ในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังจะหมดลมหายใจนางได้ซ่อนของสิ่งหนึ่งเอาไว้ในอกเสื้อของบุตรสาว ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้ตู๋กูรั่วหวาแล้ว เพราะนางคงไม่สามารถอยู่ดูแลบุตรสาวได้อีกต่อไป
จิ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ
เสียงร้องของนกน้อยหลายตัวที่เกาะอยู่ริมหน้าต่างทำให้หญิงสาวรู้สึกรำคาญใจก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ แสงสว่างภายนอกทำให้ร่างบางรู้สึกแสบตาจนต้องขยี้ตาเบา ๆ หว่านหว่านรู้สึกแปลกใจที่เธอยังไม่ตายแต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อบรรยากาศโดยรอบนั้นช่างไม่คุ้นตา ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลหากแต่ว่าเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง สภาพเรือนที่กลางเก่ากลางใหม่ที่ดูเหมือนถูกดูแลอย่างดีจนสะอาด ต่อมาเมื่อก้มลงมองดูที่ร่างของตนเองก็ต้องตื่นตกใจหนักขึ้นเมื่ออยู่ ๆ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าของคนยุคปัจจุบันแต่เป็นเสื้อผ้าของคนยุคโบราณ
"นะ นี่! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" หว่านหว่านรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาก่อนที่อยู่ ๆ ประตูจะถูกเปิดออก หญิงวัยกลางคนที่แต่งกายคล้ายกับสาวใช้อาวุโสในละครย้อนยุคก้าวเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่น ที่นางรู้ว่ามันอุ่นเพราะในอ่างยังมีละอองควันพวยพุ่งขึ้นมาไม่ขาดสาย
"นายหญิง! ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ"
"นายหญิงงั้นหรือ? คุณเป็นใครกัน"
"บ่าวเป็นคนของนายท่านเจ้าค่ะ นายท่านสั่งให้บ่าวมาคอยอยู่ดูแลนายหญิง หากว่าท่านฟื้นแล้วพวกเราจะเดินทางไปยังเรือนที่ซื้อใหม่ในอีกหมู่บ้านเจ้าค่ะ"
"นายท่านของคุณคือใคร? แล้วฉันคือใคร?" หว่านหว่านรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก หากคาดเดาไม่ผิดนี่คือการทะลุมิติแล้วนางมาอยู่ในร่างของผู้ใดกัน นายท่านที่กล่าวมานั้นคือสามีของนางงั้นหรือ? ให้ตายเถอะ ฟื้นขึ้นมาก็มีหลัวแล้วหรือนี่ หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
"เอ่อ ท่านจดจำสิ่งใดมิได้เลยหรือเจ้าคะ?" แม้ว่าบ่าวรับใช้เช่นนางจะได้รับการกำชับมาบ้างว่าหญิงสาวนั้นได้รับบาดเจ็บยามที่ฟื้นขึ้นมาหญิงสาวอาจจะไม่ปกติ นางจึงมิได้ตกใจมากนักและเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าส่ายหัวแทนคำตอบ นางก็ทำได้เพียงถอนหายใจเหตุใดสตรีที่งดงามปานนี้จึงได้อาภัพนัก
"นายหญิงมีนามว่า เมิ่งจิ่วซือเจ้าค่ะ บุตรสาวของท่านคือคุณหนูรั่วหวา"
"อะไรนะ! เมิ่งจิ่วซืองั้นหรือ" เหตุใดชื่อนี้จึงคุ้นยิ่งนัก หว่านหว่านพยายามทบทวนว่าเธอเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหน คิดอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้จากชื่อของรั่วหวา ตู๋กูรั่วหวา นางร้ายอันดับหนึ่งที่อันตรายที่สุดในแผ่นดิน สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งสกุลตู๋กู รั่วหวาที่สังหารทุกคนในสกุลจนกระทั่งเหลือเพียงนางเท่านั้น เพื่อล้างแค้นให้กับมารดาที่ถูกบิดาสังหารอย่างเหี้ยมโหด
นะ นี่เธอ! มาอยู่ในร่างของเมิ่งจิ่วซือที่ควรจะตายไปแล้วงั้นหรือ? แล้วนายท่านที่ว่านี่คือ ตู๋กูหรงเซ่อ ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ เธอควรหอบเสื้อผ้าหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ผู้ชายคนนั้นโหดเหี้ยมมาก สังหารได้หมดไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง สตรี คนชราก็ไม่เว้น
แง ๆ แง ๆ แง ๆ
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดสิ่งใดต่อ เสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งก็ดังขึ้น หว่านหว่านจำได้ว่านางน่าจะเป็นบุตรสาวของเมิ่งจิ่วซือ เด็กน้อยที่น่ารักเติบโตมาด้วยความลำบาก ความเหนื่อยยากของนางขัดเกลาให้นางกลายเป็นคนร้ายกาจและโหดเหี้ยมมากขึ้นเมื่อนางนั้นคือผู้ครอบครองความลับของตระกูลเมิ่งเอาไว้ ในนิยายนั้นตู๋กูรั่วหวาเป็นผู้สังหารบิดาด้วยมือของนางเอง ก่อนจะครอบครองบัลลังก์แล้วสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดินี เสียดายที่ในตอนสุดท้ายเพราะนางไปหลงรักศัตรูทำให้ถูกสังหารในที่สุดและบุรุษผู้นั้นก็ครองรักกับนางเอกซึ่งเป็นคนที่ตู๋กูรั่วหวาไว้ใจมาตลอด ถูกต้องแล้วหญิงสาวผู้นั้นก็คือนางเอกในเรื่อง ที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับนางร้ายเพื่อแผนการบางอย่าง ทั้งคนที่รักและสหายที่ไว้ใจต่างหักหลังจนหมดสิ้นหนทาง นางจึงใช้ความลับของตระกูลเมิ่งทำลายทุกอย่างรวมถึงวิญญาณของตนเองให้สูญสลายหายไป
สุดท้ายแล้วความรักของพระเอกนางเอกกลับช่วยกอบกู้แผ่นดินเอาไว้ เหอะ! ตลกมากจริง ๆ นี่มันนิยายบ้าอะไรกัน! ความรักช่วยกอบกู้โลก โถ ๆ หว่านหว่านอยากจะกลอกตามองบนอีกหลาย ๆ รอบ หากไม่เป็นเพราะนิยายเรื่องนี้ดังมากทำให้เธอต้องรีบหาซื้อมาอ่าน พออ่านแล้วก็ต้องอ่านจนจบถ้าอ่านไม่จบก็จะนอนไม่หลับ นิยายเรื่องยาวสิบเล่มจึงถูกอ่านติดต่อกันสามวันสามคืนจนจบในเวลาต่อมา บางฉากของพระนางก็ถูกเปิดข้ามไป เพราะเหม็นความรักของทั้งคู่ เอาละจะอะไรก็ช่างในตอนนี้นางมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลแม่นางร้ายตัวน้อยที่พึ่งจะเป็นเจ้าตัวเปี๊ยกที่ยังไม่โต ให้เติบโตมาอย่างมีความสุขจะได้ไม่ต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับในนิยาย ส่วนเนื้อเรื่องเดิมจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัว... ตอนนี้นางคือเมิ่งจิ่วซือมารดาของตู๋กูรั่วหวา หน้าที่และภารกิจอันยิ่งใหญ่ต่อจากนี้คือปฏิบัติการเปลี่ยนนางร้ายให้กลายเป็นคนที่ทุกคนรัก นางอยากจะให้ทุกคนรักและเอ็นดูนางร้ายตัวน้อยผู้นี้ ชีวิตต่อจากนี้ของเด็กน้อยไม่ควรจะมีชีวิตที่ยากลำบากอีกต่อไป
"เจ้าไปพานางมาที่นี่เถิด"
"เจ้าค่ะ"
เจ้าตัวเปี๊ยกถูกพาตัวมาหามารดาในเวลาต่อมา เมื่อเด็กน้อยมองเห็นมารดาก็เงียบเสียงหยุดร้องไห้ในทันที ก่อนจะโผเข้ากอดที่ลำคอขาวระหงของผู้เป็นมารดาอย่างคุ้นเคย เสียงร้องไห้กระซิก ๆ เบา ๆ ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจิตวิญญาณในร่างนี้จะไม่ใช่มารดาของเด็กน้อยแล้วหากแต่สัญชาตญาณในความเป็นแม่ของร่างเดิมก็ดูเหมือนจะเริ่มทำงานเสียแล้ว มือเรียวตบที่ก้นของเด็กน้อยเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเงียบเสียงลงพร้อมกับหลับไปในที่สุด
"นี่คือสิ่งที่บ่าวพบในเสื้อของคุณหนูเจ้าค่ะ" บ่าวอาวุโสยื่นถุงผ้าที่ถูกปักอย่างประณีตส่งให้กับหว่านหว่าน หญิงสาวรับมาก่อนจะพลิกมันดูอยู่หลายครั้ง
"ที่เจ้ากล่าวว่านายท่าน? นายท่านที่ว่าคือผู้ใดงั้นหรือ สามีของข้าหรือ?" หญิงชราส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยต่อ
"นายท่านให้แจ้งแก่ท่านว่าเขาเคยได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่ง ครั้งนี้พบท่านกำลังเดือดร้อนจึงไม่อาจละเลยได้ หากว่ามีโอกาสคงได้พบกันเจ้าค่ะ" หว่านหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอกนางนึกว่าเป็นคนผู้นั้นเสียอีก ยังคิดอยู่ว่าจะหาทางหนีทีไล่อย่างไร นางไม่รู้จักที่ใดเลย ทั้งที่นี่ก็ไม่ได้มีรถไฟฟ้าพอที่จะหอบลูกหนีได้เช่นยุคปัจจุบันเสียด้วย
"เช่นนั้นเรือนที่เจ้าว่า..."
"นายท่านกล่าวว่าต่อไปเรือนแห่งนั้นเป็นสิทธิ์ของนายหญิงเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องกังวลอันใดทั้งนั้น"
"เช่นนั้น ก็ไปกันเลยหรือไม่"
"แต่คุณหนูยังหลับอยู่นะเจ้าคะ"
"ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะอุ้มนางเองนางเป็นคนนอนง่ายตื่นยาก" ต่อให้ฟ้าถล่มหากไม่คิดจะตื่นก็จะไม่ตื่นเด็ดขาด มิเช่นนั้นในยามที่มารดาผูกร่างเด็กน้อยเอาไว้แนบอกแล้วควบม้าหนีมือสังหาร นางจะหลับปุ๋ยได้อย่างสบายใจหรือ
หน้าเรือนมีรถม้ามารอรับสองแม่ลูกทั้งยังสาวใช้อาวุโสผู้นั้น หว่านหว่านสังเกตเห็นชายบังคับม้ารูปร่างของเขาปราดเปรียวสูงใหญ่ทั้งยังคล่องแคล่วไม่น้อยเหมือนกับคนที่เป็นวรยุทธ์ ทั้งรถม้าที่นางใช้ก็ยังเป็นรถม้าคันใหม่เอี่ยมดูท่าจะราคาแพงไม่น้อยจริง ๆ ใช้เวลาเดินทางราวสองชั่วยามก็มาถึงยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รอบ ๆ มีแต่ทุ่งนาสีเหลืองอร่าม มีภูเขาลำธารแม้ว่าจะดูชนบทไปมากหากแต่ดูปลอดภัยยิ่ง ห่างไกลถึงเพียงนี้นางก็หวังว่าจะปลอดภัยจริง ๆ หว่านหว่านไม่รู้ว่านายท่านผู้นั้นแท้จริงแล้วคือใครกันแน่ เขารู้จักกับตระกูลเมิ่งทั้งยังสมอ้างว่าเคยได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลของนาง เช่นนั้น... เขาจะรู้เรื่องความลับของตระกูลเมิ่งด้วยหรือไม่การช่วยเหลือนางในครั้งนี้แน่นอนว่าหว่านหว่านมิได้วางใจในตัวเขาแต่อย่างใด อย่างไรก็ต้องระแวงเอาไว้ก่อนหากสิ่งที่เขาต้องการคือความลับของตระกูลเมิ่งจริง ๆ แล้วละก็ เช่นนั้นนางจะได้หอบบุตรสาวหลบหนีไปได้อย่างทันท่วงที
รถม้าเคลื่อนตัวมาจอดยังบริเวณหน้าเรือน เรือนหลังใหม่ขนาดเล็กน่ารัก ประตูเรือนที่ทำจากไม้อย่างดีบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของเรือน แม้ว่าเรือนจะเล็กไปหน่อยหากแต่ไม่ใช่ปัญหา นางอยู่กับบุตรสาวเพียงสองคนจะเอาเรือนใหญ่ ๆ มาทำสิ่งใดกัน
"ถึงแล้วเจ้าค่ะ"
"คารวะนายหญิง ต่อไปข้าน้อยจะคอยดูแลท่านตามคำสั่งของนายท่านขอรับ" แน่ะ คิดยังไม่ทันไรก็ส่งคนมาคอยจับตาดูนางถึงสองคนแล้วงั้นหรือ?
"แต่ดูเหมือนเรือนจะหลังเล็กเกินไป" หญิงสาวเอ่ย
"มีเรือนบ่าวไพร่ อยู่ด้านท้ายจวนขอรับข้าน้อยจะพักที่นั่น"
"อ้อ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด" นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อยก่อนจะไม่ใส่ใจอีก แล้วพาเจ้าตัวเปี๊ยกเข้าเรือน
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในเรือนนางก็ต้องแปลกใจ ที่นี่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างดี แม้จะเรียบง่ายไปบ้างหากแต่ทุกอย่างล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น ยามที่เดินเลยไปยังห้องนอน ในห้องนอนยังเป็นเตียงเตาขนาดใหญ่ที่แม่ลูกสามารถหลับนอนด้วยกันได้ แล้วข้าง ๆ ยังมีเตียงนอนเด็กที่มีล้อเลื่อนดูก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้จำเป็นต้องสั่งทำเท่านั้น เมื่อเห็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับครบครัน หว่านหว่านก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นไปอีก
คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เขาดูเหมือนจะรอบคอบเกินไปแล้วไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
"เรียนนายหญิง มีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ""พบข้า ผู้ใดกัน?" หว่านหว่านแสดงสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางไม่อาจไว้ใจผู้ใด นางพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงชั่วยาม ข้าวของกลับถูกเตรียมพร้อมเอาไว้จนเสร็จสรรพ แล้วในตอนนี้ยังมีคนมาหานางได้ถึงที่นี่อีก"เป็นคนของนายท่านเจ้าค่ะ นายหญิงฝากคุณหนูไว้กับบ่าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ""ไม่เป็นไรหวาหวาไม่ใช่เด็กงอแง ข้าจะพานางไปด้วย" หว่านหว่านเอ่ยออกมาตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้นางหวาดระแวงและไม่กล้าฝากบุตรสาวไว้กับผู้ใด"เจ้าค่ะ เชิญนายหญิงด้านนี้เจ้าค่ะ"หว่านหว่านเดินเข้ามาในห้องรับรองเล็ก ที่มีเก้าอี้วางเอาไว้สองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะพบกับชายชราที่ดูท่าทางใจดีผู้หนึ่ง เมื่อเขามองเห็นหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพนางในทันที"คารวะนายหญิง ข้าน้อยมีนามว่าไห่ลู่ เป็นพ่อบ้านในจวนของนายท่านเสิ่นขอรับ นายท่านกลัวว่านายหญิงจะหวาดระแวงจนกระทั่งไม่กล้าไว้ใจและอาจจะหนีไปแล้วได้รับอันตราย จึงได้ส่งข้าน้อยมาชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนขอรับ""เชิญท่านพ่อบ้านนั่งลงก่อนเถิด""ขอบคุณนายหญิง""แท้จริงแล้วนายท่านของพวกเจ้าคือใครกันแน่ หากว่าวันนี้ตัวข้าไม่ได้รับความกระจ่าง
"นะ นี่มัน!" ความยิ่งใหญ่อลังการเกินจะกล่าวของสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าทำเอาหว่านหว่านเข่าแทบทรุด ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ"นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ"สิ่งที่ปรากฏให้นางเห็นตรงหน้าก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีเงินทองกองอยู่เป็นภูเขา มากมายขนาดนี้ต่อให้ใช้ก่อตั้งราชวงศ์ก็คงจะร่ำรวยไปอีกหลายร้อยปี หว่านหว่านลองหยิบก้อนทองร้อยตำลึงขึ้นมา ก่อนที่นางจะใช้ฟันหน้าของนางลองกัดดูเพื่อพิสูจน์ในขณะที่ก้อนทองคำถูกหยิบออกจากหีบมาอยู่ในมือของนาง ทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่ หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะลองพิสูจน์ด้วยการหยิบทองขึ้นมาสองก้อนเพียงไม่นานทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่! ดวงตาของนางเบิกกว้างแล้วคิดในใจว่า นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วจริง ๆ"ให้ตายเถอะ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ใช้ไปอีกสิบชาติก็คงไม่มีทางหมดแน่"ระหว่างนั้นก็ปรากฏภูตตัวน้อย ขนาดเท่ากับฝ่ามือของนางโผล่ออกมา ภูตน้อยมีปีกคล้ายผีเสื้อทั้งยังบินได้"เจ้าเป็นใครน่ะ!" หว่านหว่านถึงกับสะดุ้งก่อนจะเอ่ยถามไปด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ"ข้าคือภูตผู้ดูแลความลับของตระกูลเมิ่ง เจ้าคือเมิ่งจิ่วซือ ไม่ใช่สิ! ร่างคือเมิ่งจิ่วซือแต่วิญญาณนั้นไม่ใช่""เจ้ารู้!""ข้า
ย้อนกลับไปยังต้นตระกูลเมิ่งในกาลก่อนนับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนบรรพชนตระกูลเมิ่งได้มีบุญคุณต่อผู้เป็นใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อรักษาอีกฝ่ายจนกระทั่งหายดี ของวิเศษนี้จึงถูกมอบให้แก่บรรพชนตระกูลเมิ่ง หากแต่ต้องแลกมาด้วยสัญญาเลือดที่ความลับนี้จะต้องมีเพียงทายาทที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานของวิเศษได้ และหาก ว่าต้องการส่งต่อของวิเศษนี้แก่ทายาทรุ่นต่อไป หลังจากที่ส่งมอบแล้วผู้ส่งมอบจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและความลับนี้จะต้องกลายเป็นความลับตลอดกาลไม่มีผู้ใดรู้ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนั้นคือสิ่งใด หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดความหวาดระแวงไม่น้อย คนตระกูลเมิ่งราวกับต้องคำสาป ในทุก ๆ รุ่นจะมีทายาทที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นตระกูล จนกระทั่งหลายปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งผู้เป็นท่านปู่ของเมิ่งจิ่วซือได้จากไป ตระกูลเมิ่งก็หลงเหลือนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวสิ้นสุดนับจากนี้เมิ่งจิ่วซือได้รับราชโองการให้แต่งงานกับตู๋กูหรงเซ่อพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้แคว้นต้าซ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเมิ่งนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่และถึงแม้ว่าจะเหลือเมิ่งจ
เช้าวันต่อมาหว่านหว่านให้คนของนางเตรียมของฝากนางตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย หากแต่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือนเสียก่อน"เกิดอันใดขึ้นหรือ?""เรียนนายหญิง ท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ""ขอพบข้าหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า"ชายชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าร่างกายของเขายังแข็งแรง ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนด้วยความเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทำความเคารพเมิ่งจิ่วซือ"คารวะนายหญิงเมิ่ง ข้าน้อยลู่ถงเป็นผู้นำหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแห่งนี้ขอรับ"หว่านหว่านเลิกคิ้วนางพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เช่นนั้น... มิน่าเล่า"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองกำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนท่านอยู่พอดี ไม่คิดว่าจะต้องให้ท่านแวะมาก่อนช่างเสียมารยาทนัก""มิกล้า ๆ นายหญิงเมิ่งอย่าได้คิดมาก อย่างไรก็ต้องมาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้ว" หญิงสาวพอใจในท่าทีของชายชราก่อนจะส่งสัญญาณให้ไห่หมัวมัวนำของขวัญแรกพบมามอบให้กับชายชรา"นี่เป็นของขวัญพบหน้า ขอท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ""เช่นนี้จะดีหรือ?""ย่อมดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ""เ
ปัง! เพล้ง!"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย""หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึงเป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่ง
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านพ่อบ้านจวนเสิ่นมาขอพบเจ้าค่ะ" อาฉือเข้ามารายงานเมิ่งจิ่วซือในขณะที่หญิงสาวกำลังจับบุตรสาวแต่งตัวราวกับตุ๊กตา หวาหวาตัวน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างราวกับดีใจ หว่านหว่านที่เห็นเข้าพอดีก็อดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดเจ้าตัวเปี๊ยกต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย หึ! ช่างน่าเอ็นดูนักราวกับฟังออกว่ามีคนมาหามารดา"หวาหวารอแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมา" นางก้มลงหอมแก้มนุ่มทั้งสองข้าง เด็กน้อยทำท่าทีแกว่งมือโบกไปมาคล้ายจะบอกมารดาว่าไม่ต้องรีบ"แอ้!""คุณหนูเหมือนฟังรู้ความเลยนะเจ้าคะ ฮิฮิ คุณหนูของอาเป่าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ" อาเป่าตัวน้อยที่มักจะเยินยอเจ้าเด็กตัวเปี๊ยกอยู่ทุกวัน หว่านหว่านเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าภายหน้าเจ้าตัวเปี๊ยกจะต้องกลายเป็นหัวโจกส่วนอาเป่าก็คือหนึ่งในลูกสมุนของนางอย่างแน่นอนนางเดินออกจากห้องมายังห้องรับรองเพื่อพบกับท่านพ่อบ้านไห่ ชายชรามาพร้อมกับข้าวของมากมาย หญิงสาวได้แต่เลิกคิ้วสงสัย"คารวะนายหญิง บ่าวมาเป็นตัวแทนนาย คุณชายใหญ่นำผ้ามามอบให้แก่นายหญิงกับคุณหนูน้อยขอรับ""มิใช่นายท่านผู้เฒ่าแต่เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?" ในที่สุดก็ยอมออก
ณ งานเลี้ยงที่เรือนของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน ข้างเรือนที่เป็นลานกว้างสามารถจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของคนในหมู่บ้านได้อย่างพอดิบพอดีเมิ่งจิ่วซือพาคนของนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตา ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือน พร้อมกับนำขนมหวานและอาหารคาวที่สั่งมาจากในเมืองมาร่วมในงาน อาหารรสชาติบ้าน ๆ ถูกอาหารหน้าตาหลากหลายทั้งคาวหวานดึงดูดใจ ทำเอาผู้คนต่างน้ำลายสอ"ขอบคุณเมิ่งฮูหยินที่มาร่วมงาน ทั้งยังช่วยเหลือเรื่องอาหารน่ากินทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ" คำกล่าวนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากป้ากัวสายข่าววงในประจำหมู่บ้าน"ขอเพียงพวกท่านทานให้อร่อยก็พอ" หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ โต๊ะของหญิงสาวถูกจัดแยกอย่างโดดเดี่ยวแต่นางไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป จึงได้ขอร่วมโต๊ะกับท่านผู้เฒ่าและภรรยา หญิงชราผู้เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้านนั้น นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของรองแม่ทัพผู้หนึ่งในสมัยก่อนที่บิดาจะสิ้นใจในสนามรบ เพราะท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาจึงได้ตบแต่งกัน นางพอมีความรู้อยู่บ้าง ศาสตร์ศิลป์ก็พอได้ร่ำเรียน ทั้งยังเคยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ๆ ก่อนจะแต่งงานออกเรือนจึงทำให
เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถม้าหญิงสาวคิดว่าเรื่องเมื่อครู่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ เจ้าตัวเปี๊ยกเริ่มฉายแววความเป็นลาสต์บอสตั้งแต่อายุหนึ่งขวบเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ ร้ายได้บิดามาเต็ม ๆ เหมือนกันถึงเพียงนี้เลย"หวาหวาลูกรัก ครั้งหน้าอย่าได้ชี้นิ้วใส่ผู้ใดอีกนะลูก มันเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพหากเราไม่พอใจผู้ใดเราไม่ควรแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่ควรจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการ"รั่วหวาเงยหน้ามองมารดาแล้วทำตาโต ก่อนที่ดวงตากลมโตทั้งสองจะเริ่มสั่นเครือและเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปและเข้าใจว่าบุตรสาวเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าววันนี้อย่างแน่นอน ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยเข้ามากอดพร้อมกับลูบหลังเบา ๆ "ลูกรัก เพราะแม่อยากจะให้ผู้อื่นรักและเอ็นดูเจ้า ไม่รังเกียจเจ้า เราไม่จำเป็นต้องแสดงนิสัยที่แท้จริงให้ผู้ใดได้รู้และเจ้าสามารถแสดงออกได้อีกหลายแบบ ความคิดบางความคิดเราต้องเก็บไว้ในใจไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา หวาหวาของแม่น่าเอ็นดูปานนี้ ทุกคนจะต้องรักเจ้าอย่างแน่นอน"ฮึก ฮึก ฮึกเสียงร่ำไห้กระซิกบนไหล่ของมารดาในขณะที่น้ำตาไม่ได้เอ่อล้นออกมาเฉกเช่นเมื่อยามที่อยู่ต่อหน้ามารดาแล้ว มีเพียงดวงต
ตู๋กูรั่วหวาตื่นนอนกลางวันขึ้นมาอย่างงัวเงีย เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งบนเตียงดวงตาของนางยังคงหนักอึ้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งทำเอาเกาหมัวมัวที่เห็นท่าทางขี้เซาของคุณหนูน้อยของนางถึงกับขบขันอย่างเอ็นดู"คนดีของบ่าวตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อมารออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ" เกาหมัวมัวเอ่ยกับเด็กน้อย แต่เมื่อรั่วหวาที่ได้ยินว่าบิดาเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้วก็ถึงกับแปลกใจ ก่อนจะคิดว่านี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดบิดาของนางจึงได้มาเร็วนัก เด็กน้อยเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะแสร้งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น"ท่านพ่อมาแล้วงั้นหรือ?""เจ้าค่ะ" หญิงชราพยักหน้าอาเป่ายกอ่างน้ำเข้ามาพอดีก่อนที่เกาหมัวมัวจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำพร้อมกำลังตั้งท่าที่จะเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวให้กับเด็กน้อยแต่รั่วหวาปฏิเสธ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นมาเช็ดใบหน้าของตนเองด้วยท่าทางราวกับไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบปี แล้วส่งคืนผ้าผืนนั้นให้กับเกาหมัวมัว จากนั้นปีนลงจากเตียงด้วยตนเอง"คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?" อาเป่าเอ่ยถามคุณหนูน้อยของนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง"ไปหาท่านพ่อน่ะ" กล่าวจบเด็กน้อยก็เดิน
เมิ่งจิ่วซือที่เพิ่งกลับมาได้เพียงสองวันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่นางจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของแม่นางชุยฟางบ้านท่านผู้เฒ่า แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากเรือนอยู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาก่อนจะจอดเทียบบริเวณหน้าเรือนของนาง เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถม้าชายผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมหางโจวเนื้อดีราคาแพง ส่งผลให้รูปร่างที่สูงโปร่งของเขายิ่งขับเน้นให้ดูดียิ่งขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาทำให้เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มราวกับว่ารู้จักกับนางมาก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"ท่านคงจะเป็นแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วก่อนจะแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายให้ถูกต้อง"รบกวนเรียกข้าว่าฮูหยินเมิ่งเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เหมาะสมหากว่าท่านจะเรียกขานเช่นนั้น" หญิงสาวกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"อ้อ ข้าต้องขออภัย""ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วมาที่นี่มีธุระอันใด" เมิ่งจิ่วซือไม่อยากอ้อมค้อม"ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าเสิ่นชิงหลวน""เสิ่นชิงหลวน คุณชายใหญ่เสิ่นน่ะหรือ
เมิ่งจิ่วซือพาบุตรสาวเดินทางกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ยามที่เดินทางมาถึงไห่หมัวมัวและเกาหมัวมัวต่างก็ดีอกดีใจ ก่อนจะรับตู๋กูรั่วหวาที่โตขึ้นมากไปดูแลทันที จากไปหลายเดือนแต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ในยามที่รถม้าจอดเทียบหน้าเรือนไม่นานก็มีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนหากแต่มิใช่ใครที่ไหนแต่ก็เป็นป้ากัวคนเดิม"นายหญิงเมิ่งกลับมาแล้วหรือ?" กัวอวิ๋นเอ่ยถามองครักษ์จางที่ทำหน้าที่ยกข้าวของเข้าเรือน"กลับมาแล้วขอรับ" จางเซียงอวี้ที่พอรู้จักกับกัวอวิ๋นจึงตอบนางไป ก่อนที่อาฉือที่เดินมาพอดีพบเข้า"อ้าว แม่นางอาฉือ สบายดีหรือ?""สบายดีเจ้าค่ะ ท่านป้ามีธุระอันใดงั้นหรือ?""เปล่า ๆ ไม่มีอันใดเพียงแต่เห็นว่านายหญิงเมิ่งไม่อยู่เสียนานเลยอยากจะแวะมาทักทาย""เช่นนั้นเชิญท่านเข้าเรือนก่อนเถิด" อาฉือเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายเข้าเรือน เพราะยามที่เดินทางกลับมาที่นี่เมิ่งจิ่วซือย้ำให้พวกนางเป็นมิตรกับคนในหมู่บ้านเสียหน่อย อาฉือจึงได้มีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วนกัวอวิ๋นที่เห็นว่าตนเองได้รับการต้อนรับก็รู้สึกยินดีตามประสาหญิงวัยกลางคนที่อยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา เดิมทีสามีของนางนั้นเป็นทหารเพียงแต่เสียช
เมิ่งจิ่วซือยังคงรู้สึกว่านางและบุตรสาวมาอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่นานจริง ๆ แต่วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็กลับเข้าสู่เหมันต์ฤดูอีกครั้งอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หวาหวาที่ในตอนนั้นเพียงสองขวบปีมาถึงตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่สามขวบ เขาถึงว่ากันว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเมิ่งจิ่วซือลองคิด ๆ ดูแล้วว่านางควรจะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อบอกลาทุกคนที่นั่นและรับตัวคนของนางมาอยู่เจียงหนานเป็นการถาวร อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางจะต้องปกป้องดูแลรั่วหวาไปจนกว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ก็ยังเป็นภารกิจที่หนักหนาจะมามัวแต่เขินอายมิได้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนางและเป่ยติ้งหรงอ๋องแม้จะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับตนเองก็ตาม แต่เพราะนางไม่ต้องการหลอกลวงเขาจึงได้เว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้อยู่ในฐานะของคนรู้จักที่ไม่เคยเปลี่ยนเป็นคนรู้ใจได้อีก นางไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหากการที่นางดำเนินความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเขาต่อไปหญิงสาวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับความรักของแม่ลูกที่ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่งเขาได้ค้นพบว่านางนั้นไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหา
"นายหญิงจะไปที่เรือนนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามนายสาวด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะรู้ดีว่าอนุเผิงหาได้ติดโรคระบาดไม่ หากแต่สภาพของนางในตอนนี้ก็ช่างไม่น่าพิสมัยยิ่ง ตุ่มหนองขึ้นเต็มทั่วร่างกายแม้ยามนอนก็ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน"เจ้ากลัวหรือ" เมิ่งจิ่วซือหันไปถามสาวใช้ของนาง"ไม่กลัวเจ้าค่ะ เพียงแค่รังเกียจเท่านั้น ที่นั่นไม่สะอาดเลยสักนิดบ่าวว่านายหญิงอย่าไปเลยเจ้าค่ะ""ข้าอยากจะเห็นนางสักครั้ง อยากจะรู้ว่าชีวิตที่เอาแต่ทำร้ายคนอื่นมาตลอดเช่นนาง ยามที่ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตายแล้วนางจะมีความรู้สึกเช่นไร" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยพร้อมกับประกายดวงตาที่วาวโรจน์ ชีวิตที่สร้างศัตรูเอาไว้มากมายเช่นนั้น สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่นางควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม"ไปกันเถอะ""เจ้าค่ะ"เมิ่งจิ่วซือเดินตรงไปยังเรือนของเผิงอี้หรู หน้าเรือนและรอบ ๆ เรือนมีคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามาเยี่ยมอนุเผิง" ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนหันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะรีบเปิดประตูให้หญิงสาว พร้อมกับบังอาจเอ่ยเตือนนางเล็กน้อย"พระชายาได้โป
คืนเดียวกันนั้นเผิงอี้หรูได้รับรายงานจากสาวใช้ของนางว่าแผนการส่งอาหารเข้าไปยังเรือนของพระชายานั้นสำเร็จแล้ว หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มระรื่นอย่างยินดี ก่อนจะเฝ้ารอฟังข่าวดีจนแทบทนไม่ไหว"คืนนี้ข้าจะแช่ตัวนานเสียหน่อย เจ้าอย่าลืมหยดน้ำอบกลิ่นใหม่ที่ข้าพึ่งได้มาลงไปในน้ำเสียด้วย""เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"หลังจากที่สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นให้นางเสร็จ เผิงอี้หรูก็ออกปากไล่นางออกไปคืนนี้หญิงสาวอยากจะใช้เวลาอยู่กับตนเองให้มากหน่อย ทั้งยังคิดเผื่อในวันรุ่งขึ้นมาว่าตนเองควรจะทำสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างไรดีจึงจะยังคงความงดงามเอาไว้ได้"พรุ่งนี้ข้าควรสวมเสื้อผ้าสีใดดีนะ? ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นเช่นนี้จวนแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่ข้าแล้ว จะจัดการเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว"เผิงอี้หรูรู้สึกมีความสุขยิ่ง เมื่อนึกภาพในวันรุ่งขึ้นที่สองแม่ลูกนั้นหมดลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน"ใครใช้ให้เจ้าตายยากตายเย็นนักเล่า จะกล่าวโทษข้าไม่ได้จริง ๆ"เผิงอี้หรูแช่อยู่ในน้ำนานกว่าปกติก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าน้ำในถังเริ่มเย็นจึงได้ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากถังแล้วสวมเสื้อผ้าตัวบางพร้อมนอน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น จาก
เสี่ยวชุนเป็นสาวใช้คนสนิทของเผิงอี้หรูเด็กสาวเติบโตมาในตระกูลเผิงสายรอง มารดาของนางเป็นแม่นมของเซิ่งฮูหยินผู้เป็นมารดาของเผิงอี้หรู หากแต่ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาพร้อมกับคุณหนูก็ตามแต่ดูเหมือนว่าเผิงอี้หรูจะไม่ให้ความสำคัญกับนางมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด"จะ เจ้าเป็นใครกัน?""เจ้าไม่ต้องรู้หรอก เพียงแต่รู้เอาไว้อย่างเดียวก็พอว่าข้าเป็นคนของท่านผู้นั้นที่นายของเจ้าจะต้องฟังคำสั่ง" สตรีผู้นั้นเอ่ยขึ้นทำให้เสี่ยวชุนรู้สึกตื่นกลัวก่อนจะแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ นางเคยได้ยินคุณหนูกล่าวถึงท่านผู้นั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นแท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่"ขะ ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น เจ้าหลีกไปเดี๋ยวนี้นะ""หึ หากเจ้าไม่เป็นห่วงคุณหนูของเจ้าก็คงต้องรู้สึกเป็นห่วงมารดาและน้องชายของเจ้าบ้างกระมัง" เสี่ยวชุนที่กำลังจะเดินจากไปได้ยินเช่นนั้นขาทั้งสองข้างของนางก็หยุดชะงักทันที ก่อนจะหันกลับมาหาสตรีผู้นั้นอีกครั้ง"เจ้าจะทำอันใดท่านแม่ของข้า?""ย่อมไม่ทำ หากว่าเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี""ความร่วมมืออันใด?""นำของสิ่งนี้ไปมอบให้คุณหนูของเจ้า แล้วบอกว่าให้รีบลง
เมิ่งจิ่วซือค่อย ๆ ฝังเข็มลงบนร่างกายของชายหนุ่มทีละเล่ม สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ชีพจรของชายหนุ่มไม่คงที่ทั้งยังดูเหมือนสับสนและเคลื่อนย้ายไปมาได้ ทำให้เมิ่งจิ่วซือถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถามถึงอาการของชายหนุ่มก่อนหน้านี้กับองครักษ์ของเขา"ท่านอ๋องป่วยมานานเพียงใดแล้วงั้นหรือ?""ตั้งแต่วันที่มาถึงเจียงหนานพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกำชับว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพระชายาเด็ดขาด แต่ข้าน้อยคิดว่าหากในวันนี้ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นขึ้นมาข้าน้อยจะส่งคนไปแจ้งข่าวกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"เมิ่งจิ่วซือถอนหายใจ จะกล่าวว่าเป็นความผิดขององครักษ์ก็มิได้เสียทีเดียวเพราะนางและสามีก็หาได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งยังดูเหมือนเป็นปรปักษ์กันอยู่เนือง ๆ หากพวกเขาจะคิดเอาเองว่านางอาจจะไม่ยินดีรักษาให้อีกฝ่ายก็ย่อมไม่แปลก แต่เดิมความสามารถในการรักษาของเมิ่งจิ่วซือนั้นก็เป็นความลับมาโดยตลอดนางเองก็ไม่เคยยินยอมรักษาให้ผู้ใด เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากมากไปกว่านี้ เพียงแค่ชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งเดิมทีเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็หวาดระแวงมากพออยู่แล้ว หากนางมีชื่อเสียงทางด้านการรักษาอีกชีวิตนี้ก็ค
รถม้าของเมิ่งจิ่วซือเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองเจียงหนาน นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสได้เห็นเมืองเจียงหนานแบบดั้งเดิม นับว่าหาได้ยากนัก ก่อนจะเคลื่อนผ่านใจกลางเมืองไปทางด้านทิศเหนือแล้วหยุดลงบริเวณหน้าจวนแห่งหนึ่ง หญิงสาวเลิกม่านดูก่อนจะพบว่าเหนือประตูจวนเขียนด้วยอักษรสีทองงดงามว่าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋อง ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ขยับตัวลงจากรถม้าโดยมีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนดวงตาของตู๋กูรั่วหวามองที่ประตูจวนด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งแววตาของนางลุ่มลึกอย่างไม่อาจคาดเดา เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าราวกับต้องการเรียกหากำลังใจก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าใสซื่อตามเดิม"ท่านแม่ หวาจะไปหาท่านพ่อ""เด็กดี เดี๋ยวก็ได้เจอท่านพ่อแล้ว"หวั่นอี้ที่ได้รับรายงานว่าพระชายาเดินทางมาถึงแล้วก็รีบออกมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยท่าทางร้อนรนอย่างเก็บไม่อยู่ หญิงสาวที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแปลกประหลาดนักจึงเลิกคิ้ว"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ไม่ต้องมากพิธี อย่างไรก็ต้องรบกวนพวกท่านแล้วข้าเดินทางมาโดยไม่ได้บอกกล่าว ท่านอ๋องจะว่ากล่าวอันใดหรือไม่" หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้สนิทกับสามีถึงขนาดที่จะทำส