"นะ นี่มัน!" ความยิ่งใหญ่อลังการเกินจะกล่าวของสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าทำเอาหว่านหว่านเข่าแทบทรุด ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ
"นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ"
สิ่งที่ปรากฏให้นางเห็นตรงหน้าก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีเงินทองกองอยู่เป็นภูเขา มากมายขนาดนี้ต่อให้ใช้ก่อตั้งราชวงศ์ก็คงจะร่ำรวยไปอีกหลายร้อยปี หว่านหว่านลองหยิบก้อนทองร้อยตำลึงขึ้นมา ก่อนที่นางจะใช้ฟันหน้าของนางลองกัดดูเพื่อพิสูจน์ในขณะที่ก้อนทองคำถูกหยิบออกจากหีบมาอยู่ในมือของนาง ทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่ หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะลองพิสูจน์ด้วยการหยิบทองขึ้นมาสองก้อนเพียงไม่นานทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่! ดวงตาของนางเบิกกว้างแล้วคิดในใจว่า นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วจริง ๆ
"ให้ตายเถอะ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ใช้ไปอีกสิบชาติก็คงไม่มีทางหมดแน่"
ระหว่างนั้นก็ปรากฏภูตตัวน้อย ขนาดเท่ากับฝ่ามือของนางโผล่ออกมา ภูตน้อยมีปีกคล้ายผีเสื้อทั้งยังบินได้
"เจ้าเป็นใครน่ะ!" หว่านหว่านถึงกับสะดุ้งก่อนจะเอ่ยถามไปด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
"ข้าคือภูตผู้ดูแลความลับของตระกูลเมิ่ง เจ้าคือเมิ่งจิ่วซือ ไม่ใช่สิ! ร่างคือเมิ่งจิ่วซือแต่วิญญาณนั้นไม่ใช่"
"เจ้ารู้!"
"ข้าต้องรู้อยู่แล้วเพราะข้าเป็นคนนำเจ้ามายังที่แห่งนี้"
"เพราะเหตุใด? เหตุใดต้องพาข้ามาที่นี่"
"เป็นเพราะคำขอสุดท้ายของทายาทตระกูลเมิ่ง เมิ่งจิ่วซือได้ขอพรหนึ่งข้อแลกกับชีวิตของนางเพื่อปกป้องตู๋กูรั่วหวา ประจวบเหมาะกับเจ้าที่มีดวงชะตาต้องกันกับนาง เจ้าตายเพราะปกป้องเด็กผู้หนึ่งเช่นกัน ข้าก็เลยเลือกเจ้า"
เลือกง่าย ๆ แบบนี้เลย อย่างกับจิ้มข้อสอบแน่ะ หว่านหว่านได้แต่แอบบ่นในใจ
"เจ้าได้โอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ส่วนเมิ่งจิ่วซือก็ได้รับพรสมดั่งปรารถนา"
"อ่อ... นับว่าไม่ผิด" หญิงสาวเอ่ยออกมา ที่ภูตตนนี้กล่าวมานับว่าไม่ผิดนัก
"ต่อจากนี้ ตู๋กูรั่วหวาคือทายาทตระกูลเมิ่ง นางจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้งานหยกประดับและกำไลหยกคู่นี้ได้ ส่วนเจ้าสามารถใช้เงินทองเหล่านี้ได้เพียงอย่างเดียว"
"ยังสามารถทำอย่างอื่นได้อีกหรือ เช่นอะไรบ้างเล่า? เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่" หว่านหว่านแกล้งถามออกไป
"ไม่ได้! เรื่องนี้จะต้องเป็นความลับระหว่างข้าภูตผู้ดูแลกับทายาทที่แท้จริงเท่านั้น เดิมทีหากมีการส่งต่อกุญแจแล้วละก็ทายาทผู้ส่งต่อจะต้องตาย เพียงแต่ในกรณีนี้ค่อนข้างพิเศษและเดิมทีเมิ่งจิ่วซือตัวจริงก็ตายจากไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็มีหน้าที่ไม่ต่างจากข้านั่นคือการดูแลทายาทที่แท้จริงของตระกูลเมิ่ง"
"ข้า เอ่อ ข้าใช้เงินทองของพวกนี้ได้จริงหรือ?"
"แน่นอนว่าจริงและเจ้าจะใช้มากเท่าใดก็ย่อมได้ เพราะมันจะไม่มีวันหมดไป"
"เจ๋งโคตร ๆ"
"เจ้ากำลังว่ากระไรนะ!"
"เปล่า ไม่มีอะไร เช่นนั้นข้าจะทำหน้าที่เก็บกุญแจนี้เอาไว้ให้หวาหวาจนกว่านางจะโตก็แล้วกัน"
"อื้ม ก็ตามนั้นแหละ" ภูตตัวน้อยกล่าว
หลังจากบทสนทนาจบลงหญิงสาวก็กลับออกมาในโลกความจริงอีกครั้ง แม้จะงุนงงสับสนไปบ้างแต่ก็ตามที่ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนี้นางไม่มีสิทธิ์ได้รู้หรือได้ใช้งาน มีเพียงตู๋กูรั่วหวาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ได้รับสิทธิ์ได้ใช้เงินทองเหล่านั้นละนะ แต่เงินทองมากมายกับโลกยุคนี้มันช่างขัดใจนางจริง ๆ แล้วนางจะไปซื้ออะไรได้ เฮ้อ! นี่มันทำร้ายกันทางอ้อมชัด ๆ ตอนนี้หว่านหว่านเริ่มรู้ซึ้งแล้วว่าการมีเงินมากมายแต่ไม่รู้จะซื้ออะไรนั้นมีความรู้สึกเช่นไร ความลำบากใจของคนรวยมันเป็นแบบนี้นี่เอง
แอ้! แอ้!
เสียงร้องเรียกดังขึ้นเบา ๆ เจ้าตัวเปี๊ยกได้เวลาตื่นแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงก่อนจะพบสีหน้าไม่ค่อยดีของเด็กน้อย ใบหน้าบิดเบี้ยวบึ้งตึงที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจละลาย ก่อนจะคลำดูแล้วพบว่าผ้าอ้อมเปียกชื้นไปหมด นางเดินไปที่หีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะนำชุดใหม่ออกมา จากนั้นก็พาร่างเล็กหายไปที่หลังฉากกั้น เด็กน้อยถูกจับวางลงในถังไม้ขนาดพอดีตัวโดยมีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะถูกจับพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อชำระล้างร่างกายจนทั่ว แล้วถูกจับยกขึ้นก่อนที่หว่านหว่านจะกลั่นแกล้งนางด้วยการทำท่าทางสะบัดสลัด เด็กน้อยหัวเราะร่าเสียงดังแล้วถูกพันร่างจนคล้ายมัมมี่ก่อนจะเดินออกมาจากหลังฉากกั้น
"นายหญิงอาบน้ำให้คุณหนูหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่เรียกบ่าว" ไห่ หมัวมัวที่ได้ยินเสียงหัวเราะของตู๋กูรั่วหวาจึงได้รีบเดินจากโรงครัวมาที่ห้อง แล้วพบว่านายหญิงกำลังอาบน้ำให้คุณหนูอยู่
"ไม่เป็นไร เจ้ามีอันใดก็ไปทำเถิดเรื่องของหวาหวาเดี๋ยวข้าจัดการเอง"
"เจ้าค่ะ เอ่อ... คุณหนูยังเล็กอาจยังต้องดื่มนม แต่ที่เรือนไม่มีแม่นม นายหญิงจะให้บ่าวหาแม่นมสักคนเอาไว้ช่วยเลี้ยงดูคุณหนูหรือไม่เจ้าคะ ก่อนหน้านี้ที่นายหญิงยังหมดสติอยู่บ่าวใช้นมแพะดูแลนางชั่วคราว แต่เด็กเล็ก ๆ ควรต้องดื่มนมแม่จึงจะเป็นการดีต่อคุณหนูเจ้าค่ะ" หว่านหว่านหน้าตึงขึ้นมาทันที นางหลงลืมไปเลยว่าเจ้าตัวเปี๊ยกพึ่งจะหกเดือนเท่านั้น เด็กน้อยยังต้องดื่มนมอยู่ คิดเช่นนั้นก็ได้แต่ก้มลงมองดูร่างของเมิ่งจิ่วซือ มิน่าเล่านางจึงรู้สึกคัดที่หน้าอกเป็นอย่างมากเพราะถึงเวลาดื่มนมของเด็กน้อยแล้วนี่เอง จากที่สังเกตน้ำนมของหญิงสาวมีค่อนข้างมากและตลอดมาเนื่องจากป้องกันการถูกวางยาพิษ เมิ่งจิ่วซือจึงได้ให้นมบุตรเองมาโดยตลอด
"ไม่ต้องหรอก ข้าจะให้นางดื่มนมของข้าเอง"
"เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปทำอาหารที่โรงครัวก่อน"
"อื้ม ไปเถอะ"
หว่านหว่านจับเด็กน้อยแต่งตัวก่อนจะอุ้มนางเพื่อเข้าเต้าแม้จะดูเงอะงะอยู่บ้างในตอนแรกแต่เพราะเคยทำงานพิเศษช่วงปิดเทอมในแผนกเด็กเล็กทำให้พอจะคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย มือน้อย ๆ ปัดป่ายที่หน้าอกของนางพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตากินไม่หยุด กินจุแบบนี้นี่เองถึงได้ตัวกลมดิ๊กเชียว หญิงสาวได้แต่คิดในใจอย่างเอ็นดู แก้มป่อง ๆ ในยามที่ดูดนมนั้นทำเอานางรู้สึกเห็นแล้วใจละลายเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะนึกไปถึงผู้เป็นบิดาที่แท้จริงหากชายหนุ่มได้มาเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของบุตรสาว เขาจะรักนางขึ้นมาบ้างหรือไม่นะ?
คนเขียนเองก็ใจร้ายยิ่งนัก บทพิสูจน์ของนางร้ายในเรื่องนี้นั้นหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง นางไม่ควรจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เด็กน่ารักเช่นรั่วหวาควรจะได้เติบโตขึ้นมามีชีวิตที่สดใสต่างหากจึงจะถูกต้อง
"ต่อจากนี้ข้าจะดูแลเจ้า จะเป็นมารดาให้กับเจ้าเองเจ้าตัวเปี๊ยก"
นานกว่าสองเค่อที่เด็กน้อยกินนมจนกระทั่งอิ่ม ดวงตากลมโตฉ่ำปรือจนกระทั่งหลับไปในที่สุด หญิงสาวค่อย ๆ วางเด็กน้อยลงบนเตียงพร้อมกับปูผ้าเพิ่มอีกชั้น ก่อนจะห่มผ้าให้นางแล้วหันกลับมาดูแลตนเองหลังอาบน้ำเสร็จ ไห่หมัวมัวก็ตั้งสำรับเสร็จพอดี อาหารมีเพียงสองอย่างเป็นน้ำแกงเห็ดและผัดขิงใส่เห็ดเพื่อบำรุงเลือดลมของมารดาเช่นนาง
"นายหญิงจะทานเลยหรือไม่เจ้าคะ"
"กินเลยก็แล้วกันจะได้พักผ่อน"
"คืนนี้ให้บ่าวพาคุณหนูไปดูแลดีหรือไม่เจ้าคะ นางจะได้ไม่กวนท่านกลางดึก"
"ไม่เป็นไร ให้นางนอนกับข้านี่ละ เจ้าเองก็ควรพักผ่อนบ้างขอบคุณที่ดูแลพวกเราสองแม่ลูกมาหลายวัน คงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย"
"มิได้เจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของบ่าว"
หว่านหว่านเป็นคนที่ทานอาหารเร็วเพียงเค่อนางก็กินข้าวเสร็จ ไห่หมัวมัวทำหน้าที่เก็บสำรับออกไปก่อนจะปล่อยให้หญิงสาวได้พักผ่อน
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหญิงสาวก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด นางอยากจะทำโน่นทำนี่ เพียงแต่ความสว่างจากเทียนไขช่วยอะไรไม่ได้มาก ทำได้เพียงรอให้ถึงตอนเช้าเสียก่อน ค่อยอาศัยแสงสว่างในตอนกลางวันลงมือทำในสิ่งที่อยากจะทำ
พรุ่งนี้นางคงจะต้องเริ่มทักทายเพื่อนบ้านและหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่เสียหน่อย ในยามมีปัญหาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ย่อมต้องทำความรู้จักคุ้นเคยเอาไว้บ้าง
ร่างบางล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เด็กน้อย ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นจริง ๆ แล้วสินะ บททดสอบต่อไปจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้างนางก็สุดจะรู้ได้
ย้อนกลับไปยังต้นตระกูลเมิ่งในกาลก่อนนับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนบรรพชนตระกูลเมิ่งได้มีบุญคุณต่อผู้เป็นใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อรักษาอีกฝ่ายจนกระทั่งหายดี ของวิเศษนี้จึงถูกมอบให้แก่บรรพชนตระกูลเมิ่ง หากแต่ต้องแลกมาด้วยสัญญาเลือดที่ความลับนี้จะต้องมีเพียงทายาทที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานของวิเศษได้ และหาก ว่าต้องการส่งต่อของวิเศษนี้แก่ทายาทรุ่นต่อไป หลังจากที่ส่งมอบแล้วผู้ส่งมอบจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและความลับนี้จะต้องกลายเป็นความลับตลอดกาลไม่มีผู้ใดรู้ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนั้นคือสิ่งใด หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดความหวาดระแวงไม่น้อย คนตระกูลเมิ่งราวกับต้องคำสาป ในทุก ๆ รุ่นจะมีทายาทที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นตระกูล จนกระทั่งหลายปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งผู้เป็นท่านปู่ของเมิ่งจิ่วซือได้จากไป ตระกูลเมิ่งก็หลงเหลือนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวสิ้นสุดนับจากนี้เมิ่งจิ่วซือได้รับราชโองการให้แต่งงานกับตู๋กูหรงเซ่อพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้แคว้นต้าซ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเมิ่งนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่และถึงแม้ว่าจะเหลือเมิ่งจ
เช้าวันต่อมาหว่านหว่านให้คนของนางเตรียมของฝากนางตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย หากแต่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือนเสียก่อน"เกิดอันใดขึ้นหรือ?""เรียนนายหญิง ท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ""ขอพบข้าหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า"ชายชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าร่างกายของเขายังแข็งแรง ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนด้วยความเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทำความเคารพเมิ่งจิ่วซือ"คารวะนายหญิงเมิ่ง ข้าน้อยลู่ถงเป็นผู้นำหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแห่งนี้ขอรับ"หว่านหว่านเลิกคิ้วนางพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เช่นนั้น... มิน่าเล่า"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองกำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนท่านอยู่พอดี ไม่คิดว่าจะต้องให้ท่านแวะมาก่อนช่างเสียมารยาทนัก""มิกล้า ๆ นายหญิงเมิ่งอย่าได้คิดมาก อย่างไรก็ต้องมาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้ว" หญิงสาวพอใจในท่าทีของชายชราก่อนจะส่งสัญญาณให้ไห่หมัวมัวนำของขวัญแรกพบมามอบให้กับชายชรา"นี่เป็นของขวัญพบหน้า ขอท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ""เช่นนี้จะดีหรือ?""ย่อมดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ""เ
ปัง! เพล้ง!"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย""หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึงเป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่ง
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ"แอ้!""คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอนนางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ""มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออก
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ผ่านเข้าสู่ปลายฤดูเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวที่สีเหลืองทองอร่ามถูกเก็บเกี่ยวออกจากต้นเหลือไว้เพียงต้นตออากาศที่เริ่มเย็นเช่นนี้ต้องได้กินหม้อไฟถึงจะดี ว่าแต่วันนี้ลงมือทำหม้อไฟก็ดีไม่น้อย หว่านหว่านเอ่ยเรียกสาวใช้อย่างอาฉือ หากจะทำหม้อไฟก็ควรเข้าเมืองไปเดินหาเลือกซื้อของที่ตลาดเสียหน่อยเมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้วจึงออกเดินทางไปยังตลาดโดยมีอาฉือและองครักษ์จางติดตามไปด้วย หมู่บ้านตระกูลเสิ่นห่างออกไปจากตัวอำเภอราวหนึ่งชั่วยาม ภายในตัวอำเภอไท่อู่มีตลาดที่ค่อนข้างคึกคัก หญิงสาวใช้เวลาเดินตลาดนานกว่าครึ่งวันเพราะมัวแต่เพลิดเพลินไปกับข้าวของที่แปลกตา ทั้งยังหาซื้อของฝากไปให้เจ้าตัวเปี๊ยก มองดูสิ่งใดก็น่าซื้อหาไปหมดภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้จึงได้รู้ว่ารถม้าของนางไม่อาจบรรจุข้าวของได้มากเกินกว่านี้แล้ว"เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านจะให้บ่าวไปจ้างรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่เจ้าคะ" เมิ่งจิ่วซือหันไปมองหน้าสาวใช้ รู้สึกว่าวันนี้อาฉือของนางพูดได้ดียิ่ง"เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการเถิด"หลังจากเอ่ยให้สาวใช้ไปว่าจ้างรถม้าอีกคันมาเพื่อขนข้าวของ ส่วนนางก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะสวมหมวกคลุมหน้าจึงทำให้นางเดิ
เมื่อกลับถึงเรือน นางก็ต้องแปลกใจเมื่อที่เรือนต่างดูวุ่นวายกันไปหมด สีหน้าร้อนรนของสาวใช้อาวุโสทั้งสองทำให้นางต้องเลิกคิ้ว สัญชาตญาณกำลังบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?" หญิงสาวเอ่ยถามสาวใช้อาวุโสทั้งสอง"คุณหนูน้อยหายไปเจ้าค่ะ บ่าวสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ""หายไป? ตั้งแต่เมื่อใด" หว่านหว่านเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หัวคิ้วของนางขมวดยุ่งเป็นปม"ราว ๆ สักชั่วยามได้แล้วเจ้าค่ะ""หาดีแล้วหรือ? ในตู้ ใต้เตียงเล่า หาแล้วหรือยัง?""ยะ ยังเจ้าค่ะ""เช่นนั้น ก็แยกย้ายกันหาอีกรอบเถิด""เจ้าค่ะ"ทุกคนในเรือนรวมถึงองครักษ์เงาของเมิ่งจิ่วซือถูกสั่งให้ตามหาตู๋กูรั่วหวาจนทั่ว หากแต่ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่เจอเด็กน้อยอยู่ดี หญิงสาวรู้สึกใจเสีย ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะเป็นเช่นไร หรือว่าจะมีคนจับตัวบุตรสาวของนางไปหากแต่เมื่อสอบถามเหล่าองครักษ์แล้วก็ไม่พบคนแปลกหน้าเข้าออกแต่อย่างใดอาจเพราะเจ้าตัวเปี๊ยกกำลังอยู่ในช่วงเดินเก่งใหม่ ๆ จึงชอบไปแอบซุกตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพราะนึกว่าเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะออกคำสั่งให้คนของนางตามหากันอีกครั้งคราวนี้ขยายวงกว้างอ
ตู๋กูรั่วหวาตื่นนอนกลางวันขึ้นมาอย่างงัวเงีย เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งบนเตียงดวงตาของนางยังคงหนักอึ้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งทำเอาเกาหมัวมัวที่เห็นท่าทางขี้เซาของคุณหนูน้อยของนางถึงกับขบขันอย่างเอ็นดู"คนดีของบ่าวตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อมารออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ" เกาหมัวมัวเอ่ยกับเด็กน้อย แต่เมื่อรั่วหวาที่ได้ยินว่าบิดาเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้วก็ถึงกับแปลกใจ ก่อนจะคิดว่านี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดบิดาของนางจึงได้มาเร็วนัก เด็กน้อยเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะแสร้งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น"ท่านพ่อมาแล้วงั้นหรือ?""เจ้าค่ะ" หญิงชราพยักหน้าอาเป่ายกอ่างน้ำเข้ามาพอดีก่อนที่เกาหมัวมัวจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำพร้อมกำลังตั้งท่าที่จะเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวให้กับเด็กน้อยแต่รั่วหวาปฏิเสธ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นมาเช็ดใบหน้าของตนเองด้วยท่าทางราวกับไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบปี แล้วส่งคืนผ้าผืนนั้นให้กับเกาหมัวมัว จากนั้นปีนลงจากเตียงด้วยตนเอง"คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?" อาเป่าเอ่ยถามคุณหนูน้อยของนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง"ไปหาท่านพ่อน่ะ" กล่าวจบเด็กน้อยก็เดิน
เมิ่งจิ่วซือที่เพิ่งกลับมาได้เพียงสองวันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่นางจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของแม่นางชุยฟางบ้านท่านผู้เฒ่า แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากเรือนอยู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาก่อนจะจอดเทียบบริเวณหน้าเรือนของนาง เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถม้าชายผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมหางโจวเนื้อดีราคาแพง ส่งผลให้รูปร่างที่สูงโปร่งของเขายิ่งขับเน้นให้ดูดียิ่งขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาทำให้เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มราวกับว่ารู้จักกับนางมาก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"ท่านคงจะเป็นแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วก่อนจะแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายให้ถูกต้อง"รบกวนเรียกข้าว่าฮูหยินเมิ่งเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เหมาะสมหากว่าท่านจะเรียกขานเช่นนั้น" หญิงสาวกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"อ้อ ข้าต้องขออภัย""ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วมาที่นี่มีธุระอันใด" เมิ่งจิ่วซือไม่อยากอ้อมค้อม"ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าเสิ่นชิงหลวน""เสิ่นชิงหลวน คุณชายใหญ่เสิ่นน่ะหรือ
เมิ่งจิ่วซือพาบุตรสาวเดินทางกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ยามที่เดินทางมาถึงไห่หมัวมัวและเกาหมัวมัวต่างก็ดีอกดีใจ ก่อนจะรับตู๋กูรั่วหวาที่โตขึ้นมากไปดูแลทันที จากไปหลายเดือนแต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ในยามที่รถม้าจอดเทียบหน้าเรือนไม่นานก็มีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนหากแต่มิใช่ใครที่ไหนแต่ก็เป็นป้ากัวคนเดิม"นายหญิงเมิ่งกลับมาแล้วหรือ?" กัวอวิ๋นเอ่ยถามองครักษ์จางที่ทำหน้าที่ยกข้าวของเข้าเรือน"กลับมาแล้วขอรับ" จางเซียงอวี้ที่พอรู้จักกับกัวอวิ๋นจึงตอบนางไป ก่อนที่อาฉือที่เดินมาพอดีพบเข้า"อ้าว แม่นางอาฉือ สบายดีหรือ?""สบายดีเจ้าค่ะ ท่านป้ามีธุระอันใดงั้นหรือ?""เปล่า ๆ ไม่มีอันใดเพียงแต่เห็นว่านายหญิงเมิ่งไม่อยู่เสียนานเลยอยากจะแวะมาทักทาย""เช่นนั้นเชิญท่านเข้าเรือนก่อนเถิด" อาฉือเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายเข้าเรือน เพราะยามที่เดินทางกลับมาที่นี่เมิ่งจิ่วซือย้ำให้พวกนางเป็นมิตรกับคนในหมู่บ้านเสียหน่อย อาฉือจึงได้มีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วนกัวอวิ๋นที่เห็นว่าตนเองได้รับการต้อนรับก็รู้สึกยินดีตามประสาหญิงวัยกลางคนที่อยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา เดิมทีสามีของนางนั้นเป็นทหารเพียงแต่เสียช
เมิ่งจิ่วซือยังคงรู้สึกว่านางและบุตรสาวมาอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่นานจริง ๆ แต่วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็กลับเข้าสู่เหมันต์ฤดูอีกครั้งอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หวาหวาที่ในตอนนั้นเพียงสองขวบปีมาถึงตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่สามขวบ เขาถึงว่ากันว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเมิ่งจิ่วซือลองคิด ๆ ดูแล้วว่านางควรจะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อบอกลาทุกคนที่นั่นและรับตัวคนของนางมาอยู่เจียงหนานเป็นการถาวร อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางจะต้องปกป้องดูแลรั่วหวาไปจนกว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ก็ยังเป็นภารกิจที่หนักหนาจะมามัวแต่เขินอายมิได้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนางและเป่ยติ้งหรงอ๋องแม้จะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับตนเองก็ตาม แต่เพราะนางไม่ต้องการหลอกลวงเขาจึงได้เว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้อยู่ในฐานะของคนรู้จักที่ไม่เคยเปลี่ยนเป็นคนรู้ใจได้อีก นางไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหากการที่นางดำเนินความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเขาต่อไปหญิงสาวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับความรักของแม่ลูกที่ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่งเขาได้ค้นพบว่านางนั้นไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหา
"นายหญิงจะไปที่เรือนนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามนายสาวด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะรู้ดีว่าอนุเผิงหาได้ติดโรคระบาดไม่ หากแต่สภาพของนางในตอนนี้ก็ช่างไม่น่าพิสมัยยิ่ง ตุ่มหนองขึ้นเต็มทั่วร่างกายแม้ยามนอนก็ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน"เจ้ากลัวหรือ" เมิ่งจิ่วซือหันไปถามสาวใช้ของนาง"ไม่กลัวเจ้าค่ะ เพียงแค่รังเกียจเท่านั้น ที่นั่นไม่สะอาดเลยสักนิดบ่าวว่านายหญิงอย่าไปเลยเจ้าค่ะ""ข้าอยากจะเห็นนางสักครั้ง อยากจะรู้ว่าชีวิตที่เอาแต่ทำร้ายคนอื่นมาตลอดเช่นนาง ยามที่ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตายแล้วนางจะมีความรู้สึกเช่นไร" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยพร้อมกับประกายดวงตาที่วาวโรจน์ ชีวิตที่สร้างศัตรูเอาไว้มากมายเช่นนั้น สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่นางควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม"ไปกันเถอะ""เจ้าค่ะ"เมิ่งจิ่วซือเดินตรงไปยังเรือนของเผิงอี้หรู หน้าเรือนและรอบ ๆ เรือนมีคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามาเยี่ยมอนุเผิง" ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนหันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะรีบเปิดประตูให้หญิงสาว พร้อมกับบังอาจเอ่ยเตือนนางเล็กน้อย"พระชายาได้โป
คืนเดียวกันนั้นเผิงอี้หรูได้รับรายงานจากสาวใช้ของนางว่าแผนการส่งอาหารเข้าไปยังเรือนของพระชายานั้นสำเร็จแล้ว หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มระรื่นอย่างยินดี ก่อนจะเฝ้ารอฟังข่าวดีจนแทบทนไม่ไหว"คืนนี้ข้าจะแช่ตัวนานเสียหน่อย เจ้าอย่าลืมหยดน้ำอบกลิ่นใหม่ที่ข้าพึ่งได้มาลงไปในน้ำเสียด้วย""เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"หลังจากที่สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นให้นางเสร็จ เผิงอี้หรูก็ออกปากไล่นางออกไปคืนนี้หญิงสาวอยากจะใช้เวลาอยู่กับตนเองให้มากหน่อย ทั้งยังคิดเผื่อในวันรุ่งขึ้นมาว่าตนเองควรจะทำสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างไรดีจึงจะยังคงความงดงามเอาไว้ได้"พรุ่งนี้ข้าควรสวมเสื้อผ้าสีใดดีนะ? ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นเช่นนี้จวนแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่ข้าแล้ว จะจัดการเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว"เผิงอี้หรูรู้สึกมีความสุขยิ่ง เมื่อนึกภาพในวันรุ่งขึ้นที่สองแม่ลูกนั้นหมดลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน"ใครใช้ให้เจ้าตายยากตายเย็นนักเล่า จะกล่าวโทษข้าไม่ได้จริง ๆ"เผิงอี้หรูแช่อยู่ในน้ำนานกว่าปกติก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าน้ำในถังเริ่มเย็นจึงได้ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากถังแล้วสวมเสื้อผ้าตัวบางพร้อมนอน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น จาก
เสี่ยวชุนเป็นสาวใช้คนสนิทของเผิงอี้หรูเด็กสาวเติบโตมาในตระกูลเผิงสายรอง มารดาของนางเป็นแม่นมของเซิ่งฮูหยินผู้เป็นมารดาของเผิงอี้หรู หากแต่ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาพร้อมกับคุณหนูก็ตามแต่ดูเหมือนว่าเผิงอี้หรูจะไม่ให้ความสำคัญกับนางมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด"จะ เจ้าเป็นใครกัน?""เจ้าไม่ต้องรู้หรอก เพียงแต่รู้เอาไว้อย่างเดียวก็พอว่าข้าเป็นคนของท่านผู้นั้นที่นายของเจ้าจะต้องฟังคำสั่ง" สตรีผู้นั้นเอ่ยขึ้นทำให้เสี่ยวชุนรู้สึกตื่นกลัวก่อนจะแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ นางเคยได้ยินคุณหนูกล่าวถึงท่านผู้นั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นแท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่"ขะ ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น เจ้าหลีกไปเดี๋ยวนี้นะ""หึ หากเจ้าไม่เป็นห่วงคุณหนูของเจ้าก็คงต้องรู้สึกเป็นห่วงมารดาและน้องชายของเจ้าบ้างกระมัง" เสี่ยวชุนที่กำลังจะเดินจากไปได้ยินเช่นนั้นขาทั้งสองข้างของนางก็หยุดชะงักทันที ก่อนจะหันกลับมาหาสตรีผู้นั้นอีกครั้ง"เจ้าจะทำอันใดท่านแม่ของข้า?""ย่อมไม่ทำ หากว่าเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี""ความร่วมมืออันใด?""นำของสิ่งนี้ไปมอบให้คุณหนูของเจ้า แล้วบอกว่าให้รีบลง
เมิ่งจิ่วซือค่อย ๆ ฝังเข็มลงบนร่างกายของชายหนุ่มทีละเล่ม สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ชีพจรของชายหนุ่มไม่คงที่ทั้งยังดูเหมือนสับสนและเคลื่อนย้ายไปมาได้ ทำให้เมิ่งจิ่วซือถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถามถึงอาการของชายหนุ่มก่อนหน้านี้กับองครักษ์ของเขา"ท่านอ๋องป่วยมานานเพียงใดแล้วงั้นหรือ?""ตั้งแต่วันที่มาถึงเจียงหนานพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกำชับว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพระชายาเด็ดขาด แต่ข้าน้อยคิดว่าหากในวันนี้ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นขึ้นมาข้าน้อยจะส่งคนไปแจ้งข่าวกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"เมิ่งจิ่วซือถอนหายใจ จะกล่าวว่าเป็นความผิดขององครักษ์ก็มิได้เสียทีเดียวเพราะนางและสามีก็หาได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งยังดูเหมือนเป็นปรปักษ์กันอยู่เนือง ๆ หากพวกเขาจะคิดเอาเองว่านางอาจจะไม่ยินดีรักษาให้อีกฝ่ายก็ย่อมไม่แปลก แต่เดิมความสามารถในการรักษาของเมิ่งจิ่วซือนั้นก็เป็นความลับมาโดยตลอดนางเองก็ไม่เคยยินยอมรักษาให้ผู้ใด เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากมากไปกว่านี้ เพียงแค่ชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งเดิมทีเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็หวาดระแวงมากพออยู่แล้ว หากนางมีชื่อเสียงทางด้านการรักษาอีกชีวิตนี้ก็ค
รถม้าของเมิ่งจิ่วซือเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองเจียงหนาน นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสได้เห็นเมืองเจียงหนานแบบดั้งเดิม นับว่าหาได้ยากนัก ก่อนจะเคลื่อนผ่านใจกลางเมืองไปทางด้านทิศเหนือแล้วหยุดลงบริเวณหน้าจวนแห่งหนึ่ง หญิงสาวเลิกม่านดูก่อนจะพบว่าเหนือประตูจวนเขียนด้วยอักษรสีทองงดงามว่าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋อง ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ขยับตัวลงจากรถม้าโดยมีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนดวงตาของตู๋กูรั่วหวามองที่ประตูจวนด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งแววตาของนางลุ่มลึกอย่างไม่อาจคาดเดา เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าราวกับต้องการเรียกหากำลังใจก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าใสซื่อตามเดิม"ท่านแม่ หวาจะไปหาท่านพ่อ""เด็กดี เดี๋ยวก็ได้เจอท่านพ่อแล้ว"หวั่นอี้ที่ได้รับรายงานว่าพระชายาเดินทางมาถึงแล้วก็รีบออกมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยท่าทางร้อนรนอย่างเก็บไม่อยู่ หญิงสาวที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแปลกประหลาดนักจึงเลิกคิ้ว"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ไม่ต้องมากพิธี อย่างไรก็ต้องรบกวนพวกท่านแล้วข้าเดินทางมาโดยไม่ได้บอกกล่าว ท่านอ๋องจะว่ากล่าวอันใดหรือไม่" หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้สนิทกับสามีถึงขนาดที่จะทำส