แคว้นเทียนโจว
รัชสมัยโจวเฉินกงฮ่องเต้ อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยที่ราบลุ่ม สามารถเพาะปลูกได้พืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างดี พื้นดินอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็ออกดอกผลมากมาย เทือกเขาน้อยใหญ่เต็มไปด้วยป่าดงดิบ แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเป็นภูมิประเทศที่ถือได้ว่าหายากอย่างยิ่งยวด เป็นพื้นที่มหามงคลเพราะด้วยมังกรทั้งตัวสถิตอยู่ในแคว้นเทียนโจว ก่อให้เกิดพื้นที่สวยงามและสภาพอากาศที่เหมาะสม อากาศหนาวจัดด้วยหิมะปกคลุมก็มีระยะเวลาเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้นไม่ยาวนานดั่งเช่นแคว้นอื่นๆ พากันประสบ และด้วยเพราะความสมบูรณ์ของแคว้นเทียนโจว จึงเป็นสาเหตุทำให้แคว้นน้อยใหญ่ต้องการยึดครองเอามาเป็นของตน พืชผลมหาศาล พื้นที่ทางการเกษตรเป็นอู่ข่าวอู่น้ำเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังอุดมไปด้วยสายแร่ทองคำและเหมืองหยกชั้นดี ความสมบูรณ์ของแคว้นกลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้เผชิญปัญหากับสงครามที่แคว้นอื่นต้องการแย่งชิงดินแดน แคว้นเทียนโจวในเวลานี้ถูกแคว้นฉู่ที่เป็นแคว้นพื้นบ้าน บุกประชิดชายแดนตีเมืองในอาณาเขตของแคว้นเทียนโจวไปแล้วถึงห้า เมือง โจวเฉินกงฮ่องเต้ มีพระบัญชาให้องค์รัชทายาทโจวฟางหยาง ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ออกทำศึกสงครามต้านทัพต้าฉู่ แต่แล้วองค์รัชทายาทกลับทรงพ่ายแพ้ บาดเจ็บสาหัสและเสียเมืองใต้การปกครองไปอีกสามเมือง ทำให้แคว้นต้าฉู่บุกประชิดเข้าใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกขณะ หลังการพ่ายแพ้ขององค์รัชทายาททำให้โจวเฉินกงต้องทำหน้าที่นำทัพด้วยพระองค์เอง ด้วยองค์ชายรองและองค์ชายสามสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ ส่วนองค์ชายสี่ทรงหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดา ซึ่งเป็นพระสนมเอกของเฉินกงฮ่องเต้เมื่อครั้งเสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ บริเวณเทือกเขาเหิงไห่ (เหิงเตี้ยนในปัจจุบัน) ทำให้คงเหลือเพียงองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นรัชทายาทและองค์ชายห้า ซึ่งมีพระชนมายุเพียงเก้าชันษาเท่านั้น อีกทั้งขุนศึกของพระองค์ที่เคยร่วมรบมาตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ก็พลีชีพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้โจวเฉินกง ฉลองพระองค์จอมทัพของแคว้นนำทัพบุกตะลุยทัพต้าฉู่อย่างดุเดือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มไปทั่วสมรภูมิรบของการแย่งชิงดินแดน กองทัพต้าฉู่หนึ่งแสนนาย บุกตะลุยทัพต้าโจวอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ชีวิตของทหารทั้งสองฝ่ายร่วงหล่นดั่งใบไม้ปลิดปลิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของทหารแคว้นเทียนโจวล้มตายเป็นเบือกองท่วมสูงนับหมื่นศพเลยทีเดียว ณ ชายป่าเหิงไห่ ในขณะเดียวกัน บริเวณชายป่าเขตเทือกเขาเหิงไห่แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นมาโดยพลัน พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารชินซาง ยืนทะมึนอยู่เพียงลำพังไร้สิ้นโฉมงามในชุดเจ้าสาวสีขาวเคียงข้างพระวรกายแต่อย่างใด พระเนตรสีเลือดทรงทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณด้วยความสงสัยระคนแปลกพระทัยอย่างยิ่งยวด เพราะเหตุใดพระองค์ทรงอยู่เพียงลำพังเช่นนี้ “เหตุใดข้าจึงยืนอยู่เพียงลำพังโดดเดี่ยว นางอยู่ในอ้อมกอดของข้าหายไปได้อย่างไรกัน”รับสั่งรำพึงด้วยความสงสัยพร้อมปิดพระเนตรลงทันทีเพื่อใช้ญาณตบะของพระองค์ค้นหาโฉมงาม เพียงครู่พระเนตรพลันเปิดขึ้นทันใด เมื่อญาณตบะแก่กล้าขั้นที่แปดไม่สามารถบอกพระองค์ได้แม้แต่น้อย ด้วยในเวลานี้ทรงกลายเป็นมนุษย์ไปเสียแล้ว ทันทีที่ปานไฟอัคคีมิได้สถิตอยู่คู่พระวรกาย “แย่แล้ว! ข้าไม่สามารถใช้ญาณตบะและพลังเวทใดๆ ได้เลย ปานไฟอัคคีของข้าสถิตอยู่ที่กายนางหากไม่รีบนำออกมาจะต้องเกิดผลร้ายต่อนางอย่างยิ่งยวด... เหตุใดปานไฟอัคคีของข้าจึงย้ายไปสถิตอยู่ที่กายนางได้... หรือว่า! ” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นสุรเสียงเงียบงันลงไปทันใด “จะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือไร ว่านางถือกำเนิดตรงกับเวลาตกฟากของดาวปีศาจเช่นเดียวกับข้า” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัยอย่างยิ่งยวด พระเนตรสีเลือดค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีนิลกาฬดั่งเดิม กายมนุษย์กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ไร้สิ้นกลิ่นอายปีศาจและพลังมารแต่อย่างใด พระองค์ทรงยืนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะร่ายเวทเพื่อเร้นพระวรกายออกไปจากบริเวณดังกล่าวด้วยความลืมตัวว่ายังมีพลังเวทอยู่คู่พระวรกาย พระพักตร์หล่อเหลาส่ายไปมาเมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่าไม่สามารถใช้พลังเวทปีศาจได้อีกแล้ว พระองค์คือมนุษย์ธรรมดา หาได้มีกายทิพย์และพลังเวทชั้นสูงอีกต่อไป “ข้าคงจะหลับใหลนานจนเกินไปเสียแล้วกระมัง จึงหลงลืมอะไรง่ายดายเช่นนี้ นี่ข้าอยู่ในโลกมนุษย์ตรงกับยุคใดกันเล่า แปรเปลี่ยนไปเช่นไรก็มิอาจรู้ได้ ปานไฟอัคคีมิได้อยู่คู่กายข้าก็ต้องใช้ชีวิตดั่งมนุษย์ทั่วไปแล้วกระนั้นสิ” รับสั่งพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบสายพระเนตรพบซากศพที่เหลือเพียงโครงกระดูกมนุษย์เท่านั้นกองอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ไม่ไกลจากจุดที่ทรงยืนอยู่เท่าใดนัก จอมมารหนุ่มละสายพระเนตรโดยไม่ใส่พระทัยกับซากศพดังกล่าว เสด็จพระดำเนินไปอีกทิศทาง แต่แล้วก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ดั่งมีสิ่งใดดลพระทัยให้ทรงพระดำเนินย้อนกลับไปทอดพระเนตรอีกครา พระวรกายใหญ่สูงทะมึนค่อยๆ พระดำเนินลัดเลาะตรงไปยังซากโครงกระดูกมนุษย์ ก่อนจะทอดพระเนตรโครงกระดูกสองร่างเป็นสตรีและเด็กทารก เสื้อผ้าอาภรณ์ตลอดจนเครื่องประดับบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่ามีฐานะสูงศักดิ์เลยทีเดียว จอมมารหนุ่มค่อยๆ ทรุดวรกายลงประทับนั่งยองๆ พร้อมเอื้อมพระหัตถ์หยิบแผ่นหยกสีเขียวมรกต สลักชื่อเจ้าของป้ายหยกดังกล่าวเอาไว้ ครั้นนิ้วพระหัตถ์เกลี่ยเศษดินออกจนหมด พระเนตรสีนิลกาฬเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลันเมื่อทรงทอดพระเนตรชื่อที่สลักไว้อยู่บนป้ายหยกดังกล่าว “ชินซาง!” รับสั่งพระนามของพระองค์ “ทารกน้อยผู้นี้มีนามดุจเดียวกับข้าหรือนี่ ถ้าเช่นนั้นโครงกระดูกนี้เป็นมารดาของเจ้ากระนั้นสิเด็กน้อย” รับสั่งพร้อมเอื้อมไปหยิบแผ่นหยกที่ตกอยู่อีกหนึ่งอัน สลักชื่อเอาไว้เช่นกัน “จิ่วซิน!” รับสั่งชื่อบนป้ายหยกพร้อมทอดพระเนตรโครงกระดูกทั้งสองพลางครุ่นคิดบางอย่างในพระทัย ป้ายหยกจิ่วซินถูกเก็บไว้ในสาบเสื้อฉลองพระองค์ด้านใน ส่วนป้ายหยกสลักพระนามดุจเดียวกับจอมมารทรงนำมาคล้องเอาไว้ที่บั้นพระองค์ พร้อมพระหัตถ์ค่อยๆ เก็บโครงกระดูกเท่าที่เหลืออยู่นำมาวางไว้บนเศษผ้าที่เปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา แน่นอนว่าสภาพที่เหลืออยู่ของโครงกระดูกเช่นนี้ จนถูกสัตว์ป่าแทะเล็มซากศพเหลือเศษโครงกระดูกไม่มากต้องจบชีวิตมานานแล้ว ห่อผ้าที่บรรจุโครงกระดูกทั้งสองถูกจอมมารหนุ่มขุดหลุมฝังเอาไว้อย่างดี ใต้ต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นดีทีเดียว ดอกไม้ป่าโปรยปรายอยู่บนหลุมที่ขุดฝัง ส่วนห่อผ้าที่เหลือเป็นเครื่องประดับที่มีราคาสูงมีค่าควรเมืองสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเทียบราคาใดๆ ก็ได้ “หากข้ามีพลังเวทดั่งเช่นเก่าก่อน ข้าจะสรรสร้างหลุมฝังศพของเจ้าทั้งสองให้ดีกว่านี้ เครื่องประดับของพวกเจ้า ข้าขอเอาไว้ เพราะตอนนี้ร่างของข้ากลับมาเป็นมนุษย์ จำเป็นต้องใช้เพื่อเดินทางตามหาคนของข้าและดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ต่อไป ส่วนป้ายหยกของพวกเจ้าข้าจะสืบค้นหาญาติ เพื่อแจ้งข่าวของเจ้าทั้งสองให้ได้ล่วงรู้” รับสั่งพร้อมเก็บห่อผ้าที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับไว้ในสาบเสื้อด้านในฉลองพระองค์ วรองค์สูงใหญ่ทะมึนทรงลุกยืนจากพื้นดิน พลางแหงนพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรเทือกเขาสูงอันเป็นสถานที่ซึ่งซากโครงกระดูกของแม่ลูกทั้งสองจบชีวิตลง เป็นไปได้อย่างสูงที่พลัดตกจากเขาลงมาและนั่นทำให้จอมมารหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่ภายในพระทัย “ก้นเหวกับเบื้องบนย่อมแตกต่างกัน ไร้สิ้นพลังเวทแต่หาได้สิ้นวรยุทธ์ ขึ้นสู่โลกมนุษย์ก็ต้องพึ่งพาตนเอง” รับสั่งพร้อมใช้พลังวรยุทธ์จากดินแดนปีศาจกระโดดลอยละลิ่วขึ้นจับเถาวัลย์ใหญ่ สองพระบาทไต่ขึ้นสู่ยอดเขาเบื้องบนด้วยความรวดเร็ว ประหนึ่งว่าพระองค์ทรงพระดำเนินเล่นอยู่บนหินผาฉันใดก็ฉันนั้น เพียงหนึ่งชั่วธูปจอมมารชินซางกระโดดลอยละลิ่วขึ้นมาจากก้นเหว ลงมาประทับยืนอยู่บนพื้นของยอดเขาสูงเหิงไห่ กระแสลมพาดผ่านจนพระเกศาสีเงินยวงปลิวสยายไปตามแรงลม อาภรณ์สีนิลกาฬพลิ้วไหวต้องลมสะบัดไปมา กระแสลมแรงกลบเสียงเอ็ดอึงที่ดังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พระองค์ทรงยืนอยู่ไม่มากนัก เบื้องหน้าพระพักตร์คือกองทหารของแคว้นเทียนโจวกำลังหนีถอยร่นมายังทิศทางที่จอมมารหนุ่มทรงยืนอยู่ในขณะนั้น กองทหารพร้อมด้วยเฉินกงฮ่องเต้ เริ่มถอยร่นไม่เป็นกระบวนเมื่อฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ซึ่งนำทัพด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกัน ตามล่าหมายตัดหัวเฉินกงฮ่องเต้เพื่อสยบกองทัพแคว้นต้าโจวและครอบครองดินแดนทองคำนี้ให้จงได้ พระวรกายของเฉินกงฮ่องเต้อาบไปด้วยพระโลหิต เกิดจากบาดแผลฉกรรจ์ที่ทรงได้รับหลายแห่งเลยทีเดียว กองทหารองครักษ์ตีฝ่าวงล้อมนำพระองค์ออกมาได้ แต่กำลังถึงทางตันเมื่อถอยมาถึงยอดเขาซึ่งไม่มีหนทางที่จะหนีได้อีกต่อไปแล้ว นอกจากกระโดดลงหุบเหวลึกเบื้องล่างนั่นเอง ท่ามกลางสายพระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารชินซาง ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ในขณะนั้น กองทัพแคว้นต้าโจวเริ่มวิ่งเข้ามาใกล้พระองค์ โดยมีองครักษ์และเฉินกงฮ่องเต้เสด็จวิ่งนำหน้าทัพ ทันทีที่วิ่งเข้ามาใกล้ในระยะสายพระเนตรของจอมมาร พระเนตรสีนิลกาฬเป็นอันต้องเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลัน เมื่อประสบพบพักตร์ของเฉินกงฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ!!!” จอมมารชินซางรำพึงพระนามของพระบิดา ซึ่งเป็นอดีตจอมมาร ด้วยรูปลักษณะของเฉินกงฮ่องเต้ทรงถอดแบบอดีตจอมมารพระบิดาของพระองค์มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนๆ เดียวกันฉันใดก็ฉันนั้น เป็นเหตุให้จอมมารชินซางชะงักงันอยู่กับที่ ในขณะที่เฉินกงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เส้นผมสีเงินยวงปล่อยสยายต้องสายลมพาดผ่านปรากฏอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ เป็นเหตุให้พระองค์ทรงหยุดทอดพระเนตรทันทีเมื่อพานพบบุรุษปริศนา ซึ่งเต็มไปด้วยความองอาจและน่ายำเกรงอย่างยิ่งยวด “บุรุษหนุ่มผู้นี้เหตุใดจึงน่าหวาดหวั่นเป็นที่พรั่นพรึงนักเล่า ท่าทีองอาจ หล่อเหลาปานรูปสลักเช่นนี้ เป็นมนุษย์เดินดินอย่างนั้นหรอกรึ เหตุใดยังหนุ่มแน่นแท้ๆ แต่กลับมีเส้นผมสีเงินเช่นนั้น อีกทั้งยังยืนอยู่เพียงตามลำพังโดดเดี่ยวในสถานที่เช่นนี้!” รับสั่งกับทหารองครักษ์ที่กำลังประคองพระองค์อยู่ในขณะนั้น “หากมิใช่มนุษย์ก็คงจะเป็นเทพเซียนจากสรวงสวรรค์กระมังพ่ะย่ะค่ะ ลักษณะเช่นนี้ยากยิ่งนักที่จะพานพบ แต่ก็น่าแปลกเสียนี่กระไรที่มายืนอยู่บนยอดเขาเช่นนี้” องครักษ์คนดังกล่าวกราบทูลตอบกลับมา ในขณะที่เบื้องหลังกองทัพของแคว้นฉู่ไล่ติดตามมาทัน ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ประทับอยู่บนหลังม้าทรงขึ้นคันธนูพร้อมลูกดอกอาบยาพิษจำนวนถึงสามดอกเล็งเป้ามาที่เฉินกงฮ่องเต้อยู่ในเวลานั้น พระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารหนุ่ม ทรงทอดพระเนตรได้ทั้งในระยะใกล้ไกลประหนึ่งว่าสิ่งที่ทรงทอดพระเนตรอยู่เพียงตรงหน้าพระพักตร์เท่านั้น ครั้นทอดพระเนตรลูกธนูเล็งมาที่เฉินกงฮ่องเต้ สุรเสียงรับสั่งดังก้องขึ้นมาทันที “ดาบปีศาจ! จงมาหาข้า!” รับสั่งอาวุธคู่พระวรกายจากดินแดนปีศาจ สิ้นพระสุรเสียงท้องฟ้าเบื้องบนที่เต็มไปด้วยแสงแดดแรงกล้ากลับมืดครึ้มดำทะมึนขึ้นมาโดยพลัน และเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วเทือกเขาเหิงไห่ “เปรี้ยง!!!” สายฟ้าฟาดผ่าลงตรงกลางกองทัพของแคว้นต้าฉู่ จนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางดาบปีศาจของจอมมารชินซาง ที่สถิตอยู่ในดินแดนปีศาจถูกดึงออกจากแท่นหินด้วยตัวเองก่อนจะลอยละลิ่วขึ้นสู่ผืนฟ้าเบื้องบน จากดินแดนปีศาจผ่านดินแดนน้อยใหญ่ พุ่งแหวกว่ายกลางอากาศลงมาพร้อมสายฟ้าฟาดตรงเข้ามาหาจอมมารผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้น พระหัตถ์ยกขึ้นรับดาบปีศาจของพระองค์อย่างรวดเร็ว พระวรกายสูงใหญ่หมุนไปโดยรอบพร้อมตวัดดาบปีศาจกวัดแกว่งไปมา จอมมารกระชับอาวุธประจำพระองค์เสด็จพระดำเนินตรงมาหาเฉินกงฮ่องเต้พร้อมใช้พระวรกายสูงใหญ่ทะมึน ยืนบังฮ่องเต้แคว้นต้าโจวเอาไว้ ท่อนพระกรใหญ่ยื่นออกไปข้างหน้าพลางยกพระหัตถ์ขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วพระหัตถ์ชี้ไปที่พระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่พลางขยับนิ้วพระหัตถ์ขึ้นลงเป็นสัญญาณเรียกให้เข้ามาหา ท่ามกลางพระอาการตกตะลึงของเฉินกงฮ่องเต้ ครั้นเมื่อทรงได้ทอดพระเนตรบุรุษอาภรณ์สีนิลกาฬในระยะใกล้ชิด พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนทรงยืนบังฮ่องเต้แคว้นเทียนโจวได้อย่างมิดชิดยิ่งนัก ในขณะที่ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ทอดพระเนตรการกระทำของบุรุษปริศนาที่หาญกล้าแสดงอาการท้าทายพระองค์อย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ในขณะที่กองทัพของพระองค์โอบล้อมทัพต้าโจวเอาไว้รอบด้าน “หาคนมาช
ทหารต้าฉู่ที่รอดชีวิตต่างพร้อมใจพากันทิ้งอาวุธอย่างพร้อมเพรียง ทุกชีวิตทรุดกายลงนั่งคุกเข่าพร้อมส่งเสียงขานรับพระบัญชาของจอมมารออกมาทันที“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! นับตั้งแต่นี้ต่อไปแคว้นต้าฉู่ยินดีสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเทียนโจวตลอดไป ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”เหล่าทหารแคว้นต้าฉู่เปล่งถ้อยคำออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันครั้นจอมมารชินซางได้ยินคำกล่าวของบรรดาทหารต้าฉู่เอ่ยออกมาเช่นนั้น พระองค์หันพระวรกายกลับไปทอดพระเนตรเฉินกงฮ่องเต้ พระวรกายสูงทะมึนเสด็จพระดำเนินก้าวเข้าไปหาบุรุษที่เหมือนพระบิดาของพระองค์อย่างไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย“ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว ที่จะจัดการเยี่ยงไรต่อไป ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถจัดการได้ออกมาเป็นอย่างดี” รับสั่งสุรเสียงเรียบเฉย พร้อมพระดำเนินออกไปจากบริเวณนั้นครั้นเฉินกงฮ่องเต้หายจากพระอาการตกตะลึงและทอดพระเนตรบุรุษปริศนากำลังจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงรีบมีรับสั่งทักท้วงออกไปทันที“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม!” สุรเสียงรับสั่งรั้งจอมมารพระวรกายสูงทะมึนทรงหยุดพระดำเนินเมื่อเฉิ
ชายแดนแคว้นฉู่ “พรึ่บ!” ร่างงามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ หญิงสาวนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่บริเวณชายป่าเขตแดนแคว้นฉู่ ซึ่งเดิมทีเป็นของแคว้นฉู่ทั้งหมด ภายหลังต้องแบ่งสิทธิในการดูแลและครอบครองเมืองแถบชายแดนของแคว้นฉู่ทั้งหมดให้กับแคว้นเทียนโจวคนละครึ่งช่วยกันปกครอง เพื่อทางเทียนโจวสามารถสอดส่องและส่งกองทหารมาตรึงตามชายแดน มิให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้นมาได้อีก ด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามในศึกเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน ทำให้แคว้นฉู่จำต้องยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งดีกว่าจะต้องเสียแคว้นให้อยู่ใต้การปกครองของเทียนโจวตลอดไป และการก้าวเดินถอยหลังของวาวาถึงห้าก้าวในเขตแดนปีศาจเข้าสู่ภพมนุษย์ทำให้เธอกลับมาในยุคอดีตภายหลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างแคว้นเทียนโจวและแคว้นฉู่เสร็จสิ้นไปแล้วเป็นเวลานานถึงห้าปี ในขณะที่จอมมารชินซางทรงสวมกอดนางเอาไว้แนบอกตลอดเวลาจึงทำให้พระองค์หวนกลับคืนสู่อดีตกาลเช่นเดียวกัน แต่ทรงกลับมาเพียงลำพังโดยไร้สิ้นนางในอ้อมกอด ด้วยเพราะเฉินวาวาก้าวถอยหลังถึงห้าก้าวทำให้กลับมาช้ากว่าพระองค์ห้
ภายในกระโจมที่ประทับร่างงามนอนหลับใหลมิได้สติจนผ่านไปหนึ่งวันกับอีกสองคืน ภายในกระโจมส่วนตัวติดกับกระโจมขององค์หญิงชิวหรงซึ่งทรงพระประชวรอยู่ในขณะนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีสร้างความหวาดกลัวให้แก่นางกำนัลที่เฝ้าคอยดูแลหญิงสาวเป็นยิ่งนัก พิศเพ่งหน้านางคราใดต้องตื่นตกใจทุกครา จนมิมีผู้ใดกล้าเฝ้านางอยู่ตลอดเวลาคงทำได้แต่เพียงยืนเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าของกระโจมใบหน้าราวปีศาจปรากฏแสงเรืองรองสว่างวาบออกมาจากรอยปานคล้ายหยดน้ำซึ่งก็คือไฟอัคคีของจอมมารชินซางที่ย้ายมาสถิตอยู่ตรงกลางหน้าผากของหญิงสาว ใบหน้าเริ่มพลิกไปมาอย่างช้าๆ เปลือกตากลอกกลิ้งไปมาพร้อมเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า เมื่อเธอได้นิมิตฝันเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ทะมึน เจ้าของเกศาสีเงินยวงสวมชุดเกราะจอมทัพ ภายในมือถือดาบยาวขนาดใหญ่ ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมลุกกระพือออกเป็นวงกว้างดั่งไฟจากขุมนรกทั่วบริเวณเต็มไปด้วยทหารนับหลายพันนายรายล้อมบุรุษผู้นั้นหมายรุมฆ่าลงประชาทัณฑ์ ในขณะที่มีเพียงบุรุษผู้นั้นเพียงหนึ่งเดียวยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน เสียงตะโกนก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมดาบยาวยกขึ้นช
บริเวณนอกกระโจม“ชิงเหยียน! อู๋ชิงเหยียน! อู๋…” หญิงสาวตะโกนได้เพียงแค่นั้นดวงตากลมโตกวาดสายตามองขบวนเจ้าสาวที่เต็มไปด้วยนางกำนัลมากมายพร้อมขันทีและกองทหารตามขบวนเสด็จไม่ต่ำกว่าสองร้อยนาย คอยถวายอารักขาไปตลอดการเดินทาง ม้านับร้อยตัวยืนอยู่อีกมุมหนึ่งรถม้าในสมัยโบราณมีมากมายหลายสิบคัน อุดมไปด้วยของมีค่ามากมายสิ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ขององค์หญิงชิวหรงครั้นมองไปทิศทางใดก็มีแต่เทือกเขาสูงและป่าดงดิบทุกคนล้วนสวมชุดในสมัยโบราณที่แลดูแปลกตา ไม่เหมือนที่เธอเห็นในกองถ่ายซีรีส์ย้อนยุคแม้แต่น้อย แม้จะแลดูมีสีสันไม่แตกต่างกันแต่กลับมีความงามแปลกประหลาดในตัวเองในขณะที่ทุกสายตาหันกลับมามองเธอด้วยความตกใจสุดขีดที่เห็นใบหน้าดุจปีศาจของสตรีแปลกหน้า ก่อนจะรีบก้มหน้าลงมองพื้นทันทีเมื่อเห็นทางด้านหลังปรากฏองค์ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากนอกกระโจม ยืนอยู่ด้านหลังของสตรีผู้มีใบหน้าดุจปีศาจ“ในเมื่อข้าถามเจ้าหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากเจ้าแต่อย่างใด ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าด้วยตัวเองว่าที่นี่คือชายแดนแคว้นฉู่ พ้นเนินเ
ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะทอดสายตาจับจ้องชิงอวิ้นฮ่องเต้อย่างละเอียดรวมไปถึงองครักษ์ลู่เหอซึ่งยืนถือดาบยาวยืนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่แตกต่างจากจินตนาการของคนยุคใหม่อย่างสิ้นเชิง เรียบง่ายแต่สวยงามแปลกประหลาดเพราะทอด้วยมือ แม้กระทั่งงานปักลวดลายทุกอย่างล้วนเป็นงานฝีมือทั้งสิ้น“นี่อย่าบอกนะว่าฉันหลงมาอยู่ในยุคโบราณในสมัยที่ยังมีเจ้าผู้ครองแคว้น ไม่นะ!”หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ภายในใจก่อนจะกะพริบตาสื่อสารขึ้นลงติดๆ กันเป็นสัญญาณว่าเธอต้องการที่จะพูดบ้าง ตามบทละครที่เธออ่านมาว่าคนโบราณที่ถูกสกัดจุดจะต้องสื่อสารอย่างไรบ้างและอาการของเธอองค์ฮ่องเต้ก็ทรงล่วงรู้โดยพลัน“ลู่เห่อคลายจุดให้นาง ดูท่าจะอยากกล่าวถ้อยคำบางอย่างกับข้า”“พ่ะย่ะค่ะ!” ลู่เหอรับขานรับทันที พร้อมยื่นสองนิ้วกดคลายจุดให้หญิงสาวเอ่ยถ้อยคำออกมาได้“ตึก!” สองนิ้วกดคลายจุดให้กับหญิงสาวทันทีและนั่นทำให้เธอเป็นอิสระที่จะพูดเจรจาต่อรองได้ขึ้นมาทันใด“เฮ้อ!!!” หญิงสาวรู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาทันที ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอเพื่อ
ทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าว ปานรูปหยดน้ำที่มองเห็นเพียงเลือนรางเนื่องจากถูกรอยไฟอัคคีบดบังสว่างวาบขึ้นมาทันที พร้อมภาพของบุรุษสูงใหญ่ทะมึน สวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาสีเลือดฉายแวววับปรากฏให้เธอเห็นขึ้นมาโดยพลันภาพนิมิตปรากฏให้เธอเห็นร่างงามในชุดเจ้าสาวสีขาวในยุคโบราณกำลังนั่งอยู่บนเตียงมีพัดทำจากขนห่านฟ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าสาวเอาไว้ บุรุษเกศาสีเงินยวงในชุดเจ้าบ่าวสีขาวเปิดประตูเข้ามาในห้องหอ ร่างสูงใหญ่ทะมึนเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมค่อยๆ เอื้อมหยิบพัดที่ปิดใบหน้าเจ้าสาวออกจากมือนาง เผยให้เห็นใบหน้าของเฉินวาวาเธอคือเจ้าสาวงดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดปรากฏอยู่ในห้องหอและในนิมิตดังกล่าว“เฮือกกก!!!” ร่างระหงลุกพรวดพราดขึ้นจากตั่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ เกิดเห็นภาพเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้นอนหลับหรือฝันแต่อย่างใด“ทะ... ทำไม... ฉันถึงเห็นตัวเองเป็นเจ้าสาวของเขา... ขะ... เขาจะตามหลอกหลอนฉันกันไปถึงไหน” เธอยืนบ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่คนเดียวในกระโจม“อ้าวอีตาฮ่องเต้เจ้าแผนการกับองครักษ
ชายแดนเมืองจิงโจจวนแม่ทัพภายในห้องบรรทมชินอ๋องพระวรกายสูงใหญ่ของจอมมารชินซางทรงบรรทมสนิทในเวลาแห่งรัตติกาล ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาจอมมารหนุ่มหรือชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ดำรงพระชนม์ชีพดั่งเช่นมนุษย์ธรรมดาเดินดินทั่วไป มีความรู้สึกร้อน หนาวและเจ็บป่วย รวมไปถึงได้รับบาดแผลจากการทำสงครามไม่แตกต่างจากผู้อื่นแม้แต่น้อย ในเวลานี้ไอจอมมารและพลังปีศาจที่ทรงมีอยู่คู่พระวรกายได้เลือนหายไปจนหมดสิ้นนับตั้งแต่ปานไฟอัคคีย้ายไปสถิตอยู่กับคู่ชะตาของพระองค์จอมมารจึงคงเหลือเพียงวรยุทธ์จากดินแดนปีศาจที่ทรงฝึกฝนมานับหลายแสนปีเท่านั้น เมื่อไอมารเลือนหายความเป็นมนุษย์เข้ามาแทนที่พระองค์จึงเริ่มได้รับบาดเจ็บจากการทำสงคราม บาดแผลปรากฏอยู่บนพระวรกายหลายแห่ง แต่โชคยังดีที่ภายในพระวรกายทรงมีเลือดปีศาจจึงทำให้บาดแผลสมานเข้าหากันได้ในเร็ววัน แต่สิ่งหนึ่งที่หามีผู้ใดล่วงรู้นั่นก็คือทรงไม่มีวันตายเพราะเป็นอมตะทว่าความเป็นอมตะของพระองค์ล้วนอยู่ในปานรูปไฟอัคคีทั้งสิ้น ปานดังกล่าวคือสัญลักษณ์ของจอมมาร พลังเว
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ