"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา
"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ
"แอ้!"
"คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอน
นางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย
"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ"
"มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออกตัวมาแล้วสินะ แต่เดิมข้าวของรวมถึงบ้านหลังนี้นางก็คิดว่าคงจะเป็นเขาผู้นี้เสียมากกว่าหากแต่ทุกครั้งคนของเขาก็มักจะเรียกขานว่านายท่าน ทำให้คิดไปได้ว่าอาจจะเป็นนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นแทนที่จะเป็นคุณชายใหญ่ผู้เป็นหลาน
"เอ่อ! ขอรับ"
"ท่านพ่อบ้านนำของเหล่านี้กลับไปเถิด ข้ารับน้ำใจจากคุณชายของพวกเจ้าไม่ไหว เพียงเท่านี้ก็นับว่ามากแล้ว อีกอย่างข้านับว่าไม่ได้ขาดสิ่งใดไม่จำเป็นต้องลำบากคุณชายใหญ่ให้ช่วยจัดหามาให้ แม้ว่าเราทั้งสองจะนับว่าเคยมีบุญคุณต่อกันหากแต่พวกท่านก็ได้ช่วยชีวิตเราสองแม่ลูกไว้แล้ว บุญคุณครั้งนี้ย่อมถือว่าลบล้างไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือดูแลสิ่งใดอีก"
"แต่ว่า..." ไห่ลู่เอ่ยสิ่งใดไม่ออก ตลอดหลายเดือนมานี้คุณชายของเขาให้บ่าวเช่นเขานำข้าวของมามอบให้แก่นายหญิงเมิ่งไม่เคยขาด แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นของเล่นเด็กทำให้เมิ่งจิ่วซือไม่ได้ปฏิเสธ ก่อนจะรับไปอย่างไม่คิดมาก แต่หากข้าวของสิ่งใดที่คล้ายจะมอบให้นางด้วยหญิงสาวก็มักจะปฏิเสธและให้นำกลับไป ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
"กล่าวตามตรง เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางเช่นคุณชายใหญ่ความหวังดีเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ไหวจริง ๆ หากท่านพ่อบ้านไม่มีสิ่งใดแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนเพราะต้องดูแลบุตรสาวที่ยังเล็ก"
ไห่ลู่รู้สึกหน้าชาแทนคุณชายของเขาที่ถูกหญิงสาวก่นด่าว่าทำตัวลึกลับแอบแฝงผลประโยชน์เช่นนี้ หากแต่ก็พอเข้าใจได้ นางตัวคนเดียวทั้งยังมีบุตรที่ยังเล็ก สามีหรือก็ยังไม่ได้หย่าขาดแม้จะมาอยู่ที่นี่หากแต่ก็เป็นสตรีมีครอบครัวแล้ว หญิงสาวที่ดีย่อมไม่ทอดสะพานให้ชายอื่น
ชายชราได้แต่ถอนหายใจ เขาเองก็ลำบากใจทุกครั้งที่ต้องนำข้าวของมาส่งมอบให้เมิ่งจิ่วซือบ่อย ๆ ทำเช่นนี้จะไม่ทำให้หญิงสาวเข้าใจผิดได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดเลยว่าคุณชายใหญ่ของตนนั้นแอบคิดสิ่งใดกับอีกฝ่ายเป็นแน่
เฮ้อ! สวรรค์หนอสวรรค์ คุณชายที่ไม่มีวี่แววว่าจะสนใจสตรีใดทั้งยังไม่คิดถูกอกถูกใจสตรีใดสักคน บทจะต้องตาต้องใจกลับเป็นสตรีต้องห้ามเสียอย่างนั้น
หว่านหว่านที่เห็นสีหน้าลำบากใจของชายชราก็พอเข้าใจได้ คุณชายใหญ่นี่ก็อย่างไรกัน หน้าตาเป็นเช่นไรก็ไม่เคยเห็น นิสัยใจคออย่างไรก็ไม่เคยรู้ ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่
"ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาอีกแล้วหรือเจ้าคะ" เกาเจิ้งเอ่ยกับนายหญิงของตน หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อเป็นเกาหมัวมัวที่มีสีหน้าไม่ดีนัก
"เหตุใดคุณชายเสิ่นจึงไม่รู้ความเช่นนี้นะ อย่างไรนายหญิงก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเป่ยติ้งหรงอ๋อง จะแกล้งทำเป็นเกี้ยวไปเกี้ยวมาราวกับสตรีในห้องหอเช่นนี้ได้อย่างไรกัน"
"ใจคนยากแท้หยั่งถึง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีจุดประสงค์ใดกันแน่หรืออาจจะหวังได้ครอบครองของวิเศษตระกูลเมิ่งอีกคนงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ บางครั้งนางก็อยากจะมีสหายอยู่บ้าง หากอีกฝ่ายจริงใจมากกว่านี้นางก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง เพียงแต่ในเมื่ออีกฝ่ายแกล้งทำเป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง เช่นนั้นนางก็คงจะต้องวางเขาเอาไว้ในจุดที่ต้องระวังภัยแล้ว คงจะคบหากันไม่ได้ง่าย ๆ อีก
"นายหญิงเจ้าคะ"
"ว่าอย่างไร?"
"ท่านคิดจะกลับไปหรือไม่?" เกาหมัวมัวอยากจะเอ่ยถามหญิงสาวหลายครั้งเพียงแต่ไม่มีโอกาส
"กลับไปที่ใดงั้นหรือ? จวนเป่ยติ้งหรงอ๋องน่ะหรือ? แล้วท่านคิดเห็นเช่นไรเล่า"
"บ่าวมิกล้าออกความเห็นเจ้าค่ะ" เกาเจิ้งแม้จะเป็นแม่นมของเมิ่งจิ่วซือมาตั้งแต่หญิงสาวยังแบเบาะหากแต่นางนั้นรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรย่อมไม่เคยก้าวก่ายการตัดสินใจของเจ้านาย เพียงแต่ครั้งนี้หญิงชราอยากรู้มากจริง ๆ ว่านายหญิงจะตัดสินใจเช่นไร
"ข้าเองก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อไป แต่เดิมที่นั่นก็เป็นดงเสือดงจระเข้ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงดูเด็กเล็ก ๆ ทั้งยังไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตในบั้นปลาย ในส่วนของเรื่องสามีภรรยาข้ากับท่านอ๋องก็หาได้มีจิตใจเดียวกันเสียเมื่อไหร่ ที่นั่นไม่มีสิ่งใดให้อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย แล้วเช่นนี้ข้าจะต้องกลับไปเพื่อสิ่งใดกันมิสู้เลี้ยงดูหวาหวาของข้าให้เติบใหญ่ไปเช่นนี้มิดีกว่าหรือ?"
"แต่ว่า..." หญิงสาวเห็นว่าอีกฝ่ายมีถ้อยคำจะเอ่ยแต่ติดตรงที่หญิงชราเดิมทีไม่กล้าก้าวก่าย จึงได้เอ่ยอนุญาต
"ท่านกล่าวมาเถิด"
"แต่ฐานะของท่านหญิงน้อย ภายหน้าหากท่านอ๋องได้ครองราชย์ท่านหญิงน้อยย่อมมีศักดิ์ฐานะเป็นองค์หญิงใหญ่ทำเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ?" หญิงสาวเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยตอบ
"เกาหมัวมัว ทุกอย่างมันจะถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ต่อเมื่อข้าและหวาหวาเป็นที่ยอมรับของสามีและในฐานะบิดา แต่ความจริงก็คือสิ่งที่เจ้าได้เห็นมาโดยตลอดมิใช่หรือ คนที่ไม่มีหัวใจดวงเดียวกันจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ข้าไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบุรุษไร้หัวใจผู้นั้นหากว่าเจ้ากลัวเช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ให้คนส่งหนังสือหย่าของข้าไปมอบให้แก่เขาเสียก็สิ้นเรื่อง ข้าเองก็จะได้เป็นอิสระ เขาเองก็จะได้ไม่ต้องส่งคนมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้อีก!" หว่านหว่านเริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นหมดความอดทน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางพยายามเรียนรู้ทุกอย่างของตระกูลเมิ่ง โชคดีนักที่ความสามารถของร่างเดิมยังใช้งานได้เป็นอย่างดี
ในส่วนคนของนางนั้นหญิงสาวได้รับการติดต่อตั้งแต่เดือนก่อน นางสั่งให้คนของนางรวบรวมกองกำลังเพิ่มเติมหาพื้นที่ว่างขนาดใหญ่เพื่อฝึกฝน โดยไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น มีเงินทองที่ใช้สอยได้อย่างไม่มีวันหมดจะต้องหวาดกลัวสิ่งใด เดิมทีเพียงแค่รายได้จากการค้าของตระกูลเมิ่งก็นับว่าใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดแล้ว
ในกาลก่อนเมิ่งจิ่วซือคนเดิมไม่ต้องการเป็นที่จับตามองจึงไม่เคยได้หยิบเอาเงินทองของวิเศษออกมาใช้ เพียงเพราะเงินทองจากการค้าก็มากมายอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้นางต้องการเพิ่มจำนวนคนของนางให้มากขึ้นเพื่อเป็นกองกำลังให้กับบุตรสาวในภายหน้า ส่วนคนที่สั่งการให้สังหารนางและบุตรสาวอย่างไรก็ต้องให้คนของนางสืบไปถึงต้นตอให้ได้ ตราบใดที่นางยังอยู่และคนผู้นั้นยังอยู่เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง
"ท่านจะส่งมอบหนังสือหย่าร้างให้ท่านอ๋องหรือเจ้าคะ?" หญิงชราที่ได้รู้ถึงความคิดของเมิ่งจิ่วซือก็ถึงกับเอามือทาบอกด้วยความตกใจ
"ทำไมหรือ? ไม่ได้หรือ?" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าใสซื่อ ก็ไม่รักกันหย่ากันไปก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ? เส้นทางต่อจากนี้ก็นับว่าแยกจากกันแล้วมีเหตุผลใดที่จะต้องกอดหนังสือสมรสไว้กับตัวเองด้วยเล่า
"โธ่! ทูนหัวของบ่าว จะได้อย่างไรเจ้าคะ จะได้อย่างไร มีสตรีที่ใดบ้างส่งมอบหนังสือหย่าให้กับสามีกัน"
"ก็ข้าอย่างไรเล่า! หมัวมัวท่านจะตกใจไปไย สามีที่ไม่ใช่สามี ภรรยาที่ไม่ใช่ภรรยา หย่าร้างกันไปต่างฝ่ายต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่นับว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า ท่านไม่เห็นด้วยหรอกหรือ"
คำกล่าวนี้หญิงสาวหวังให้คนของเขาเอาไปบอกกล่าวกับเขาเพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องส่งมอบหนังสือหย่าแต่อาจจะเป็นเขาที่จะรีบส่งหนังสือหย่าร้างมาให้นางอย่างรวดเร็ว สามีที่ไม่นับว่าเป็นสามีเช่นเขามีก็เหมือนไม่มีเช่นนั้นก็ไม่ต้องมี ส่วนภรรยาที่ไม่ใช่ภรรยาเช่นนางย่อมต้องแต่งงานใหม่กับคนที่นางถูกใจ มีสามีแต่ไม่เคยได้ใช้งานแล้วจะให้นางไปซื้อตัวชายงามมาไว้ที่เรือนหรืออย่างไร แปลกคน ทำไมนางจะต้องทนครองตัวให้บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเล่า
"โธ่ คุณหนูกล่าวเช่นนี้ไม่น่าฟังเลยนะเจ้าคะ" ในยามที่ตกใจหญิงชรามักจะกลับมาเรียกขานเมิ่งจิ่วซือว่าคุณหนูเสมอ ทำเอาหญิงสาวถึงกับกลั้นขำเมื่อมองเห็นสีหน้าซีดเผือดของหญิงชรา ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วกล่าววาจาหน้าตายที่ทำเอาเกาหมัวมัวได้ยินแล้วถึงกับลมจับ
"มีสามีที่ไม่เคยได้ใช้งาน ย่อมต้องหย่าเสียให้เข็ด! หมัวมัวอย่าได้กังวล สามีใหม่ของข้าย่อมต้องเลือกสรรที่ดีที่สุด หล่อเหลาที่สุด และดีกับข้าและรั่วหวามากที่สุด หากว่าหาไม่ได้ชายงามบนแผ่นดินนี้ย่อมมีไม่น้อยนะเจ้าคะ ฮิฮิ"
"ทะ ท่าน คุณหนูท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ เฮ้อ! บ่าวจะเป็นลม"
"อาฉือ! เจ้ารีบเข้ามาดูเกาหมัวมัวเร็วเข้า นางไม่ค่อยสบายรีบพานางไปพักผ่อนเสีย"
"เจ้าค่ะนายหญิง" อาฉือพาหญิงชราออกไปแล้ว หว่านหว่านก็อดขบขันไม่ได้ เกิดใหม่ทั้งทีย่อมต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมไม่ใช่หรือ มิใช่ว่าเพราะชีวิตก่อนนางมัวแต่จมอยู่กับงานไม่สนใจตนเองหรอกหรือชีวิตจึงได้มีแต่ความแห้งเหี่ยว ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสนิท ไม่มีแม้กระทั่งคนรัก ชีวิตนี้นอกจากดูแลบุตรสาวให้เติบโตมาอย่างดีย่อมต้องรู้จักไขว่คว้าหาความสุขให้กับตนเองด้วยเช่นกัน
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ผ่านเข้าสู่ปลายฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวที่สีเหลืองทองอร่ามถูกเก็บเกี่ยวออกจากต้นเหลือไว้เพียงต้นตออากาศที่เริ่มเย็นเช่นนี้ต้องได้กินหม้อไฟถึงจะดี ว่าแต่วันนี้ลงมือทำหม้อไฟก็ดีไม่น้อย หว่านหว่านเอ่ยเรียกสาวใช้อย่างอาฉือ หากจะทำหม้อไฟก็ควรเข้าเมืองไปเดินหาเลือกซื้อของที่ตลาดเสียหน่อยเมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้วจึงออกเดินทางไปยังตลาดโดยมีอาฉือและองครักษ์จางติดตามไปด้วย หมู่บ้านตระกูลเสิ่นห่างออกไปจากตัวอำเภอราวหนึ่งชั่วยาม ภายในตัวอำเภอไท่อู่มีตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก หญิงสาวใช้เวลาเดินตลาดนานกว่าครึ่งวันเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับข้าวของที่แปลกตา ทั้งยังหาซื้อของฝากไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก มองดูสิ่งใดก็น่าซื้อหาไปหมดภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้จึงได้รู้ว่ารถม้าของนางไม่อาจบรรจุข้าวของได้มากเกินกว่านี้แล้ว"เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะให้บ่าวไปจ้างรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือหันไปมองหน้าสาวใช้ รู้สึกว่าวันนี้อาฉือของนางพูดได้ดียิ่ง"เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการเถิด"หลังจากเอ่ยให้สาวใช้ไปว่าจ้างรถม้าอีกคันมาเพื่อขนข้าวของ ส่วนนางก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะสวมหมวกคลุมหน้าจึงทำให้นางเดิ
เมื่อกลับถึงเรือน นางก็ต้องแปลกใจเมื่อที่เรือนต่างดูวุ่นวายกันไปหมด สีหน้าร้อนรนของสาวใช้อาวุโสทั้งสองทำให้นางต้องเลิกคิ้ว สัญชาตญาณกำลังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้อาวุโสทั้งสอง"คุณหนูน้อยหายไปเจ้าค่ะ บ่าวสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ""หายไป? ตั้งแต่เมื่อใด" หว่านหว่านเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หัวคิ้วของนางขมวดยุ่งเป็นปม"ราว ๆ สักชั่วยามได้แล้วเจ้าค่ะ""หาดีแล้วหรือ? ในตู้ ใต้เตียงเล่า หาแล้วหรือยัง?""ยะ ยังเจ้าค่ะ""เช่นนั้น ก็แยกย้ายกันหาอีกรอบเถิด""เจ้าค่ะ"ทุกคนในเรือนรวมถึงองครักษ์เงาของเมิ่งจิ่วซือถูกสั่งให้ตามหาตู๋กูรั่วหวาจนทั่ว หากแต่ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่เจอเด็กน้อยอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกใจเสีย ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะเป็นเช่นไร หรือว่าจะมีคนจับตัวบุตรสาวของนางไปหากแต่เมื่อสอบถามเหล่าองครักษ์แล้วก็ไม่พบคนแปลกหน้าเข้าออกแต่อย่างใดอาจเพราะเจ้าตัวเปี๊ยกกำลังอยู่ในช่วงเดินเก่งใหม่ ๆ จึงชอบไปแอบซุกตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพราะนึกว่าเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของนางตามหากันอีกครั้งคราวนี้ขยายวงกว้างอ
เช้าวันต่อมาก็เป็นอีกวันที่เจ้าตัวเปี๊ยกเอาแต่เกาะติดนางไม่หยุด ทั้งเล่นทั้งหัวเราะ ทำเอาทั้งเรือนสดใสไปหมดในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังเดินไปมาในห้องเด็กน้อยก็แกล้งวิ่งเข้ามาเกาะขาทั้งสองข้างของนางก่อนจะใช้ก้นเล็กนั่งทับไปที่หลังฝ่าเท้า ยามที่หญิงสาวเดินไปมาร่างเล็กของเจ้าตัวเปี๊ยกก็ถูกลากไปด้วยเกิดเป็นภาพที่ตลกขบขันของเหล่าสาวใช้ เด็กน้อยเองก็รู้สึกสนุกสนานเอาแต่หัวเราะร่าไม่หยุด แม้ว่าน้ำหนักของบุตรสาวจะเริ่มมากขึ้นและค่อนข้างหนักหากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกของเด็กน้อย นางก็อดที่จะทำตามใจบุตรสาวไม่ได้เลย"หวาหวาเจ้าคงเหนื่อยแล้ว หมัวมัวพานางไปอาบน้ำเสียหน่อยเล่นมาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเวลานอนกลางวันเสียที""เจ้าค่ะนายหญิง" สองบ่าวอาวุโสที่ตอนนี้แทบจะยึดเด็กน้อยเอาไว้กับตัวไม่ห่างพาร่างเล็กหายเข้าไปหลังฉากกั้น น้ำอุ่นถูกยกเข้ามาเติมก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นหลังฉากกั้นอีกครั้งในแต่ละครั้งกว่าสองบ่าวจะอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็กินเวลาไปกว่าสองเค่อ เพราะเจ้าเด็กน้อยเอาแต่เล่นสนุกไม่เลิกเสียที เล่นทีก็หัวเราะทีทำเอาสองบ่าวถึงกับยิ้มตามไม่หยุดแต่หากจะขัดใจให้เลิกเล่น อีกฝ่า
ณ จวนผู้ตรวจการ"ได้ความว่าอย่างไรทางหอโอสถตามหาหมอผู้นั้นเจอหรือไม่"หม่าจิ่นสือหันไปสอบถามคนของตน ภรรยาของเขามีแนวโน้มว่าจะตั้งครรภ์เป็นทารกแฝดและที่ยังไม่แน่ชัดกว่านั้นคือไม่แน่ใจว่าเป็นสองหรือสาม ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของนางจะอ่อนล้ามากจากการตั้งครรภ์ในคราวนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นมีบุตรชายผู้หนึ่งอยู่ก่อนแล้วเด็กคนนั้นปีนี้ก็ห้าขวบ การตั้งครรภ์ครั้งที่สองของภรรยาทำให้เขาเป็นกังวลเพราะไม่ว่าหมอคนใดก็กล่าวว่าเด็กในครรภ์นั้นไม่ยอมกลับตัว จะทำให้คลอดยากบางคนถึงกับเสียเลือดมากตายตกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่คลอด ต่อมาได้ยินข่าวลือว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีสตรีที่ตั้งครรภ์ฝาแฝดแล้วเด็กไม่ยอมกลับตัวทั้งยังดูเหมือนว่าจะเสียเลือดมาก หากแต่โชคดีได้หมอเทวดาผู้หนึ่งช่วยเอาไว้จึงทำให้คลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาต้องการตัวหมอผู้นั้นมาเพื่อช่วยทำคลอดให้กับภรรยาของเขาจึงได้พยายามควานหาตัวอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามปกปิดตัวตนของคนผู้นั้นทำให้ตามหาไม่พบสักที"เรียนนายท่าน ทางหอโอสถส่งคนมาแจ้งข่าวว่าตามหาหมอเทวดาผู้นั้นพบแล้วขอรับ""จริงหรือ?""จริงขอรับ? แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด พว
นางกลับเข้าเรือนก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจสตรีผู้นั้นอยู่บ้างหากแต่นางมิชื่นชอบวิธีการของหอโอสถ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดอีกและนางมั่นใจว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องการความช่วยเหลือจากนางจะต้องไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่!"เรียนนายหญิงคุณหนูน้อยตื่นแล้วเจ้าค่ะ จะให้บ่าวพาคุณหนูเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ""ไปพานางเข้ามาเถิด""เจ้าค่ะ"เกาหมัวมัวพาร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับห้องนอนของนาง ภายในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้นั่งดื่มชา เขียนอักษร อ่านหนังสือและพักผ่อนในช่วงกลางวัน แม้ว่าอากาศภายนอกจะร้อนอบอ้าวเพียงใดหากแต่ยามที่นั่งอยู่ในห้องนี้จะรู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก เมิ่งจิ่วซือพึ่งสังเกตเห็นถึงองศาของประตูและหน้าต่างโดยรอบต่างอยู่ในทิศทางลมทั้งสิ้น มิน่าเล่า! จึงได้เย็นสบายยิ่งนักแต่หากอยู่ในฤดูหนาวคงต้องปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด มิเช่นนั้นร่างกายคงจะต้องลมเย็นจนกระทั่งเป็นไข้ได้ง่ายตู๋กูรั่วหวาในตอนนี้ทั้งเดินเก่ง ทั้งพูดเก่ง แต่หญิงสาวสังเกตว่านางจะมีท่าทางสดใสร่าเริงเฉพาะเวลาอยู่กับมารดาหรือหมัวมัวอาวุโสเท่านั้น หากในยามปกติที่เด็กน้อยอยู่คนเ
ณ หมู่บ้านตระกูลเสิ่นชุยซินและสามีมาที่เรือนของเมิ่งจิ่วซือเพื่อกล่าวคำขอบคุณนางอีกครั้ง หลังจากที่ช่วยให้คลอดบุตรฝาแฝดทั้งสองออกมาอย่างปลอดภัย ร่างบางของชุยซินคุกเข่าลงพร้อมกับหมอบคารวะเมิ่งจิ่วซือที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณต่อนางและครอบครัว สองสามีภรรยาต่างซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเหล่าหลิ่วมีอาชีพล่าสัตว์และหาของป่าเลี้ยงชีพ เงินทองที่หาได้ก็ไม่ได้มากมายแต่เพราะความขยันจึงได้เก็บหอมรอมริบเพื่อสู่ขอชุยซินมาเป็นภรรยา เมื่อแต่งงานกันมาได้ห้าปีหญิงสาวก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที ครรภ์นี้เป็นครรภ์แรกทั้งยังเป็นฝาแฝดที่คลอดยาก หากไม่ได้เมิ่งจิ่วซือช่วยเหลือในคืนนั้นภรรยาของเขาคงได้เดินทางไปยังปรโลกแล้ว ยามนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเช่นกัน เขารักภรรยามากนางคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา ชายหนุ่มนั้นไร้บิดามารดา ญาติพี่น้องก็ล้วนรังเกียจที่เขายากจน มีเพียงชุยซินที่มองเห็นความดีของเขาทั้งยังไม่รังเกียจกัน ภรรยาที่แสนดีเพียงนี้ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็คงหาไม่พบอีกแล้ว"ข้าและภรรยาขอขอบคุณเมิ่งฮูหยินอีกครั้ง พระคุณในครั้งนี้หากมีโอกาสข้าและภรรยาย่อมต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอนขอรับ""
ตู๋กูรั่วหวาตื่นนอนกลางวันขึ้นมาอย่างงัวเงีย เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งบนเตียงดวงตาของนางยังคงหนักอึ้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งทำเอาเกาหมัวมัวที่เห็นท่าทางขี้เซาของคุณหนูน้อยของนางถึงกับขบขันอย่างเอ็นดู"คนดีของบ่าวตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อมารออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ" เกาหมัวมัวเอ่ยกับเด็กน้อย แต่เมื่อรั่วหวาที่ได้ยินว่าบิดาเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้วก็ถึงกับแปลกใจ ก่อนจะคิดว่านี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดบิดาของนางจึงได้มาเร็วนัก เด็กน้อยเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะแสร้งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น"ท่านพ่อมาแล้วงั้นหรือ?""เจ้าค่ะ" หญิงชราพยักหน้าอาเป่ายกอ่างน้ำเข้ามาพอดีก่อนที่เกาหมัวมัวจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำพร้อมกำลังตั้งท่าที่จะเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวให้กับเด็กน้อยแต่รั่วหวาปฏิเสธ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นมาเช็ดใบหน้าของตนเองด้วยท่าทางราวกับไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบปี แล้วส่งคืนผ้าผืนนั้นให้กับเกาหมัวมัว จากนั้นปีนลงจากเตียงด้วยตนเอง"คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?" อาเป่าเอ่ยถามคุณหนูน้อยของนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง"ไปหาท่านพ่อน่ะ" กล่าวจบเด็กน้อยก็เดิน
เมิ่งจิ่วซือที่เพิ่งกลับมาได้เพียงสองวันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่นางจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของแม่นางชุยฟางบ้านท่านผู้เฒ่า แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากเรือนอยู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาก่อนจะจอดเทียบบริเวณหน้าเรือนของนาง เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถม้าชายผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมหางโจวเนื้อดีราคาแพง ส่งผลให้รูปร่างที่สูงโปร่งของเขายิ่งขับเน้นให้ดูดียิ่งขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาทำให้เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มราวกับว่ารู้จักกับนางมาก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"ท่านคงจะเป็นแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วก่อนจะแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายให้ถูกต้อง"รบกวนเรียกข้าว่าฮูหยินเมิ่งเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เหมาะสมหากว่าท่านจะเรียกขานเช่นนั้น" หญิงสาวกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"อ้อ ข้าต้องขออภัย""ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วมาที่นี่มีธุระอันใด" เมิ่งจิ่วซือไม่อยากอ้อมค้อม"ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าเสิ่นชิงหลวน""เสิ่นชิงหลวน คุณชายใหญ่เสิ่นน่ะหรือ
เมิ่งจิ่วซือพาบุตรสาวเดินทางกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ยามที่เดินทางมาถึงไห่หมัวมัวและเกาหมัวมัวต่างก็ดีอกดีใจ ก่อนจะรับตู๋กูรั่วหวาที่โตขึ้นมากไปดูแลทันที จากไปหลายเดือนแต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ในยามที่รถม้าจอดเทียบหน้าเรือนไม่นานก็มีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนหากแต่มิใช่ใครที่ไหนแต่ก็เป็นป้ากัวคนเดิม"นายหญิงเมิ่งกลับมาแล้วหรือ?" กัวอวิ๋นเอ่ยถามองครักษ์จางที่ทำหน้าที่ยกข้าวของเข้าเรือน"กลับมาแล้วขอรับ" จางเซียงอวี้ที่พอรู้จักกับกัวอวิ๋นจึงตอบนางไป ก่อนที่อาฉือที่เดินมาพอดีพบเข้า"อ้าว แม่นางอาฉือ สบายดีหรือ?""สบายดีเจ้าค่ะ ท่านป้ามีธุระอันใดงั้นหรือ?""เปล่า ๆ ไม่มีอันใดเพียงแต่เห็นว่านายหญิงเมิ่งไม่อยู่เสียนานเลยอยากจะแวะมาทักทาย""เช่นนั้นเชิญท่านเข้าเรือนก่อนเถิด" อาฉือเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายเข้าเรือน เพราะยามที่เดินทางกลับมาที่นี่เมิ่งจิ่วซือย้ำให้พวกนางเป็นมิตรกับคนในหมู่บ้านเสียหน่อย อาฉือจึงได้มีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วนกัวอวิ๋นที่เห็นว่าตนเองได้รับการต้อนรับก็รู้สึกยินดีตามประสาหญิงวัยกลางคนที่อยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา เดิมทีสามีของนางนั้นเป็นทหารเพียงแต่เสียช
เมิ่งจิ่วซือยังคงรู้สึกว่านางและบุตรสาวมาอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่นานจริง ๆ แต่วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็กลับเข้าสู่เหมันต์ฤดูอีกครั้งอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หวาหวาที่ในตอนนั้นเพียงสองขวบปีมาถึงตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่สามขวบ เขาถึงว่ากันว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเมิ่งจิ่วซือลองคิด ๆ ดูแล้วว่านางควรจะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อบอกลาทุกคนที่นั่นและรับตัวคนของนางมาอยู่เจียงหนานเป็นการถาวร อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางจะต้องปกป้องดูแลรั่วหวาไปจนกว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ก็ยังเป็นภารกิจที่หนักหนาจะมามัวแต่เขินอายมิได้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนางและเป่ยติ้งหรงอ๋องแม้จะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับตนเองก็ตาม แต่เพราะนางไม่ต้องการหลอกลวงเขาจึงได้เว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้อยู่ในฐานะของคนรู้จักที่ไม่เคยเปลี่ยนเป็นคนรู้ใจได้อีก นางไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหากการที่นางดำเนินความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเขาต่อไปหญิงสาวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับความรักของแม่ลูกที่ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่งเขาได้ค้นพบว่านางนั้นไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหา
"นายหญิงจะไปที่เรือนนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามนายสาวด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะรู้ดีว่าอนุเผิงหาได้ติดโรคระบาดไม่ หากแต่สภาพของนางในตอนนี้ก็ช่างไม่น่าพิสมัยยิ่ง ตุ่มหนองขึ้นเต็มทั่วร่างกายแม้ยามนอนก็ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน"เจ้ากลัวหรือ" เมิ่งจิ่วซือหันไปถามสาวใช้ของนาง"ไม่กลัวเจ้าค่ะ เพียงแค่รังเกียจเท่านั้น ที่นั่นไม่สะอาดเลยสักนิดบ่าวว่านายหญิงอย่าไปเลยเจ้าค่ะ""ข้าอยากจะเห็นนางสักครั้ง อยากจะรู้ว่าชีวิตที่เอาแต่ทำร้ายคนอื่นมาตลอดเช่นนาง ยามที่ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตายแล้วนางจะมีความรู้สึกเช่นไร" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยพร้อมกับประกายดวงตาที่วาวโรจน์ ชีวิตที่สร้างศัตรูเอาไว้มากมายเช่นนั้น สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่นางควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม"ไปกันเถอะ""เจ้าค่ะ"เมิ่งจิ่วซือเดินตรงไปยังเรือนของเผิงอี้หรู หน้าเรือนและรอบ ๆ เรือนมีคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามาเยี่ยมอนุเผิง" ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนหันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะรีบเปิดประตูให้หญิงสาว พร้อมกับบังอาจเอ่ยเตือนนางเล็กน้อย"พระชายาได้โป
คืนเดียวกันนั้นเผิงอี้หรูได้รับรายงานจากสาวใช้ของนางว่าแผนการส่งอาหารเข้าไปยังเรือนของพระชายานั้นสำเร็จแล้ว หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มระรื่นอย่างยินดี ก่อนจะเฝ้ารอฟังข่าวดีจนแทบทนไม่ไหว"คืนนี้ข้าจะแช่ตัวนานเสียหน่อย เจ้าอย่าลืมหยดน้ำอบกลิ่นใหม่ที่ข้าพึ่งได้มาลงไปในน้ำเสียด้วย""เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"หลังจากที่สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นให้นางเสร็จ เผิงอี้หรูก็ออกปากไล่นางออกไปคืนนี้หญิงสาวอยากจะใช้เวลาอยู่กับตนเองให้มากหน่อย ทั้งยังคิดเผื่อในวันรุ่งขึ้นมาว่าตนเองควรจะทำสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างไรดีจึงจะยังคงความงดงามเอาไว้ได้"พรุ่งนี้ข้าควรสวมเสื้อผ้าสีใดดีนะ? ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นเช่นนี้จวนแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่ข้าแล้ว จะจัดการเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว"เผิงอี้หรูรู้สึกมีความสุขยิ่ง เมื่อนึกภาพในวันรุ่งขึ้นที่สองแม่ลูกนั้นหมดลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน"ใครใช้ให้เจ้าตายยากตายเย็นนักเล่า จะกล่าวโทษข้าไม่ได้จริง ๆ"เผิงอี้หรูแช่อยู่ในน้ำนานกว่าปกติก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าน้ำในถังเริ่มเย็นจึงได้ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากถังแล้วสวมเสื้อผ้าตัวบางพร้อมนอน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น จาก
เสี่ยวชุนเป็นสาวใช้คนสนิทของเผิงอี้หรูเด็กสาวเติบโตมาในตระกูลเผิงสายรอง มารดาของนางเป็นแม่นมของเซิ่งฮูหยินผู้เป็นมารดาของเผิงอี้หรู หากแต่ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาพร้อมกับคุณหนูก็ตามแต่ดูเหมือนว่าเผิงอี้หรูจะไม่ให้ความสำคัญกับนางมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด"จะ เจ้าเป็นใครกัน?""เจ้าไม่ต้องรู้หรอก เพียงแต่รู้เอาไว้อย่างเดียวก็พอว่าข้าเป็นคนของท่านผู้นั้นที่นายของเจ้าจะต้องฟังคำสั่ง" สตรีผู้นั้นเอ่ยขึ้นทำให้เสี่ยวชุนรู้สึกตื่นกลัวก่อนจะแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ นางเคยได้ยินคุณหนูกล่าวถึงท่านผู้นั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นแท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่"ขะ ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น เจ้าหลีกไปเดี๋ยวนี้นะ""หึ หากเจ้าไม่เป็นห่วงคุณหนูของเจ้าก็คงต้องรู้สึกเป็นห่วงมารดาและน้องชายของเจ้าบ้างกระมัง" เสี่ยวชุนที่กำลังจะเดินจากไปได้ยินเช่นนั้นขาทั้งสองข้างของนางก็หยุดชะงักทันที ก่อนจะหันกลับมาหาสตรีผู้นั้นอีกครั้ง"เจ้าจะทำอันใดท่านแม่ของข้า?""ย่อมไม่ทำ หากว่าเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี""ความร่วมมืออันใด?""นำของสิ่งนี้ไปมอบให้คุณหนูของเจ้า แล้วบอกว่าให้รีบลง
เมิ่งจิ่วซือค่อย ๆ ฝังเข็มลงบนร่างกายของชายหนุ่มทีละเล่ม สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ชีพจรของชายหนุ่มไม่คงที่ทั้งยังดูเหมือนสับสนและเคลื่อนย้ายไปมาได้ ทำให้เมิ่งจิ่วซือถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถามถึงอาการของชายหนุ่มก่อนหน้านี้กับองครักษ์ของเขา"ท่านอ๋องป่วยมานานเพียงใดแล้วงั้นหรือ?""ตั้งแต่วันที่มาถึงเจียงหนานพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกำชับว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพระชายาเด็ดขาด แต่ข้าน้อยคิดว่าหากในวันนี้ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นขึ้นมาข้าน้อยจะส่งคนไปแจ้งข่าวกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"เมิ่งจิ่วซือถอนหายใจ จะกล่าวว่าเป็นความผิดขององครักษ์ก็มิได้เสียทีเดียวเพราะนางและสามีก็หาได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งยังดูเหมือนเป็นปรปักษ์กันอยู่เนือง ๆ หากพวกเขาจะคิดเอาเองว่านางอาจจะไม่ยินดีรักษาให้อีกฝ่ายก็ย่อมไม่แปลก แต่เดิมความสามารถในการรักษาของเมิ่งจิ่วซือนั้นก็เป็นความลับมาโดยตลอดนางเองก็ไม่เคยยินยอมรักษาให้ผู้ใด เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากมากไปกว่านี้ เพียงแค่ชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งเดิมทีเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็หวาดระแวงมากพออยู่แล้ว หากนางมีชื่อเสียงทางด้านการรักษาอีกชีวิตนี้ก็ค
รถม้าของเมิ่งจิ่วซือเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองเจียงหนาน นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสได้เห็นเมืองเจียงหนานแบบดั้งเดิม นับว่าหาได้ยากนัก ก่อนจะเคลื่อนผ่านใจกลางเมืองไปทางด้านทิศเหนือแล้วหยุดลงบริเวณหน้าจวนแห่งหนึ่ง หญิงสาวเลิกม่านดูก่อนจะพบว่าเหนือประตูจวนเขียนด้วยอักษรสีทองงดงามว่าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋อง ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ขยับตัวลงจากรถม้าโดยมีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนดวงตาของตู๋กูรั่วหวามองที่ประตูจวนด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งแววตาของนางลุ่มลึกอย่างไม่อาจคาดเดา เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าราวกับต้องการเรียกหากำลังใจก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าใสซื่อตามเดิม"ท่านแม่ หวาจะไปหาท่านพ่อ""เด็กดี เดี๋ยวก็ได้เจอท่านพ่อแล้ว"หวั่นอี้ที่ได้รับรายงานว่าพระชายาเดินทางมาถึงแล้วก็รีบออกมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยท่าทางร้อนรนอย่างเก็บไม่อยู่ หญิงสาวที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแปลกประหลาดนักจึงเลิกคิ้ว"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ไม่ต้องมากพิธี อย่างไรก็ต้องรบกวนพวกท่านแล้วข้าเดินทางมาโดยไม่ได้บอกกล่าว ท่านอ๋องจะว่ากล่าวอันใดหรือไม่" หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้สนิทกับสามีถึงขนาดที่จะทำส