ปัง! เพล้ง!
"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต
"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย"
"หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึง
เป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง มันคือฝันร้ายทั้งชีวิตของราชวงศ์ตู๋กูอย่างแท้จริง
ต่อให้ตระกูลเมิ่งจะมีบุญคุณต่อแคว้นแล้วอย่างไร สิ่งที่ไม่สามารถครอบครองได้ย่อมเป็นภัยในภายหน้า
ณ ค่ายพยัคฆ์คำราม
"คารวะท่านอ๋อง คนร้ายปลิดชีพตนเองแล้วขอรับ"
"ช่างเถอะ เปิ่นหวางเองก็พอรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง"
"ท่านอ๋องจะทรงทำเช่นไรต่อไปขอรับ"
"ปกปิดเรื่องที่นางยังไม่ตายเอาไว้ อย่าให้คนของผู้นั้นสืบความได้"
"ข้าน้อยทราบแล้ว"
ในวันที่เมิ่งจิ่วซือถูกลอบสังหารเป็นเขาที่ช้าไปก้าวหนึ่ง และเมื่อไปถึงก็พบว่ามีองครักษ์ของคนผู้นั้นซุ่มอยู่ไม่ไกล จึงทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธที่จะช่วยเหลือนางก่อนจะส่งคนลงไปอีกครั้งในภายหลัง ตู๋กูหรงเซ่อรู้ดีว่าเสด็จย่าของเขาผู้นั้นมักหวาดระแวงเป็นอย่างมากทั้งยังมีความแค้นที่ฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงคิดลงมือกับเมิ่งจิ่วซือในครั้งนี้หรือว่าจะถูกยุยงจากผู้ใดและเสด็จพ่อของเขารับรู้เรื่องนี้หรือไม่? ย่อมเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดที่จะค้นหาคำตอบ ก่อนจะปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเองทั้งสิ้น
หากจะถามหาคนผิดก็ย่อมเป็นเมิ่งจิ่วซือที่ดันเกิดมาเป็นคนตระกูลเมิ่ง ทั้ง ๆ ที่เดิมทีแล้วท่านปู่ของนางและนางเป็นเพียงทายาทสายรองเท่านั้น ผู้ที่ครอบครองของวิเศษเดิมทีก็เป็นท่านปู่ใหญ่ผู้นั้นของนางแต่ผู้ใดใช้ให้ท่านลุงใหญ่ของนางแต่งงานกับเสด็จป้าผู้โง่งมคนนั้นของเขากัน เรื่องมันจึงได้กลายเป็นพังพินาศเช่นนี้
คนในตระกูลเมิ่งทั้งหมดในจวนล้วนแล้วแต่ตายตกเพราะโรคระบาดในสามวัน รวมถึงเสด็จปู่ของเขาที่หมอหลวงแจ้งว่าติดเชื้อโรคระบาดจากพระธิดา แต่คนในราชวงศ์เช่นพวกเขาย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่แต่เพราะถูกคำสาปของตระกูลเมิ่งต่างหากคนภายนอกที่ไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงหากเปิดเผยเรื่องราวความลับนี้ย่อมต้องมีอันเป็นไปด้วยสัญญาเลือด นับแต่นั้นมาราชวงศ์ตู๋กูก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวตระกูลเมิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ณ หมู่บ้านตระกูลเสิ่น
รถม้าคันหนึ่งพาร่างของหญิงชราท่าทางทรุดโทรมผู้หนึ่งมาทิ้งเอาไว้หน้าจวน ก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือจากไห่หมัวมัว อาฉือรีบเข้าไปรายงานนายหญิงในเรื่องนี้ทันที และเมื่อเมิ่งจิ่วซือมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องรับรองก็พบกับคนที่คุ้นเคยที่นางคิดว่าได้ตายไปแล้ว ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับคนตรงหน้าหลั่งไหลผ่านความทรงจำของนางมาเรื่อย ๆ จนรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้านั้นคือผู้ใด
"เกาหมัวมัว!" เกาเจิ้งที่ได้ยินเสียงคุ้นหูพยายามเงยหน้าขึ้นมองดูก่อนจะพบใบหน้างดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองของเมิ่งจิ่วซือ หญิงชราก็ร่ำไห้ออกมาพร้อมกับคลานเข่าเข้ามากอดขาของหญิงสาว
"ฮือ ๆ นายหญิง นายหญิงของบ่าว ท่านยังไม่ตาย ท่านยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย ฮือ ๆ"
"เกิดอันใดขึ้น! เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?"
"เป็นท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องให้คนของเขาส่งบ่าวมาที่นี่" เกาเจิ้งที่มัวแต่ยินดีเผลอหลุดปากพูดออกมา หากแต่จะปิดบังก็ไม่ทันเสียแล้ว ในตอนที่ทั้งเมืองหลวงต่างมีข่าวลือว่าพระชายาเป่ยติ้งหรงอ๋องสิ้นพระชนม์เพราะโจรป่า นางเองก็ถูกเฉดหัวออกจากจวนอ๋อง ก่อนจะเร่ร่อนอยู่นานนับเดือนแล้วพบกับองครักษ์ของเป่ยติ้งหรงอ๋องพาขึ้นรถม้ามาแล้วนำนางมาทิ้งไว้ยังหน้าเรือนแห่งนี้และเมื่อได้พบหน้านายหญิงนางก็เข้าใจในทันที
หว่านหว่านได้ยินที่เกาหมัวมัวกล่าวหญิงสาวก็ขมวดคิ้วทันที เหตุใดเขาจึงรู้ว่านางอยู่ที่นี่! หญิงสาวเกิดความหวาดระแวงหากแต่ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ในเมื่อเขารู้ว่านางอยู่ที่นี่หากแต่ไม่คิดทำอันใดหรือว่าคนที่สั่งการให้สังหารนางจะไม่ใช่เขา
"ช่างเถอะ ต่อไปท่านไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก รบกวนไห่หมัวมัวช่วยดูแลแม่นมของข้าด้วย นางแก่แล้วอาจจะพูดจาเลอะเลือนไปบ้าง"
"เจ้าค่ะ"
"เชิญแม่นมเกาทางด้านนี้เจ้าค่ะ" เกาเจิ้งมองดูนายหญิงที่เปลี่ยนไปไม่น้อยของนาง หญิงชรารับรู้ได้ทันทีจากสายตาของนาง หากแต่นางไม่รู้ว่านายหญิงของตนนั้นเปลี่ยนไปเช่นไรหรืออาจจะเพราะพึ่งผ่านความเป็นความตายมาได้ จึงทำให้เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้
หว่านหว่านมาอยู่ในร่างของเมิ่งจิ่วซือผู้นี้หากนับเวลาก็เกือบสามเดือนแล้ว หญิงสาวไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกมากนักเป็นเพราะยังหวาดระแวงอยู่มาก หากแต่เมื่อได้ลองศึกษาแผนที่และประวัติของแคว้นจนแน่ชัดจึงได้เริ่มเข้าใจว่าที่นี่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นต้าซ่งนับพันลี้ เจียงหนานแห่งนี้นับว่าเป็นพื้นที่ปิดมีอ๋องผู้ครองเมืองผู้หนึ่ง มีกองทัพของตนเองและไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับราชวงศ์และหมู่บ้านแห่งนี้ก็นับว่าเงียบสงบอยู่มาก หากจะกล่าวไปแล้วหากตู๋กูหรงเซ่อต้องการสังหารนางจริง ๆ ก็คงจะลงมือไปนานแล้วในเมื่อเขารู้แล้วว่านางอยู่ที่นี่หากแต่ก็ไม่มาวุ่นวายเช่นนั้นก็นับว่าเป็นการดี นางและเขาไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก
"อ๊ะ คุณหนูของบ่าว เริ่มเดินเก่งแล้วเจ้าค่ะ เก่งที่สุดเจ้าค่ะ" เสียงของอาเป่าที่วัน ๆ เอาแต่ชื่นชมคุณหนูน้อยเพิ่มมากขึ้น หวาหวาเองก็เดินเก่งขึ้นทุกวัน ทั้งยังเริ่มหัดพูดได้อีกหลายคำแล้ว ในเมื่อนางเริ่มโตก็ควรจะมีของเล่นที่เสริมพัฒนาการให้กับนางอยู่บ้าง หญิงสาวคิดวางแผนทำเครื่องเล่นให้กับบุตรสาวในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าที่เรือนของนางจะมีคนมาเยี่ยมเยือนอีกแล้ว
เสียงวุ่นวายทำให้อาฉือต้องรีบเดินออกไปดูก่อนจะพบกับบรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านที่เหมือนรวมตัวกันมาที่นี่โดยเฉพาะ
"พวกท่านมีสิ่งใดหรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะมองประเมินหญิงสาวเหล่านั้น ดูเหมือนว่าพวกนางจะผลักให้กัวอวิ๋นเป็นผู้นำในเรื่องวันนี้
"เอ่อ! แม่นางอาฉือไม่ทราบว่าเมิ่งฮูหยินอยู่ที่เรือนหรือไม่"
"พวกท่านมีธุระอันใดกับนายหญิงงั้นหรือ" อาฉือคือสาวใช้ขั้นหนึ่งที่ถูกฝึกมาให้ดูแลเมิ่งจิ่วซือโดยเฉพาะ นางไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใดหรือกระทั่งไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมต่อเหล่าสตรีตรงหน้า
"เกิดอันใดขึ้นหรือ?" เมิ่งจิ่วซือที่มองดูเหตุการณ์วุ่นวายอยู่นานจึงได้ก้าวออกมา ความงดงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของหญิงสาวทำเอาสตรีที่รวมตัวกันอยู่บริเวณด้านหน้าเรือนถึงกับหายใจสะดุด ใบหน้าเรียวเล็ก มือเรียวและผิวขาวราวหิมะ ความงามเช่นนี้สามารถสังหารผู้คนให้ตายตกได้เพียงเพราะเฝ้ามองนางได้จริง ๆ เดิมทีพวกนางต้องการมาเชิญหญิงสาวให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของหมู่บ้านเท่านั้น แต่ที่แห่แหนกันมาเยอะแยะก็เพียงแค่ต้องการเห็นใบหน้าของหญิงงาม
"เรียนนายหญิง ท่านป้ากัวกล่าวว่าจะขอพบท่านเจ้าค่ะ"
"พวกท่านมีธุระอันใดกับข้างั้นหรือ" เหล่าสตรีทั้งหลายต่างพากันมองหน้ากันไปมาไม่กล้าเอ่ย อาจเพราะรู้สึกเกรงใจหรือว่าเกรงกลัวก็มิรู้ได้
"เมิ่งฮูหยิน พรุ่งนี้ที่หมู่บ้านของเราจะมีงานเลี้ยง ท่านสนใจอยากเข้าร่วมหรือไม่?"
"ได้ ข้าจะไป ขอบคุณพวกท่านมากที่นึกถึงข้า"
"มิได้ ๆ เห็นท่านอยู่แต่ในเรือน พวกข้าก็กลัวว่าท่านจะเหงา อย่างไรพรุ่งนี้ก็ไปร่วมสนุกด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ" สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง
"ข้าจะไปอย่างแน่นอน" หญิงสาวรับปากอีกครั้ง
"ดียิ่ง ๆ เช่นนั้นพวกข้าขอลากลับก่อน" กัวอวิ๋นผู้นำเหล่าสตรีส่งยิ้มกลับมาให้เมิ่งจิ่วซือก่อนจะดันหลังสตรีเหล่านั้นให้กลับไปพร้อม ๆ กันอย่าได้อยู่รบกวนเมิ่งจิ่วซืออีก
หลังจากอาฉือปิดประตูหน้าเรือนแล้วก็หันมาเอ่ยกับนายหญิงของตน
"นายหญิงจะไปร่วมงานจริง ๆ หรือเจ้าคะ"
"ใช่ พวกเจ้าก็ไปเสียด้วยกัน อย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพักใหญ่ หากว่าปลอดภัยก็อาจจะอยู่นานหน่อย ไม่ต้องระวังตัวมากเพียงนั้น ควรใช้ชีวิตให้มีความสุขเสียบ้าง"
"เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว"
หลังจากที่สตรีเหล่านั้นเดินจากมาไม่ไกลใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
"จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่นางจะทำตัวสูงส่งเกินไปหรือไม่เหตุใดต้องให้พวกเรามาเชิญนางถึงเรือนเช่นนี้ด้วย" นางคือชุยฟางเป็นหลานสาวของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน มารดาของนางคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของลู่ถง ที่ติดตามสตรีเหล่านี้มาเรือนสกุลเมิ่งก็เพื่อต้องการอยากจะเห็นใบหน้าที่ผู้คนร่ำลือหนักหนาว่างดงามล่มเมืองของเมิ่งจิ่วซือ แต่งดงามแล้วอย่างไรมิใช่ว่านางแต่งงานมีบุตรแล้วหรอกหรือ หาได้เป็นบุปผาเยาว์วัยเช่นนางไม่หากจะกล่าวชุยฟางนับได้ว่าเป็นหญิงงามแห่งหมู่บ้านตระกูลเสิ่น นางมักมั่นใจในความงามของตนเองเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเมิ่งจิ่วซือได้ปรากฏตัวขึ้นความงามของนางก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงบุปผาริมทางเท่านั้น
"แต่เมิ่งฮูหยินก็งดงามมากจริง ๆ แม้ว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ในวันนี้จะดูเรียบง่ายแต่ก็ยังมิอาจบดบังความงามที่เป็นเลิศนี้ได้แม้แต่น้อย"
"ใช่ ๆ ทั้งยังใจดี มักจะส่งขนมมาฝากให้บุตรสาวของข้าบ่อย ๆ" สตรีผู้หนึ่งที่เรือนของนางอยู่ไม่ไกลจากเรือนของเมิ่งจิ่วซือเอ่ยขึ้น นางมีบุตรสาวที่ยังเล็กอายุไล่เลี่ยกับบุตรสาวของเมิ่งจิ่วซือ
"หึ! ก็แค่ธรรมดา ๆ ดาษดื่นพวกเจ้าอดอยากมาจากที่ใดกันไม่เคยกินของดี ๆ กันงั้นหรือจึงได้ตื่นเต้นดีใจถึงเพียงนั้น!" กล่าวจบชุยฟางก็สะบัดตัวจากไปด้วยความริษยา
"นางเป็นอันใดของนางกัน?" สตรีผู้หนึ่งกล่าว
"เป็นโรคริษยาน่ะสิ! จะอะไรเสียอีก" กัวอวิ๋นที่มักได้รับขนมจากเมิ่งจิ่วซือเอ่ยขึ้นอย่างหมั่นไส้ เดิมทีชุยฟางมักจะคิดว่าตนสูงส่งมาตลอดจึงไม่เคยเห็นหัวผู้ใด มาวันนี้พบสตรีที่สูงส่งกว่านางทุกด้านต้องรู้สึกหงุดหงิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หึ สมน้ำหน้านางนัก
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ"แอ้!""คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอนนางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ""มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออก
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ผ่านเข้าสู่ปลายฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวที่สีเหลืองทองอร่ามถูกเก็บเกี่ยวออกจากต้นเหลือไว้เพียงต้นตออากาศที่เริ่มเย็นเช่นนี้ต้องได้กินหม้อไฟถึงจะดี ว่าแต่วันนี้ลงมือทำหม้อไฟก็ดีไม่น้อย หว่านหว่านเอ่ยเรียกสาวใช้อย่างอาฉือ หากจะทำหม้อไฟก็ควรเข้าเมืองไปเดินหาเลือกซื้อของที่ตลาดเสียหน่อยเมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้วจึงออกเดินทางไปยังตลาดโดยมีอาฉือและองครักษ์จางติดตามไปด้วย หมู่บ้านตระกูลเสิ่นห่างออกไปจากตัวอำเภอราวหนึ่งชั่วยาม ภายในตัวอำเภอไท่อู่มีตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก หญิงสาวใช้เวลาเดินตลาดนานกว่าครึ่งวันเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับข้าวของที่แปลกตา ทั้งยังหาซื้อของฝากไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก มองดูสิ่งใดก็น่าซื้อหาไปหมดภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้จึงได้รู้ว่ารถม้าของนางไม่อาจบรรจุข้าวของได้มากเกินกว่านี้แล้ว"เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะให้บ่าวไปจ้างรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือหันไปมองหน้าสาวใช้ รู้สึกว่าวันนี้อาฉือของนางพูดได้ดียิ่ง"เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการเถิด"หลังจากเอ่ยให้สาวใช้ไปว่าจ้างรถม้าอีกคันมาเพื่อขนข้าวของ ส่วนนางก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะสวมหมวกคลุมหน้าจึงทำให้นางเดิ
เมื่อกลับถึงเรือน นางก็ต้องแปลกใจเมื่อที่เรือนต่างดูวุ่นวายกันไปหมด สีหน้าร้อนรนของสาวใช้อาวุโสทั้งสองทำให้นางต้องเลิกคิ้ว สัญชาตญาณกำลังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้อาวุโสทั้งสอง"คุณหนูน้อยหายไปเจ้าค่ะ บ่าวสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ""หายไป? ตั้งแต่เมื่อใด" หว่านหว่านเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หัวคิ้วของนางขมวดยุ่งเป็นปม"ราว ๆ สักชั่วยามได้แล้วเจ้าค่ะ""หาดีแล้วหรือ? ในตู้ ใต้เตียงเล่า หาแล้วหรือยัง?""ยะ ยังเจ้าค่ะ""เช่นนั้น ก็แยกย้ายกันหาอีกรอบเถิด""เจ้าค่ะ"ทุกคนในเรือนรวมถึงองครักษ์เงาของเมิ่งจิ่วซือถูกสั่งให้ตามหาตู๋กูรั่วหวาจนทั่ว หากแต่ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่เจอเด็กน้อยอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกใจเสีย ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะเป็นเช่นไร หรือว่าจะมีคนจับตัวบุตรสาวของนางไปหากแต่เมื่อสอบถามเหล่าองครักษ์แล้วก็ไม่พบคนแปลกหน้าเข้าออกแต่อย่างใดอาจเพราะเจ้าตัวเปี๊ยกกำลังอยู่ในช่วงเดินเก่งใหม่ ๆ จึงชอบไปแอบซุกตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพราะนึกว่าเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของนางตามหากันอีกครั้งคราวนี้ขยายวงกว้างอ
เช้าวันต่อมาก็เป็นอีกวันที่เจ้าตัวเปี๊ยกเอาแต่เกาะติดนางไม่หยุด ทั้งเล่นทั้งหัวเราะ ทำเอาทั้งเรือนสดใสไปหมดในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังเดินไปมาในห้องเด็กน้อยก็แกล้งวิ่งเข้ามาเกาะขาทั้งสองข้างของนางก่อนจะใช้ก้นเล็กนั่งทับไปที่หลังฝ่าเท้า ยามที่หญิงสาวเดินไปมาร่างเล็กของเจ้าตัวเปี๊ยกก็ถูกลากไปด้วยเกิดเป็นภาพที่ตลกขบขันของเหล่าสาวใช้ เด็กน้อยเองก็รู้สึกสนุกสนานเอาแต่หัวเราะร่าไม่หยุด แม้ว่าน้ำหนักของบุตรสาวจะเริ่มมากขึ้นและค่อนข้างหนักหากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกของเด็กน้อย นางก็อดที่จะทำตามใจบุตรสาวไม่ได้เลย"หวาหวาเจ้าคงเหนื่อยแล้ว หมัวมัวพานางไปอาบน้ำเสียหน่อยเล่นมาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเวลานอนกลางวันเสียที""เจ้าค่ะนายหญิง" สองบ่าวอาวุโสที่ตอนนี้แทบจะยึดเด็กน้อยเอาไว้กับตัวไม่ห่างพาร่างเล็กหายเข้าไปหลังฉากกั้น น้ำอุ่นถูกยกเข้ามาเติมก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นหลังฉากกั้นอีกครั้งในแต่ละครั้งกว่าสองบ่าวจะอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็กินเวลาไปกว่าสองเค่อ เพราะเจ้าเด็กน้อยเอาแต่เล่นสนุกไม่เลิกเสียที เล่นทีก็หัวเราะทีทำเอาสองบ่าวถึงกับยิ้มตามไม่หยุดแต่หากจะขัดใจให้เลิกเล่น อีกฝ่า
ณ จวนผู้ตรวจการ"ได้ความว่าอย่างไรทางหอโอสถตามหาหมอผู้นั้นเจอหรือไม่"หม่าจิ่นสือหันไปสอบถามคนของตน ภรรยาของเขามีแนวโน้มว่าจะตั้งครรภ์เป็นทารกแฝดและที่ยังไม่แน่ชัดกว่านั้นคือไม่แน่ใจว่าเป็นสองหรือสาม ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของนางจะอ่อนล้ามากจากการตั้งครรภ์ในคราวนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นมีบุตรชายผู้หนึ่งอยู่ก่อนแล้วเด็กคนนั้นปีนี้ก็ห้าขวบ การตั้งครรภ์ครั้งที่สองของภรรยาทำให้เขาเป็นกังวลเพราะไม่ว่าหมอคนใดก็กล่าวว่าเด็กในครรภ์นั้นไม่ยอมกลับตัว จะทำให้คลอดยากบางคนถึงกับเสียเลือดมากตายตกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่คลอด ต่อมาได้ยินข่าวลือว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีสตรีที่ตั้งครรภ์ฝาแฝดแล้วเด็กไม่ยอมกลับตัวทั้งยังดูเหมือนว่าจะเสียเลือดมาก หากแต่โชคดีได้หมอเทวดาผู้หนึ่งช่วยเอาไว้จึงทำให้คลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาต้องการตัวหมอผู้นั้นมาเพื่อช่วยทำคลอดให้กับภรรยาของเขาจึงได้พยายามควานหาตัวอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามปกปิดตัวตนของคนผู้นั้นทำให้ตามหาไม่พบสักที"เรียนนายท่าน ทางหอโอสถส่งคนมาแจ้งข่าวว่าตามหาหมอเทวดาผู้นั้นพบแล้วขอรับ""จริงหรือ?""จริงขอรับ? แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด พว
นางกลับเข้าเรือนก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจสตรีผู้นั้นอยู่บ้างหากแต่นางมิชื่นชอบวิธีการของหอโอสถ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดอีกและนางมั่นใจว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องการความช่วยเหลือจากนางจะต้องไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่!"เรียนนายหญิงคุณหนูน้อยตื่นแล้วเจ้าค่ะ จะให้บ่าวพาคุณหนูเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ""ไปพานางเข้ามาเถิด""เจ้าค่ะ"เกาหมัวมัวพาร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับห้องนอนของนาง ภายในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้นั่งดื่มชา เขียนอักษร อ่านหนังสือและพักผ่อนในช่วงกลางวัน แม้ว่าอากาศภายนอกจะร้อนอบอ้าวเพียงใดหากแต่ยามที่นั่งอยู่ในห้องนี้จะรู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก เมิ่งจิ่วซือพึ่งสังเกตเห็นถึงองศาของประตูและหน้าต่างโดยรอบต่างอยู่ในทิศทางลมทั้งสิ้น มิน่าเล่า! จึงได้เย็นสบายยิ่งนักแต่หากอยู่ในฤดูหนาวคงต้องปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด มิเช่นนั้นร่างกายคงจะต้องลมเย็นจนกระทั่งเป็นไข้ได้ง่ายตู๋กูรั่วหวาในตอนนี้ทั้งเดินเก่ง ทั้งพูดเก่ง แต่หญิงสาวสังเกตว่านางจะมีท่าทางสดใสร่าเริงเฉพาะเวลาอยู่กับมารดาหรือหมัวมัวอาวุโสเท่านั้น หากในยามปกติที่เด็กน้อยอยู่คนเ
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย