ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดี
เมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ
"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน
"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให้สายตาที่มองคนนั้นค่อนข้างเฉียบแหลม เพียงแค่ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ได้พบกับเมิ่งจิ่วซือนางก็รับรู้ได้จากกิริยาท่าทางอันสูงส่งของหญิงสาวในทันทีว่าสตรีตรงหน้ามีฐานะไม่ธรรมดา แม้ก่อนหน้านี้สามีจะเอ่ยเตือนคนในเรือนว่าห้ามล่วงเกินเมิ่งฮูหยินโดยเด็ดขาด แต่นางก็ยังคงคลางแคลงใจอยู่มากจนกระทั่งได้พบกันในวันนี้จึงได้เข้าใจคำพูดของผู้เป็นสามีอย่างแท้จริง สตรีผู้นี้เป็นคนที่ไม่ว่าใครก็มิสามารถล่วงเกินได้นับว่าไม่เกินจริงนัก
"นายหญิง" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยทักทายนาง ก่อนจะมองเลยไปยังเด็กน้อยที่อาฉืออุ้มอยู่ ดวงตาสุกสกาว ใบหน้าที่งดงามแม้ว่ายังเยาว์ ผิวที่ขาวเนียนราวกับหิมะ ท่าทางฉลาดเฉลียว เช่นนี้จะเป็นคนธรรมดาเช่นพวกนางได้อย่างไรกัน
"ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธี เรียกข้าเมิ่งฮูหยินก็พอเจ้าค่ะ"
"คุณหนูน้อยช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก" นางกล่าวชมอย่างจริงใจพร้อมกับยกยิ้ม
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
"เชิญเมิ่งฮูหยินนั่งด้วยกันเถิด ที่นี่เป็นชนบทอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นพิธีรีตองมากนัก ขอเมิ่งฮูหยินอย่าได้ถือสา"
"มิกล้าเจ้าค่ะ ขอเพียงผู้คนมีความสุขก็พอแล้ว ว่าแต่งานเลี้ยงในวันนี้มีความสำคัญอย่างไรหรือเจ้าคะ"
"เป็นงานฉลองที่คนในหมู่บ้านของเราสอบได้ตำแหน่ง จวี่เหริน ถึงสองคนเชียว"
"จริงหรือ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักเจ้าค่ะ"
"ถูกต้องแล้ว"
"แล้วเป็นผู้ใดงั้นหรือเจ้าคะ"
"คนหนึ่งคือลู่จิ้งหลินเป็นหลานชายของข้าเอง ส่วนอีกคนคือสหายของจิ้งหลิน นามว่ามู่เสี่ยวเฟิง"
"เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ข้าไม่ทราบมาก่อนว่ามีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ จึงมิได้เตรียมของขวัญมามอบให้..." หว่านหว่านหันกลับไปที่อาฉือก่อนจะให้หญิงสาวกลับไปที่เรือนรอบหนึ่งเพื่อนำของขวัญมาสองกล่อง
"มิกล้า ๆ เพียงท่านมาร่วมยินดีก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว"
ในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีเพียงชุยฟางที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เดิมทีนางนั้นงดงามที่สุดในหมู่บ้านคิดว่าวันนี้ตนเองจะต้องโดดเด่นเป็นอย่างมาก เพราะในงานเลี้ยงนอกจากจะมีบุรุษจากสำนักศึกษาเดียวกับญาติผู้พี่นางแล้ว ยังมีสหายที่อยู่ต่างอำเภอของเขามาร่วมงานด้วย โชคดีที่คนเหล่านั้นยังเดินทางมาไม่ถึง ชุยฟางต้องการให้ตนเองโดดเด่นที่สุดจึงได้คิดหาวิธีทำให้เมิ่งจิ่วซือขายหน้าขึ้นมา
"เมิ่งฮูหยินช่างดียิ่งนัก มีบุตรสาวทั้งน่ารักเช่นนี้ไม่ทราบว่าสามีของท่านไปไหนเสียแล้วเล่า?"
ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ที่ได้ยินหลานสาวที่ปกตินางเอ็นดูเป็นอย่างยิ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่ให้เกียรติเมิ่งจิ่วซือด้วยการถามหาสามีของสตรีตรงหน้า หญิงชราก็รู้สึกโมโหจนควันออกหูก่อนจะคิดในใจว่าเหตุใดนางจึงได้มีหลานสาวที่โง่งมเช่นนี้ได้
"สามีของข้าอยู่ที่ใดนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกเล่าแก่ผู้ใดกระมังเพราะข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวข้า ไม่ทราบว่าแม่นางชุยฟางเหตุใดจึงได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นนักเล่า" ชุยฟางที่ถูกเมิ่งจิ่วซือตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้าก็ถึงกับหน้าม้านอ้าปากค้าง นางคิดว่าสตรีงดงามอ่อนหวานเช่นเมิ่งจิ่วซือหากได้ยินคำถากถางเกี่ยวกับสามีจะต้องรู้สึกอับอายเป็นแน่ ด้วยหลายเดือนมานี้ผู้คนในหมู่บ้านเองก็ไม่เคยเห็นสามีของนางเช่นกัน บางทีสตรีที่ดูสูงส่งผู้นี้อาจจะเป็นภรรยาลับ ๆ ของผู้สูงศักดิ์สักคนในเมืองใหญ่ก็เป็นได้
"ฟางเอ๋อร์! อย่าเสียมารยาทกับเมิ่งฮูหยิน!" ฮูหยินผู้เฒ่าดุหลานสาวใบหน้าของหญิงชราแทบจะอดกลั้นโทสะเอาไว้ไม่ไหว
"นายหญิง ข้าน้อยต้องขออภัยแทนหลานสาวด้วย นางไม่ค่อยรู้ความนัก"
"ข้าย่อมไม่ถือสาเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้คิดมากเลย" ชุยฟางที่สิ้นท่าตั้งแต่กระบวนท่าแรกได้แต่ขบเม้มริมฝีปากอย่างแรง ก่อนจะได้ยินเสียงเอะอะว่าเหล่าบัณฑิตเดินทางมาถึงกันแล้ว
"อ๊ะ! ญาติผู้พี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ" ลู่จิ้งหลินและมู่เสี่ยวเฟิงไปรับสหายที่มาจากสำนักศึกษาเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ กลุ่มบัณฑิตท่าทางดีนับสิบคนเดินตรงมายังโต๊ะของฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนจะทำความเคารพหญิงชราอย่างพร้อมเพรียงกันทำให้หญิงชราเอ่ยชื่นชมและให้กำลังใจพวกเขา
"หลานคารวะท่านย่า"
"ผู้น้อยคารวะฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ"
"มากันแล้วหรือ วันนี้กินดื่มกันให้เต็มที่ อ้อ! ย่าจะแนะนำเมิ่งฮูหยิน ให้พวกเจ้าได้รู้จัก อาหารคาวหวานในวันนี้กึ่งหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายหญิงผู้นี้ พวกเจ้าก็ขอบคุณนางเสียสิ"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อยคนกันเองทั้งนั้น" หว่านหว่านเอ่ยออกมาจากใจ ก่อนนางจะยกยิ้มให้ทุกคนอย่างรู้มารยาท เหล่าชายหนุ่มที่อายุราวสิบถึงสิบเก้าต่างเติบโตมาในเมืองที่ห่างไกล แม้จะเคยเห็นหญิงงามมาไม่น้อยแต่สตรีงดงามล่มเมืองเช่นนี้พวกเขากลับพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มเหล่านั้นกำลังตกตะลึงในความงามของหญิงสาวตรงหน้าทำให้เผลอมองนานเกินไปจนเสียมารยาท
"ผู้น้อยขอบคุณเมิ่งฮูหยิน"
"ขอบคุณเมิ่งฮูหยิน" ลู่จิ้งหลินไม่อาจละสายตาจากใบหน้างดงามของอีกฝ่ายได้เลย แม้ว่าไม่อาจจับจ้องโดยตรงหากแต่สายตาก็ยังตกอยู่ที่ร่างของนางไม่เปลี่ยนจนกระทั่งพวกเขาได้ยินเสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น
"ม้า ม้า แอ้!" หว่านหว่านหันไปให้ความสนใจกับบุตรสาวตัวน้อย นางโผเข้ากอดลำคอของมารดาจนแน่นก่อนจะเริ่มงอแง หญิงสาวปลอบประโลมอยู่นานบุตรสาวจึงได้เงียบเสียงลง
ตู๋กูรั่วหวาหันไปมองดูเหล่าบัณฑิตกลุ่มนั้น ก่อนจะหรี่ดวงตากลมเล็กของนางจับจ้องราวกับกำลังหวงแหนมารดาและเมื่อเห็นว่ามีบางคนที่ยังจ้องมองมารดาไม่เลิก เด็กน้อยจึงได้ถลึงตาใส่ก่อนจะร้องเสียงอ้อแอ้ ชี้ไม้ชี้มือทำเอาพวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ถูกเด็กอายุเพียงขวบปีตวาดใส่
หว่านหว่านที่เห็นท่าไม่ดี หันไปพยักหน้าให้สาวใช้นำของขวัญมอบให้กับคุณชายทั้งสอง ก่อนจะขอตัวกลับเพราะบุตรสาวดูท่าคงจะง่วงนอนเสียแล้ว
"ของขวัญนี้มอบให้คุณชายทั้งสองเพื่อเป็นการแสดงความยินดี รวมถึงเงินทองเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ใช้จ่ายในการเดินทางและเพื่อเตรียมเข้าสอบเจ้าค่ะ"
ลู่จิ้งหลินและมู่เสี่ยวเฟิงรับมาอย่างเกรงใจ ก่อนจะเปิดดูก็พบกับสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นพู่กันขนจิ้งจอก กระดาษ หมึกฝนและแท่นหมึกหยกอย่างดี พร้อมกับถุงเงินที่หนักอึ้ง ในนั้นเป็นก้อนเงินราวสิบตำลึง ชายหนุ่มทั้งสองสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะนึกในใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะร่ำรวยมากเพียงใดกันของเหล่านี้ยังเรียกว่าเล็กน้อยได้อีกงั้นหรือ
"เอ่อ..." หว่านหว่านเห็นชายหนุ่มทั้งสองคิดที่จะปฏิเสธนางจึงได้เอ่ยขึ้นอีก
"อย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ ข้ายังคิดว่าจะพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าว่าหากมีคนในหมู่บ้านคนใดที่ต้องการศึกษาเล่าเรียนแต่ยังขาดทุนทรัพย์ ข้าเองก็ยินดีให้การสนับสนุนเจ้าค่ะ เพียงแต่วันนี้อาจจะต้องขอลากลับเสียก่อนบุตรสาวของข้าเริ่มงอแงแล้ว นางไม่ค่อยคุ้นชินกับคนหมู่มากเท่าใดนัก"
"ข้าน้อยจะออกไปส่งท่านเอง" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว แต่ลู่จิ้งหลินเอ่ยขัด
"ท่านย่า ประเดี๋ยวข้าจะเดินออกไปส่งเมิ่งฮูหยินให้เองขอรับ"
"เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว"
"เช่นนั้นข้าขอลา แล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ"
"ข้าจะไปกับญาติผู้พี่เจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปส่งเมิ่งฮูหยินด้วยกันเถิด"
หว่านหว่านเป็นคนอุ้มบุตรสาวแล้วเดินออกมาเพื่อขึ้นรถม้าที่หน้าเรือน ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าจึงได้หันมาก้มศีรษะให้ชายหนุ่มเป็นการขอบคุณ พร้อมกับสาวใช้ที่ขึ้นรถม้าตามไปจนครบทุกคน
ลู่จิ้งหลินมองตามรถม้าของหญิงสาวจนกระทั่งรถม้าแล่นออกไปไกลลับตาแล้ว สายตาของเขาก็ยังไม่หันกลับมาเสียที ชุยฟางเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก เหล่าบัณฑิตกลุ่มนั้นเอาแต่กล่าวถึงเมิ่งจิ่วซือไม่มีใครสนใจนางเลยแม้แต่น้อย
"ญาติผู้พี่ชอบนางหรือ?" ชุยฟางเอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและเมื่อลู่จิ้งหลินได้ยินก็ถึงกับขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจในทันทีก่อนจะเอ่ยเตือนญาติผู้น้องของตน
"อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระ เมิ่งฮูหยินแต่งงานแล้วเจ้าเองก็เป็นคุณหนูในห้องหออย่าได้พึงกระทำสิ่งใดอันไม่ควร หากผู้ใดมาได้ยินเข้ามิใช่เพียงเมิ่งฮูหยินที่เสียหายหากแต่เจ้าเองก็จะเสียหายด้วยเช่นกัน"
"ข้าแค่พูดจะเสียหายได้อย่างไร?" ชุยฟางโต้กลับ
"ก็เพราะไม่มีบุรุษคนใดอยากจะแต่งกับสตรีปากไม่มีหูรูดอย่างไรเล่า เจ้าเองก็โตแล้วควรรู้ว่าอันใดควรไม่ควร มิเช่นนั้นข้าคงจะต้องเล่าเรื่องนี้ให้ท่านย่าฟัง" ลู่จิ้งหลินไม่อาจใจดีกับญาติผู้น้องคนนี้ได้อีกต่อไป หากนางไม่เลิกนิสัยหญิงชาวบ้านร้านตลาดเอาแต่อิจฉาและนินทาผู้อื่น วันหน้าคงหาบ้านสามีที่ดีไม่ได้เป็นแน่! กล่าวจบชายหนุ่มก็สะบัดแขนเสื้อเดินกลับเข้าเรือนเพื่อร่วมงานเลี้ยงต่อในทันที
บทสนทนาของพวกเขาส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องทุนการศึกษาสนับสนุนของหญิงสาว ภายในกลุ่มบัณฑิตของพวกเขาหนึ่งในนั้นมีอาจารย์ของสำนักบัณฑิตผู้หนึ่ง ชายหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบห้าปีและเคยได้รับตำแหน่งทั่นฮวา ในตอนนี้ยังดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองอู๋ซี เขาเองก็ค่อนข้างมีความสนใจในแนวคิดของเมิ่งจิ่วซือไม่น้อย หากว่าเป็นเช่นนั้นย่อมต้องเป็นผลดีต่อการศึกษาในภายหน้าอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าความคิดนี้จะจริงเท็จมากเพียงใด นางอาจจะเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่เอ่ยขึ้นเช่นนั้นเพียงเพื่อจะแสดงท่าทีของสตรีใจกว้างก็เป็นได้
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือแม้กระทั่งใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวก็ทำเอาชายหนุ่มกลุ่มนี้ถึงกับตราตรึงใจไม่น้อย ได้แต่เฝ้าคิดว่าผู้ใดคือสามีของนางช่างโชคดียิ่งนัก!
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ผ่านเข้าสู่ปลายฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวที่สีเหลืองทองอร่ามถูกเก็บเกี่ยวออกจากต้นเหลือไว้เพียงต้นตออากาศที่เริ่มเย็นเช่นนี้ต้องได้กินหม้อไฟถึงจะดี ว่าแต่วันนี้ลงมือทำหม้อไฟก็ดีไม่น้อย หว่านหว่านเอ่ยเรียกสาวใช้อย่างอาฉือ หากจะทำหม้อไฟก็ควรเข้าเมืองไปเดินหาเลือกซื้อของที่ตลาดเสียหน่อยเมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้วจึงออกเดินทางไปยังตลาดโดยมีอาฉือและองครักษ์จางติดตามไปด้วย หมู่บ้านตระกูลเสิ่นห่างออกไปจากตัวอำเภอราวหนึ่งชั่วยาม ภายในตัวอำเภอไท่อู่มีตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก หญิงสาวใช้เวลาเดินตลาดนานกว่าครึ่งวันเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับข้าวของที่แปลกตา ทั้งยังหาซื้อของฝากไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก มองดูสิ่งใดก็น่าซื้อหาไปหมดภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้จึงได้รู้ว่ารถม้าของนางไม่อาจบรรจุข้าวของได้มากเกินกว่านี้แล้ว"เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะให้บ่าวไปจ้างรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือหันไปมองหน้าสาวใช้ รู้สึกว่าวันนี้อาฉือของนางพูดได้ดียิ่ง"เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการเถิด"หลังจากเอ่ยให้สาวใช้ไปว่าจ้างรถม้าอีกคันมาเพื่อขนข้าวของ ส่วนนางก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะสวมหมวกคลุมหน้าจึงทำให้นางเดิ
เมื่อกลับถึงเรือน นางก็ต้องแปลกใจเมื่อที่เรือนต่างดูวุ่นวายกันไปหมด สีหน้าร้อนรนของสาวใช้อาวุโสทั้งสองทำให้นางต้องเลิกคิ้ว สัญชาตญาณกำลังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้อาวุโสทั้งสอง"คุณหนูน้อยหายไปเจ้าค่ะ บ่าวสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ""หายไป? ตั้งแต่เมื่อใด" หว่านหว่านเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หัวคิ้วของนางขมวดยุ่งเป็นปม"ราว ๆ สักชั่วยามได้แล้วเจ้าค่ะ""หาดีแล้วหรือ? ในตู้ ใต้เตียงเล่า หาแล้วหรือยัง?""ยะ ยังเจ้าค่ะ""เช่นนั้น ก็แยกย้ายกันหาอีกรอบเถิด""เจ้าค่ะ"ทุกคนในเรือนรวมถึงองครักษ์เงาของเมิ่งจิ่วซือถูกสั่งให้ตามหาตู๋กูรั่วหวาจนทั่ว หากแต่ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่เจอเด็กน้อยอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกใจเสีย ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะเป็นเช่นไร หรือว่าจะมีคนจับตัวบุตรสาวของนางไปหากแต่เมื่อสอบถามเหล่าองครักษ์แล้วก็ไม่พบคนแปลกหน้าเข้าออกแต่อย่างใดอาจเพราะเจ้าตัวเปี๊ยกกำลังอยู่ในช่วงเดินเก่งใหม่ ๆ จึงชอบไปแอบซุกตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพราะนึกว่าเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของนางตามหากันอีกครั้งคราวนี้ขยายวงกว้างอ
เช้าวันต่อมาก็เป็นอีกวันที่เจ้าตัวเปี๊ยกเอาแต่เกาะติดนางไม่หยุด ทั้งเล่นทั้งหัวเราะ ทำเอาทั้งเรือนสดใสไปหมดในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังเดินไปมาในห้องเด็กน้อยก็แกล้งวิ่งเข้ามาเกาะขาทั้งสองข้างของนางก่อนจะใช้ก้นเล็กนั่งทับไปที่หลังฝ่าเท้า ยามที่หญิงสาวเดินไปมาร่างเล็กของเจ้าตัวเปี๊ยกก็ถูกลากไปด้วยเกิดเป็นภาพที่ตลกขบขันของเหล่าสาวใช้ เด็กน้อยเองก็รู้สึกสนุกสนานเอาแต่หัวเราะร่าไม่หยุด แม้ว่าน้ำหนักของบุตรสาวจะเริ่มมากขึ้นและค่อนข้างหนักหากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกของเด็กน้อย นางก็อดที่จะทำตามใจบุตรสาวไม่ได้เลย"หวาหวาเจ้าคงเหนื่อยแล้ว หมัวมัวพานางไปอาบน้ำเสียหน่อยเล่นมาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเวลานอนกลางวันเสียที""เจ้าค่ะนายหญิง" สองบ่าวอาวุโสที่ตอนนี้แทบจะยึดเด็กน้อยเอาไว้กับตัวไม่ห่างพาร่างเล็กหายเข้าไปหลังฉากกั้น น้ำอุ่นถูกยกเข้ามาเติมก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นหลังฉากกั้นอีกครั้งในแต่ละครั้งกว่าสองบ่าวจะอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็กินเวลาไปกว่าสองเค่อ เพราะเจ้าเด็กน้อยเอาแต่เล่นสนุกไม่เลิกเสียที เล่นทีก็หัวเราะทีทำเอาสองบ่าวถึงกับยิ้มตามไม่หยุดแต่หากจะขัดใจให้เลิกเล่น อีกฝ่า
ณ จวนผู้ตรวจการ"ได้ความว่าอย่างไรทางหอโอสถตามหาหมอผู้นั้นเจอหรือไม่"หม่าจิ่นสือหันไปสอบถามคนของตน ภรรยาของเขามีแนวโน้มว่าจะตั้งครรภ์เป็นทารกแฝดและที่ยังไม่แน่ชัดกว่านั้นคือไม่แน่ใจว่าเป็นสองหรือสาม ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของนางจะอ่อนล้ามากจากการตั้งครรภ์ในคราวนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นมีบุตรชายผู้หนึ่งอยู่ก่อนแล้วเด็กคนนั้นปีนี้ก็ห้าขวบ การตั้งครรภ์ครั้งที่สองของภรรยาทำให้เขาเป็นกังวลเพราะไม่ว่าหมอคนใดก็กล่าวว่าเด็กในครรภ์นั้นไม่ยอมกลับตัว จะทำให้คลอดยากบางคนถึงกับเสียเลือดมากตายตกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่คลอด ต่อมาได้ยินข่าวลือว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีสตรีที่ตั้งครรภ์ฝาแฝดแล้วเด็กไม่ยอมกลับตัวทั้งยังดูเหมือนว่าจะเสียเลือดมาก หากแต่โชคดีได้หมอเทวดาผู้หนึ่งช่วยเอาไว้จึงทำให้คลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาต้องการตัวหมอผู้นั้นมาเพื่อช่วยทำคลอดให้กับภรรยาของเขาจึงได้พยายามควานหาตัวอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามปกปิดตัวตนของคนผู้นั้นทำให้ตามหาไม่พบสักที"เรียนนายท่าน ทางหอโอสถส่งคนมาแจ้งข่าวว่าตามหาหมอเทวดาผู้นั้นพบแล้วขอรับ""จริงหรือ?""จริงขอรับ? แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด พว
นางกลับเข้าเรือนก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจสตรีผู้นั้นอยู่บ้างหากแต่นางมิชื่นชอบวิธีการของหอโอสถ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดอีกและนางมั่นใจว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องการความช่วยเหลือจากนางจะต้องไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่!"เรียนนายหญิงคุณหนูน้อยตื่นแล้วเจ้าค่ะ จะให้บ่าวพาคุณหนูเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ""ไปพานางเข้ามาเถิด""เจ้าค่ะ"เกาหมัวมัวพาร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับห้องนอนของนาง ภายในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้นั่งดื่มชา เขียนอักษร อ่านหนังสือและพักผ่อนในช่วงกลางวัน แม้ว่าอากาศภายนอกจะร้อนอบอ้าวเพียงใดหากแต่ยามที่นั่งอยู่ในห้องนี้จะรู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก เมิ่งจิ่วซือพึ่งสังเกตเห็นถึงองศาของประตูและหน้าต่างโดยรอบต่างอยู่ในทิศทางลมทั้งสิ้น มิน่าเล่า! จึงได้เย็นสบายยิ่งนักแต่หากอยู่ในฤดูหนาวคงต้องปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด มิเช่นนั้นร่างกายคงจะต้องลมเย็นจนกระทั่งเป็นไข้ได้ง่ายตู๋กูรั่วหวาในตอนนี้ทั้งเดินเก่ง ทั้งพูดเก่ง แต่หญิงสาวสังเกตว่านางจะมีท่าทางสดใสร่าเริงเฉพาะเวลาอยู่กับมารดาหรือหมัวมัวอาวุโสเท่านั้น หากในยามปกติที่เด็กน้อยอยู่คนเ
ณ หมู่บ้านตระกูลเสิ่นชุยซินและสามีมาที่เรือนของเมิ่งจิ่วซือเพื่อกล่าวคำขอบคุณนางอีกครั้ง หลังจากที่ช่วยให้คลอดบุตรฝาแฝดทั้งสองออกมาอย่างปลอดภัย ร่างบางของชุยซินคุกเข่าลงพร้อมกับหมอบคารวะเมิ่งจิ่วซือที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณต่อนางและครอบครัว สองสามีภรรยาต่างซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเหล่าหลิ่วมีอาชีพล่าสัตว์และหาของป่าเลี้ยงชีพ เงินทองที่หาได้ก็ไม่ได้มากมายแต่เพราะความขยันจึงได้เก็บหอมรอมริบเพื่อสู่ขอชุยซินมาเป็นภรรยา เมื่อแต่งงานกันมาได้ห้าปีหญิงสาวก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที ครรภ์นี้เป็นครรภ์แรกทั้งยังเป็นฝาแฝดที่คลอดยาก หากไม่ได้เมิ่งจิ่วซือช่วยเหลือในคืนนั้นภรรยาของเขาคงได้เดินทางไปยังปรโลกแล้ว ยามนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเช่นกัน เขารักภรรยามากนางคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา ชายหนุ่มนั้นไร้บิดามารดา ญาติพี่น้องก็ล้วนรังเกียจที่เขายากจน มีเพียงชุยซินที่มองเห็นความดีของเขาทั้งยังไม่รังเกียจกัน ภรรยาที่แสนดีเพียงนี้ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็คงหาไม่พบอีกแล้ว"ข้าและภรรยาขอขอบคุณเมิ่งฮูหยินอีกครั้ง พระคุณในครั้งนี้หากมีโอกาสข้าและภรรยาย่อมต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอนขอรับ""
ในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พลันสายตาของหญิงสาวก็ไปตกกระทบลงที่ร่างเล็กของบุตรสาวที่แอบมองอยู่ตรงหน้าประตู เด็กน้อยโผล่ศีรษะออกมาแค่ครึ่งเดียวดวงตาเล็กราวกับพยายามที่จะจ้องมองบางสิ่งบางอย่างก่อนที่เมิ่งจิ่วซือจะมองตามสายตาของนางแล้วมาหยุดอยู่ที่ร่างอุ้ยอ้ายของหลิวฮูหยิน"หวาหวา เหตุใดลูกจึงมาอยู่ที่นี่หมัวมัวไปที่ใดแล้ว""ท่านแม่..." เด็กน้อยที่สวมชุดนอนก้าวออกมายืนอยู่หน้าประตู จุกซาลาเปาถูกคลายออกเส้นผมเล็กพลิ้วไหวไปตามแรงลม ก่อนที่จะเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้ามารดา"เด็กดี ไปนอนกลางวันก่อนประเดี๋ยวแม่จะตามเจ้าไป" ตู๋กูรั่วหวายังคงยืนนิ่ง ก่อนจะยกมือเล็กขึ้นจับที่ชายแขนเสื้อของมารดา ดวงตางดงามช้อนมองสีหน้าของมารดาอย่างประหม่า ก่อนจะเอ่ย"ท่านแม่ช่วยท่านน้าผู้นี้เถิดนะเจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจ"เด็กดีนี่คือเรื่องของผู้ใหญ่ แม่จะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง""ท่านแม่... ช่วยทำคลอดให้นางเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร" ประโยคท้ายแม้จะแผ่วเบาหากแต่เมิ่งจิ่วซือที่อยู่ใกล้กับบุตรสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน หญิงสาวถอนหายใจออกมาในเมื่อบุตรสาวเป็นคนขอร้องเช่นนั้นนางก็ควรที่จ
ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้หากแต่เมิ่งจิ่วซือก็ยังมีท่าทีที่สงบนิ่งราวกับไม่ทุกข์ร้อน ต่างจากมู่หลงเองที่เป็นบุรุษแต่กลับรู้สึกหวาดหวั่น แม้จะพยายามให้ความสนใจกับการฝังเข็มตรงหน้าเป็นสำคัญหากแต่เสียงอาวุธที่ตกกระทบกันอยู่ตลอดเวลาด้านนอกนั้นก็ทำให้สมาธิของเขากระเจิดกระเจิงไม่น้อยเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม องครักษ์ของเมิ่งจิ่วซือและเป่ยติ้งหรงอ๋องยังคงรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้เป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ยอมเลิกราเช่นกัน จนกระทั่งการถอนพิษเดินทางมาถึงในขั้นตอนสุดท้าย พิษกู่จำนวนมากถูกเข็มเงินขับไล่ให้หลั่งไหลออกมาในทิศทางเดียวกัน หนอนกู่ตัวเล็ก ๆ จำนวนไม่น้อยถูกหนอนเหมันต์กลืนกินจนขนาดตัวของมันใหญ่โตขึ้นและดูเหมือนว่าสีหน้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องจะไม่ค่อยดีนักเมิ่งจิ่วซือจึงได้ตัดสินใจที่จะเปิดปากแผลที่แขนของชายหนุ่มอีกแผลก่อนที่จะหยิบเอาหนอนเหมันต์ที่อยู่ในขวดแก้ว มาวางบนปากแผลของชายหนุ่มอีกตัวท่ามกลางสีหน้าตกใจของเขา"จะ เจ้า! เจ้าอาจจะถูกพิษ""ข้าไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยเช่นนั้นหากแต่ว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องยังคงมีสีหน้ากังวลใจและเมื่อปากแผลถูกเปิดออกถึงสองแผล ความเ
วังหลวงหลายเดือนก่อนเพล้ง!!!"สองพ่อลูกนั่นคิดจะถอนกู่งั้นหรือ?" เผิงฮองเฮาเอ่ยออกมาด้วยโทสะเมื่อได้รับรายงานจากองครักษ์ของนางว่าบุตรชายคนดีกับเยี่ยอ๋องคนรักเก่ากำลังคิดที่จะถอนพิษกู่"ขอฮองเฮาโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ" อู่หมัวมัวนางกำนัลคนสนิทของนางเอ่ยปลอบ"หึ พวกมันคงคิดว่าตนเองนั้นฉลาดมากกระมัง คิดจะทำร้ายข้าด้วยการถอนกู่งั้นหรือ? ช่างโง่งมนัก""เป็นเช่นนั้นเพคะ""วันนี้เจ้าจัดการเรียบร้อยดีแล้วหรือไม่?""บ่าวจัดการให้อาหารกู่นางพญาตามคำสั่งของท่านเรียบร้อยแล้วเพคะ""ดี! ถึงอย่างไรเผิงไทเฮากับข้าก็มีสายเลือดเดียวกัน เลือดของนางก็เหมือนเลือดของข้า โชคดีที่ยายเฒ่าลู่อาหลางให้ข้าย้ายกู่นางพญาออกมาแล้วใช้โลหิตของท่านป้าเลี้ยงดูมันตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขเช่นไร สองพ่อลูกนั่นคิดจะสังหารข้าจริง ๆ สินะ!""พระองค์จะทรงให้บ่าวจัดการเช่นไรดีเพคะ?""จัดการพวกมันทั้งคู่ อย่าให้พวกมันถอนกู่ได้สำเร็จ""บ่าวทราบแล้วเพคะ บ่าวจะเร่งให้คนของเราไปจัดการทันทีเพคะ""ให้ยายเฒ่าลงมือจัดการด้วยตนเอง ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น""เพคะ" นางกำนัลอาวุโสเดินออกจากตำหนักของเผิงฮองเฮาก่อนจะล
วันนี้เป็นวันเริ่มต้นการถอนพิษกู่ในวันแรกท่านหมอมู่เป็นผู้ฝังเข็มให้กับเป่ยติ้งหรงอ๋องและเยี่ยอ๋องด้วยตนเอง โดยมีเว่ยเหนียงเป็นผู้ช่วย การฝังเข็มกินเวลากว่าสามชั่วยามก่อนที่เข็มทุกเล่มจะถูกถอนออกในเวลาต่อมาแล้วให้ทั้งคู่ดื่มยาที่ถูกปรุงขึ้นแล้วพักผ่อนอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการถอนพิษทำให้ทั้งเป่ยติ้งหรงอ๋องและเยี่ยอ๋องหลังจากดื่มยาเสร็จจึงได้หลับไปในทันที ท่านหมอมู่สั่งให้องครักษ์เฝ้าดูแลเอาไว้ก่อนที่ตัวเขาจะออกมาพักผ่อนบ้างเช่นกัน"หากมีสิ่งใดผิดปกติให้รีบไปแจ้งข้าที่เรือนรับรองทันที" มู่หลงหันไปเอ่ยกับองครักษ์ส่วนตัวของเป่ยติ้งหรงอ๋องและเยี่ยอ๋อง"ขอรับ/ขอรับท่านหมอ"ในขณะเดียวกันห้องด้านข้างที่ถูกปรับแต่งให้เป็นห้องที่ใช้ต้มยานั้น เว่ยเหนียงเป็นผู้ดูแลหนอนเหมันต์ด้วยตนเองแต่ในขณะที่นางกำลังจะสัมผัสที่ตัวของมันหญิงสาวก็รับรู้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างก่อนจะรีบชักมือกลับในทันที มือขวาของหญิงสาวยกขึ้นทาบที่หน้าอกด้วยความตื่นตระหนกเพราะกลัวว่าจะเป็นเช่นที่คิดเอาไว้นี่คงไม่ใช่ว่านางถูกพิษของมันแล้วกระมัง? จะเป็นไปได้อย่างไรในวันที่จับมันมา นางยังสามารถทำได้อย่างสบายไม่
เว่ยเหนียงคอยสังเกตพฤติกรรมของสามีภรรยาที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่ให้คลาดสายตาก่อนที่จะเชื่อสนิทใจว่าคนทั้งคู่นั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนใกล้ที่จะแยกทางจากกันในเร็ววันนี้แล้วทางด้านเป่ยติ้งหรงอ๋องที่ได้ลงความเห็นและปรึกษากับมู่หลงว่าในวันพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นรักษาพิษกู่ทั้งของเขาและเยี่ยอ๋อง โดยให้ทั้งคู่พักฟื้นในห้องเดียวกันหากแต่แยกเตียงให้ไกลในระยะที่จะไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกถึงความเจ็บปวดได้"เช่นนั้นก็เริ่มลงมือในวันพรุ่งนี้เถิด" เป่ยติ้งหรงอ๋องกล่าว"ได้ ข้าจะให้เว่ยเหนียงเตรียมตัว แต่หากว่าท่านเปลี่ยนใจ...""ไม่ต้องหรอก""ข้าเองก็รู้สึกผิดหวัง อย่างไรก็ต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง" มู่หลงเอ่ยอย่างรู้สึกผิด"ไม่ใช่ความผิดของท่านแม้แต่น้อย เอาไว้จัดการเรื่องพิษแล้วเราค่อยพูดคุยเรื่องนี้กันภายหลังเถิด""ได้" หมอหนุ่มเอ่ยรับปาก หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องจากไปแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา หากไม่ใช่ว่านางเป็นคนที่สามารถจับหนอนเหมันต์ได้แล้วละก็เขาจะไม่มีวันพานางมาด้วยเด็ดขาด เว่ยเหนียงเป็นคนเช่นไรเขาที่เป็นศิษย์พี่ย่อมรู้ดีที่สุด เพียงแต่ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าในครั้งนี้หญิงสาวจะกล้าลงมือรุนแรงเ
รถม้าเคลื่อนตัวมาจอดเทียบยังหน้าเรือนในหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เมิ่งจิ่วซือกับบุตรสาวจับจูงมือกันเดินเข้ามาในเรือนก่อนจะพบกับร่างสูงของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่ยืนทำสีหน้าบึ้งตึงอยู่ แขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มไพล่หลังราวกับกำลังรอนางและบุตรสาวอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวที่เห็นท่าทางแปลกประหลาดของอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงแค่เลิกคิ้ว พร้อมกับนึกในใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นอีก"พวกเจ้าพาคุณหนูกลับเข้าเรือนไปแช่น้ำอุ่นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่" เมิ่งจิ่วซือหันมาเอ่ยกับสาวใช้ทั้งสองก่อนที่สาวใช้ทั้งสองจะพาเด็กน้อยเดินกลับไปยังเรือนนอนตู๋กูรั่วหวาหันมามองมารดาของนางเพียงครู่ก่อนจะหันกลับไป ดูท่าแล้วฤทธิ์ยานั่นคงจะเริ่มออกฤทธิ์แล้วท่านพ่อของนางจึงได้มีท่าทางเช่นนั้น ไม่รู้ว่าท่านแม่จะสามารถรับมือกับเขาได้หรือไม่? แม้ว่าจะรู้สึกเป็นห่วงมารดาอยู่บ้างแต่เด็กน้อยก็เชื่อในฝีมือของเมิ่งจิ่วซือ มารดาไม่เคยทำให้นางผิดหวังสักครั้งรอดูเถิดครั้งนี้ก็คงเช่นกัน เอาเป็นว่าคนที่น่าเป็นห่วงกลับกลายเป็นบิดาของนางเสียมากกว่า"ท่านอ๋อง" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยเรียกสามีเบา ๆ "วันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นที่อารามเช่นนั้นหรือ?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วคงจะเป็
ทางด้านเมิ่งจิ่วซือที่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับความว่างเปล่าบุตรสาวที่ควรอยู่ข้าง ๆ กลับหายไปท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านไปมา หัวคิ้วของนางขมวดแน่นก่อนจะเอ่ยถามสาวใช้ทั้งสองด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด"คุณหนูเล่า?" อาฉือและอาเป่าต่างมองหน้ากันก่อนจะหันมาส่ายหน้า ใบหน้าของพวกนางดูตกใจเป็นอย่างมากเมื่อครู่นางยังกำชับให้คุณหนูยืนรอตรงนี้ห้ามไปไหนอยู่เลย เหตุใดเผลอครู่เดียวคุณหนูของนางก็หายไปแล้วเสียเล่า"พวกเจ้ารีบสั่งให้คนของเราออกตามหาคุณหนูเร็วเข้า!" เมิ่งจิ่วซือสั่งการสาวใช้ทั้งสอง ก่อนที่ร่างบางจะรีบสาวเท้าก้าวออกจากห้องโถงใหญ่ของวัดในทันที ดวงตาของนางเฝ้าคิดว่าเจ้าตัวเปี๊ยกจะไปที่ใด ในขณะนั้นเองนางก็มองเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งเข้า เขาคือซ่งรั่วอี้สามีของชุยฟางขาข้างหนึ่งที่ไม่ดีทำให้ชายหนุ่มเดินได้อย่างเชื่องช้าในขณะที่ชุยฟางก็เอาแต่หันมาก่นด่าชายหนุ่มไม่หยุด เดิมทีนางอยากจะตามสองคนนั้นไปเพียงแต่ตอนนี้การตามหาบุตรสาวดูเหมือนว่าจะสำคัญยิ่งกว่า"แยกย้ายกันออกไปตามหาคุณหนูให้เจอ" เมิ่งจิ่วซือหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้ทั้งสอง ก่อนที่ตนเองจะเดินแยกออกไปอีกทาง ภายในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้เด็กน้อยอย่าได้บังเ
ก่อนจะถึงวันที่ต้องทำการรักษาเป่ยติ้งหรงอ๋อง ก็มีงานไหว้เทพเจ้าเดิมทีเมิ่งจิ่วซือต้องการใช้โอกาสบางอย่างเพื่อเข้าช่วยเยี่ยอ๋องหากแต่ในตอนนี้เนื้อเรื่องดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้วเมื่อเยี่ยอ๋องนั้นก็ดูจะคุ้นเคยกับบุตรสาวของนางเป็นอย่างมากก็คงจะหมดห่วงเสียทีแต่ยังคงมีอีกเรื่องที่นางไม่อาจวางใจนั่นก็คือการที่ซ่งรั่วอี้สามีของชุยฟางจะได้พบกับพระเอกของเรื่อง ก่อนที่อีกฝ่ายจะติดตามพระเอกไปยังแคว้นหนานเฉินด้วยกัน ภายหน้าคนผู้นี้จะกลายเป็นภัยต่อบุตรสาวของนางไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาวิธีไม่ให้สองคนนั้นได้พบหรือสร้างบุญคุณต่อกันเด็ดขาดนางพอจะจดจำได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดในช่วงตอนกลางวัน ก่อนจะสั่งให้สาวใช้ไปเตรียมตัวแล้วตั้งใจจะไปชักชวนสามีของนางให้ไปด้วยกัน ระหว่างทางที่เดินไปยังเรือนรับรองก็ได้พบกับชายหนุ่มกำลังยืนอยู่กับเว่ยเหนียง เมิ่งจิ่วซือกำลังจะเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่หากแต่อยู่ ๆ เว่ยเหนียงก็โผเข้ากอดร่างของเป่ยติ้งหรงอ๋อง เมื่อเห็นเช่นนั้นร่างบางจึงได้หยุดชะงักไม่ได้เดินเข้าไปใกล้อีกพร้อมกับเดินหันหลังจากมาทางด้านเว่ยเหนียงได้แต่ยกยิ้มก่อนจะผละออกจากร่างของชายหนุ่มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อ"ขออ
สำหรับการทานอาหารร่วมกันในวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ดูเหมือนว่าเยี่ยอ๋องนั้นจะมีความสุขเป็นอย่างมาก ส่วนตู๋กูรั่วหวาก็เป็นเด็กช่างรู้ความทั้งยังช่างเอาใจทำเอาคนแก่เช่นเยี่ยอ๋องยิ้มไม่หุบ แถมยังดูเหมือนว่าเขาจะทานอาหารได้มากกว่าปกติอีกด้วย หลังจากที่แยกย้ายกันหวาหวาอาสาเดินไปส่งท่านปู่ของนางด้วยตนเองทำให้เยี่ยอ๋องมีความสุขมาก ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูเข้ากันได้ดีกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้"พรุ่งนี้ปู่จะมารับเจ้า พวกเราไปเดินเล่นที่หุบเขาอีกฝั่งกันดีหรือไม่?" ตู๋กูรั่วหวาพยักหน้าก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำเอาหัวใจของผู้เป็นปู่มีความสุขเหลือล้น"ดีเจ้าค่ะ""ฮ่า ๆ เด็กดี ๆ เช่นนั้นพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน ปู่กลับละ""ท่านปู่เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ""เจ้าก็กลับเข้าไปได้แล้ว ระวังจะเป็นหวัด เจ้าพาท่านหญิงเข้าเรือนไปเสีย" เยี่ยอ๋องเอ่ยกับอาเป่าสาวใช้คนสนิทของหลานสาว"เพคะ" หญิงสาวรับคำก่อนจะรีบพาคนตัวเล็กกลับเข้าเรือนทันที เมื่อเดินเข้าเรือนมาเด็กน้อยก็เอ่ยขึ้น"ท่านอาเสิ่นไม่อยู่หรอกหรือ? เหตุใดตั้งแต่มาถึงที่นี่ข้าก็ไม่เห็นเขาแล้วล่ะ""บ่าวก็ไม่เห็นเช่นกันเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าคุณชายจะออกไปข้างนอกกระมัง
วันต่อมาดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อเยี่ยอ๋องจะมารับสำรับกลางวันพร้อมกันกับครอบครัวของเป่ยติ้งหรงอ๋อง เมิ่งจิ่วซือพยายามสรรหาเมนูแปลกใหม่ให้พวกเขาได้ลองลิ้มรสก่อนจะจบลงด้วยไก่ตุ๋นเครื่องเทศที่เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายส่วนในตอนเย็นก็จะเป็นหม้อไฟหม่าล่ารสจัดจ้าน หลังจากเตรียมอาหารเสร็จก็เหลือเวลาอีกมากหญิงสาวจึงได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องย้อนกลับไปเมื่อคืนที่ผ่านมานางเฝ้าคิดหาวิธีในการจัดการกู่นางพญาจึงได้ตัดสินใจเข้าไปในช่องว่างมิติแล้วได้พบกับภูตน้อยจื่อรั่วอีกครั้ง