ย้อนกลับไปยังต้นตระกูลเมิ่งในกาลก่อน
นับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนบรรพชนตระกูลเมิ่งได้มีบุญคุณต่อผู้เป็นใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อรักษาอีกฝ่ายจนกระทั่งหายดี ของวิเศษนี้จึงถูกมอบให้แก่บรรพชนตระกูลเมิ่ง หากแต่ต้องแลกมาด้วยสัญญาเลือดที่ความลับนี้จะต้องมีเพียงทายาทที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานของวิเศษได้ และหาก ว่าต้องการส่งต่อของวิเศษนี้แก่ทายาทรุ่นต่อไป หลังจากที่ส่งมอบแล้วผู้ส่งมอบจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและความลับนี้จะต้องกลายเป็นความลับตลอดกาล
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนั้นคือสิ่งใด หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดความหวาดระแวงไม่น้อย คนตระกูลเมิ่งราวกับต้องคำสาป ในทุก ๆ รุ่นจะมีทายาทที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นตระกูล จนกระทั่งหลายปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งผู้เป็นท่านปู่ของเมิ่งจิ่วซือได้จากไป ตระกูลเมิ่งก็หลงเหลือนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวสิ้นสุดนับจากนี้
เมิ่งจิ่วซือได้รับราชโองการให้แต่งงานกับตู๋กูหรงเซ่อพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้แคว้นต้าซ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเมิ่งนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่และถึงแม้ว่าจะเหลือเมิ่งจิ่วซือเป็นทายาทคนสุดท้ายทั้งยังเป็นสตรี แต่พวกเขาก็ยังคงหวาดระแวง
เมิ่งจิ่วซือมิอาจทอดทิ้งคนของนางได้จึงต้องยอมรับราชโองการนี้อย่างไม่เต็มใจ แต่ถึงไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจแสดงออก แม้ว่าจะไม่มีเก้าชั่วโคตรให้ประหารหากแต่คนใต้บัญชาของนางนับร้อยนับพันจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในคืนเข้าหอนางนั้นรู้ดีว่าเขาฝืนใจมากเพียงใดแม้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างไม่ได้รุนแรงมากนักหากแต่ราวกับเขากำลังปฏิบัติอยู่กับก้อนหินต้นไม้ ช่างไร้หัวใจสิ้นดี ที่ทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าต้องการให้นางมีทายาทหรอกหรือ ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้กับทายาทและเขารู้ว่านางจะไม่มีวันมอบมันให้กับเขาแต่นางจะต้องมอบของสิ่งนั้นส่งต่อให้กับบุตรของนางอย่างแน่นอน
ตู๋กูหรงเซ่อคาดการณ์ได้แม่นยำนักและที่เมิ่งจิ่วซือยินยอมให้เป็นไปตามแผนการของเขาก็เพราะนางเองก็รู้สึกเหงามาก ตระกูลเมิ่งควรมีทายาทสักคนจริง ๆ ถึงอย่างไรนางก็ต้องขอบคุณเขาไม่น้อยที่ได้มอบตู๋กูรั่วหวาที่เป็นดั่งดวงใจมาให้นาง เพราะเด็กน้อยคือเหตุผลเดียวที่ทำให้นางอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้
จะเรียกว่าเขาหลอกใช้นางเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนักเพราะนางเองก็หลอกใช้เขาเพื่อทำให้มีทายาทให้กับตระกูลเมิ่งเช่นเดียวกัน นับว่าทั้งสองได้บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว
ในวันหนึ่งที่นางดูแลบุตรอยู่ในเรือน อยู่ ๆ ก็ได้รับรายงานว่ามีนักฆ่าต้องการจัดการเอาชีวิตนาง คนเหล่านั้นคงจะอดรนทนไม่ได้เสียแล้วกระมังจึงคิดที่จะกำจัดนางเพื่อแย่งชิงเอาของวิเศษชิ้นนั้นไปให้ได้ แต่พวกเขาไม่เคยรู้ว่าสัญญาเลือดจะเป็นผลมีเพียงทายาทที่แท้จริงที่ถูกส่งมอบของวิเศษโดยทายาทคนก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานมันได้ พวกเขาคิดว่าหากนางตายของวิเศษชิ้นนั้นจะต้องตกเป็นของพวกเขาอย่างง่ายดาย ช่างน่าขันยิ่งนัก!
ในวันที่นักฆ่ากว่าร้อยคนปะทะกับคนของนางนั้น นางเองก็สูญเสียมือดีไปไม่น้อย ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่สองมือหรือจะสู้หลายมือ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะลงมือปกป้องตนเองได้ไม่ยากแต่ในตอนนี้ในอ้อมแขนของนางมีบุตรสาวอยู่ นางไม่อาจเสี่ยงให้เด็กน้อยบาดเจ็บ แม้ในตอนสุดท้ายที่จะต้องเลือกนางก็มิอาจทำให้บุตรสาวของนางเกิดรอยขีดข่วนได้แม้เพียงปลายเล็บ ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงจากหน้าผาที่สูงชันทั้งด้านล่างก็เป็นแม่น้ำลึก เมิ่งจิ่วซือรู้ว่านางสามารถขอพรกับของวิเศษได้และการส่งมอบนี้จะทำให้บุตรสาวของนางรอดชีวิต บุตรสาวของนางจะไม่ตายแม้ว่าต้องแลกกับชีวิตของเมิ่งจิ่วซือเองก็ตาม
ภายหลังจากที่สองแม่ลูกนั้นกระโดดลงจากหน้าผาแล้ว ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งควบม้ามาแล้วจัดการสังหารนักฆ่าเหล่านั้นทั้งหมด ก่อนจะเหลือไว้เพียงคนเดียวเพื่อใช้สอบสวน แววตาของเขาดำมืดลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นรอบกายของเขามักจะมีไอสังหารแผ่ออกมาอยู่เสมอ แต่กระนั้นความหล่อเหลาที่ราวกับหยกสลักชั้นเลิศก็มักทำให้เหล่าบุปผาต้องการเข้าใกล้เขา แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตแต่ดูเหมือนว่าใบหน้านี้จะหลอกล่อให้ผู้คนเหล่านั้นถึงกับยอมตายได้เพื่อมัน
"นายท่านจะให้คนของเราตามลงไปดูหรือไม่ขอรับ"
"ไม่ต้อง! นางเลือกแล้วเช่นนั้นก็ปล่อยนางไปเถิด"
"แต่ท่านหญิงน้อย..."
"นางไม่มีวันปล่อยให้เด็กคนนั้นตาย" เหล่าองครักษ์ต่างเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นายท่านของพวกเขาเป็นคนไร้หัวใจเพียงใดเรื่องนี้พวกเขาต่างรู้ดี แม้ตลอดมาจะปฏิบัติต่อพระชายาเป็นอย่างดีหากแต่หาได้มีความรู้สึกร่วมด้วยไม่
พระชายากับท่านหญิงน้อยตกลงไปยังเบื้องล่างจากที่สูงถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่อยากจะจินตนาการต่อเลยแม้แต่น้อยว่าทั้งคู่จะตกอยู่ในสภาพใด ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก!
และด้วยพลังความรักของผู้เป็นมารดาแม้ว่าวิญญาณจะมอดม้วยหากแต่สุดท้ายตายเหมือนกับไม่ตาย ชีวิตที่ราวกับได้เกิดใหม่ของหว่านหว่านวิญญาณของนางได้เข้ามาแทนที่ร่างนี้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่รุ่นบรรพชนของตระกูลเมิ่งยังไม่เคยเกิดกรณีนี้ขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับว่าสวรรค์ยังเมตตาหรืออาจจะเป็นเพราะต้องการให้นางหยุดยั้งเหตุการณ์ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าด้วยน้ำมือของนางร้ายอันดับหนึ่ง
จิตใจที่ตายด้านของหญิงสาวทั้งยังถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ไร้รัก ไร้คนห่วงใยที่แท้จริง ก่อนที่นางจะลงมือสังหารคนทั้งหมดบนโลกใบนี้ด้วยพรข้อสุดท้ายของนางแม้แต่ดวงจิตเพียงเสี้ยวก็ยังแตกดับ
หว่านหว่านคือผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงความเลวร้ายนั้นมิให้เกิดขึ้น นางจะต้องกล่อมเกลาเด็กน้อยผู้ใสซื่อให้เติบโตมาเป็นเด็กสาวที่จิตใจดี
ณ ค่ายพยัคฆ์คำราม
"คารวะท่านอ๋อง"
"รายงานมา"
"มีคนช่วยเหลือพระชายาและท่านหญิงน้อยขอรับ"
"ผู้ใดงั้นหรือ?"
"เป็นคนตระกูลเสิ่นขอรับ"
"รายงานทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง อย่าได้ตกหล่นแม้เพียงเรื่องเดียว"
"แล้วพระชายากับท่านหญิงน้อย..."
"ให้คนคอยจับตามองอยู่ห่าง ๆ ก็พอ อย่าให้คนของนางรู้ตัว" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ขอรับ"
"พวกมันสารภาพแล้วหรือยัง?"
"ยังขอรับ"
"เช่นนั้นก็ทรมานพวกมันต่อไปจนกว่ามันจะพูดออกมา อย่าให้มันตายเด็ดขาด หาหมอเข้าไปรักษาพวกมัน"
"ข้าน้อยทราบแล้ว" ขณะที่หวั่นอี้กำลังจะหันหลังจากไป
"ช้าก่อน!"
"ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะกล่าวหรือขอรับ" ตู๋กูหรงเซ่อชะงักเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลังเลไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกไปหรือไม่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วโบกมือไล่อีกฝ่าย
หวั่นอี้ที่เห็นนายท่านของตนทำเหมือนอยากจะกล่าวบางอย่างหากแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมาจึงได้ถือวิสาสะรายงาน
"พระชายาและท่านหญิงน้อยสบายดีขอรับ ดูเหมือนจะดีกว่าตอนที่อยู่ในตำหนักอ๋องเสียอีก"
"ผู้ใดอยากจะรู้กัน! เปิ่นหวางสั่งให้เจ้ารายงานแล้วงั้นหรือ? แล้วที่นั่นมีอันใดดีกว่าตำหนักอ๋องของเปิ่นหวางหรือเจ้าคิดว่าเปิ่นหวางดูแลนางไม่ดีเท่ากับเจ้าหนุ่มหน้าเหม็นตระกูลเสิ่นนั่น เช่นนั้นหรือ?"
"ข้าน้อยมิกล้า! เพียงแต่..."
"ช่างเถอะ เจ้าไปได้แล้ว!"
"ขอรับ" หวั่นอี้รู้สึกหนาวที่สันหลังอย่างบอกไม่ถูก เห็นอยู่ว่าท่านอ๋องอยากจะรู้เพียงแต่ไม่อยากจะถามหากว่าเขาทำเกินหน้าที่จริง ๆ ป่านนี้ถูกลากออกไปโบยตั้งนานแล้ว
"พวกเจ้าจัดกลุ่มออกไปคุ้มกันพระชายาและท่านหญิงน้อยอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด หากมีความคืบหน้าใดให้รีบรายงานห้ามปล่อยผ่านแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าใจหรือไม่?"
"ข้าน้อยทราบแล้ว!"
"ดี! ไปได้แล้ว"
หวั่นอี้เหลือบมองเข้าไปในกระโจมของนายท่านก่อนจะถอนหายใจ หากชายหนุ่มเอ่ยว่าแค่ดูแลพอเป็นพิธีนั่นย่อมหมายถึงหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับอีกฝ่ายพวกเขาย่อมต้องรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ เช่นที่เกิดเรื่องเมื่อครั้งก่อนองครักษ์ที่ละเลยเพราะไม่เข้าใจในคำสั่งถึงกับถูกลงโทษจนกระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อจนบัดนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้
ย่อมต้องดูแลอย่างพอเป็นพิธีจริง ๆ สินะ
เช้าวันต่อมาหว่านหว่านให้คนของนางเตรียมของฝากนางตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย หากแต่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือนเสียก่อน"เกิดอันใดขึ้นหรือ?""เรียนนายหญิง ท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ""ขอพบข้าหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า"ชายชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าร่างกายของเขายังแข็งแรง ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนด้วยความเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทำความเคารพเมิ่งจิ่วซือ"คารวะนายหญิงเมิ่ง ข้าน้อยลู่ถงเป็นผู้นำหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแห่งนี้ขอรับ"หว่านหว่านเลิกคิ้วนางพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เช่นนั้น... มิน่าเล่า"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองกำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนท่านอยู่พอดี ไม่คิดว่าจะต้องให้ท่านแวะมาก่อนช่างเสียมารยาทนัก""มิกล้า ๆ นายหญิงเมิ่งอย่าได้คิดมาก อย่างไรก็ต้องมาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้ว" หญิงสาวพอใจในท่าทีของชายชราก่อนจะส่งสัญญาณให้ไห่หมัวมัวนำของขวัญแรกพบมามอบให้กับชายชรา"นี่เป็นของขวัญพบหน้า ขอท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ""เช่นนี้จะดีหรือ?""ย่อมดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ""เ
ปัง! เพล้ง!"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย""หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึงเป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่ง
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ"แอ้!""คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอนนางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ""มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออก
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ผ่านเข้าสู่ปลายฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวที่สีเหลืองทองอร่ามถูกเก็บเกี่ยวออกจากต้นเหลือไว้เพียงต้นตออากาศที่เริ่มเย็นเช่นนี้ต้องได้กินหม้อไฟถึงจะดี ว่าแต่วันนี้ลงมือทำหม้อไฟก็ดีไม่น้อย หว่านหว่านเอ่ยเรียกสาวใช้อย่างอาฉือ หากจะทำหม้อไฟก็ควรเข้าเมืองไปเดินหาเลือกซื้อของที่ตลาดเสียหน่อยเมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้วจึงออกเดินทางไปยังตลาดโดยมีอาฉือและองครักษ์จางติดตามไปด้วย หมู่บ้านตระกูลเสิ่นห่างออกไปจากตัวอำเภอราวหนึ่งชั่วยาม ภายในตัวอำเภอไท่อู่มีตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก หญิงสาวใช้เวลาเดินตลาดนานกว่าครึ่งวันเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับข้าวของที่แปลกตา ทั้งยังหาซื้อของฝากไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก มองดูสิ่งใดก็น่าซื้อหาไปหมดภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้จึงได้รู้ว่ารถม้าของนางไม่อาจบรรจุข้าวของได้มากเกินกว่านี้แล้ว"เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะให้บ่าวไปจ้างรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือหันไปมองหน้าสาวใช้ รู้สึกว่าวันนี้อาฉือของนางพูดได้ดียิ่ง"เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการเถิด"หลังจากเอ่ยให้สาวใช้ไปว่าจ้างรถม้าอีกคันมาเพื่อขนข้าวของ ส่วนนางก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะสวมหมวกคลุมหน้าจึงทำให้นางเดิ
เมื่อกลับถึงเรือน นางก็ต้องแปลกใจเมื่อที่เรือนต่างดูวุ่นวายกันไปหมด สีหน้าร้อนรนของสาวใช้อาวุโสทั้งสองทำให้นางต้องเลิกคิ้ว สัญชาตญาณกำลังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้อาวุโสทั้งสอง"คุณหนูน้อยหายไปเจ้าค่ะ บ่าวสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ""หายไป? ตั้งแต่เมื่อใด" หว่านหว่านเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หัวคิ้วของนางขมวดยุ่งเป็นปม"ราว ๆ สักชั่วยามได้แล้วเจ้าค่ะ""หาดีแล้วหรือ? ในตู้ ใต้เตียงเล่า หาแล้วหรือยัง?""ยะ ยังเจ้าค่ะ""เช่นนั้น ก็แยกย้ายกันหาอีกรอบเถิด""เจ้าค่ะ"ทุกคนในเรือนรวมถึงองครักษ์เงาของเมิ่งจิ่วซือถูกสั่งให้ตามหาตู๋กูรั่วหวาจนทั่ว หากแต่ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่เจอเด็กน้อยอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกใจเสีย ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะเป็นเช่นไร หรือว่าจะมีคนจับตัวบุตรสาวของนางไปหากแต่เมื่อสอบถามเหล่าองครักษ์แล้วก็ไม่พบคนแปลกหน้าเข้าออกแต่อย่างใดอาจเพราะเจ้าตัวเปี๊ยกกำลังอยู่ในช่วงเดินเก่งใหม่ ๆ จึงชอบไปแอบซุกตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพราะนึกว่าเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของนางตามหากันอีกครั้งคราวนี้ขยายวงกว้างอ
เช้าวันต่อมาก็เป็นอีกวันที่เจ้าตัวเปี๊ยกเอาแต่เกาะติดนางไม่หยุด ทั้งเล่นทั้งหัวเราะ ทำเอาทั้งเรือนสดใสไปหมดในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังเดินไปมาในห้องเด็กน้อยก็แกล้งวิ่งเข้ามาเกาะขาทั้งสองข้างของนางก่อนจะใช้ก้นเล็กนั่งทับไปที่หลังฝ่าเท้า ยามที่หญิงสาวเดินไปมาร่างเล็กของเจ้าตัวเปี๊ยกก็ถูกลากไปด้วยเกิดเป็นภาพที่ตลกขบขันของเหล่าสาวใช้ เด็กน้อยเองก็รู้สึกสนุกสนานเอาแต่หัวเราะร่าไม่หยุด แม้ว่าน้ำหนักของบุตรสาวจะเริ่มมากขึ้นและค่อนข้างหนักหากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกของเด็กน้อย นางก็อดที่จะทำตามใจบุตรสาวไม่ได้เลย"หวาหวาเจ้าคงเหนื่อยแล้ว หมัวมัวพานางไปอาบน้ำเสียหน่อยเล่นมาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเวลานอนกลางวันเสียที""เจ้าค่ะนายหญิง" สองบ่าวอาวุโสที่ตอนนี้แทบจะยึดเด็กน้อยเอาไว้กับตัวไม่ห่างพาร่างเล็กหายเข้าไปหลังฉากกั้น น้ำอุ่นถูกยกเข้ามาเติมก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นหลังฉากกั้นอีกครั้งในแต่ละครั้งกว่าสองบ่าวจะอาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยเสร็จก็กินเวลาไปกว่าสองเค่อ เพราะเจ้าเด็กน้อยเอาแต่เล่นสนุกไม่เลิกเสียที เล่นทีก็หัวเราะทีทำเอาสองบ่าวถึงกับยิ้มตามไม่หยุดแต่หากจะขัดใจให้เลิกเล่น อีกฝ่า
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย