นางกลับเข้าเรือนก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจสตรีผู้นั้นอยู่บ้างหากแต่นางมิชื่นชอบวิธีการของหอโอสถ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดอีกและนางมั่นใจว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องการความช่วยเหลือจากนางจะต้องไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่!"เรียนนายหญิงคุณหนูน้อยตื่นแล้วเจ้าค่ะ จะให้บ่าวพาคุณหนูเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ""ไปพานางเข้ามาเถิด""เจ้าค่ะ"เกาหมัวมัวพาร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับห้องนอนของนาง ภายในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้นั่งดื่มชา เขียนอักษร อ่านหนังสือและพักผ่อนในช่วงกลางวัน แม้ว่าอากาศภายนอกจะร้อนอบอ้าวเพียงใดหากแต่ยามที่นั่งอยู่ในห้องนี้จะรู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก เมิ่งจิ่วซือพึ่งสังเกตเห็นถึงองศาของประตูและหน้าต่างโดยรอบต่างอยู่ในทิศทางลมทั้งสิ้น มิน่าเล่า! จึงได้เย็นสบายยิ่งนักแต่หากอยู่ในฤดูหนาวคงต้องปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด มิเช่นนั้นร่างกายคงจะต้องลมเย็นจนกระทั่งเป็นไข้ได้ง่ายตู๋กูรั่วหวาในตอนนี้ทั้งเดินเก่ง ทั้งพูดเก่ง แต่หญิงสาวสังเกตว่านางจะมีท่าทางสดใสร่าเริงเฉพาะเวลาอยู่กับมารดาหรือหมัวมัวอาวุโสเท่านั้น หากในยามปกติที่เด็กน้อยอยู่คนเ
ณ หมู่บ้านตระกูลเสิ่นชุยซินและสามีมาที่เรือนของเมิ่งจิ่วซือเพื่อกล่าวคำขอบคุณนางอีกครั้ง หลังจากที่ช่วยให้คลอดบุตรฝาแฝดทั้งสองออกมาอย่างปลอดภัย ร่างบางของชุยซินคุกเข่าลงพร้อมกับหมอบคารวะเมิ่งจิ่วซือที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณต่อนางและครอบครัว สองสามีภรรยาต่างซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเหล่าหลิ่วมีอาชีพล่าสัตว์และหาของป่าเลี้ยงชีพ เงินทองที่หาได้ก็ไม่ได้มากมายแต่เพราะความขยันจึงได้เก็บหอมรอมริบเพื่อสู่ขอชุยซินมาเป็นภรรยา เมื่อแต่งงานกันมาได้ห้าปีหญิงสาวก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที ครรภ์นี้เป็นครรภ์แรกทั้งยังเป็นฝาแฝดที่คลอดยาก หากไม่ได้เมิ่งจิ่วซือช่วยเหลือในคืนนั้นภรรยาของเขาคงได้เดินทางไปยังปรโลกแล้ว ยามนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเช่นกัน เขารักภรรยามากนางคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา ชายหนุ่มนั้นไร้บิดามารดา ญาติพี่น้องก็ล้วนรังเกียจที่เขายากจน มีเพียงชุยซินที่มองเห็นความดีของเขาทั้งยังไม่รังเกียจกัน ภรรยาที่แสนดีเพียงนี้ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็คงหาไม่พบอีกแล้ว"ข้าและภรรยาขอขอบคุณเมิ่งฮูหยินอีกครั้ง พระคุณในครั้งนี้หากมีโอกาสข้าและภรรยาย่อมต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอนขอรับ""
ในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พลันสายตาของหญิงสาวก็ไปตกกระทบลงที่ร่างเล็กของบุตรสาวที่แอบมองอยู่ตรงหน้าประตู เด็กน้อยโผล่ศีรษะออกมาแค่ครึ่งเดียวดวงตาเล็กราวกับพยายามที่จะจ้องมองบางสิ่งบางอย่างก่อนที่เมิ่งจิ่วซือจะมองตามสายตาของนางแล้วมาหยุดอยู่ที่ร่างอุ้ยอ้ายของหลิวฮูหยิน"หวาหวา เหตุใดลูกจึงมาอยู่ที่นี่หมัวมัวไปที่ใดแล้ว""ท่านแม่..." เด็กน้อยที่สวมชุดนอนก้าวออกมายืนอยู่หน้าประตู จุกซาลาเปาถูกคลายออกเส้นผมเล็กพลิ้วไหวไปตามแรงลม ก่อนที่จะเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้ามารดา"เด็กดี ไปนอนกลางวันก่อนประเดี๋ยวแม่จะตามเจ้าไป" ตู๋กูรั่วหวายังคงยืนนิ่ง ก่อนจะยกมือเล็กขึ้นจับที่ชายแขนเสื้อของมารดา ดวงตางดงามช้อนมองสีหน้าของมารดาอย่างประหม่า ก่อนจะเอ่ย"ท่านแม่ช่วยท่านน้าผู้นี้เถิดนะเจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจ"เด็กดีนี่คือเรื่องของผู้ใหญ่ แม่จะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง""ท่านแม่... ช่วยทำคลอดให้นางเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร" ประโยคท้ายแม้จะแผ่วเบาหากแต่เมิ่งจิ่วซือที่อยู่ใกล้กับบุตรสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน หญิงสาวถอนหายใจออกมาในเมื่อบุตรสาวเป็นคนขอร้องเช่นนั้นนางก็ควรที่จ
หลิวอี้หนิงถูกจัดให้อยู่เรือนรับรองที่ไม่ไกลจากเรือนหลักของเมิ่งจิ่วซือก่อนที่ทุกอย่างจะถูกเตรียมไว้จนพร้อม ในช่วงเย็นหลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จหญิงสาวก็ตรงไปยังเรือนรับรองก่อนจะพบว่าหลิวอี้หนิงยังไม่นอน"ท่านหมอหญิง" หลิวอี้หนิงพยายามจะลุกขึ้นแต่เมิ่งจิ่วซือเข้าไปพยุงให้นางนั่งลงเสียก่อน"เรียกข้าเมิ่งฮูหยินเถิด""เจ้าค่ะ""ท่านเป็นอย่างไรบ้างรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยถามหญิงสาว"สบายดีเจ้าค่ะ ดีกว่าตอนที่อยู่ที่เรือนของข้าเองเสียด้วยซ้ำ""เอาละ คืนนี้อาจจะต้องให้ท่านลำบากสักหน่อยเพราะข้าคิดจะถอนพิษให้ท่านในคืนนี้เลย สาวใช้ทั้งสองคนของท่านไว้ใจได้หรือไม่" เมิ่งจิ่วซือโน้มตัวเข้าไปใกล้หลิวอี้หนิงก่อนจะเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา"ไว้ใจได้เจ้าค่ะ ผิงหมัวมัวคือแม่นมของข้าส่วนผิงอันเป็นสาวใช้ที่โตมาพร้อมกับข้า ทั้งคู่ไว้ใจได้ เมิ่งฮูหยินมีสิ่งใดก็กล่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ""เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจ ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษ?""ข้าเพียงแค่สงสัยเจ้าค่ะ ร้ายแรงมากหรือไม่""ก็ค่อนข้างจะร้ายแรงอยู่... แต่ข้าช่วยถอนพิษได้เพียงแต่ท่านอาจจะทรมานสักหน่อยเท่านั้น หากว่าทำสำเร็
จางเซียงอวี้เข้ามาขวางหน้าประตูเรือนเอาไว้ไม่ยอมให้พวกเขาผ่านเข้าไปเพื่อแย่งชิงคนออกมา นายหญิงกล่าวว่าให้พวกเขาพักที่นี่พวกเขาย่อมต้องพักที่นี่ผู้ใดจะมาพาคนไปก็ต้องผ่านด่านเขาไปให้ได้เสียก่อนอาเป่าที่เห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งออกจากเรือนรับรองไปยังเรือนหลักซึ่งเป็นที่พักของนายหญิงทันที หากแต่ไปได้ครึ่งทางเมิ่งจิ่วซือที่ได้รับรายงานจากคนของนางก็เดินออกมาพอดี เมื่ออาเป่าพบตัวนายหญิงก็ดีใจเกินจะเอ่ย"นายหญิงเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะคนผู้นั้นจะแย่งชิงคนกลับไปให้ได้เจ้าค่ะ" ร่างบางเร่งสาวเท้าเพื่อมุ่งไปให้ถึงเรือนรับรองให้เร็วที่สุด วันนี้นางพึ่งทำคลอดให้หลิวอี้หนิงกว่าจะแล้วเสร็จก็กินพลังชีวิตของนางไปกว่าครึ่งเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้แล้วยังเกิดเรื่องอีก คนพวกนี้อยู่กันดี ๆ ไม่ได้เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางใจร้ายก็แล้วกันเมื่อร่างบางไปถึงหน้าประตูเรือนรับรองหญิงสาวก็เปล่งน้ำเสียงไม่พอใจออกมาทันที เมื่อพบว่าหม่าจิ่นสือพาคนของเขาพร้อมกับอาวุธครบมือบุกรุกเรือนของนาง"ใครก็พาหลิวฮูหยินและลูกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!"หม่าจิ่นสือที่อารมณ์เปี่ยมด้วยโทสะอยู่ก่อนแล้ว เขาหันมามองเมิ่งจิ่วซือด้วยแววตาอาฆาต หากแต่เป็นกง
ที่ผ่านมาเมิ่งจิ่วซือมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรักษาหลิวอี้หนิง บุตรฝาแฝดคนที่สองที่คาดว่าอาจจะไม่รอดสุดท้ายก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา เด็กน้อยผ่านค่ำคืนอันเลวร้ายมาได้ แน่นอนว่าย่อมมีชีวิตที่ดีต่อจากนี้ ส่วนพิษของหลิวอี้หนิงก็ได้รับการถอนพิษจนกระทั่งดีขึ้นมากหญิงสาวพยายามติดต่อคนที่บ้านเดิมก่อนจะได้รับคำตอบกลับมาเมื่อไม่กี่วัน นางคิดเอาไว้แล้วว่าจะพาลูก ๆ ไปอยู่ที่บ้านเดิมและคงจะหย่าขาดจากหม่าจิ่นสือหลังจากนั้นคนของตระกูลหลิวก็ส่งคนมารับนางที่เจียงหนานก่อนจะออกเดินทางกลับบ้านเดิมที่เมืองหลวง อาการถูกพิษก็หายดีแล้วทั้งเด็กแฝดทั้งสองก็ยังแข็งแรงมากอีกด้วยทางด้านตู๋กูรั่วหวาบุตรสาวคนดีของนาง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเด็กน้อยเอาแต่เกาะติดบิดาไม่เลิก ทำตัวราวกับเป็นลูกลิงที่เอาแต่เกาะติดแม่ลิง ที่เมิ่งจิ่วซือกล่าวเช่นนั้นเพราะว่าเห็นตามนั้นจริง ๆ ในทุก ๆ วันตู๋กูรั่วหวาจะขึ้นขี่คอของบิดาก่อนจะโยกศีรษะไปมาอย่างร่าเริงผู้เป็นบิดาก็ช่างใจดีเหลือเกิน ไม่บ่นหรือว่ากล่าวนางสักคำไม่ว่านางจะชี้ไปทางซ้ายเขาย่อมไปทางซ้าย หากนางชี้ไปทางขวาบิดาเช่นเขาก็ย่อมไปทางขวา แม้ว่าเมิ่งจิ่วซือจะรู้สึกอิจฉานิด ๆ ที่บุต
ตู๋กูรั่วหวานั้นทำตัวติดบิดาจนกระทั่งกลายเป็นเรื่องชินตาของคนในเรือนเสียแล้ว ชายหนุ่มก็เอาแต่เกาะติดบุตรสาวตลอดสองเดือนที่ผ่านมานั้นเขาพักอยู่ที่นี่ กิน นอน ทำงาน ช่วยนางเลี้ยงหวาหวา เมิ่งจิ่วซือเองไม่ได้ต่อต้านหากเขาจะสนิทกับบุตรสาวมากกว่านาง หญิงสาวต้องการให้เส้นทางในนิยายเปลี่ยนแปลงในยามนี้คิดว่าเรื่องบาดหมางใจของสองพ่อลูกคงจะคลี่คลายลงแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่เป่ยติ้งหรงอ๋องจะต้องเดินทางกลับเจียงหนานเพื่อไปสะสางงานที่กองทัพของเขา แต่เด็กน้อยของนางก็เอาแต่งอแงไม่เลิกไม่ยอมปล่อยมือจากบิดาทำเอานางและเขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ก่อนจะตกลงกันว่าให้เขาออกเดินทางในช่วงที่เจ้าเด็กน้อยนอนหลับแทน แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าเด็กตัวเล็กจะนั่งเฝ้ายามบิดาไม่ยอมนอนกลางวัน เมิ่งจิ่วซือเห็นว่าเด็กน้อยเดินไปที่อ่างน้ำก่อนจะเอามือจุ่มน้ำแล้วป้ายที่เปลือกตาทั้งสองข้างเพื่อให้ตนเองไม่ง่วง การกระทำของบุตรสาวทำให้เมิ่งจิ่วซืออดที่จะขบขันไม่ได้จริง ๆ แต่เพราะคิดเพียงว่าเด็กน้อยคงจะติดบิดาเกินไปเท่านั้นเองแต่แล้วในที่สุดความง่วงก็ไม่สามารถมีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ เพราะในตอนกลางวันเด็กน้อยไม่ยอมหลับทำให้ช่วงเวลากล
รถม้าของเมิ่งจิ่วซือเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองเจียงหนาน นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสได้เห็นเมืองเจียงหนานแบบดั้งเดิม นับว่าหาได้ยากนัก ก่อนจะเคลื่อนผ่านใจกลางเมืองไปทางด้านทิศเหนือแล้วหยุดลงบริเวณหน้าจวนแห่งหนึ่ง หญิงสาวเลิกม่านดูก่อนจะพบว่าเหนือประตูจวนเขียนด้วยอักษรสีทองงดงามว่าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋อง ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ขยับตัวลงจากรถม้าโดยมีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนดวงตาของตู๋กูรั่วหวามองที่ประตูจวนด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งแววตาของนางลุ่มลึกอย่างไม่อาจคาดเดา เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าราวกับต้องการเรียกหากำลังใจก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าใสซื่อตามเดิม"ท่านแม่ หวาจะไปหาท่านพ่อ""เด็กดี เดี๋ยวก็ได้เจอท่านพ่อแล้ว"หวั่นอี้ที่ได้รับรายงานว่าพระชายาเดินทางมาถึงแล้วก็รีบออกมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยท่าทางร้อนรนอย่างเก็บไม่อยู่ หญิงสาวที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแปลกประหลาดนักจึงเลิกคิ้ว"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ไม่ต้องมากพิธี อย่างไรก็ต้องรบกวนพวกท่านแล้วข้าเดินทางมาโดยไม่ได้บอกกล่าว ท่านอ๋องจะว่ากล่าวอันใดหรือไม่" หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้สนิทกับสามีถึงขนาดที่จะทำส
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย