บทนำ
ในยามที่ท้องฟ้าถูกระบายด้วยสีดำสนิท แต่งแต้มสีขาวระยิบระยับเพิ่มเติมจนสว่างไปทั่วพื้นที่ ประกอบกับพระจันทร์สีนวลเต็มดวงส่องประกายควบคู่ไปกับแสงประดิษฐ์สีขาวจากหลอดไฟทั้งสองข้างถนน มันเล็ดลอดผ่านหน้าต่างสีน้ำตาลคล้ายเปลือกไม้ที่ถูกเปิดแง้มไว้เข้าไปจนปรากฎให้เห็นร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปีกำลังหลับตายิ้มรับฝันอันแสนสุข
ในนั้นเขาเป็นเด็กชายอายุเพียงสิบขวบปีกำลังออกวิ่งไปไกลไร้จุดหมาย วิ่งด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุข รอบกายถูกรายล้อมด้วยหญ้าและดอกไม้ที่ขึ้นสูงเสียจนเกือบบดบังตัวของเด็กน้อยไปจนหมด
ไม่รู้ว่าวิ่งทำไม วิ่งไปเพื่ออะไร
สิ่งที่รู้มีเพียงสิ่งเดียวคือความต้องการที่จะวิ่ง ก้าวเท้าย่ำลงบนพื้นดินชุ่มช่ำจนสุดขา และก้าวต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ผ่อนแรง
ฝูงผีเสื้อบินวนอยู่รอบกายและเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเขา พวกมันมีสีฟ้าเปล่งประกายดั่งกับเพชรเม็ดงามในถ้ำลึก รอบปีกมีสีดำและจุดสiขาวแต่งแต้มจนทั่ว เด็กน้อยคลี่ยิ้มกว้าง เปล่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข จากเคยตั้งมั่นวิ่งมุ่งตรงไปข้างหน้ากลับเปลี่ยนเป็นหมุนวน ชูแขนเล็ก ๆ ขึ้นจนสุด เพื่อหยอกล้อกับเหล่าผีเสื้อสีฟ้านับร้อยพันตัวรอบกาย
สัตว์ปีกตัวน้อยเกาะเกี่ยวหาที่ยึดกับร่างกายผอมบางของเด็กชาย พวกมันพาเขาบินขึ้นเหนือพื้นดินชุ่มช่ำ เด็กน้อยเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นระคนตกตะลึงที่ฝ่าเท้าไร้สิ่งสวมใส่กำลังลอยอยู่บนอากาศ
เขากำลังบิน!
ผีเสื้อพาเขาบินวนรอบทุ่งกว้าง สีเขียวขจีจากใบหญ้าที่ขึ้นสูงสลับกับดอกหญ้าสีขาว มันฟุ้งกระจายอยู่รอบกายเด็กน้อยและปลิวว่อนเล่นกับสายลม แสงอาทิตย์สาดส่องจนแสบตาหากแต่ไม่แผดเผาให้รู้สึกระคายผิวกาย กลับยิ่งทำให้ทุ่งหญ้าข้างล่างน่าดูชมมากขึ้นเป็นไหน ๆ เด็กน้อยผ่อนคลายกับบรรยากาศและตื่นตาตื่นใจกับการที่เขากำลังลอยเหนือพื้นดิน จนลืมสังเกตทัศนวิสัยรอบกาย
พื้นหญ้าสีเขียวคุ้นตากำลังห่างออกไป เด็กหนุ่มเหลียวมองไปด้านหลังอย่างอาวรณ์
เหล่าผีเสื้อตัวน้อยจะพาเขาไปที่ไหนกันนะ
ในขณะที่กำลังเบือนหน้ากลับมานั้น จู่ ๆ ก็พลันรู้สึกวูบโหวงในช่องท้อง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำ ความหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่อากาศอบอุ่นเมื่อครู่ในทันใด เส้นขนตามร่างกายลุกชันขึ้นด้วยความตื่นกลัว เด็กหนุ่มหวีดเสียงแหลมอย่างลืมตัวเมื่ออยู่ดี ๆ ฝูงผีเสื้อก็ปล่อยเขาลงจากท้องนภาที่สูงขึ้นจากพื้นดินไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเมตร แขนทั้งสองเอื้อมออกหวังคว้าเอาอากาศตรงหน้าเป็นที่ยึด แต่สุดท้ายก็ไม่ถึง
ร่างผอมบางของเด็กหนุ่มดิ่งลงด้วยความเร็ว
เฮือก!
ร่างบนฟูกสะดุ้งสุดตัวจากฝันอันแสนสุขเมื่อครู่ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามแผ่นหลังและส่วนต่าง ๆ จนท่วมกาย ก้อนเนื้อในอกเต้นรัวราวกลองชุดริมฝีปากเผยอออกหอบเอาอากาศเข้าปอดเพื่อคลายความตื่นตระหนก เขาลูบหน้าตัวเองอยู่สองสามครั้งก่อนจะยกมือเสยเส้นผมสีดำสนิทที่ตกลงมาปรกหน้าขึ้น เบี่ยงสายตาไปมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงนอน
ตีสอง
ให้ล้มตัวลงนอนอีกครั้งคงไม่สามารถหลับได้แล้ว
กำลังมีความสุขอยู่แท้ ๆ ดันโดนทิ้งกลางอากาศเสียได้ เจ้าพวกผีเสื้อเฮงซวย!
เขาลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ก้าวขาไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างสีเปลือกไม้ มองผ่านความมืดเลยไปหาดวงจันทร์ เมื่อตกอยู่ในสภาวะเหม่อลอยเพียงครู่ สมองที่ว่างเปล่าพลันหวนนึกถึงคำพูดของผู้เป็นพ่อที่พร่ำบอกเขาเรื่อยมา
‘ตอนลูกอายุครบยี่สิบห้าปีเต็ม ในคืนที่จันทร์เต็มดวงให้คุมตัวเองให้อยู่ เอาชนะสัญชาตญาณให้ได้ อย่าให้มันควบคุมเรา ’
เขาเป็นอัลฟ่า เรียกว่าเพศที่แข็งแกร่งและน่ายำเกรงที่สุดก็ไม่ผิดนัก ทั้งรูปร่างหนากำยำ พละกำลังที่เหนือกว่าเบต้าและโอเมก้าอยู่มาก รวมถึงไหวพริบในการรับรู้ต่าง ๆ และสัญชาตญาณความเป็นผู้นำซึ่งได้รับต่อมาจากบรรพบุรุษเป็นทอด ๆ
มองดูแล้วคล้ายว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิ
แต่ทุกเพศย่อมมีจุดอ่อน
อัลฟ่าอย่างเขาก็เช่นกัน
เมื่อถึงคืนจันทร์เต็มดวงในตอนที่อายุครบยี่สิบห้าปี มันเป็นคืนที่อัลฟ่าอ่อนแอที่สุด เพราะในเวลานั้นอัลฟ่าทุกคนจะไร้ซึ่งติสัมปชัญญะ สัญชาตญาณแห่งนักล่าจะอยู่เหนือความคิดอ่าน หากฝืนมันไม่ได้แน่นอนว่าต้องอยู่กับมันไปตลอดชั่วอายุขัย
นั่นเป็นฝันร้ายของอัลฟ่า
ไม่มีอัลฟ่าหรือใครหน้าไหนต้องการย้อนกลับไปใช้ชีวิตเช่นในอดีต
ไม่มีใครอยากกลายเป็นผู้ล่าที่จำไม่ได้แม้กระทั่งคนที่รัก
ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดที่กำลังฟุ้งซ่าน ในเมื่อมันยังไม่เกิดก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึง
ร่างสูงของอัลฟ่าก้าวเท้าไปหยุดที่หน้าประตูกระจกบานหนึ่ง มันเป็นประตูเชื่อมไปยังบ้านอีกหลังข้าง ๆ กัน ตั้งแต่จำความได้เขาก็เห็นมันตั้งอยู่ตรงนี้แล้ว
หากว่าตามคำบอกเล่าของบุพการีบอกไว้ว่ามันเป็นความต้องการของเด็กน้อยวัยสี่ขวบที่ไม่อยากห่างจากเพื่อนอัลฟ่าด้วยกันแม้กระทั่งยามหลับ พวกผู้ใหญ่ยกเหตุผลมาค้านล้านแปดข้อแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเพราะเพื่อนของลูกชายก็ร้องขอเช่นเดียวกัน จึงจำใจต้องทุบผนังทิ้งส่วนหนึ่งและนำประตูบานเลื่อนมาไว้แทนที่ตามความต้องการของลูกชายและเพื่อนตัวน้อยวัยสี่ขวบปี
น่าแปลก
ปกติแล้วอัลฟ่าเปรียบเสมือนจ่าฝูง แน่นอนว่าย่อมไม่ถูกกับอัลฟ่าด้วยกันเอง แต่เพื่อนอัลฟ่าสองคนนี้กลับแตกต่างออกไปจากที่ควรจะเป็น ถึงเป็นเพียงแค่เด็กวัยอนุบาลที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร
แต่อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า
ยิ่งตัวติดหนึบกันตั้งแต่เด็กจนโตแบบนี้ยิ่งเป็นเรื่องแปลก
แต่ใครสนกัน
เขาเอื้อมมือจับที่บานประตูและเลื่อนออกอย่างแผ่วเบา เวลานี้ดึกมากแล้วเกรงว่าคนที่กำลังนอนหลับพริ้มอยู่อีกห้องจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ไม่วายเขาคงเขียวไปทั้งร่างอย่างทุกที
บนเตียงนอนหลังใหญ่มีร่างของอัลฟ่าอีกคนกำลังอยู่ในห้วงนิทรา ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ หน้าอกใต้ผ้าห่มกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ ฟีโรโมนกลิ่นบางเบาจนแทบเลือนหายไปกับอากาศภายในห้อง เป็นตัวบ่งบอกว่าอีกคนหลับใหลไปนานแล้ว
อัลฟ่าผู้มาเยือนก้าวขาย่องเข้าใกล้เตียงอย่างเชื่องช้า วางปลายเท้าลงพื้นกระเบื้องให้แนบชิดและแผ่วเบาที่สุดเท่าที่อัลฟ่าอย่างเขาจะทำได้ จัดการทิ้งตัวลงนั่งที่ว่างบนฟูกแล้วสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาและล้มตัวลงหมอนสีขาวสะอาดที่ว่างอีกใบข้างเพื่อนอัลฟ่าของตน
ทุกการกระทำเป็นไปอย่างเนิบช้าและเบาที่สุด
ทุกครั้งยามที่ใครสักคนฝันร้ายหรือมีเรื่องทุกข์ร้อนภายในใจ สิ่งที่พวกเขาทำมาเสมอคือการย่องเบาเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายและปิดตาหลับสู่ห้วงฝันไปพร้อมกัน
เหมือนที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้
“ฝันร้ายหรือไง” เจ้าของห้องเอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยเสียงแหบพร่าราวเสียงกระซิบ ดวงตาคู่นั้นยังคงปิดสนิททั้งสองข้าง
เขารู้ตัวตั้งแต่ที่เพื่อนตัวดีเปิดประตูเข้ามาแล้ว เสียงเท้าย่ำลงกับพื้นมันไม่ได้เบาขนาดนั้น เป็นอัลฟ่าตัวใหญ่แต่กลับย่องเบาเข้าห้องคนอื่นอย่างกับลูกแมว
จะแกล้งเป็นไม่รู้เรื่องก็แล้วกัน
“อืม” อัลฟ่าผู้มาเยือนตอบกลับในลำคอ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เพื่อนตนจะรู้สึกตัวตื่นแม้ว่าจะพยายามทำให้เบาและเงียบเชียบมากเพียงใด
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้ามาแล้วโดนจับได้เสียหน่อย
“ผีเสื้อพาบิน แล้วอยู่ดี ๆ พวกมันก็ปล่อยพีลง” คำบอกเล่าจากเพื่อนอัลฟ่าเรียกเสียงขบขันและรอยยิ้มมุมปากให้กับเจ้าบ้านได้เล็กน้อย
มันก็น่าตลกอยู่ อัลฟ่าตัวโตไม่มีเพศไหนกล้ายุ่งเกี่ยวกลับมาฝันว่าถูกผีเสื้อตัวน้อยปล่อยให้ร่วงลงกลางอากาศจนสะดุ้งตื่นและกลายมาเป็นฝันร้าย
“ต้องให้กานต์โอ๋ไหม” เจ้าของห้องถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“พีโตแล้วนะกานต์” น้ำเสียงของอัลฟ่าหนุ่มฟังดูคล้ายโอดครวญกับคำถามของเพื่อน ถูกล้ออีกแล้วสินะ
หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความ เขาคงไม่ปฏิเสธและตอบกลับไปว่า ‘มาโอ๋สิ ’ แต่ในตอนนี้ทั้งเขาและเพื่อนอายุยี่สิบสามกันแล้ว อัลฟ่าตัวใหญ่ลูบหัวอัลฟ่าอีกคนที่ขนาดตัวพอกันเพื่อปลอบประโลมจากฝันร้าย คนนอกผ่านมาเห็นคงเป็นภาพแปลกตาน่าดูพิลึก
“นึกว่าจะให้โอ๋”
“กานต์...” เขาโอดครวญอีกรอบเมื่อยังถูกเพื่อนสนิทล้อไม่หยุด เรียกเสียงหัวเราะให้กับเจ้าของบ้านอีกครั้ง
“โอเค ๆ นอนกันดีกว่า” เขาตัดบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น หากต่อความเพิ่มกว่านี้ดูท่าว่าคงหลับคอพับไปก่อนจะคุยกันให้รู้เรื่อง
ฝ่ายผู้มาเยือนไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงหัวถึงหมอนเมื่อครู่ตาก็ตั้งท่าจะปิดอยู่รอมร่อ ถึงก่อนหน้าจะฝันร้ายจนตื่นเต็มตาแต่เมื่อได้อยู่ในที่ที่ทำให้รู้สึกสบายใจ ร่างกายก็ผ่อนคลายมากขึ้นเป็นเท่าตัว
โดยเฉพาะกลิ่นหอมประจำตัวของเจ้าบ้าน
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า หน้าต่างบานใหญ่มีผ้าม่านถูกมัดไว้ที่มุมทั้งสองข้าง ทำให้แสงสีนวลจากพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องผ่านเข้ามาจนเผยให้เห็นร่างสองร่างบนเตียงหลังใหญ่
สองอัลฟ่าภายใต้ผ้าห่มนวมเพียงผืนเดียวกำลังนอนกอดก่ายกันด้วยความเคยชิน จากเคยหนุนนอนหมอนคนละใบ กลายเป็นว่าเหลือหมอนว่างหนึ่งใบที่มุมเตียง เจ้าของห้องเคลื่อนตำแหน่งของศีรษะตัวเองมาวางไว้บนลำแขนหนาข้างหนึ่งของเพื่อนสนิท เขานอนตะแคงข้างโดยมีเพื่อนอัลฟ่านอนขนาบด้านหลังไว้เพื่อกันความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศให้กัน
เป็นความเคยชินที่ก่อเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
#พีขอโทษ
อรุ่ม เพื่อนจริงเบ๋อ~
***ลงตอนแรก 3 เมษา***
TW : dao_jun000
บทที่ 1ไม่รู้ตัวแสงสีเหลืองทองจากดวงอาทิตย์ทอแสงลงมาตกกระทบพื้นถนนและสิ่งปลูกสร้างเบื้องล่าง ตึกแถวมากมายตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ บางตึกสูงเพียงแค่สองชั้นในขณะที่ตึกข้าง ๆ กันนับจำนวนชั้นแทบไม่ไหว บนถนนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ฝุ่นและควันจากรถราทำให้หลายคนในบริเวณนั้นสำลักจนน้ำตาเล็ด เสียงบีบแตร เสียงล้อครูดไปกับถนนดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะ ผู้คนต่างเร่งรีบทำเวลาในช่วงเช้าของวัน เท้าหลายคู่ย่ำลงพื้นด้วยความเร็วและหนัก การกระทบไหล่กับคนแปลกหน้ามีให้เห็นบ้างประปรายแต่ไม่มีใครให้ความสนใจมันวีรกานต์ มองความชุลมุนข้างล่างนั่นจากสะพานลอยที่มีหลังคาหุ้มไว้เพื่อกันแสงแดด เป็นภาพคุ้นตาเมื่อเขาต้องเดินทางมาทำงานในละแวกนี้เป็นประจำวันนี้เขาเลือกใส่เชิ้ตตัวเก่ง มันเป็นเสื้อแขนยาวสีเขียวอ่อน กระดุมถูกติดทุกเม็ดเว้นแต่สองเม็ดบนสุด เผยให้เห็นไหปลาร้าน่ามองแบบวับแวบ ปลายแขนเสื้อถูกเจ้าของพับขึ้นมาสองทบเพื่อไม่ให้ดูอึดอัดและเป็นทางการจนเกินไป ชายเสื้อข้างหนึ่งถูกยัดอยู่ในกางเกงสแลคสีครีม ส่วนอีกข้างปล่อยยาวลงมาผมสีน้ำตาลไหม้อยู่ในทรงทูบล็อก มันถูกหวีอย่างลวก ๆ ก่อนออกมา รับกับดวงหน้าคม สันจมูกโด
บทที่ 2เดินทางยามเย็นในเมืองหลวงเป็นที่รู้กันดีว่าการจราจรต้องติดขัดอย่างแน่นอน สองเพื่อนอัลฟ่ากำลังนั่งมองสัญญาณไฟด้วยใจจดจ่อ มันขึ้นเป็นสีเขียวมาครึ่งนาทีแล้วหากแต่รถยนต์คันข้างหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยสักนิด ผ่านไปเกือบสองนาทีจึงเริ่มมีการเคลื่อนไหวแต่สัญญาณไฟจราจรดันกลายเป็นสีแดงไปแล้วเห็นทีว่าคงต้องรอต่อไปภายในห้องโดยสารมีอัลฟ่าเจ้าของฟีโรโมนกลิ่นองุ่นเป็นสารถีขับรถโดยมีเพื่อนสนิทอย่างอัลฟ่าชากุหลาบนั่งอยู่ที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร วีรกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเบื่อหน่าย เอนหัวพิงกระจกรถมองสายฝนเม็ดเล็กที่ร่วงหล่นลงมากระทบกับพื้นถนน เขาเบื่อที่ต้องนั่งรอสัญญาณไฟจราจรอยู่แบบนี้ทุกวัน อย่างต่ำก็คงสักชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมายพีรยุทธ์สังเกตเห็นคนข้างกายยกมือขึ้นลูบแขนปอย ๆ อาจจะทำเพื่อระบายความหนาวเย็นทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวเก่ง เขาแอบยิ้มอย่างนึกเอ็นดูอยู่ในใจอัลฟ่ากลิ่นองุ่นเอื้อมมือมาที่หน้าคอนโซลเพื่อเบาแอร์ลงก่อนจะเอี้ยวตัวไปด้านหลังหยิบผ้าห่มสีเรียบจากกล่องเก็บของที่วางอยู่บนที่พักเท้าของเบาะหลังมาให้อัลฟ่าเพื่อนสนิทได้คลุมตัวคลายหนาวในช่วงเวลาฝน
บทที่ 3ดูดาวบนเกาะดวงอาทิตย์กำลังบอกลาขอบฟ้าเหลือไว้เพียงแสงสีส้มแกมน้ำเงินเข้ม เสียงนกแขวกดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะแต่เพียงแผ่วเบา พวกมันกำลังออกล่าอาหารมื้อค่ำก่อนกลับรังบนต้นไม้ใหญ่ในระแวกเขื่อนสายลมเย็นในช่วงค่ำพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่ที่เปิดแง้มไว้เข้ามา ปลุกให้สองอัลฟ่าบนฟูกสีสะอาดรู้สึกตัวตื่นจากห้วงนิทราวีรกานต์ปรือตามองลอดผ่านหน้าต่างออกไป ท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปมากจากความทรงจำครั้งล่าสุดบ่งบอกว่าในขณะนี้เป็นเวลาเย็นย่ำแล้วเขาปิดปากหาวหวอดไปทีจนมีน้ำสีใสฉ่ำรอบดวงตา ตั้งใจว่าจะลุกออกไปชำระล้างร่างกายเสียก่อนที่อากาศภายนอกจะอุณหภูมิต่ำลงมากกว่านี้อัลฟ่าชากุหลาบกับอากาศหนาวเย็นไม่ใช่สิ่งคู่กันแต่ก่อนจะยันตัวขึ้นก็ต้องจัดการพันธนาการที่โอบรอบเอวนี้ไว้เสียก่อนจากตอนแรกที่ต่างคนต่างเป็นฝ่ายโอบกอดกันและกันก่อนเข้าสู่นิทรา กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีเพียงอัลฟ่าผมสีคาราเมลเท่านั้นที่ถูกวงแขนของเพื่อนตัวดีโอบรัดร่างกายเอาไว้รัดแน่นเป็นงูเสียด้วย“พี เย็นแล้ว” อัลฟ่าชากุหลาบเอ่ยกระซิบบุคคลด้านหลังหากแต่ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงการขยับตัวขยุกขยิกเล็กน้อยและเสียงครางฮึมฮัมเป็นสัญญาณตอบกลับมา
บทที่ 4 หิ่งห้อยกลางเขื่อน_______หลังจากเสร็จสิ้นการดูดาวเมื่อคืนนี้ สองอัลฟ่าก็พากันกลับไปที่จุดนัดพบกับคุณลุงเบต้าและพบว่าชายชราตั้งท่ารอคนหนุ่มทั้งคู่อยู่ก่อนแล้วแต่อาจจะด้วยอากาศที่เย็นสบายตัวและเป็นช่วงเวลาใกล้เข้าวันใหม่เต็มทีทำให้ฝ่ายของอัลฟ่าชากุหลาบเกิดอาการสัปหงกอยู่หลายครั้งจนพีรยุทธ์สังเกตเห็นเลยคว้าเอาตัวคนข้างกายมาไว้ในอ้อมกอดหวังให้อีกคนได้หลับนอนอย่างสบายไม่วายถูกคุณลุงเบต้าที่นั่งบังคับหางเสืออยู่ด้านหลังเอ่ยแซวว่าเป็นคู่รักที่หวานกันเสียจริง ทำเอาอัลฟ่ากลิ่นองุ่นหูแดงเถือกลนลานรีบปฏิเสธในทันทีว่าเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้นแต่อย่างไรเสียในสายตาของชายชราที่ผ่านร้อนหนาวมาหลายสิบปีก็ดูออกว่าคนทั้งคู่มีใจให้แก่กันอัลฟ่าแล้วอย่างไรโลกนี้เขาไปถึงไหนกันแล้วพีรยุทธ์ปฏิเสธคุณลุงไปอีกรอบว่ามีเพียงตนที่แอบรักอยู่ฝ่ายเดียว ทำเอาชายชราขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยอมรามือไป แต่ภายในใจยังคงครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากกัน คนนอกอย่างเขายังมองรู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีใจแต่เอาเถอะ...คนแก่จะไม่ยุ่งเรื่องของคนหนุ่มเมื่อมาถึงเรือนแพของสองอัลฟ่า พีรยุทธ์เอ่ยเรียกอัลฟ่า
บทที่ 5 อัลฟ่ากลิ่นไวน์__________หลังจบทริปพักผ่อนที่เขื่อนต่างจังหวัด สองอัลฟ่าก็เดินทางกลับเมืองหลวงในช่วงสายของวันถัดมา วีรกานต์ถูกพ่อแม่เอ็ดเสียยกใหญ่ว่าไปไหนไม่ยอมบอกกล่าว แต่ก็ได้อัลฟ่ากลิ่นองุ่นมาช่วยพูดให้ว่าเป็นตัวเขาเองที่ชวนอีกฝ่ายออกนอกสถานที่ไปหลายวันเมื่อการพักผ่อนจบลงก็ถึงคราวต้องกลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิมอัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เขานั่งตรวจการบ้านของนักเรียนตัวเองมาตั้งแต่เช้าจนเวลาล่วงเลยมื้อเที่ยงมามากโข แม้จะรู้สึกหิวอยู่บ้างแต่เขาก็ยังไม่ยอมย้ายตัวเองออกจากห้องนอนเสียทีงานค้างเป็นกอง ไม่น่าหนีเที่ยวเลยวีรกานต์วีรกานต์ถอนหายใจ หากเขาพูดประโยคนี้ให้อัลฟ่ากลิ่นองุ่นได้ยินมีหวังโดยงอนเป็นแน่ แต่ก็คงนั่งน้ำลายบูดอยู่คนเดียวสักสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ สี่ชั่วโมงเป็นอย่างมากก็จะกลับมาพูดคุยกับเขาดังเดิมเขาหันมองด้านขวามือที่เป็นประตูกระจกใสกันไว้ระหว่างห้องนอนของเขาและพีรยุทธ์ มันมีผ้าม่านสีขาวคลุมไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวและตาข่ายดักฝันสีเดียวกันห้อยไว้ประตูนั้นไม่เปิดมาสองวันแล้วตั้งแต่กลับมาเขาคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะงานท่วมหัวไ
บทที่ 6 อาการรัทที่รุนแรงกว่าปกติ_______ไม่มีทางอัลฟ่าไม่มีทางมีเขี้ยวจริงอยู่ว่าบรรพบุรุษมีเชื้อนักล่าอย่างหมาป่าแต่พวกเขาไม่ได้ฝากสัญลักษณ์ที่น่าเกรงขามนี้ไว้ให้ลูกหลานหรือใครหน้าไหนทั้งนั้นเว้นเสียแต่...เชื้อสายบริสุทธิ์อีนิกม่า....ต้องไม่ใช่สิในขณะที่วีรกานต์กำลังจมอยู่กับความคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่ากลิ่นไวน์องุ่นก็ทิ้งน้ำหนักตัวลง แนบใบหน้าดุดันไปกับแผงอกของเขานั่นทำให้วีรกานต์รู้ว่าพีรยุทธ์ยังคงมีสติแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตามอัลฟ่าชากุหลาบเม้มปากแน่น พยายามควานหาเสียงของตนให้เจอเพื่อถามไถ่อีกฝ่าย หากแต่เสียงคำรามแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามในลำคอของอัลฟ่ากลิ่นไวน์องุ่นก็ทำให้วีรกานต์หายใจติดขัดไปชั่วครู่ ไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกไปอย่างนึกกลัวข้อมือหนาของอัลฟ่าชากุหลาบยังคงถูกตอกตรึงไว้แน่นบนที่นอนด้วยมือที่ใหญ่กว่าทั้งสองข้าง เขารู้สึกได้ถึงแรงที่ผ่อนลงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมาวีรกานต์เม้มปากแน่นอีกครั้งอย่างประมาท ก้อนเนื้อภายในอกเต้นระส่ำเพราะนึกหวั่นเกรงอีกฝ่าย เขาสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมสติและพยายามหาเสียงตัวเอ
บทที่ 7คืนเสพเพศหลังกลับจากห้องนอนของพีรยุทธ์ อัลฟ่าชากุหลาบก็คล้ายว่าจะอยู่ไม่สุข เขานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนนุ่มเพราะกลิ่นฟีโรโมนของอีกคนมันกระจายเล็ดลอดเข้ามาวีรกานต์พยายามทำเป็นไม่สนใจกลิ่นหอมนั้น ผ้าห่มนวมผืนหนาถูกยกขึ้นคลุมตั้งแต่ส่วนหัวถึงปลายเท้าเพื่อไม่ให้ร่างกายอัลฟ่าของตนรับรู้ถึงกลิ่นหอมยั่วยวนของพีรยุทธ์นี่มันบ้ามากพีรยุทธ์มีอาการรัทที่รุนแรงกว่าที่เคยเป็น เขาเองก็เป็นอัลฟ่าจึงรู้ว่าตอนนี้มีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม แต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกถึงอารมณ์ร้อนวูบวาบในช่องท้องเพราะสูดดมกลิ่นไวน์องุ่นของอัลฟ่าที่กำลังอยู่ในช่วงรัทเข้าปอด สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ลำคอยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำพาให้ร่างกายเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนี่เขามีอารมณ์กับฟีโรโมนของอัลฟ่าด้วยกันงั้นหรือบ้าไปแล้วในขณะที่กำลังถกเถียงกับตัวเองอยู่ เสียงกึกกักที่บานประตูกระจกก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของวีรกานต์ให้โผล่ศีรษะออกมานอกผ้าห่มแล้วชะเง้อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเขารับรู้เพียงการสั่นไหวของประตูเล็กน้อยเท่านั้นเพราะมีม่านสีขาวปิดบังการเคลื่อนไหวของอีกฝั่งไว้ อัลฟ่าชากุหลาบจึงคิดว่า
บทที่ 7คืนเสพเพศ (ต่อ)________“จูบกานต์” อัลฟ่าชากุหลาบเอ่ยเสียงแผ่วราวกับกระซิบชิดริมฝีปากหนา ค่อย ๆ ขยับกายเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วใช้ปากงับเบา ๆ“กานต์...” พีรยุทธ์เอ่ยเรียกชื่อเพื่อนสนิทอย่างเลื่อนลอย เขามองสบเข้าไปในนัยน์ตาสีเฮเซลนัทก่อนจะพบว่าในแววตาคู่นั้นไม่ปรากฏแววล้อเล่นเลย“จูบสิ” วีรกานต์ท้าทายอัลฟ่ากลิ่นไวน์องุ่นกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อถูกอีกฝ่ายเชิญชวนคนที่เขาแอบรักมาแสนนานกำลังบอกให้เขาประทับจูบลงไปนี่มันเกินคาดไปมากเขาฝันอยู่หรือเปล่าวีรกานต์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคนตรงหน้ายังมีท่าทีเฉยเมยแต่ดวงตากลับแสดงออกมาว่าเจ้าตัวตื่นเต้นและตกใจจนเห็นได้ชัด “ทำไมไม่...”ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจบประโยค ริมฝีปากหนาของอัลฟ่ากลิ่นองุ่นก็ทาบทับลงมาบนอวัยวะเดียวกันด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรแม้จะตกใจอยู่บ้างที่ถูกจู่โจมโดยไม่ได้ตั้งตัวทั้ง ๆ ที่เป็นคนเอ่ยปากบอกอีกฝ่ายเอง แต่เขาก็ตอบรับสัมผัสของพีรยุทธ์ได้ดีจนคนมอบจูบครางเครือในลำคออย่างพอใจริมฝีปากหนาขบเม้มกลีบปากทั้งบนและล่างของอัลฟ่าชากุหลาบอย่างคนกระหาย ดูดดึงจนได้ยินเสียงน้ำลายเฉอะแฉะดังก้องห้องสี่เหลี่ยมฟีโรโมนกลิ่นองุ่นแล
บทที่ 9 อัลฟ่า...ฮีท?_______กานต์จะยังโกรธเขาอยู่ไหมเป็นเวลากว่าสองวันที่พีรยุทธ์หมกตัวอยู่ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมของตนไม่ออกไปพบปะใครเว้นแต่ตอนกินข้าว ซึ่งผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ได้คิดว่ามันผิดสังเกตแต่อย่างใด เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดเป็นเวลาสองวันที่เขานอนไม่ลง แม้จะรู้สึกง่วงงุนจนตาแทบปิดแต่ก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ข่มตาหลับได้ป่านนี้แล้ววีรกานต์จะเป็นเช่นไรบ้างตามร่างกายยังมีรอยแดงช้ำอยู่หรือไม่แล้วจะยังโกรธเคืองกันอยู่หรือเปล่าทุก ๆ คำถามล้วนต้องการคำตอบจากคน ๆ เดียว ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่พีรยุทธ์นั่งกอดเข่าพิงขาเตียง ดวงตาสีรัตติกาลที่เคยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเสมองประตูกระจกที่กั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองเอาไว้ด้วยอาการเม้มปากแน่น เนื่องจากมีผ้าม่านสีขาวปิดทับไว้อีกชั้นจากฝั่งของวีรกานต์ทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนภายในห้องนั้นแต่กลิ่นชากุหลาบของวีรกานต์ก็จางลงไปมากจนแทบไม่รู้สึกถึงฟีโรโมนคงอยู่ที่ไหนสักที่ในบ้านแล้ว...วีรกานต์ได้ล็อกประตูไว้หรือไม่ความคิดกระแสหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัวทำเอาอัลฟ่ากลิ่นองุ่นชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ ใจหน
บทที่ 8 รู้สึกผิด_____เสียงโครมครามของท้องฟ้าดังสนั่นในยามสายของวัน เมฆสีดำสนิทเคลื่อนลงต่ำบดบังแสงสีเหลืองทองจากดวงอาทิตย์สายฝนสาดกระหนำเทลงมาอย่างหนัก หยดน้ำเม็ดใหญ่ตกกระทบหน้าต่างส่งเสียงดังเปาะแปะ ไม่รู้ว่าพายุเข้าหรือไม่เพราะเขาไม่ใช่คนที่ชอบติดตามข่าวสารมากนักพีรยุทธ์เปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาที่ปรากฏแววความอ่อนล้ากวาดมองไปทั่วห้องสี่เหลี่ยม ในหัวนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืนพลันความรู้สึกผิดก็ตีตื้นขึ้นมาจนจุกลำคออัลฟ่ากลิ่นองุ่นยังคงนอนเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียงนอนสีขาวข้างกายมีวีรกานต์ที่เป็นเจ้าของห้องกอดก่ายร่างหนาของตนอยู่รอยกุหลาบสีช้ำยังมีให้เห็นเป็นจ้ำ ๆ ตามเรือนร่าง อีกทั้งรอยแดงจากการบีบเค้นก็ยังหลงเหลือให้เห็น ยิ่งพาให้เขารู้สึกผิดเข้าไปใหญ่หลังเสร็จกิจเมื่อคืนไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ วีรกานต์ก็หมดสติฟุบหลับไปทันที เขารีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปหาอุปกรณ์มาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนบนเตียงได้นอนหลับอย่างสบายตัว เสื้อยืดและกางเกงถูกสวมให้อัลฟ่าชากุหลาบคลายความหนาวแล้วห่มผ้าห่มนวมทับอกให้อีกชั้นหนึ่งก่อนจะตระกองกอดร่างที่หลับใหลนั่นไว้ทั้งคืนรอยแด
บทที่ 7คืนเสพเพศ (ต่อ)________“จูบกานต์” อัลฟ่าชากุหลาบเอ่ยเสียงแผ่วราวกับกระซิบชิดริมฝีปากหนา ค่อย ๆ ขยับกายเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วใช้ปากงับเบา ๆ“กานต์...” พีรยุทธ์เอ่ยเรียกชื่อเพื่อนสนิทอย่างเลื่อนลอย เขามองสบเข้าไปในนัยน์ตาสีเฮเซลนัทก่อนจะพบว่าในแววตาคู่นั้นไม่ปรากฏแววล้อเล่นเลย“จูบสิ” วีรกานต์ท้าทายอัลฟ่ากลิ่นไวน์องุ่นกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อถูกอีกฝ่ายเชิญชวนคนที่เขาแอบรักมาแสนนานกำลังบอกให้เขาประทับจูบลงไปนี่มันเกินคาดไปมากเขาฝันอยู่หรือเปล่าวีรกานต์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคนตรงหน้ายังมีท่าทีเฉยเมยแต่ดวงตากลับแสดงออกมาว่าเจ้าตัวตื่นเต้นและตกใจจนเห็นได้ชัด “ทำไมไม่...”ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจบประโยค ริมฝีปากหนาของอัลฟ่ากลิ่นองุ่นก็ทาบทับลงมาบนอวัยวะเดียวกันด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรแม้จะตกใจอยู่บ้างที่ถูกจู่โจมโดยไม่ได้ตั้งตัวทั้ง ๆ ที่เป็นคนเอ่ยปากบอกอีกฝ่ายเอง แต่เขาก็ตอบรับสัมผัสของพีรยุทธ์ได้ดีจนคนมอบจูบครางเครือในลำคออย่างพอใจริมฝีปากหนาขบเม้มกลีบปากทั้งบนและล่างของอัลฟ่าชากุหลาบอย่างคนกระหาย ดูดดึงจนได้ยินเสียงน้ำลายเฉอะแฉะดังก้องห้องสี่เหลี่ยมฟีโรโมนกลิ่นองุ่นแล
บทที่ 7คืนเสพเพศหลังกลับจากห้องนอนของพีรยุทธ์ อัลฟ่าชากุหลาบก็คล้ายว่าจะอยู่ไม่สุข เขานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนนุ่มเพราะกลิ่นฟีโรโมนของอีกคนมันกระจายเล็ดลอดเข้ามาวีรกานต์พยายามทำเป็นไม่สนใจกลิ่นหอมนั้น ผ้าห่มนวมผืนหนาถูกยกขึ้นคลุมตั้งแต่ส่วนหัวถึงปลายเท้าเพื่อไม่ให้ร่างกายอัลฟ่าของตนรับรู้ถึงกลิ่นหอมยั่วยวนของพีรยุทธ์นี่มันบ้ามากพีรยุทธ์มีอาการรัทที่รุนแรงกว่าที่เคยเป็น เขาเองก็เป็นอัลฟ่าจึงรู้ว่าตอนนี้มีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม แต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกถึงอารมณ์ร้อนวูบวาบในช่องท้องเพราะสูดดมกลิ่นไวน์องุ่นของอัลฟ่าที่กำลังอยู่ในช่วงรัทเข้าปอด สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ลำคอยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำพาให้ร่างกายเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนี่เขามีอารมณ์กับฟีโรโมนของอัลฟ่าด้วยกันงั้นหรือบ้าไปแล้วในขณะที่กำลังถกเถียงกับตัวเองอยู่ เสียงกึกกักที่บานประตูกระจกก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของวีรกานต์ให้โผล่ศีรษะออกมานอกผ้าห่มแล้วชะเง้อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเขารับรู้เพียงการสั่นไหวของประตูเล็กน้อยเท่านั้นเพราะมีม่านสีขาวปิดบังการเคลื่อนไหวของอีกฝั่งไว้ อัลฟ่าชากุหลาบจึงคิดว่า
บทที่ 6 อาการรัทที่รุนแรงกว่าปกติ_______ไม่มีทางอัลฟ่าไม่มีทางมีเขี้ยวจริงอยู่ว่าบรรพบุรุษมีเชื้อนักล่าอย่างหมาป่าแต่พวกเขาไม่ได้ฝากสัญลักษณ์ที่น่าเกรงขามนี้ไว้ให้ลูกหลานหรือใครหน้าไหนทั้งนั้นเว้นเสียแต่...เชื้อสายบริสุทธิ์อีนิกม่า....ต้องไม่ใช่สิในขณะที่วีรกานต์กำลังจมอยู่กับความคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่ากลิ่นไวน์องุ่นก็ทิ้งน้ำหนักตัวลง แนบใบหน้าดุดันไปกับแผงอกของเขานั่นทำให้วีรกานต์รู้ว่าพีรยุทธ์ยังคงมีสติแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตามอัลฟ่าชากุหลาบเม้มปากแน่น พยายามควานหาเสียงของตนให้เจอเพื่อถามไถ่อีกฝ่าย หากแต่เสียงคำรามแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามในลำคอของอัลฟ่ากลิ่นไวน์องุ่นก็ทำให้วีรกานต์หายใจติดขัดไปชั่วครู่ ไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกไปอย่างนึกกลัวข้อมือหนาของอัลฟ่าชากุหลาบยังคงถูกตอกตรึงไว้แน่นบนที่นอนด้วยมือที่ใหญ่กว่าทั้งสองข้าง เขารู้สึกได้ถึงแรงที่ผ่อนลงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมาวีรกานต์เม้มปากแน่นอีกครั้งอย่างประมาท ก้อนเนื้อภายในอกเต้นระส่ำเพราะนึกหวั่นเกรงอีกฝ่าย เขาสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมสติและพยายามหาเสียงตัวเอ
บทที่ 5 อัลฟ่ากลิ่นไวน์__________หลังจบทริปพักผ่อนที่เขื่อนต่างจังหวัด สองอัลฟ่าก็เดินทางกลับเมืองหลวงในช่วงสายของวันถัดมา วีรกานต์ถูกพ่อแม่เอ็ดเสียยกใหญ่ว่าไปไหนไม่ยอมบอกกล่าว แต่ก็ได้อัลฟ่ากลิ่นองุ่นมาช่วยพูดให้ว่าเป็นตัวเขาเองที่ชวนอีกฝ่ายออกนอกสถานที่ไปหลายวันเมื่อการพักผ่อนจบลงก็ถึงคราวต้องกลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิมอัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เขานั่งตรวจการบ้านของนักเรียนตัวเองมาตั้งแต่เช้าจนเวลาล่วงเลยมื้อเที่ยงมามากโข แม้จะรู้สึกหิวอยู่บ้างแต่เขาก็ยังไม่ยอมย้ายตัวเองออกจากห้องนอนเสียทีงานค้างเป็นกอง ไม่น่าหนีเที่ยวเลยวีรกานต์วีรกานต์ถอนหายใจ หากเขาพูดประโยคนี้ให้อัลฟ่ากลิ่นองุ่นได้ยินมีหวังโดยงอนเป็นแน่ แต่ก็คงนั่งน้ำลายบูดอยู่คนเดียวสักสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ สี่ชั่วโมงเป็นอย่างมากก็จะกลับมาพูดคุยกับเขาดังเดิมเขาหันมองด้านขวามือที่เป็นประตูกระจกใสกันไว้ระหว่างห้องนอนของเขาและพีรยุทธ์ มันมีผ้าม่านสีขาวคลุมไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวและตาข่ายดักฝันสีเดียวกันห้อยไว้ประตูนั้นไม่เปิดมาสองวันแล้วตั้งแต่กลับมาเขาคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะงานท่วมหัวไ
บทที่ 4 หิ่งห้อยกลางเขื่อน_______หลังจากเสร็จสิ้นการดูดาวเมื่อคืนนี้ สองอัลฟ่าก็พากันกลับไปที่จุดนัดพบกับคุณลุงเบต้าและพบว่าชายชราตั้งท่ารอคนหนุ่มทั้งคู่อยู่ก่อนแล้วแต่อาจจะด้วยอากาศที่เย็นสบายตัวและเป็นช่วงเวลาใกล้เข้าวันใหม่เต็มทีทำให้ฝ่ายของอัลฟ่าชากุหลาบเกิดอาการสัปหงกอยู่หลายครั้งจนพีรยุทธ์สังเกตเห็นเลยคว้าเอาตัวคนข้างกายมาไว้ในอ้อมกอดหวังให้อีกคนได้หลับนอนอย่างสบายไม่วายถูกคุณลุงเบต้าที่นั่งบังคับหางเสืออยู่ด้านหลังเอ่ยแซวว่าเป็นคู่รักที่หวานกันเสียจริง ทำเอาอัลฟ่ากลิ่นองุ่นหูแดงเถือกลนลานรีบปฏิเสธในทันทีว่าเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้นแต่อย่างไรเสียในสายตาของชายชราที่ผ่านร้อนหนาวมาหลายสิบปีก็ดูออกว่าคนทั้งคู่มีใจให้แก่กันอัลฟ่าแล้วอย่างไรโลกนี้เขาไปถึงไหนกันแล้วพีรยุทธ์ปฏิเสธคุณลุงไปอีกรอบว่ามีเพียงตนที่แอบรักอยู่ฝ่ายเดียว ทำเอาชายชราขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยอมรามือไป แต่ภายในใจยังคงครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากกัน คนนอกอย่างเขายังมองรู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีใจแต่เอาเถอะ...คนแก่จะไม่ยุ่งเรื่องของคนหนุ่มเมื่อมาถึงเรือนแพของสองอัลฟ่า พีรยุทธ์เอ่ยเรียกอัลฟ่า
บทที่ 3ดูดาวบนเกาะดวงอาทิตย์กำลังบอกลาขอบฟ้าเหลือไว้เพียงแสงสีส้มแกมน้ำเงินเข้ม เสียงนกแขวกดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะแต่เพียงแผ่วเบา พวกมันกำลังออกล่าอาหารมื้อค่ำก่อนกลับรังบนต้นไม้ใหญ่ในระแวกเขื่อนสายลมเย็นในช่วงค่ำพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่ที่เปิดแง้มไว้เข้ามา ปลุกให้สองอัลฟ่าบนฟูกสีสะอาดรู้สึกตัวตื่นจากห้วงนิทราวีรกานต์ปรือตามองลอดผ่านหน้าต่างออกไป ท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปมากจากความทรงจำครั้งล่าสุดบ่งบอกว่าในขณะนี้เป็นเวลาเย็นย่ำแล้วเขาปิดปากหาวหวอดไปทีจนมีน้ำสีใสฉ่ำรอบดวงตา ตั้งใจว่าจะลุกออกไปชำระล้างร่างกายเสียก่อนที่อากาศภายนอกจะอุณหภูมิต่ำลงมากกว่านี้อัลฟ่าชากุหลาบกับอากาศหนาวเย็นไม่ใช่สิ่งคู่กันแต่ก่อนจะยันตัวขึ้นก็ต้องจัดการพันธนาการที่โอบรอบเอวนี้ไว้เสียก่อนจากตอนแรกที่ต่างคนต่างเป็นฝ่ายโอบกอดกันและกันก่อนเข้าสู่นิทรา กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีเพียงอัลฟ่าผมสีคาราเมลเท่านั้นที่ถูกวงแขนของเพื่อนตัวดีโอบรัดร่างกายเอาไว้รัดแน่นเป็นงูเสียด้วย“พี เย็นแล้ว” อัลฟ่าชากุหลาบเอ่ยกระซิบบุคคลด้านหลังหากแต่ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงการขยับตัวขยุกขยิกเล็กน้อยและเสียงครางฮึมฮัมเป็นสัญญาณตอบกลับมา
บทที่ 2เดินทางยามเย็นในเมืองหลวงเป็นที่รู้กันดีว่าการจราจรต้องติดขัดอย่างแน่นอน สองเพื่อนอัลฟ่ากำลังนั่งมองสัญญาณไฟด้วยใจจดจ่อ มันขึ้นเป็นสีเขียวมาครึ่งนาทีแล้วหากแต่รถยนต์คันข้างหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยสักนิด ผ่านไปเกือบสองนาทีจึงเริ่มมีการเคลื่อนไหวแต่สัญญาณไฟจราจรดันกลายเป็นสีแดงไปแล้วเห็นทีว่าคงต้องรอต่อไปภายในห้องโดยสารมีอัลฟ่าเจ้าของฟีโรโมนกลิ่นองุ่นเป็นสารถีขับรถโดยมีเพื่อนสนิทอย่างอัลฟ่าชากุหลาบนั่งอยู่ที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร วีรกานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเบื่อหน่าย เอนหัวพิงกระจกรถมองสายฝนเม็ดเล็กที่ร่วงหล่นลงมากระทบกับพื้นถนน เขาเบื่อที่ต้องนั่งรอสัญญาณไฟจราจรอยู่แบบนี้ทุกวัน อย่างต่ำก็คงสักชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมายพีรยุทธ์สังเกตเห็นคนข้างกายยกมือขึ้นลูบแขนปอย ๆ อาจจะทำเพื่อระบายความหนาวเย็นทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวเก่ง เขาแอบยิ้มอย่างนึกเอ็นดูอยู่ในใจอัลฟ่ากลิ่นองุ่นเอื้อมมือมาที่หน้าคอนโซลเพื่อเบาแอร์ลงก่อนจะเอี้ยวตัวไปด้านหลังหยิบผ้าห่มสีเรียบจากกล่องเก็บของที่วางอยู่บนที่พักเท้าของเบาะหลังมาให้อัลฟ่าเพื่อนสนิทได้คลุมตัวคลายหนาวในช่วงเวลาฝน