ธามไทพาเขมมิกามาทานอาหารที่ร้านประจำของเขา ซึ่งร้านนี้อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมของเวทัส เขาตั้งใจว่า หากไปส่งเขมมิกาแล้วคงจะกลับมาหาเพื่อนเพื่อพูดคุยระบายเรื่องศศิต่อ
“โห ร้านสวยมากเลยค่ะ”
เขมมิกามองบรรยากาศภายในร้านอย่างตกตะลึง จริงๆ ก็เคยเห็นร้านอาหารที่ตบแต่งได้สวยงามแบบนี้ผ่านละครทีวีอยู่หลายครั้ง แต่ลำพังเด็กอย่างเธอคงไม่มีปัญญาเข้ามาทานแน่นอน เพราะเงินที่มีทุกวันนี้ก็ใกล้ที่จะหมดเต็มที โชคดีที่โรงพยาบาลจ่ายค่าจ้างให้ แม้จะอยู่ในฐานะเด็กฝึกงานก็ตาม
“มีอะไรที่เธอจะไม่ทำท่าตะลึงแบบนั้นบ้าง ตื่นเต้นทุกอย่างในชีวิตมั้ง” ธามไทนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามเด็กสาว ตอนนี้ เขาแอบอดคิดไม่ได้ว่าตนเองเหมือนโคแก่ที่พาหญ้าอ่อนมาหลอก ‘กิน’
“ก็มันสวยจริงๆ นี่คะ เค้กไม่ได้รวยเหมือนหมอนี่ที่จะได้เข้าร้านอาหารหรูๆแบบนี้จนชิน” หญิงสาววัยใสพูดยิ้มๆ ออกไปอย่างที่ตัวเองรู้สึก
“นี่คงเป็นเหตุผลที่เธอตื๊อฉันให้พามากินข้าวสินะ” ธามไทเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน สำหรับหมอหนุ่ม ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด เข้ามาเพราะอยากสบาย อยากมีของหรูๆ ใช้ และอยากได้เงินจากเขาทั้งนั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ เค้กแค่อยากอยู่กับหมอธาม หมอจะพาเค้กไปกินข้าวข้างทาง เค้กก็ไปค่ะ” คนตัวเล็กรีบพูดปฏิเสธอย่างรวดเร็ว จริงอยู่ว่าเธอตื่นตาตื่นใจที่ได้เข้าร้านหรูแบบนี้ แต่ใช่ว่าจะเห็นมันสำคัญไปกว่าการได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่ม อีกอย่าง เธอไม่ใช่พวกชอบคนที่ภายนอกอยู่แล้ว เหตุที่หลงรักหมอธามไท มันมาจากความเป็นคนจิตใจดีของเขาล้วนๆ
“อยากอยู่กับฉัน?” หมอหนุ่มเลิกคิ้วถาม ในที่สุดเขมมิกาก็เผลอหลุดปากยอมรับออกมาตรงๆ ว่าเธอแค่อยากอยู่กับเขา แม้มันจะไม่ได้เกินความคาดหมายของธามไทนัก แต่ก็อดสะใจไม่ได้ที่สุดท้าย เด็กสาวก็หลุดปากพูดความจริงออกมาเอง
“เอ่อ ค่ะ ก็หมอธามกำลังจะเป็นหัวหน้าเค้กอีกตั้งสองเดือน เค้กก็อยากรู้จักหมอให้มากขึ้น เผื่อว่าฝึกงานเสร็จ หมอจะใจดีจ้างเค้กทำงานต่อเลย” เขมมิกาแก้ตัวอย่างคนหัวไว
“หึ”
ธามไทไม่สนใจกับคำแก้ตัวของเด็กสาว หันไปสั่งอาหารด้วยความเคยชินเพราะมาที่ร้านนี้บ่อย จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ว่าอาหารอะไรอร่อย
“หมอธามคงมาที่นี่บ่อยสินะคะ ดูคล่องเชียว” เขมมิกาเอ่ยถามต่อหลังจากที่เห็นว่าชายหนุ่มสั่งอาหารให้เสร็จเรียบร้อย ทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาเธอตลอด
“อืม”
ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กงานและไม่สนใจเด็กสาวที่นั่งตรงข้ามอีกเลย
“เอ่อ หมอคะ” เขมมิกาไม่ปล่อยในบรรยากาศเงียบอยู่นาน จึงกลั้นใจและเรียกหมอธามไทจนเขาตวัดสายตาดุมองเธออีกครั้ง
“นี่เธอจะอยู่เงียบๆ สักห้านาทีไม่ได้เลยใช่ไหม” ธามไทมองหน้าแม่สาวน้อยตัววุ่นด้วยสายตาตำหนิ แม้เขาจะหยิบมือถือขึ้นมาไถเล่นอย่างไม่มีอะไรทำก็ตาม แต่ใช่ว่าจะอยากคุยกับเขมมิกา
“ขอโทษค่ะ แต่เค้กมีเรื่องสงสัยอยากจะถามหมอนิดหน่อยค่ะ” เธอพูดด้วยความรู้สึกสำนึกผิด แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้ควรจะถามเอาไว้และเป็นสิ่งที่ตนเองควรรู้อย่างยิ่ง
“รีบถามมา”
ธามไทวางโทรศัพท์มือถือลงพร้อมกับจับจ้องดวงหน้าหวานไร้เครื่องสำอางของเขมมิกา จะว่าไป เธอก็เป็นเด็กหน้าตาดีคนหนึ่งจึงไม่แปลกที่หนุ่มน้อยใหญ่ที่โรงพยาบาลจะหมายปอง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่คนอย่างเขา เพราะเขาไม่นิยม ‘กินเด็ก’
“คุณศศินี่เป็นใครเหรอคะ อย่าเพิ่งต่อว่าเค้กนะคะ เค้กแค่คิดว่า เรื่องนี้ เค้กควรรู้ไว้ การที่คุณศศิเข้ามาในห้องของหมอได้ขนาดนั้นก็แปลว่า เธอก็ต้องมีอำนาจในโรงพยาบาลมากพอ เค้กก็ควรที่จะรู้ไว้เพื่อจะได้ทำตัวถูกไม่ใช่เหรอคะ” เขมมิการีบพูดทันที เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำท่าจะอ้าปากต่อว่าเธอ
“ศิเป็นลูกสาวของคุณสุนทร หุ้นส่วนโรงพยาบาล เวลาเจอ เธอก็ไหว้แค่นั้นละ ศิไม่ค่อยได้มาที่นี่หรอก” เมื่อเห็นว่าเหตุผลของเขมมิกาฟังดูไม่ไร้สาระ เขาจึงตอบเธอออกไป
“อย่างนี้นี่เอง คุณหมอกับคุณศศิก็คงจะเป็นคนรักกันสินะคะ” เขมมิกาค่อยๆ ถามออกไป พร้อมมองคนตรงข้ามอย่างพินิจพิเคราะห์
“ไม่ใช่ ฉันไม่มีแฟน แล้วก็ไม่ต้องถามอะไรอีก” หมอหนุ่มรีบตอบพร้อมกับตัดรำคาญทันที ใช่ว่าเขาจะแคร์เขมมิกา แต่ที่รีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ใครๆ เข้าใจว่าตนเองกับศศิเป็นคนรัก
“ไม่ถามแล้วก็ได้ค่ะ อุ๊ย! อาหารมาแล้ว”
เขมมิกาหันไปมองอาหารที่ตอนนี้พนักงานเริ่มทยอยเสิร์ฟทีละอย่างสองอย่างจจนครบเต็มโต๊ะ
“โห นี่หมอแน่ใจนะคะว่าสั่งมาทานกันแค่สองคน” เอ่ยถามยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าธามไทสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะราวกับมากินกันห้าคน
“กินไม่หมดก็ช่างมัน ฉันมีเงินจ่าย” ธามไทตักอาหารเข้าปากอย่างไม่สนใจอะไรอีก เขาเป็นคนไม่คิดมากกับเรื่องของกิน และก็มักจะยอมทุ่มเทเงินให้กับของกินเสมอ เพราะเชื่อว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์
“หืม? อร่อยมากเลยค่ะ” แม่สาวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่ได้ทานขาหมูเยอรมันเข้าไป เธอไม่เคยทานอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
“ถ้าชอบก็กินเยอะๆ”
เขาเห็นท่าทางกินอย่างอร่อยของเธอ ธามไทอดเอ็นดูในความเป็นธรรมชาติของเด็กสาวไม่ได้ เขาไม่เคยสอบถามเรื่องส่วนตัวของเขมมิกา แต่จากท่าทีตื่นเต้นของเธอจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงลำบากไม่น้อย
“นี่ก็อร่อย นั่นก็น่ากิน หมออย่าว่าเค้กนะคะ ถ้าเค้กจะกินเยอะไปหน่อย ก็มันอร่อยจริงๆ นี่คะ”
หญิงสาวพูดด้วยความเขินอาย จริงๆ ทานข้าวครั้งแรกกับคนที่ตัวเองแอบชอบมาตลอดหลายปี เธอควรที่จะสำรวม แต่อาหารตรงหน้าไม่สามารถทำให้สำรวมได้เลย เพราะมันช่างน่ากิน และคนที่หลงรักการกินอย่างเขมมิกามีหรือจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
“ฉันจะว่าทำไม กินให้หมดก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียของ แต่ถ้าเธอน้ำหนักขึ้นอย่ามาโทษฉันละกัน” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทานอาหารอย่างเงียบๆ จนอิ่ม แอบลอบมองความสดใสตรงหน้าเป็นบางครั้ง
จนเขาอิ่ม เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกที หมอหนุ่มก็อดยิ้มตามไม่ได้ เด็กสาวดูมีความสุขที่ได้กินของอร่อยเสียจนคนอย่างเขาไม่อยากจะเชื่อ เพราะสำหรับธามไท การทานอาหารพวกนี้ถือเป็นเรื่องปกติในชีวิต แต่สำหรับเขมมิกาคงเป็นเรื่องพิเศษอย่างหนึ่ง
“เค้กอิ่มแล้วค่ะ” เขมมิกาพูดพร้อมกับดื่มน้ำ เมื่อเงยหน้าไปมองชายหนุ่มก็พบว่าเ
“ก็ควรอิ่มอยู่หรอก เธอกินหมดแล้วนี่ ขาหมูขาเบ้อเร่อ ” ธามไทอดขำไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอาหารบนโต๊ะเกลี้ยงด้วยฝีมือของหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้า“เอ่อ ขอโทษค่ะ แหม...ก็มันอร่อยนี่คะ” พลางเกาศีรษะแก้เขิน“ไม่ได้ว่าอะไร กินเยอะขนาดนี้ไม่กลัวอ้วนหรือไง”ธามไทเอ่ยถามไปอย่างนั้น เพราะเห็นว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะทานน้อยเพราะกลัวหุ่นพัง แต่เขมมิกาเองก็ห่างไกลกับคำว่าอ้วนลิบลับ“ให้เค้กได้อ้วนเถอะค่ะ มีแต่คนบอกว่าเค้กผอมเกินไป เค้กชอบผู้หญิงอวบๆ มีน้ำมีนวลมากกว่า แต่กินเท่าไหร่ก็หุ่นเท่านี้ตลอด” เขมมิกาพูดอย่างใจคิด เพราะรู้ดีว่าตนเองเป็นผู้หญิงผอมสูง แต่ก็อยากที่จะมีน้ำมีนวล หรือเป็นผู้หญิงอวบมากกว่า เพราะมองยังไงก็มีเสน่ห์และสวยในสายตาเธอ“หึ แปลกดี”ธามไทมองว่าเขมมิกาเป็นผู้หญิงแปลกคนหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่อยากจะผอมและมีหุ่นบอบาง แต่เธอกลับอยากมีน้ำมีนวลเสียอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไร เรื่องหุ่นของผู้หญิงสำหรับชายหนุ่มก็ไม่ได้สำคัญนักขอ แค่ถูกใจ จะหุ่นไซซ์ไหน เขาก็โอเคทั้งนั้น“ว่าแต่หมอธามก็ทานเยอะเหมือนกันนะคะ ไม่กลัวหุ่นพังเหรอ” อดถามไม่ได้ เพราะจากที่ดูธามไทเป็นคนที่หุ่นดีคนหนึ่ง แม้เธอจะไม่เคยเห็นหุ่นภ
“พ่อเธอเสียนานแค่ไหนแล้ว” หมอหนุ่มค่อยๆ ถามออกไป เพราะกลัวว่าเรื่องพ่อจะยังเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของหญิงสาว“ห้าปีได้แล้วค่ะ พ่อเป็นโรคหัวใจ” หันไปมองหน้าธามไทด้วยหวังว่าเขาจะจำเธอได้บ้าง แต่สายตาที่มองกลับมาทำให้รู้ทันทีว่า หมอหนุ่มไม่ได้มีเธออยู่ในสายตาเลย เขาไม่มีทางจำเธอได้“ฉันเสียใจด้วย” ธามไทพูดจากใจจริง แม้ว่าเขาจะคุ้นชินกับการพูดประโยคนี้ซ้ำๆ กับญาติคนไข้ แต่ทุกครั้งที่พูด ชายหนุ่มเองก็รู้สึกหัวใจสลายไม่แพ้ญาติคนไข้เลย“เค้กดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” เขมมิการีบดึงตัวเองกลับมายิ้มสดใสในทันที เพราะเธอไม่อยากให้บรรยากาศเศร้าหมอง“แล้วเธอเอาเงินจากไหนใช้” หมอหนุ่มยังคงถามต่อด้วยความสงสัย ปกติเขาไม่ค่อยอยากรู้เรื่องของใคร เพราะทุกคนที่ใกล้ชิด มักจะเล่าเรื่องราวน่าสงสารของตัวเองเพื่อให้เขาเห็นใจและยื่นมือเข้าไปช่วย แต่กับเขมมิกาเธอกลับไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย และธามไทคิดว่าตนเองควรจะรู้ในฐานะหัวหน้างานของเธอ“ก็เงินประกันชีวิตของพ่อ แล้วก็ ตอนเรียน เค้กทำงานร้านนมหน้ามอน่ะค่ะ นี่โชคดีมากเลยนะคะที่หมอจ่ายค่าฝึกงานให้เค้กด้วย ไม่อย่างนั้นลำบากแน่ๆ เลยค่ะ” สาวน้อยยิ้มอย่างขำ
“แหม แต่ก็ใช่ว่าผมไม่ต้องการผู้ช่วยนี่ครับ” มาวินพูดพร้อมกับขำแก้บรรยากาศที่ตอนนี้เหมือนอึมครึมเสียจนเจ้าตัวรู้สึกเกร็ง“ไว้ถ้าผมไม่มีงานอะไรจะใช้เค้ก ผมอาจจะส่งเธอให้หมอวินนะครับ” แล้วหันไปมองเขมมิกาที่ตอนนี้นิ่งเงียบไม่พูดอะไร“ยินดีครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะ หมอขอตัวก่อนนะครับเค้ก”มาวินหันไปล่ำลาเขมมิกา โดยที่หญิงสาวเองก็ยิ้มให้เขาบางๆเมื่อมาวินเดินจากไป ธามไทก็พูดด้วยน้ำเสียงดุใส่เขมมิกาทันที“นี่มาทำงาน หรือมาหาแฟน”“มาทำงานค่ะ ส่วนเรื่องแฟนเป็นผลพลอยได้” ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอตอบออกไปแบบนั้น ทั้งที่จริงๆ ตนเองไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับหมอมาวินแม้แต่น้อย“ชอบหมอวินงั้นเหรอ” เอ่ยถามเด็กสาว พร้อมกับจ้องลึกไปในดวงตาของเธอ“เปล่าค่ะ” คนตัวเล็กตอบอย่างไม่ต้องคิดนาน เพราะคนที่เธอหลงรักมีเพียงคนเดียวนั่นก็คือ ‘เขา’“ถ้าชอบก็บอก ฉันจะได้ให้เธอไปฝึกงานกับหมอวินแทน หมอวินเป็นคนดี ไม่ใช่คนที่จะมาหลอกกินนักศึกษาฝึกงานไปเรื่อย นี่ฉันเพิ่งเคยเห็นมันสนใจผู้หญิง”ธามไทพูดอย่างไม่สนใจอะไร คิดเหมือนกันว่าหากเขมมิกาชอบมาวินจริงๆ ก็จะไม่ขัดขวางทั้งคู่ และเขาเองจะได้ไม่ต้องทนรำคาญเด็กสาวช่างจ้อแบบน
“แต่ฉันทำเสื้อคุณเปื้อน...” เขมมิกาพูดอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะจ้องมองมือตนเองที่ตอนนี้ถูกชายแปลกหน้าเกาะกุมอยู่จนเขารู้ตัว“เอ่อ ขอโทษครับ” ปริญรีบปล่อยมือเล็กๆ นั้นทันที พร้อมกับเกาศีรษะแก้ความเขินอาย“พอดีดิฉันรีบๆ เลยไม่ทันระวัง ขอโทษอีกครั้งนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดอีกครั้ง“ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมขอเลี้ยงกาแฟคุณแทนแก้วที่หกไปได้ไหมครับ” ปริญพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมองแก้วกาแฟสองแก้วที่ตอนนี้หล่นอยู่ที่พื้น“เอ่อ ตายจริง!” เขมมิการ้องออกมาเมื่อมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง ตอนนี้ถึงเวลานัดแล้ว ป่านนี้ ธามไทคงรอและด่าเธอในใจอยู่แน่“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ปริญเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทีลนลานของเธอ“พอดีฉันต้องรีบไปค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”พูดจบ เจ้าของร่างบอบบางก็รีบวิ่งออกจากร้านกาแฟไปโดยที่ไม่ได้หันไปมองชายหนุ่มอีกเลย“เฮ้อ ยังไม่ทันได้ถามชื่อเลย”ปริญจับจ้องเบื้องหลังของหญิงสาวที่วิ่งจากไปด้วยความเสียดายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองเสื้อของตนเองที่เปื้อนไปด้วยคราบกาแฟ หากไปพบลูกค้าด้วยสภาพนี้คงไม่สมควร เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาก็รีบออกจากร้านกาแฟเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องทั
“ผมคิดว่าเงื่อนไขที่ให้ทางโรงพยาบาลเราเข้าใช้บริการ Hall ห้าครั้งต่อปีเทียบกับการลดค่ารักษาบริการของพนักงานที่โรงแรมกว่าสองร้อยคน มันอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าปีปีหนึ่งจะมีพนักงานของคุณเข้าใช้บริการมากน้อยแค่ไหน” ธามไทพูดออกไปตรงๆ ใช่ว่าเขาไม่สนใจโรงแรมของปริญ แต่ก็ไม่อยากให้ฝ่ายของตนเองเสียเปรียบมากขนาดนั้น“ครับ ถ้าอย่างนั้น คุณหมออยากให้ทางเราบริการอะไรเพิ่มเติมลองแจ้งมาได้นะครับ” ปริญพูดพร้อมกับเหลือบมองไปยังเขมมิกาที่เอาแต่จดข้อความการสนทนาของพวกเขาลงสมุดบันทึก“ผมกำลังคิดว่าอาจจะเพิ่มสิทธิพิเศษเป็นการเข้าพักในห้องสูทของทางโรงแรมในวันที่มีจัดสัมมนาหรืองานเลี้ยง อาจจะเป็นไว้สำหรับผู้บริหารน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี คุณปริญมีความเห็นว่าไงครับ” ธามไทยังคงให้เกียรติและถามออกไป หากอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามข้อตกลง เขาก็ยินดีที่จะรับฟังข้อเสนออื่นๆ ต่อ“ได้เลยครับไม่มีปัญหา ผมสามารถให้ห้องสูทของคุณหมอได้สิบห้องต่อครั้งที่คุณหมอมาจัดงานที่โรงแรมของผม” CEO หนุ่มตอบอย่างไม่คิดมาก เพราะไม่อยากให้โรงพยาบาลนี้หลุดมือไปสักเท่าไร“งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ผมยินดีเข้าร่วมทำข้อเสน
บรรยากาศบนรถเงียบตลอดทางเสียจนเขมิกาอดเกร็งไม่ได้ ตั้งแต่ที่เดินทางออกจากโรงแรม ธามไทไม่มองหน้าและไม่พูดคุยอะไรกับเธอเลย จริงอยู่ว่า ปกติ คุณหมอหนุ่มจะพูดกับเธอน้อยมาก แต่ครั้งนี้ทั้งสีหน้า และแววตาของเขาทำให้คนตัวเล็กอดรู้สึกกลัวไม่ได้“คุณหมอโกรธอะไรเค้กหรือเปล่าคะ” หญิงสาวใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยถามหมอหนุ่มทันที เธอไม่อยากมีเรื่องค้างคาใจอะไรทั้งนั้น“ไว้คุยที่โรงพยาบาล” ธามไทตอบเสียงนิ่งเรียบโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนถามสักนิด เขาพยายามทำใจให้สงบลง แม้ว่ามันจะมีดีขึ้นเลยก็ตาม“เค้กทำอะไรผิดเหรอคะ หรือว่าหมอโกรธที่เค้กไปเสียมารยาทเดินชนคุณปริญ แต่เค้กไม่ได้ตั้งใจนะคะ” คนตัวเล็กรีบพูดขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ“ฉันบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยไง ไม่เข้าใจเหรอ!” คนถูกจี้ทนไม่ไหวหันไปตะคอกใส่เสียงดังจนเธอสะดุ้ง น้ำตาเอ่อคลอทันที“ขะ ขอโทษค่ะ”เขมมิกาพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ด้วยที่ไม่เคยถูกธามไทเสียงดังใส่ขนาดนี้มาก่อน แม้ในใจจะเกิดคำถามมากมายว่าตนเองผิดอะไร แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบเพราะไม่อยากทำให้เขาโมโหมากกว่านี้ธามไทใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่โรงพยาบา
“หมอเข้าใจว่าเค้กต้องการอะไรคะ” เมื่อทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกไปตามตรง เธอคิดว่าเขาคงเข้าใจอะไรตนเองผิดไปแน่ถึงได้ออกปากไล่กันแบบนี้“ฉันจะไม่อ้อมค้อมละกันนะ ฉันไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าเด็กอย่างเธอต้องการอะไร ตอนแรกก็คงตั้งใจจะมาอ่อยฉัน ใช้ทางลัดเพื่อให้ตัวเองได้สบายไวๆ แต่พอฉันไม่สนใจก็เลยทอดสะพานหาไอ้หมอวิน ตอนแรก ฉันก็คิดว่าเธอกับหมอวินชอบกันจริงๆ แต่พอวันนี้มาเห็นว่าเธอเองยังไปหว่านเสน่ห์ให้กับคุณปริญ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆ เธอคงจะหาใครสักคนก็ได้ที่รวยพอจะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น”“ไม่ใช่นะคะ!” คนตัวเล็กรีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยความรู้สึกโกรธจัด“อันที่จริง ไอ้เรื่องครอบครัวแสนเศร้าที่เธอเล่ามา ฉันว่าก็ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ชายอย่างหมอวินหรือคุณปริญสงสารได้อยู่นะ พวกนั้นน่าจะหลงเธอทั้งรูปร่าง หน้าตา แล้วก็สงสารชีวิตของเธอจนต้องอยากยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่า พวกนั้นจะให้เธออยู่ในฐานะอะไร” ธามไทพูดราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่สอนเด็ก แต่ลึกๆ แล้วเขาอยากพูดให้เขมมิกาเจ็บปวดมากที่สุดต่างหาก“พอแล้วค่ะ เค้กไม่ออยากฟัง” เขมมิกาพูดแทรกขึ้นมา ใช่ว่าเธอทนฟังคำพูดแบบนั้นไม่ได้ แต่เธอแค่
“มึงอย่าเสือกเลย” ธามไทเลือกที่จะปฏิเสธด้วยที่ไม่อยากให้เรื่องของเขมมิกามารบกวนจิตใจอีก เพราะตอนนี้ เขาก็ห่วงที่เห็นเธอร้องไห้ออกไปจนแทบคลั่งแล้ว“กูอยากเสือก ทีตอนนั้น มึงยังเสือกเรื่องของกูเลย” เวทัสเอ่ยถามปนขำที่เห็นว่าท่าทีของเพื่อนรักคงไม่ต่างจากตนเองเมื่อก่อนนัก“ตอนนั้น มึงปรึกษาเรื่องผู้หญิงที่มึงชอบ แต่นี่มันเรื่องของเด็กฝึกงาน กูไม่อยากเอามาใส่ใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ” ธามไทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับต้องการจะย้ำเตือนตัวเองเหมือนกันว่า เขมมิกาเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานก็เท่านั้น!“โอเค เด็กฝึกงานก็เด็กฝึกงาน ว่าแต่น้องเขาชื่ออะไรวะ นี่ถ้าไม่มีข้าวฟ่าง กูจีบแล้ว ขนาดร้องไห้ยังน่ารักเป็นบ้า” เวทัสทำท่าทางนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวเมื่อครู่นี้ จนธามไทจ้องมองตาเขม็ง“กูพูดเล่นคร้าบบบ แหม่นี่ขนาดแค่เด็กฝึกงานนะ” พูดด้วยความหมั่นไส้เพื่อนที่ไม่รู้จักความรู้สึกตัวเอง เขามั่นใจว่าผู้หญิงเมื่อกี้ต้องไม่ใช่เด็กฝึกงานธรรมดาอย่างแน่นอนก๊อกๆ ๆ ๆ ประตูห้องถูกเปิดมาพร้อมกับเขมมิกาที่เดินถือแก้วน้ำเข้ามาสองแก้วเพื่อต้อนรับแขกของหมอธามไท หญิงสาวเดินเข้ามาโดยที่ไม่ได้มองหน้าเขาแต่อย่างใด ด้วยก
คนตัวเล็กเอื้อมมือไปกุมมือสาวรุ่นพี่เพื่อขอบคุณ เธอดีใจที่อย่างน้อยการมาฝึกงานครั้งนี้ก็ได้เจอผู้ใหญ่ที่เมตตาเธอจากใจจริง“อื้ม มีอะไรก็คุยกับพี่ได้นะ ยังไง พี่ก็เป็นคนดูแลเราอยู่แล้ว”พิมอรตอบกลับด้วยความหวังดี สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่เขมมิกาจะเลือก หากแม่สาวน้อยเลือกที่จะเดินบนเส้นทางแห่งความเสี่ยง ตัวเธอก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้…เขมมิกากลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะในช่วงบ่าย เธอสังเกตว่าธามไทกลับมาที่ห้องได้สักพักแล้ว และก็สั่งเอาไว้ว่าห้ามใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด แม้จะห่วงเขาที่ยังไม่ได้ทานอะไร แต่ก็ไม่อยากขัดคำสั่งชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งทำงานเงียบๆ อยู่หน้าห้องติ๊ดๆ ๆ ๆ เขมมิกาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองเบอร์แปลกที่โทร.เข้ามา ก่อนจะกดรับสายทันที“สวัสดีค่ะ เค้กพูดค่ะ” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานไพเราะ“สวัสดีครับคุณเค้ก ผมปริญนะ”ปลายสายตอบกลับมา และชื่อนั้นทำเอาเขมมิกาถึงกับนิ่งไปเช่นกัน เพราะคนในสายก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ธามไทโมโหใส่เธอ“เอ่อ ค่ะ คุณปริญ มีเบอร์เค้กได้ยังไงคะเนี่ย” เธอเอ่ยถามด้วยความงุนงง เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ให้เบอร์ตนเองกับปริญไป“ก็ไม่เห็นจะหายากนี่ครับ ในเมื่อคุ
เขมมิกาเริ่มรู้สึกดีขึ้น อาจเป็นเพราะธามไทคุยด้วยเมื่อช่วงเช้าทำให้รู้ว่า ตอนนี้ เขาไม่ได้โกรธเธอเหมือนเมื่อวาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันทำให้เห็นจริงๆ ว่าหมอหนุ่มมีอิทธิพลต่อจิตใจของเธอเป็นอย่างมาก หากเขาโกรธ หญิงสาวก็เศร้าได้ทั้งวันทั้งคืน และหากหายโกรธ เธอก็สามารถกลับมาสดใสร่าเริงราวกับกดสวิตซ์ได้“อารมณ์ดีต่างเมื่อวานเลยน้า วันนี้สงสัยไม่โดนหมอธามดุละสิ” พิมอรเอ่ยถามนักศึกษาฝึกงานสาว หลังจากที่ตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากเมื่อวานสิ้นดี“เอ่อ ค่ะ วันนี้ หมอธามไม่ดุเค้กเลย” เขมมิกาตอบยิ้มๆ เธอไม่ได้โกหก แต่บอกไม่หมดต่างหาก สาเหตุที่ดีใจเพราะหมอหนุ่มไม่โกรธเธอแล้ว“ดีแล้ว เห็นไหม พี่เคยบอกว่าแล้วว่า หมอธาม ถ้าบทจะดีก็คือดีเลย อีกอย่าง ถ้าหมอเริ่มพูดดีกับเรา แปลว่าเราทำงานดี เริ่มผ่านบททดสอบจากหมอแล้วด้วยนะ” ฝ่ายบุคคลสาวพูดอย่างให้กำลังใจ“ถ้าเป็นอย่านั้นจริงๆ ก็ดีสิคะ เผื่อว่าเค้กจะได้มีโอกาสทำงานที่นี่บ้าง” แม่สาวน้อยหน้าหวานได้แต่หวังใจเล็กๆ ว่าธามไทจะนึกเอ็นดูเธอขึ้นมา แม้จะไม่ได้มอบตำแหน่งเลขาฯ ให้ แต่อาจให้ตำแหน่งอื่นๆ ในโรงพยาบาลนี้“อะแฮ่มๆ เมื่อกี้ได้ยินแว่ว
เธอไม่ได้อยากทำตัวเป็นเด็กสาวโรคจิตที่เฝ้ามองผู้ชาย แต่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มีความรักอย่างบริสุทธิ์ เพียงแค่อยากอยู่ใกล้คนที่รักโดยที่ไม่หวังอะไร และหากเขายังจำเธอได้ เขมมิกาก็ยินดีที่จะทำงานเพื่อชดใช้เงินทั้งหมดที่คุณหมอหนุ่มจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลให้พ่อ“ทำไมคุณถึงเป็นไปได้ขนาดนี้นะ”เขมมิกาดึงตัวเองกลับมาที่ปัจจุบัน คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คุณหมอที่แสนอบอุ่นในวันนั้นจะกลายเป็นหมอที่ใจร้าย แถมสาดถ้อยคำแสนเจ็บปวดใส่ตนเองได้ขนาดนี้ แต่ที่แปลกคือ ทำไมเธอถึงยังทำใจเกลียดเขาไม่ลง…วันต่อมา เขมมิกาไปทำงานสาย เพราะเมื่อคืนเอาแต่ร้องไห้เสียจนนอนหลับไปไม่รู้เรื่อง ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าสายแล้ว หญิงสาวรีบวิ่งมาที่โต๊ะทำงานด้วยสภาพที่ผมยังเปียกอยู่“เฮ้อ หมอธามมาหรือยังเนี่ย” พูดกับตัวเอง ก่อนจะแอบมองไปที่ประตูห้องของหมอหนุ่ม ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เธอคงจะเดินไปเคาะประตูแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อวาน หญิงสาวจึงเลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ แทน“ทำไมวันนี้มาสายล่ะเค้ก” พิมอรเดินเข้ามาหาเขมมิกาด้วยสีหน้าเครียดจัด“ขอโทษค่ะพี่พิม พอดีเมื่อคืน เค้กนอนไม่ค่อยหลับก็เลย…” แล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ด้ว
เด็กสาวร้องไห้ออกมา เธอไม่สามารถรับความจริงได้ เมื่อเช้า พ่อยังคุยดีๆ กับเธออยู่เลย ทำไมตกเย็นถึงได้จากกันไปเช่นนี้“ลองติดต่อญาติผู้ใหญ่ดูนะครับ หมอขอตัวก่อนนะครับ” แวบเดียวเท่านั้นที่เด็กสาวเห็นสายตาสั่นระริกของคนเป็นหมอ ก่อนที่สายตาของเขาจะนิ่งเรียบอีกครั้ง“ฮึก พ่อ”เขมมิกาไม่รอช้ารีบวิ่งไปหาร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นพ่อที่ตอนนี้ถูกเข็นออกจากห้องผ่าตัด นาทีนี้ หัวใจดวงน้อยทั้งดวงแตกสลายเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เด็กสาวปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่คิดจะห้ามมัน พ่อเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้เธอทำสิ่งต่างๆ มาวันนี้ไม่มีพ่อ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรต่อไป...ผ่านไปเกือบสัปดาห์ เขมมิกาจัดแจงเรื่องงานศพของผู้เป็นพ่ออย่างโดดเดี่ยว โชคดีที่ท่านทำประกันชีวิตเอาไว้ก่อนที่จะตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจ ทำให้ตอนนี้ เธอพอมีเงินติดตัวอยู่บ้างและสามารถนำมาจัดงานศพเล็กๆ ให้ผู้เป็นพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งในงานจะมีแขกไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนที่ทำงานของพ่อและเพื่อนๆ รวมถึงครูที่โรงเรียนของเธอไม่กี่คนเท่านั้นวันนี้ เขมมิกาเริ่มตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว แม้ว่าจะยังคงเศร้าเสีย
เขมมิกาเก็บของอย่างว่าง่าย พร้อมกับลาฝ่ายบุคคลสาวกลับบ้านทันที และเธอเองก็ไม่อยากอยู่รอจนได้เจอกับธามไทอีก เพราะตอนนี้ หัวใจไม่เข้มแข็งพอที่จะเห็นหน้าของเขาหญิงสาวกลับมาถึงห้องเช่าในเวลาเกือบสองทุ่ม ตอนแรกตั้งใจว่าจะซื้อกับข้าวกลับมากินต่อ แต่เมื่อมองดูอาหารแต่ละอย่างที่ตลาดแล้ว เขมมิกากลับรู้สึกพะอืดพะอม จนสุดท้ายไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกลับห้องมา เธอรู้ดีว่ามันคงเป็นเพราะความเครียดที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันทำให้กินอะไรไม่ลงเขมมิกาเอื้อมไปหยิบรูปคู่กับพ่อบนเตียงนอน แล้วมองภาพนั้นด้วยความคิดถึงผู้เป็นพ่ออย่างสุดหัวใจ ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินและร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น วันนี้ เธอรู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปหาใคร ไม่รู้ว่าใครจะรับฟังทุกเรื่องได้เหมือนกับที่พ่อรับฟัง และใครจะรักเธอเหมือนที่พ่อรักเธอได้บ้าง“เค้กคิดถึงพ่อ ฮึก”คนตัวเล็กปล่อยโฮออกมา ก่อนที่จะนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มต้นเหตุที่ทำให้เธอซึมเศร้ามาตลอดทั้งวัน ทำไมเขาถึงใจร้ายแตกต่างจากเมื่อห้าปีที่แล้วนัก…ห้าปีที่แล้วเขมมิกาในวัยมัธยมศึกษาปีที่ห้ากลับมาที่บ้านเช่าของตนเองหลังจากเรียนหนังสือเสร็จ วันนี้ เธอกลับมาพร้อมข่า
“โห ปากมึงนี่นะ กูแค่ผ่านมาก็เลยแวะมาหา เห็นมึงหายเงียบไปหลายวัน เคลียร์เรื่องคุณศศิแล้วเหรอวะ” เวทัสเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ยัง เดี๋ยวกูจะจัดการเร็วๆ นี้แหละ เบื่อเหมือนกัน” เมื่อพูดถึงศศิ ธามไทก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา เขาต้องรีบบอกความรู้สึกของตัวเองให้หญิงสาวรู้โดยเร็ว แม้ที่ผ่านมา ตนเองจะชัดเจนมาตลอดว่าไม่ได้ชอบอีกฝ่ายก็ตาม“ก็ดี จะได้จีบน้องเค้กได้เต็มที่” เวทัสไม่วายแซวเพื่อนอีกครั้ง และก็ถูกมองกลับมาตาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องทันที“มึงไม่ต้องพูดละ งานปาร์ตีประจำปีของโรงพยาบาลกู มึงจะมาปะ เชิญคุณข้าวฟ่างมาด้วยนะ” ธามไทพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องเชิญเพื่อนรักเพื่อนร้ายของตนเองไปงานด้วย“จัดที่โรงแรมไหนวะ?” คนมาเยือนเอ่ยถามขึ้นก่อนจะจิบน้ำที่เขมมิกาเอามาเสิร์ฟให้“เดอะริเวอร์”“อะไรนะ! โรงแรมไอ้ปริญอะนะ?” สิ้นคำตอบ เวทัสก็เอ่ยถามกลับด้วยความตกใจทันที“เออ มึงรู้จักเขาด้วยเหรอวะ” ธามไทมองหน้าเพื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น“ทีงี้อยากรู้ขึ้นมาเลยนะ ไอ้ปริญมันเคยจีบเมียกู แต่เอาจริงๆ มันก็นิสัยใช้ได้ มันกำลังจีบคุณเค้กอยู่งั้นดิ ถ้ามึงไม่ชอบเด็กมันก็ไม่ต้องไปขัดขวางไอ้ปริญหรอก เพราะไอ้นี
“มึงอย่าเสือกเลย” ธามไทเลือกที่จะปฏิเสธด้วยที่ไม่อยากให้เรื่องของเขมมิกามารบกวนจิตใจอีก เพราะตอนนี้ เขาก็ห่วงที่เห็นเธอร้องไห้ออกไปจนแทบคลั่งแล้ว“กูอยากเสือก ทีตอนนั้น มึงยังเสือกเรื่องของกูเลย” เวทัสเอ่ยถามปนขำที่เห็นว่าท่าทีของเพื่อนรักคงไม่ต่างจากตนเองเมื่อก่อนนัก“ตอนนั้น มึงปรึกษาเรื่องผู้หญิงที่มึงชอบ แต่นี่มันเรื่องของเด็กฝึกงาน กูไม่อยากเอามาใส่ใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ” ธามไทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับต้องการจะย้ำเตือนตัวเองเหมือนกันว่า เขมมิกาเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานก็เท่านั้น!“โอเค เด็กฝึกงานก็เด็กฝึกงาน ว่าแต่น้องเขาชื่ออะไรวะ นี่ถ้าไม่มีข้าวฟ่าง กูจีบแล้ว ขนาดร้องไห้ยังน่ารักเป็นบ้า” เวทัสทำท่าทางนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวเมื่อครู่นี้ จนธามไทจ้องมองตาเขม็ง“กูพูดเล่นคร้าบบบ แหม่นี่ขนาดแค่เด็กฝึกงานนะ” พูดด้วยความหมั่นไส้เพื่อนที่ไม่รู้จักความรู้สึกตัวเอง เขามั่นใจว่าผู้หญิงเมื่อกี้ต้องไม่ใช่เด็กฝึกงานธรรมดาอย่างแน่นอนก๊อกๆ ๆ ๆ ประตูห้องถูกเปิดมาพร้อมกับเขมมิกาที่เดินถือแก้วน้ำเข้ามาสองแก้วเพื่อต้อนรับแขกของหมอธามไท หญิงสาวเดินเข้ามาโดยที่ไม่ได้มองหน้าเขาแต่อย่างใด ด้วยก
“หมอเข้าใจว่าเค้กต้องการอะไรคะ” เมื่อทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกไปตามตรง เธอคิดว่าเขาคงเข้าใจอะไรตนเองผิดไปแน่ถึงได้ออกปากไล่กันแบบนี้“ฉันจะไม่อ้อมค้อมละกันนะ ฉันไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าเด็กอย่างเธอต้องการอะไร ตอนแรกก็คงตั้งใจจะมาอ่อยฉัน ใช้ทางลัดเพื่อให้ตัวเองได้สบายไวๆ แต่พอฉันไม่สนใจก็เลยทอดสะพานหาไอ้หมอวิน ตอนแรก ฉันก็คิดว่าเธอกับหมอวินชอบกันจริงๆ แต่พอวันนี้มาเห็นว่าเธอเองยังไปหว่านเสน่ห์ให้กับคุณปริญ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆ เธอคงจะหาใครสักคนก็ได้ที่รวยพอจะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น”“ไม่ใช่นะคะ!” คนตัวเล็กรีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยความรู้สึกโกรธจัด“อันที่จริง ไอ้เรื่องครอบครัวแสนเศร้าที่เธอเล่ามา ฉันว่าก็ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ชายอย่างหมอวินหรือคุณปริญสงสารได้อยู่นะ พวกนั้นน่าจะหลงเธอทั้งรูปร่าง หน้าตา แล้วก็สงสารชีวิตของเธอจนต้องอยากยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่า พวกนั้นจะให้เธออยู่ในฐานะอะไร” ธามไทพูดราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่สอนเด็ก แต่ลึกๆ แล้วเขาอยากพูดให้เขมมิกาเจ็บปวดมากที่สุดต่างหาก“พอแล้วค่ะ เค้กไม่ออยากฟัง” เขมมิกาพูดแทรกขึ้นมา ใช่ว่าเธอทนฟังคำพูดแบบนั้นไม่ได้ แต่เธอแค่
บรรยากาศบนรถเงียบตลอดทางเสียจนเขมิกาอดเกร็งไม่ได้ ตั้งแต่ที่เดินทางออกจากโรงแรม ธามไทไม่มองหน้าและไม่พูดคุยอะไรกับเธอเลย จริงอยู่ว่า ปกติ คุณหมอหนุ่มจะพูดกับเธอน้อยมาก แต่ครั้งนี้ทั้งสีหน้า และแววตาของเขาทำให้คนตัวเล็กอดรู้สึกกลัวไม่ได้“คุณหมอโกรธอะไรเค้กหรือเปล่าคะ” หญิงสาวใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยถามหมอหนุ่มทันที เธอไม่อยากมีเรื่องค้างคาใจอะไรทั้งนั้น“ไว้คุยที่โรงพยาบาล” ธามไทตอบเสียงนิ่งเรียบโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนถามสักนิด เขาพยายามทำใจให้สงบลง แม้ว่ามันจะมีดีขึ้นเลยก็ตาม“เค้กทำอะไรผิดเหรอคะ หรือว่าหมอโกรธที่เค้กไปเสียมารยาทเดินชนคุณปริญ แต่เค้กไม่ได้ตั้งใจนะคะ” คนตัวเล็กรีบพูดขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ“ฉันบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยไง ไม่เข้าใจเหรอ!” คนถูกจี้ทนไม่ไหวหันไปตะคอกใส่เสียงดังจนเธอสะดุ้ง น้ำตาเอ่อคลอทันที“ขะ ขอโทษค่ะ”เขมมิกาพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ด้วยที่ไม่เคยถูกธามไทเสียงดังใส่ขนาดนี้มาก่อน แม้ในใจจะเกิดคำถามมากมายว่าตนเองผิดอะไร แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบเพราะไม่อยากทำให้เขาโมโหมากกว่านี้ธามไทใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่โรงพยาบา