เพิ่มเข้ามาเถิด หากมีสิ่งใดก็สามารถเรียกหากันได้ภายหน้าจะได้คอยช่วยเหลือกันเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดียิ่ง" ชายชรายกมือขึ้นลูบที่หนวดสีดอกเลาที่ยาวถึงหน้าอกของเขาอย่างพึงพอใจในท่าทีของสตรีตรงหน้า ในตอนแรกชายชราเห็นอีกฝ่ายท่าทางไม่ธรรมดาดูเหมือนไม่ใช่ชาวบ้านสามัญอย่างแน่นอน คิดว่าคงจะมีพิธีรีตองมากมาย แต่พอได้สัมผัสแล้วกลับพบว่าหญิงสาวเข้าถึงง่ายกว่าที่คิด แม้จะมีความรู้สึกน่าเกรงขามบางอย่างรอบ ๆ ตัวก็ตาม ย่อมไม่น่าแปลกใจเพราะนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นถึงกับส่งคนมากำชับกับเขาให้ดูแลนางเป็นพิเศษ สตรีผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากแต่อีกฝ่ายคงไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงเช่นนั้นเขาก็จะทำตามข้อเรียกร้องของนาง แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอันใดทั้งนั้น ทุกคนล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันทั้งสิ้น
ในขณะที่หญิงสาวกำลังสนทนากับท่านผู้เฒ่า อยู่ ๆ หน้าเรือนก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น ก่อนที่ไห่หมัวมัวจะเป็นคนเดินออกไปดูแล้วเดินกลับมารายงานในขณะที่อีกฝ่ายก็เดินตามเข้ามาอย่างใจกล้า ไห่หมัวมัวมีสีหน้าไม่ค่อยดีเล็กน้อย เพราะกลัวว่านายหญิงจะไม่ชอบใจ แม้ว่านางจะอยู่ดูแลเมิ่งจิ่วซือได้ไม่นานแต่ก็พอรู้ว่าสตรีตรงหน้านั้นมีฐานะไม่ธรรมดาจึงเกรงว่ายามที่มาอยู่ร่วมกับชาวบ้านที่ไม่รู้ความเหล่านี้จะทำให้หญิงสาวเกิดความไม่พอใจได้
หว่านหว่านที่เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของไห่หมัวมัว นางก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะโบกมือพลางเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร
"อ้าว! ท่านผู้นำหมู่บ้านมาทำอันใดที่นี่หรือเจ้าคะ พวกข้าเห็นท่านเข้ามาอยู่นานสองนานแล้ว ที่แท้ก็กำลังสนทนาอยู่กับสาวงามผู้หนึ่งไม่ทราบว่านางเป็นใครหรือ?" กัวอวิ๋นคือสตรีปากมากที่สุดในหมู่บ้านนี้เรื่องที่นางรู้ผู้คนในหมู่บ้านย่อมได้รู้ ในขณะที่นางพึ่งกลับมาจากบ้านของสหายผู้หนึ่งที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันก็บังเอิญเห็นท่านผู้นำตรงมายังเรือนหลังใหม่ที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าเจ้าของเรือนเป็นใครนางเฝ้ารอดูอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นท่านผู้เฒ่าออกจากเรือนมาเสียที ด้วยความอยากรู้เป็นอย่างมากจึงได้ถือวิสาสะเดินเข้ามาเสียเลย ไม่คิดว่าจะได้พบกับสตรีที่งดงามล่มเมือง ใบหน้าที่งามราวกับบุปผาแรกแย้ม ผิวขาวปานหิมะ ริมฝีปากที่แดงเรื่ออย่างสุขภาพดีโดยไม่ต้องแต่งเติม แก้มแดงน้อย ๆ เผยให้เห็นเลือดฝาด มือเรียวเรียบเนียนนิ้วเรียวยาวราวกับไม่เคยจับต้องสิ่งใดตั้งแต่เกิดมาทั้งยังท่าทางสูงส่งเกินบรรยายของอีกฝ่าย ทำให้กัวอวิ๋นไม่กล้ากล่าววาจาล่วงเกินอีก
"ท่านผู้นี้คือ..." ท่านผู้เฒ่าลู่คิดที่จะแนะนำเมิ่งจิ่วซือเพื่อไม่ให้กัวอวิ๋นล่วงเกินนาง แต่เมิ่งจิ่วซือไม่ต้องการทำตัวเด่นเกินไปนางเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้นจึงได้รีบเอ่ยตัดหน้าชายชราเสียก่อน
"ท่านป้าเรียกข้าเมิ่งฮูหยินเถิด ข้าพึ่งย้ายตามสามีมาที่นี่"
"อ๋อ ข้ามีนามว่ากัวอวิ๋น หากเจ้าอยากจะรู้สิ่งใดก็สอบถามข้าได้ ทุกเรื่องในหมู่บ้านแห่งนี้ข้ารู้หมด" สตรีวัยกลางคนเอ่ยแนะนำตัวอย่างภาคภูมิใจ เมิ่งจิ่วซือทำเพียงส่งยิ้มกลับไปก่อนจะนึกในใจว่า นี่มันสุดยอดมนุษย์ป้าในตำนานนี่นา คนเช่นนี้มีมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลแล้วสินะ
"ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ ไห่หมัวมัวไปนำของขวัญพบหน้าออกมามอบให้ท่านป้าผู้นี้ทีเถิด"
"เจ้าค่ะนายหญิง" กัวอวิ๋นได้ยินหญิงสาวเรียกขานหญิงวัยกลางคนผู้นั้นว่าหมัวมัวที่แท้นางก็คือสาวใช้อาวุโสงั้นหรือ สตรีที่งดงามเช่นนี้ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ดูท่าแล้วฐานะคงจะดีไม่น้อย
ไห่หมัวมัวมอบของขวัญพบหน้าให้กับกัวอวิ๋น เป็นขนมกุ้ยฮวาที่ค่อนข้างประณีตสวยงาม กัวอวิ๋นที่ไม่เคยได้กินของดีเช่นนี้มาก่อนเมื่อได้เห็นก็ตาลุกวาวทันที
"เป็นเพียงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ขอท่านป้าอย่าได้รังเกียจ"
"ฮ่า ๆ จะรังเกียจได้อย่างไร ถ้าหากมีอะไรก็เรียกหาข้าได้เลย บ้านของข้าอยู่ถัดออกไปหลังที่ห้า"
"เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้ามาก"
ลู่ถงเห็นว่าเมิ่งจิ่วซือไม่ต้องการแสดงตัวจึงทำเป็นเงียบ หากแต่เขารู้ดีว่าหน้าที่ของเขาคือต้องดูแลอีกฝ่ายเป็นพิเศษจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
"เมิ่งฮูหยินเป็นญาติห่าง ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น เจ้าเองหากไม่มีธุระก็อย่าได้มารบกวนฮูหยินให้มาก" กัวอวิ๋นที่ได้ยินท่านผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้นก็ตกใจ นางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีตรงหน้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา ที่แท้ก็เป็นญาติของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นนี่เอง ดีละ! เรื่องนี้จะต้องเล่าต่อ...
"ได้ ๆ ข้าย่อมไม่มารบกวนเมิ่งฮูหยินบ่อยนัก" กัวอวิ๋นยิ้มก่อนจะเอ่ยลา นางจะต้องแวะไปอีกหลายที่หากอยู่นานจะมืดค่ำเสียก่อน
"เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน ข้าไปละ" กล่าวจบนางก็รีบหันหลังเดินออกจากเรือนไปทันที
ไห่หมัวมัวที่มองตามสตรีผู้นั้นไปพลางถอนหายใจ โชคดีที่ท่านผู้เฒ่าเอ่ยว่านายหญิงเป็นญาติห่าง ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น มิเช่นนั้นนายหญิงของนางคงจะถูกรบกวนอยู่ตลอดเป็นแน่
"หากไม่มีสิ่งใดแล้วเช่นนั้นข้าน้อยเองก็ต้องขอตัวก่อน"
"ข้าจะไปส่งเจ้าค่ะ"
"นายหญิงเมิ่งอย่าได้มากพิธี ใกล้เพียงเท่านี้เอง"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านผู้เฒ่าอย่าได้เกรงใจ ภายหน้าข้ายังต้องพึ่งพาท่านอีกมาก"
"ดี ดียิ่งนัก" หว่านหว่านเดินออกมาส่งท่านผู้เฒ่าที่หน้าเรือนก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอีกครั้ง
"ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ"
"มิได้ ๆ นายหญิงเองหากมีเรื่องใดที่พอจะให้ข้าน้อยช่วยเหลือก็อย่าได้เกรงใจ ส่งคนไปแจ้งแก่ข้าน้อยได้เลย"
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
คล้อยหลังชายชรา หว่านหว่านก็ยืนอยู่หน้าเรือนครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งมาแอบด้อม ๆ มอง ๆ อยู่เรือนตรงกันข้ามพร้อมกับซุบซิบกันยกใหญ่ โดยมีป้ากัวคนเดิมอยู่ในวงสนทนาและเมื่อหญิงสาวมองไปที่คนกลุ่มนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก็ดูเหมือนพวกนางจะคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ต่างคนต่างพากันแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง
หว่านหว่านทำเพียงยกยิ้มน้อย ๆ แล้วหันหลังกลับเข้าเรือนไป
ต่อมาในช่วงค่ำคุณชายเสิ่นก็ส่งสาวใช้มาให้นางตามที่เคยแจ้งเอาไว้ เป็นสตรีอายุราวสิบสองหนึ่งคนสิบหกหนึ่งคน พวกนางมาพร้อมกับหนังสือขายตัวในใบขายตัวของพวกนางระบุว่าคนทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าไม่มีญาติพี่น้อง พวกนางถูกฝึกมาเป็นอย่างดีรู้ธรรมเนียมของชนชั้นสูง และรู้สิ่งใดที่ควรและไม่ควร ที่สำคัญคือทั้งสองนั้นเป็นวรยุทธ์และมีความรู้เรื่องพิษ
หว่านหว่านเข้าใจในเรื่องดีนี้ ก่อนหน้านี้นางเองก็มีคนของนางก่อนที่พวกนางจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้นางและบุตรสาวหลบหนีมาได้ แม้ว่าสำหรับชนชั้นสูงอื่นแล้วบ่าวรับใช้เป็นเพียงข้าวของที่สามารถทิ้งได้ทุกเมื่อแต่สำหรับเมิ่งจิ่วซือแล้ว บ่าวไพร่และคนของนางทุกคนไม่ต่างจากครอบครัว
หญิงสาวมีความสามารถในการมองคน แน่นอนว่าบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดได้บ้าง แต่จากที่สังเกตแล้วสาวใช้ทั้งสองนับว่าซื่อสัตย์ ทั้งพวกนางยังมีหนังสือขายตัวอยู่ในมือของหว่านหว่านแล้ว เช่นนั้นนางก็จะลองใช้งานดูก็แล้วกัน
"พวกเจ้ามีชื่อว่าอันใดงั้นหรือ"
"พวกบ่าวไม่มีชื่อเจ้าค่ะ รบกวนนายหญิงตั้งชื่อให้บ่าวทั้งสองด้วยเจ้าค่ะ" สาวใช้ที่ดูอายุมากกว่ากล่าวขึ้น
"เช่นนั้นเจ้าชื่อ อาฉือ ส่วนเจ้าก็ อาเป่า ก็แล้วกัน" หว่านหว่านให้คนที่อายุมากกว่าชื่อ อาฉือ ส่วนสาวใช้อายุน้อยชื่ออาเป่า หว่านหว่านจดจำได้ว่าในนิยายนั้นรั่วหวามีสาวใช้ที่ชื่ออาฉือและอาเป่าทั้งคู่ซื่อสัตย์กับเจ้านายเป็นอย่างมาก หญิงสาวส่งอาเป่าที่อายุน้อยไปอยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลหวาหวา ส่วนอาฉือให้คอยเป็นผู้ช่วยของไห่หมัวมัว
เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันก็ถึงเวลาต้องดูแลบุตรสาวต่อแล้ว เรื่องราวในจวนนับว่าเป็นไปด้วยดี ไห่หมัวมัวมีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสองคนทำให้นางมีเวลาดูแลรั่วหวามากขึ้น ส่วนหว่านหว่านยังต้องจัดการเรื่องราวในเรือนอยู่อีกหลังจากที่เมิ่งจิ่วซือตกจากหน้าผานางก็ขาดการติดต่อจากคนของนางและหญิงสาวไม่รู้วิธีการติดต่อคนของร่างเดิมเสียด้วย เช่นนั้นก็คงต้องรอให้พวกเขาหาวิธีตามหานางให้พบเองเท่านั้น
ปัง! เพล้ง!"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย""หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึงเป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่ง
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ"แอ้!""คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอนนางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ""มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออก
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ผ่านเข้าสู่ปลายฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวที่สีเหลืองทองอร่ามถูกเก็บเกี่ยวออกจากต้นเหลือไว้เพียงต้นตออากาศที่เริ่มเย็นเช่นนี้ต้องได้กินหม้อไฟถึงจะดี ว่าแต่วันนี้ลงมือทำหม้อไฟก็ดีไม่น้อย หว่านหว่านเอ่ยเรียกสาวใช้อย่างอาฉือ หากจะทำหม้อไฟก็ควรเข้าเมืองไปเดินหาเลือกซื้อของที่ตลาดเสียหน่อยเมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้วจึงออกเดินทางไปยังตลาดโดยมีอาฉือและองครักษ์จางติดตามไปด้วย หมู่บ้านตระกูลเสิ่นห่างออกไปจากตัวอำเภอราวหนึ่งชั่วยาม ภายในตัวอำเภอไท่อู่มีตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก หญิงสาวใช้เวลาเดินตลาดนานกว่าครึ่งวันเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับข้าวของที่แปลกตา ทั้งยังหาซื้อของฝากไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก มองดูสิ่งใดก็น่าซื้อหาไปหมดภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้จึงได้รู้ว่ารถม้าของนางไม่อาจบรรจุข้าวของได้มากเกินกว่านี้แล้ว"เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะให้บ่าวไปจ้างรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือหันไปมองหน้าสาวใช้ รู้สึกว่าวันนี้อาฉือของนางพูดได้ดียิ่ง"เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการเถิด"หลังจากเอ่ยให้สาวใช้ไปว่าจ้างรถม้าอีกคันมาเพื่อขนข้าวของ ส่วนนางก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะสวมหมวกคลุมหน้าจึงทำให้นางเดิ
เมื่อกลับถึงเรือน นางก็ต้องแปลกใจเมื่อที่เรือนต่างดูวุ่นวายกันไปหมด สีหน้าร้อนรนของสาวใช้อาวุโสทั้งสองทำให้นางต้องเลิกคิ้ว สัญชาตญาณกำลังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้อาวุโสทั้งสอง"คุณหนูน้อยหายไปเจ้าค่ะ บ่าวสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ""หายไป? ตั้งแต่เมื่อใด" หว่านหว่านเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หัวคิ้วของนางขมวดยุ่งเป็นปม"ราว ๆ สักชั่วยามได้แล้วเจ้าค่ะ""หาดีแล้วหรือ? ในตู้ ใต้เตียงเล่า หาแล้วหรือยัง?""ยะ ยังเจ้าค่ะ""เช่นนั้น ก็แยกย้ายกันหาอีกรอบเถิด""เจ้าค่ะ"ทุกคนในเรือนรวมถึงองครักษ์เงาของเมิ่งจิ่วซือถูกสั่งให้ตามหาตู๋กูรั่วหวาจนทั่ว หากแต่ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่เจอเด็กน้อยอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกใจเสีย ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะเป็นเช่นไร หรือว่าจะมีคนจับตัวบุตรสาวของนางไปหากแต่เมื่อสอบถามเหล่าองครักษ์แล้วก็ไม่พบคนแปลกหน้าเข้าออกแต่อย่างใดอาจเพราะเจ้าตัวเปี๊ยกกำลังอยู่ในช่วงเดินเก่งใหม่ ๆ จึงชอบไปแอบซุกตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพราะนึกว่าเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของนางตามหากันอีกครั้งคราวนี้ขยายวงกว้างอ
เช้าวันต่อมาก็เป็นอีกวันที่เจ้าตัวเปี๊ยกเอาแต่เกาะติดนางไม่หยุด ทั้งเล่นทั้งหัวเราะ ทำเอาทั้งเรือนสดใสไปหมดในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังเดินไปมาในห้องเด็กน้อยก็แกล้งวิ่งเข้ามาเกาะขาทั้งสองข้างของนางก่อนจะใช้ก้นเล็กนั่งทับไปที่หลังฝ่าเท้า ยามที่หญิงสาวเดินไปมาร่างเล็กของเจ้าตัวเปี๊ยกก็ถูกลากไปด้วยเกิดเป็นภาพที่ตลกขบขันของเหล่าสาวใช้ เด็กน้อยเองก็รู้สึกสนุกสนานเอาแต่หัวเราะร่าไม่หยุด แม้ว่าน้ำหนักของบุตรสาวจะเริ่มมากขึ้นและค่อนข้างหนักหากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกของเด็กน้อย นางก็อดที่จะทำตามใจบุตรสาวไม่ได้เลย"หวาหวาเจ้าคงเหนื่อยแล้ว หมัวมัวพานางไปอาบน้ำเสียหน่อยเล่นมาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเวลานอนกลางวันเสียที""เจ้าค่ะนายหญิง" สองบ่าวอาวุโสที่ตอนนี้แทบจะยึดเด็กน้อยเอาไว้กับตัวไม่ห่างพาร่างเล็กหายเข้าไปหลังฉากกั้น น้ำอุ่นถูกยกเข้ามาเติมก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นหลังฉากกั้นอีกครั้งในแต่ละครั้งกว่าสองบ่าวจะอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็กินเวลาไปกว่าสองเค่อ เพราะเจ้าเด็กน้อยเอาแต่เล่นสนุกไม่เลิกเสียที เล่นทีก็หัวเราะทีทำเอาสองบ่าวถึงกับยิ้มตามไม่หยุดแต่หากจะขัดใจให้เลิกเล่น อีกฝ่า
ณ จวนผู้ตรวจการ"ได้ความว่าอย่างไรทางหอโอสถตามหาหมอผู้นั้นเจอหรือไม่"หม่าจิ่นสือหันไปสอบถามคนของตน ภรรยาของเขามีแนวโน้มว่าจะตั้งครรภ์เป็นทารกแฝดและที่ยังไม่แน่ชัดกว่านั้นคือไม่แน่ใจว่าเป็นสองหรือสาม ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของนางจะอ่อนล้ามากจากการตั้งครรภ์ในคราวนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นมีบุตรชายผู้หนึ่งอยู่ก่อนแล้วเด็กคนนั้นปีนี้ก็ห้าขวบ การตั้งครรภ์ครั้งที่สองของภรรยาทำให้เขาเป็นกังวลเพราะไม่ว่าหมอคนใดก็กล่าวว่าเด็กในครรภ์นั้นไม่ยอมกลับตัว จะทำให้คลอดยากบางคนถึงกับเสียเลือดมากตายตกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่คลอด ต่อมาได้ยินข่าวลือว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีสตรีที่ตั้งครรภ์ฝาแฝดแล้วเด็กไม่ยอมกลับตัวทั้งยังดูเหมือนว่าจะเสียเลือดมาก หากแต่โชคดีได้หมอเทวดาผู้หนึ่งช่วยเอาไว้จึงทำให้คลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาต้องการตัวหมอผู้นั้นมาเพื่อช่วยทำคลอดให้กับภรรยาของเขาจึงได้พยายามควานหาตัวอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามปกปิดตัวตนของคนผู้นั้นทำให้ตามหาไม่พบสักที"เรียนนายท่าน ทางหอโอสถส่งคนมาแจ้งข่าวว่าตามหาหมอเทวดาผู้นั้นพบแล้วขอรับ""จริงหรือ?""จริงขอรับ? แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด พว
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย