ภายในกระโจมที่ประทับ
ร่างงามนอนหลับใหลมิได้สติจนผ่านไปหนึ่งวันกับอีกสองคืน ภายในกระโจมส่วนตัวติดกับกระโจมขององค์หญิงชิวหรงซึ่งทรงพระประชวรอยู่ในขณะนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีสร้างความหวาดกลัวให้แก่นางกำนัลที่เฝ้าคอยดูแลหญิงสาวเป็นยิ่งนัก พิศเพ่งหน้านางคราใดต้องตื่นตกใจทุกครา จนมิมีผู้ใดกล้าเฝ้านางอยู่ตลอดเวลาคงทำได้แต่เพียงยืนเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าของกระโจม ใบหน้าราวปีศาจปรากฏแสงเรืองรองสว่างวาบออกมาจากรอยปานคล้ายหยดน้ำซึ่งก็คือไฟอัคคีของจอมมารชินซางที่ย้ายมาสถิตอยู่ตรงกลางหน้าผากของหญิงสาว ใบหน้าเริ่มพลิกไปมาอย่างช้าๆ เปลือกตากลอกกลิ้งไปมาพร้อมเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า เมื่อเธอได้นิมิตฝันเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ทะมึน เจ้าของเกศาสีเงินยวงสวมชุดเกราะจอมทัพ ภายในมือถือดาบยาวขนาดใหญ่ ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมลุกกระพือออกเป็นวงกว้างดั่งไฟจากขุมนรก ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยทหารนับหลายพันนายรายล้อมบุรุษผู้นั้นหมายรุมฆ่าลงประชาทัณฑ์ ในขณะที่มีเพียงบุรุษผู้นั้นเพียงหนึ่งเดียวยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน เสียงตะโกนก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมดาบยาวยกขึ้นชี้หน้าเหล่าทหารที่กำลังรายล้อมอยู่ในขณะนี้ “นี่หรือวิถีของคนกล้าที่แม่ทัพของเจ้านำมาใช้เล่นงานข้า! ช่างขลาดเขลาสิ้นดี! ข้ามีเพียงหนึ่งแต่เจ้ามีนับพันชีวิต เหตุใดจึงเอาชีวิตของพวกเจ้ามาเซ่นสังเวยดาบปีศาจของข้า! ไม่อยากกลับไปหาครอบครัวที่กำลังรอคอยพวกเจ้าอยู่ทางเบื้องหลังอย่างนั้นหรอกรึ!” ทหารบางนายต่างหันกลับมามองหน้ากัน ความลังเลเริ่มบังเกิดขึ้นแต่แล้วบรรดาทหารแนวหน้าพลันตะโกนก้องตวาดกลับไปทันทีอย่างไม่กลัวเกรง “พวกข้าคือหน่วยกล้าตายไฉนเลยจะอาลัยแก่ชีวิตและครอบครัว องค์ฮ่องเต้คือเจ้าชีวิตของพวกข้า! ซึ่งไม่ใช่เจ้าแม้แต่น้อยชินอ๋อง! พวกข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้าถูกล้อมด้วยทหารนับพันจะมีปัญญาหนีออกจากกองเพลิงดั่งไฟนรกนี้ไปได้หรือไม่ ผู้คนต่างยกย่องเทิดทูนชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ว่าเปรียบประดุจดั่งเทพสงคราม ข้าก็อยากรู้ว่าจะเก่งกาจสมชื่อเสียงของเจ้าหรือไม่!” แม่ทัพของฝ่ายศัตรูตะโกนก้องด้วยถือไพ่เหนือกว่า “อย่างนั้นรึ! ในเมื่อพวกเจ้าไม่อาลัยแก่ชีวิต... เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องมีจิตสำนึกว่าลงมือสังหารมนุษย์ดั่งเช่นผักปลา!” รับสั่งพร้อมแสยะยิ้มเหยียด พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงล้อมรอบ ค่อยๆ พระดำเนินฝ่ากองเพลิงที่กำลังปะทุอย่างแรงกล้า เปลวเพลิงลุกสูงท่วมเนินเขาเตี้ยๆ เลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ทำให้ชินอ๋องสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ยังคงพระดำเนินเดินฝ่าเปลวเพลิงพร้อมกระชับดาบปีศาจเอาไว้ในพระหัตถ์ พระเนตรสีนิลกาฬแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดขึ้นมาโดยพลัน พระองค์ทรงหยุดยืนอยู่ภายในเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาอย่างรุนแรง ยืนสูงทะมึนอยู่ตรงหน้ากองทหารของศัตรู ท่ามกลางอาการตกตะลึงของบรรดาทหารฝ่ายตรงข้ามเมื่อเห็นชินอ๋องยืนอยู่กลางเปลวเพลิงอย่างไม่สะทกสะท้าน ดาบปีศาจถูกยกขึ้นก่อนจะถูกจอมมารใช้เพลงดาบส่งอาวุธคู่พระวรกายพุ่งหลาวออกไปเบื้องหน้าทันที เป้าหมายคือร่างของแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท “ฟิ้วววว!!!” ดาบปีศาจพุ่งทะยานออกไปอย่างน่าสะพรึงกลัว “ฉึกกกก!!!” ปลายดาบคมกริบเสียบเข้าที่ยอดอกทะลุไปทางด้านหลัง ในขณะที่องค์รัชทายาทจากแคว้นศัตรูอยู่ภายใต้การอารักขาของรองแม่ทัพนับสิบที่ยืนรายล้อมเป็นเกราะกำบังให้พระองค์ “ตุ้บ!” องค์รัชทายาทผู้นั้นสิ้นพระทัยคาที่ พระวรกายล้มลงกระแทกกับพื้นทันใด “และนี่คือผลของการกระทำที่ฮ่องเต้ของเจ้าลักพาชายาของข้าไป! ส่งชายาของข้าคืนมา! หาไม่แล้วข้าจะกุดหัวทุกชีวิตในแคว้นนี้มิให้เหลือแม้แต่ผู้เดียว!” รับสั่งตะโกนก้อง ทันใดนั้นเอง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!” เสียงหัวเราะกึกก้องดังขึ้นด้วยความพึงพอใจ ฮ่องเต้แคว้นศัตรูค่อยๆ ปรากฏพระวรกายท่ามกลางกองทหารอารักขานับพันชีวิต “เจ้าคิดว่าข้าจะอับปัญญาส่งรัชทายาทของข้ามาให้ฆ่าเล่นๆ อย่างนั้นรึ! ชินอ๋อง! อุตส่าห์มาช่วยพระชายาของเจ้า แต่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลยว่าป่านนี้ นางเดินทางไปที่สะพานไน่เหอ ล่วงหน้าก่อนเจ้าแล้ว!” พระเนตรสีเลือดลุกโชนอย่างน่าสะพรึงกลัวครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “นางมีดาวปีศาจคุ้มครอง! ไม่มีวันที่จะเดินทางไปที่สะพานไน่เหอ! คิดหรือว่าข้าจะเชื่อ...ไอ้คนปลิ้นปล้อน!...ส่งนางมาให้ข้า! ส่งวาวาของข้าคืนมา!!!” สุรเสียงตวาดดังก้อง พระเนตรสีเลือดลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นมาโดยพลัน “เฮือกกก!!!” ร่างงามสะดุ้งโหยงจนสุดตัวจนลุกขึ้นมานั่งพร้อมหายใจจนหอบโยน เฉินวาวายกมือขึ้นจับหน้าอกของตัวเอง เสียงตะโกนดังกึกก้องที่อยู่ในความฝันเต็มไปด้วยความห่วงและหวงแหนเธออย่างยิ่งยวด “นี่ฉันฝันบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย!” เธอบ่นพึมพำพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอด้วยรู้สึกกระหายน้ำ ก่อนจะค่อยๆ มองไปรอบกระโจมดวงตากลมโตสีเม็ดองุ่นเห็นภาพเลือนรางปรากฏขึ้นในสายตาก่อนจะค่อยๆ แจ่มชัดเพดานด้านบนคือผ้าสีขาวผืนขนาดใหญ่ มีไม้ท่อนกลมพาดไขว้ไปมาเพื่อยกขึ้นสูงคล้ายหลังคาจั่ว ถัดไปมีโต๊ะยาววางไว้กับพื้นยกที่นั่งสูงมีตั่งวางไว้คล้ายโต๊ะหนังสือเพราะมีแผ่นไม้ไผ่โบราณบันทึกอักษรวางไว้บนโต๊ะหลายม้วน เครื่องใช้ภายในมีพร้อมครบครันไม่เว้นแม้กระทั่งอ่างล่างหน้าที่ทำมาจากสัมฤทธิ์ พร้อมกระจกที่ทำมาจากสัมฤทธิ์เช่นเดียวกัน “นะ... นะ... นี่ฉันกำลังเข้าฉากหรือนอนหลับฝันไปใช่ไหม” หญิงสาวรำพึงออกมาดวงตากลมโตกวาดสายตาไปทั่วบริเวณกระโจม ซึ่งภายในนั้นมีเธอเพียงผู้เดียว คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหาหันด้วยความมึนงงกับสิ่งที่เห็น “จำได้ว่ารถที่นั่งมาตกเหวและเราก็ตกลงไปในเหว ตื่นขึ้นมาอยู่ก้นเหวและยังไปเจออะไรมากมายแล้วก็เจอ...” วาวาเอ่ยได้เพียงเท่านั้น แขนเรียวยกขึ้นพร้อมเท้าคางด้วยความสงสัย “แล้วเมื่อกี้ก็ยังฝันถึงผู้ชายคนนั้นอีก ชายาของเขามีชื่อเหมือนเราด้วย นี่ตกลงฉันฝันซ้อนฝันอีกทีใช่ไหม! หรือว่าอุบัติเหตุตกเขาเราก็ฝันไม่ใช่เรื่องจริง” ครั้นหญิงสาวคิดได้เช่นนั้นสองมือหยิกเข้าที่มือเรียวสวยทันใด “อู๊ยยยเจ็บ! ไม่ได้ฝัน! นี่คือเรื่องจริง... ว่าแต่ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือว่ามาถึงกองถ่ายแล้ว ครั้งสุดท้ายจำได้ว่ารถกำลังขึ้นเขาและเผลอหลับไป ฝันเป็นตุเป็นตะได้ถึงเพียงนี้เลยเหรอ” หญิงสาวรำพึงรำพันอยู่เพียงลำพังก่อนจะเงยหน้าไปทางประตูทางเข้าของกระโจม พระวรกายสูงโปร่งของชิงอวิ้นฮ่องเต้เสด็จเข้ามาภายในกระโจมพร้อมราชองครักษ์ลู่เหอตามเสด็จมาด้วย ครั้นทอดพระเนตรสตรีที่พระองค์ทรงช่วยมาจากชายป่าได้สติกลับคืนมากำลังนั่งมองพระพักตร์ของพระองค์อยู่ในขณะนี้ “ตื่นแล้วรึ!” รับสั่งถามกลับไป หญิงสาวมองฮ่องเต้แคว้นฉู่ตั้งแต่พระเศียรจรดปลายพระบาท ซึ่งฉลองพระองค์โทนดำสลับแดงเพราะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ พระเกศาเกล้ามวยขึ้นสูงพร้อมครอบรัดเกล้าเสียบปิ่นหยก “คอสตูมเรื่องนี้เข้าท่าแฮะ ออกแบบเสื้อผ้าตัวละครได้เป็นธรรมชาติและเหมือนจริงมากเลย ท่าทางคงจะมารับบทเป็นตัวละครในซีรีส์ที่ฉันกำลังเล่นอยู่กระมัง” หญิงสาวมัวนั่งคิดอยู่ในใจเพลินๆ จนหลงลืมเอ่ยตอบกลับไป “เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งถามย้ำกลับไปอีกคราเมื่อสตรีตรงหน้าพระพักตร์ยังคงเงียบงันมิยอมตอบคำถามของพระองค์ และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาทันที “อะ... อือ!” เฉินวาวาส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอพร้อมพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ดวงตากลมโตมองฮ่องเต้แคว้นฉู่ด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด พระพักตร์ยกยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทอดพระเนตรกิริยาตอบกลับมาเช่นนั้น “เจ้าหลับไปหนึ่งวันกับอีกสองคืนเลยทีเดียว ดีที่ปลอดภัยมิได้เป็นอะไรนอกจากพิษที่ยังค้างอยู่ในกายของเจ้า คงจะต้องใช้เวลาในการขับพิษนั้นออกไปสักระยะ” รับสั่งถึงรอยไฟอัคคีที่หญิงสาวได้รับตามคำกราบทูลของหมอหลวงที่เข้ามาทำการรักษาและตรวจอาการให้กับหญิงสาว “พิษเหรอ!” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความงุนงง ไฟอัคคีที่สถิตอยู่ในกายของเฉินวาวาได้พำนักอยู่ในร่างของเธอได้มาระยะหนึ่งแล้ว เส้นเลือดสีแดงเข้มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าและลำคอเริ่มลดลงและไม่เข้มเหมือนดั่งคราแรก รูปลักษณะดั่งเช่นคนถูกพิษร้ายแรง ชีพจรแปรปรวนเต้นไม่สม่ำเสมอ ไอเย็นในกายแผ่ซ่านความเป็นหยางในกายลดระดับระดับลง ไอมารแฝงเร้นอยู่ในกายและแสดงผลราวกับว่าถูกพิษมานั่นเอง เฉินวาวายกมือขึ้นจับขมับของเธอทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ยิ่งฟังยิ่งงงมากขึ้นเรื่อยๆ “หรือว่าเขากำลังซ้อมบทละครกับเราอยู่ แต่ในบทละครมันไม่มีบทพูดแบบนี้เลยนะ ผู้กำกับเกาปรับบทอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ แล้วจะต่อบทยังไงดีล่ะถ้าเป็นแบบนี้เฉินวาวาเอ๋ยเฉินวาวา แย่แล้วงานนี้” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมตัดสินใจต่อบทแบบคิดเอาเองนอกบทตลอดตามลักษณะนิสัยที่เธอชอบทำเสมอ “อะ...เออ... ข้าน้อยโดนพิษมาดั่งเช่นท่านกล่าวจริงแท้คุณชาย...” หญิงสาวยังมิทันกล่าวจบเสียงราชองครักษ์ลู่เหอดังแทรกขึ้นมาทันที “บังอาจ! ใช้ถ้อยคำสามัญชนกับองค์ฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน! พูดใหม่!” องครักษ์ลู่เหอตวาดเสียงเอ็ดอึงเล่นเอาเฉินวาวาสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที หากแต่เพียงครู่ความบ้าเลือดก็วิ่งพล่านขึ้นมาทันใด “แล้วใครจะไปตรัสรู้ได้เล่าว่าเป็นฮ่องเต้! ทำไม... ฮ่องเต้ไม่ใช่คนหรือไง... ตายไม่เป็นหรือไง... ข้าวน่ะกินไหม... หรือกินหญ้าแทนข้าว! ไอ้คนบ้าเอ้ย!” หญิงสาวต่อว่ากลับไปทันทีท่ามกลางความงุนงงของอีกฝ่ายเพราะฟังเธอไม่รู้เรื่องนั่นเองในขณะที่องครักษ์ลู่เหอจะอ้าปากโต้ตอบ พระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ทรงยกขึ้นเป็นสัญญาณห้ามให้สงบศึกพร้อมทอดสายพระเนตรปรามองครักษ์คนสนิทของพระองค์เขม็ง “อย่าเรื่องมากเดี๋ยวเสียแผนหมด!” รับสั่งลอดไรพระทนต์ และนั่นทำให้ลู่เหอสงบปากสงบคำของตนทันที ชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงยืนทอดพระเนตรใบหน้าที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแผ่ซ่านเพราะรอยไฟอัคคีกระจายทั่วใบหน้าด้านขวา ในขณะที่ด้านซ้ายปรากฏให้เห็นเลือนราง ถึงกระนั้นยังเลื้อยขึ้นดั่งเถาวัลย์ป่า แต่หากเพ่งพิศนานๆ สตรีตรงหน้าพระพักตร์มีเค้าความงามดั่งเช่นสตรีอื่นอยู่บ้าง “เจ้าจำอะไรได้หรือไม่ เหตุใดจึงไปนอนหมดสติที่เขตชายแดนเช่นนั้น ดีที่ขบวนเจ้าสาวเดินทางมาทางนี้และตั้งค่ายพักแรมอยู่ใกล้ๆ หาไม่แล้วเจ้าคงจะถูกเสือคาบไปเป็นอาหารเสียแล้วกระมัง” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ หญิงสาวนั่งฟังผู้ชายแปลกหน้าซึ่งเธอเห็นเป็นคนแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่อง ไม่นับบุรุษดวงตาสีเลือดเพราะเฉินวาวาไม่นับว่าเป็นคนแต่เธอคิดเสมอว่าคนผู้นั้นมิใช่มนุษย์ “อะ... เออ... ถามแบบนี้จะตอบยังไงดี... เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เริ่มจะงงแล้วเหมือนกัน... ว่าแต่ที่นี่คือที่ไหน แล้วผู้กำกับเกาไปไหน... ละ... แล้วนี่คือหนึ่งในฉากในโรงถ่ายเหิงเตี้ยนใช่ไหม ถ้ายังไงคุณช่วยตามผู้จัดการส่วนตัวของฉันที่ชื่ออู๋ชิงเหยียนมาให้หน่อยเถอะค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป เป็นเหตุให้ชิงอวิ้นฮ่องเต้พร้อมองครักษ์ที่ฟังอยู่ในขณะนั้นต่างพากันงุนงงด้วยมิอาจฟังนางรู้เรื่องแม้แต่น้อย “เจ้ากล่าวสิ่งใด เหตุใดจึงฟังมิรู้เรื่องแม้แต่น้อย ตกลงเจ้าเป็นคนแคว้นใดจึงมานอนหมดสติอยู่บริเวณนี้ แล้วถ้อยเจรจาของเจ้าแลดูประหลาดชอบกลนัก แคว้นของเจ้าใช้คำพูดเอ่ยถามกันเช่นนี้หรอกรึ” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งถามกลับไป และนั่นทำให้เฉินวาวานั่งนิ่งงันไปโดยพลัน ครั้นได้ยินเช่นนั้น “เป็นเรื่องแล้ว ตกลงฉันกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ ถ้าไม่ใช่ในโรงถ่ายที่เหิงเตี้ยนแล้วเรากำลังอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะเหลือบไปเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกที่ทำมาจากสัมฤทธิ์นำมาขัดจนขึ้นมันเงาจนสามารถสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจน “ว้ายยยย! ผี! ผีหลอก! Help me!!!” หญิงสาวร้องตะโกนโวยวายส่งเสียงขอความช่วยเหลือจนเสียงหลงไปหมด พลางยกผ้าห่มคลุมโปงทันทีพร้อมชี้มือไปทางกระจกสัมฤทธิ์ดังกล่าว ฮ่องเต้หนุ่มถึงกับพระขนงขมวดเข้าหากันโดยพลัน เมื่อได้ยินถ้อยคำแปลกประหลาดหลุดออกขากปากสตรีแปลกหน้า พลางหันกลับไปทอดพระเนตรกระจกสัมฤทธิ์ที่วางอยู่ใกล้ๆ เตียงนอนของหญิงสาว ก่อนจะส่งสัญญาณให้องครักษ์จัดการกับเฉินวาวาเพื่อให้นางกลับมาสนทนากับพระองค์ตามเดิม องครักษ์ลู่เหอตรงปรี่เข้าไปดึงผ้าห่มที่หญิงสาวกำลังคลุมโปงอยู่ในเวลานั้นออกจากร่างของเธอทันที “พรึ่บ!” ผ้าห่มถูกดึงออกอย่างรวดเร็วก่อนจะถูกเหวี่ยงไปทิศทางอื่นๆ องครักษ์ลู่เหอหันหลังกลับไปคว้ากระจกสัมฤทธิ์พร้อมยัดใส่มือของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว “แม่นาง เจ้าจงดูรูปโฉมของเจ้าก่อนดีกว่าไหม มาร้องโวยวายเห็นผีกลางวันแสกๆ เช่นนี้จนดังเอ็ดอึงไปทั่ว องค์หญิงชิวหรงทรงประชวรอยู่ เกิดตกพระทัยขึ้นมามีพระอาการทรุดลงเจ้าจะรับผิดชอบไหวกระนั้นรึ” เฉินวาวาที่กำลังนั่งหลับตาปี๋อยู่ในขณะนั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก้มลงมองกระจกสัมฤทธิ์ที่ถูกจับยัดใส่ไว้ในมือเมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนจะค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ เพื่อส่องใบหน้าของตัวเอง ครั้นกระจกสัมฤทธิ์อยู่ตรงหน้ากำลังสะท้อนรูปโฉมของเธอให้เห็นอย่างชัดเจน ดวงตากลมโตถึงกับเบิกค้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อใบหน้าซีกขวาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงเข้มแผ่ขยายเต็มไปหมด ไล่มาจนถึงลำคอ แม้กระทั่งมือเรียวที่กำลังถือกระจกอยู่ก็ไม่เว้น “กรี๊ดดดดดดด!!!” หญิงสาวกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงต่อหน้าพระพักตร์ของชิงอวิ้นฮ่องเต้ “หน้าฉัน! ทำไมถึงเป็นแบบนี้! ที่คอก็มีด้วย... ที่แขนก็มี... มีเต็มไปหมดเล้ยยยย... อร้ายยยยย” หญิงสาวกรีดร้องออกมาอีกเป็นคำรบสอง เสื้อผ้าที่ถูกนำมาเปลี่ยนแทนชุดเจ้าสาวถูกเฉินวาวาปลดออกอย่างรวดเร็วเพื่อดูรอยไฟอัคคีซึ่งลามเลียไปทั่วร่าง ท่ามกลางอาการตกตะลึงของฮ่องเต้หนุ่มที่จู่ๆ ก็มีสตรีมาปลดอาภรณ์ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ เล่นเอาพระองค์พร้อมองครักษ์คนสนิทหันหลังกลับแทบไม่ทัน “แม่นางเจ้าจะปลดเสื้อผ้าต่อหน้าบุรุษเช่นนี้มิอายบ้างหรือไร” รับสั่งถามกลับไป “ไม่อาย!” เฉินวาวาตวาดสวนกลับไป “ช่างเป็นหญิงไร้ยางอายสิ้นดี! ฝ่าบาททรงแน่พระทัยอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะให้นางทำงานใหญ่แทนองค์หญิง กระหม่อมคิดว่าแลดูไม่เข้าท่าแม้แต่น้อย นางไม่มีอะไรดีสักอย่าง ทั้งรูปโฉมก็มิได้งดงามดั่งปีศาจก็ว่าได้ กิริยาอาการ คำพูดคำจาผิดแปลกไปจากอิสตรีที่ดีทั่วไป ขืนส่งนางไปมีหวังเสียชื่อแคว้นจนหมดสิ้น” ลู่เหอเอ่ยแสดงความคิดเห็น ทว่าตรงกันข้ามกับองค์ฮ่องเต้พระองค์ทรงคิดว่ายิ่งสตรีแปลกหน้าเป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นผลดีมากขึ้นไปอีก “นางเป็นเช่นนี้ยิ่งดีลู่เหอ ข้าต้องการสตรีที่ไร้ความยำเกรงและไม่ขลาดกลัว เจ้ามิสังเกตหรือไรนางกล้าต่อว่าข้า แถมกล้าจ้องหน้าข้าอีก ไม่ยอมหลบสายตาและทำอะไรในสิ่งที่สตรีมิเคยทำ เหมาะยิ่งนักที่จะเข้าไปอยู่ในวังหลวงของเทียนโจวเพื่อทำงานใหญ่ให้แก่เรา” “ตะ... แต่ว่า... ฝ่าบาท” ลู่เหอพยายามกราบทูลคัดค้าน ทว่ายังมิทันที่จะเอ่ยกราบทูลกลับไปร่างระหงของเฉินวาวาวิ่งตรงดิ่งก่อนจะผลักพระวรกายสูงโปร่งของบุรุษที่ยืนขวางอยู่หน้ากระโจมให้พ้นทางเดินของเธอออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนก้องออกมาจนสุดเสียงเมื่อเธอมาหยุดยืนอยู่ด้านนอกกระโจม “ชิงเหยียน! อู๋ชิงเหยียน! อู๋…”บริเวณนอกกระโจม“ชิงเหยียน! อู๋ชิงเหยียน! อู๋…” หญิงสาวตะโกนได้เพียงแค่นั้นดวงตากลมโตกวาดสายตามองขบวนเจ้าสาวที่เต็มไปด้วยนางกำนัลมากมายพร้อมขันทีและกองทหารตามขบวนเสด็จไม่ต่ำกว่าสองร้อยนาย คอยถวายอารักขาไปตลอดการเดินทาง ม้านับร้อยตัวยืนอยู่อีกมุมหนึ่งรถม้าในสมัยโบราณมีมากมายหลายสิบคัน อุดมไปด้วยของมีค่ามากมายสิ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ขององค์หญิงชิวหรงครั้นมองไปทิศทางใดก็มีแต่เทือกเขาสูงและป่าดงดิบทุกคนล้วนสวมชุดในสมัยโบราณที่แลดูแปลกตา ไม่เหมือนที่เธอเห็นในกองถ่ายซีรีส์ย้อนยุคแม้แต่น้อย แม้จะแลดูมีสีสันไม่แตกต่างกันแต่กลับมีความงามแปลกประหลาดในตัวเองในขณะที่ทุกสายตาหันกลับมามองเธอด้วยความตกใจสุดขีดที่เห็นใบหน้าดุจปีศาจของสตรีแปลกหน้า ก่อนจะรีบก้มหน้าลงมองพื้นทันทีเมื่อเห็นทางด้านหลังปรากฏองค์ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากนอกกระโจม ยืนอยู่ด้านหลังของสตรีผู้มีใบหน้าดุจปีศาจ“ในเมื่อข้าถามเจ้าหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากเจ้าแต่อย่างใด ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าด้วยตัวเองว่าที่นี่คือชายแดนแคว้นฉู่ พ้นเนินเ
ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะทอดสายตาจับจ้องชิงอวิ้นฮ่องเต้อย่างละเอียดรวมไปถึงองครักษ์ลู่เหอซึ่งยืนถือดาบยาวยืนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่แตกต่างจากจินตนาการของคนยุคใหม่อย่างสิ้นเชิง เรียบง่ายแต่สวยงามแปลกประหลาดเพราะทอด้วยมือ แม้กระทั่งงานปักลวดลายทุกอย่างล้วนเป็นงานฝีมือทั้งสิ้น“นี่อย่าบอกนะว่าฉันหลงมาอยู่ในยุคโบราณในสมัยที่ยังมีเจ้าผู้ครองแคว้น ไม่นะ!”หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ภายในใจก่อนจะกะพริบตาสื่อสารขึ้นลงติดๆ กันเป็นสัญญาณว่าเธอต้องการที่จะพูดบ้าง ตามบทละครที่เธออ่านมาว่าคนโบราณที่ถูกสกัดจุดจะต้องสื่อสารอย่างไรบ้างและอาการของเธอองค์ฮ่องเต้ก็ทรงล่วงรู้โดยพลัน“ลู่เห่อคลายจุดให้นาง ดูท่าจะอยากกล่าวถ้อยคำบางอย่างกับข้า”“พ่ะย่ะค่ะ!” ลู่เหอรับขานรับทันที พร้อมยื่นสองนิ้วกดคลายจุดให้หญิงสาวเอ่ยถ้อยคำออกมาได้“ตึก!” สองนิ้วกดคลายจุดให้กับหญิงสาวทันทีและนั่นทำให้เธอเป็นอิสระที่จะพูดเจรจาต่อรองได้ขึ้นมาทันใด“เฮ้อ!!!” หญิงสาวรู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาทันที ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอเพื่อ
ทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าว ปานรูปหยดน้ำที่มองเห็นเพียงเลือนรางเนื่องจากถูกรอยไฟอัคคีบดบังสว่างวาบขึ้นมาทันที พร้อมภาพของบุรุษสูงใหญ่ทะมึน สวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาสีเลือดฉายแวววับปรากฏให้เธอเห็นขึ้นมาโดยพลันภาพนิมิตปรากฏให้เธอเห็นร่างงามในชุดเจ้าสาวสีขาวในยุคโบราณกำลังนั่งอยู่บนเตียงมีพัดทำจากขนห่านฟ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าสาวเอาไว้ บุรุษเกศาสีเงินยวงในชุดเจ้าบ่าวสีขาวเปิดประตูเข้ามาในห้องหอ ร่างสูงใหญ่ทะมึนเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมค่อยๆ เอื้อมหยิบพัดที่ปิดใบหน้าเจ้าสาวออกจากมือนาง เผยให้เห็นใบหน้าของเฉินวาวาเธอคือเจ้าสาวงดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดปรากฏอยู่ในห้องหอและในนิมิตดังกล่าว“เฮือกกก!!!” ร่างระหงลุกพรวดพราดขึ้นจากตั่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ เกิดเห็นภาพเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้นอนหลับหรือฝันแต่อย่างใด“ทะ... ทำไม... ฉันถึงเห็นตัวเองเป็นเจ้าสาวของเขา... ขะ... เขาจะตามหลอกหลอนฉันกันไปถึงไหน” เธอยืนบ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่คนเดียวในกระโจม“อ้าวอีตาฮ่องเต้เจ้าแผนการกับองครักษ
ชายแดนเมืองจิงโจจวนแม่ทัพภายในห้องบรรทมชินอ๋องพระวรกายสูงใหญ่ของจอมมารชินซางทรงบรรทมสนิทในเวลาแห่งรัตติกาล ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาจอมมารหนุ่มหรือชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ดำรงพระชนม์ชีพดั่งเช่นมนุษย์ธรรมดาเดินดินทั่วไป มีความรู้สึกร้อน หนาวและเจ็บป่วย รวมไปถึงได้รับบาดแผลจากการทำสงครามไม่แตกต่างจากผู้อื่นแม้แต่น้อย ในเวลานี้ไอจอมมารและพลังปีศาจที่ทรงมีอยู่คู่พระวรกายได้เลือนหายไปจนหมดสิ้นนับตั้งแต่ปานไฟอัคคีย้ายไปสถิตอยู่กับคู่ชะตาของพระองค์จอมมารจึงคงเหลือเพียงวรยุทธ์จากดินแดนปีศาจที่ทรงฝึกฝนมานับหลายแสนปีเท่านั้น เมื่อไอมารเลือนหายความเป็นมนุษย์เข้ามาแทนที่พระองค์จึงเริ่มได้รับบาดเจ็บจากการทำสงคราม บาดแผลปรากฏอยู่บนพระวรกายหลายแห่ง แต่โชคยังดีที่ภายในพระวรกายทรงมีเลือดปีศาจจึงทำให้บาดแผลสมานเข้าหากันได้ในเร็ววัน แต่สิ่งหนึ่งที่หามีผู้ใดล่วงรู้นั่นก็คือทรงไม่มีวันตายเพราะเป็นอมตะทว่าความเป็นอมตะของพระองค์ล้วนอยู่ในปานรูปไฟอัคคีทั้งสิ้น ปานดังกล่าวคือสัญลักษณ์ของจอมมาร พลังเว
แคว้นเทียนโจวเมืองเทียนจิ้น (เมืองหลวงตะวันตก)บริเวณนอกเมืองหลวงแคว้นเทียนโจว มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นแคว้นเดียวที่มีเมืองหลวงด้วยกันถึงสองเมือง มีเมืองหลวงตะวันออกอยู่ที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้น พระราชวังหลวงอันเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนอยู่ที่นี่ในขณะเดียวกันทางตะวันตกซึ่งมีทั้งสายแร่ทองคำและเหมืองหยก มีเมืองเทียนจิ้นเป็นเมืองหลวงตะวันตก ซึ่งเมืองนี้มีความเจริญทางด้านการค้าเป็นแหล่งผลิตทองคำและหยกอีกทั้งเป็นเส้นทางการขนส่งทองคำและหยกไปยังเมืองอื่นๆ และต่างแคว้น ทำให้การค้าของเมืองหลวงตะวันตกและระหว่างแคว้นเจริญรุ่งเรืองคับคั่งยิ่งนักเมืองหลวงตะวันตกนี้โจวเฉินกงฮ่องเต้ได้มีพระบรมราชโองการยกให้ชินอ๋องปกครองเมืองการค้าซึ่งเป็นหัวใจสำคัญหลักของแคว้นเทียนโจว ในขณะที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอก จะเป็นพื้นที่ราบและมีพื้นที่กว้างอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลทางการเกษตรกว้างใหญ่เป็นอู่ข้าวอู้น้ำของแคว้น เป็นของโจวฟางหยางฮ่องเต้ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการลับอีกฉบับสถาป
ในขณะเดียวกันขบวนเสด็จถูกหยุดกลางคันเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของชินอ๋องทรงมีพระบัญชาออกมาเช่นนั้น ภายในรถม้าหน้ากากทองคำที่ทรงเตรียมไว้ถูกนำมาสวมครอบพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารชินซาง ครอบพระพักตร์ตั้งแต่ส่วนบนของหน้าผากทั้งหมดยาวครอบคลุมพระพักตร์ซีกซ้ายจรดปลายคางเผยให้เห็นส่วนพระพักตร์หล่อเหลาทางซีกขวาเท่านั้น ซึ่งลักษณะของหน้ากากดังกล่าวช่างออกแบบเหมือนกับของเฉินวาวาที่กำลังสวมอยู่ในขณะนี้เช่นกัน แตกต่างตรงที่ลวดลายบนหน้ากากเท่านั้นซึ่งหน้ากากของพระองค์สลักลายเป็นเปลวไฟอัคคีพระวรกายสูงใหญ่ในฉลองพระองค์ชุดเกราะของจอมทัพสีดำทะมึน ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่กลางเมืองท่ามกลางประชาชนทั้งสองฝั่งฟากถนน ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้เห็นชินอ๋องหรือเทพเจ้าสงครามตัวเป็นๆ ที่ต่างให้ความเคารพและเทิดทูน และไม่ต้องมีใครบอก ประชาชนรวมไปถึงผู้คนจากต่างแคว้นพากันทรุดกายลงนั่งกับพื้นถวายความเคารพผู้ปกครองของตนทันที“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงประชาชนต่างเอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าพากันชื่นชมพระสิริโฉมของชินอ
ภายในห้องพัก“พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่าท่านลู่เหอ องค์หญิงทรงหายไปเช่นนี้มิรู้จะออกไปตามหาได้ที่ไหน” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิงของตน“ข้าก็กำลังคิดอยู่นี่ไง ขอเวลาหน่อยได้ไหม ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง มันก็ยากที่จะค้นหาพระนางพบ อีกทั้งชินอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ตามหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาวซึ่งตรงกับลักษณะขององค์หญิงทุกประการยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากหลายเท่า”ลู่เหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เหตุใดชินอ๋องจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้นเล่าท่านลู่เหอ ข้าไม่เข้าใจ!” มู่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัย“เจ้าอย่าล่วงรู้อะไรให้มันมากไปหน่อยเลยมู่อิง เอาเป็นว่าในยามนี้องค์หญิงทรงไม่ปลอดภัยเพราะมิรู้ว่าชินอ๋องทรงได้ข่าวระแคะระคายมาหรือเปล่าจึงทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ตราบใดที่ยังหาองค์หญิงไม่พบก็ยังกลับเข้าขบวนเจ้าสาวไม่ได้เช่นกัน และพรุ่งนี้ไม่เกินช่วงบ่ายจะต้องมีรายงานจากทหารอารักขานอกเมืองว่าขบวนเสด็จเจ้าสาวจะใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้น” ลู่เหอกล่าวพร้อมถอนหายใจอ
ในขณะเดียวกัน“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที“โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันทีร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท“ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที“หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนกครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที“เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก”หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยคว
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ