แคว้นเทียนโจว
เมืองเทียนจิ้น (เมืองหลวงตะวันตก)บริเวณนอกเมืองหลวง แคว้นเทียนโจว มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นแคว้นเดียวที่มีเมืองหลวงด้วยกันถึงสองเมือง มีเมืองหลวงตะวันออกอยู่ที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้น พระราชวังหลวงอันเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนอยู่ที่นี่ ในขณะเดียวกันทางตะวันตกซึ่งมีทั้งสายแร่ทองคำและเหมืองหยก มีเมืองเทียนจิ้นเป็นเมืองหลวงตะวันตก ซึ่งเมืองนี้มีความเจริญทางด้านการค้าเป็นแหล่งผลิตทองคำและหยกอีกทั้งเป็นเส้นทางการขนส่งทองคำและหยกไปยังเมืองอื่นๆ และต่างแคว้น ทำให้การค้าของเมืองหลวงตะวันตกและระหว่างแคว้นเจริญรุ่งเรืองคับคั่งยิ่งนัก เมืองหลวงตะวันตกนี้โจวเฉินกงฮ่องเต้ได้มีพระบรมราชโองการยกให้ชินอ๋องปกครองเมืองการค้าซึ่งเป็นหัวใจสำคัญหลักของแคว้นเทียนโจว ในขณะที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอก จะเป็นพื้นที่ราบและมีพื้นที่กว้างอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลทางการเกษตรกว้างใหญ่เป็นอู่ข้าวอู้น้ำของแคว้น เป็นของโจวฟางหยางฮ่องเต้ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการลับอีกฉบับสถาปนาชินอ๋องขึ้นปกครองแคว้นทั้งหมด ภายหลังอดีตฮ่องเต้โจวเฉินกงเสด็จสวรรคตไปแล้ว ซึ่งเมืองเทียนจิ้นได้รับการดูแลเอาใจใส่จากจอมมารมิได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด แม้ว่าจะประทับอยู่แต่เขตชายแดนก็ตาม แต่พระองค์สามารถจัดการบริหารได้เป็นอย่างดีโดยใช้ระเบียบทหารในกองทัพเข้ามาจัดการและประชาชนเมืองเทียนจิ้นพร้อมใจที่จะปฏิบัติตามพระบัญชาของชินอ๋อง ซึ่งมีอำนาจปกครองเมืองหลวงตะวันตกแห่งนี้ จนทำให้ประชาชนตลอดจนถึงแคว้นเพื่อนบ้านมีความรู้สึกว่าแคว้นเทียนโจวมีฮ่องเต้ปกครองสองพระองค์ ขบวนเสด็จเจ้าสาวจากแคว้นฉู่ ตั้งค่ายประทับอยู่นอกชานเมืองเทียนจิ้นในเวลานี้ เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เฉินวาวาดำรงชีวิตอยู่ในยุคโบราณ ตลอดระยะเวลาการเดินทางที่ผ่านมาและการบอกเล่าของนางกำนัลมู่อิง ทำให้หญิงสาวล่วงรู้แล้วว่า บัดนี้เธอพลัดหลงมาอยู่ในยุคโบราณซึ่งเป็นยุคสมัยที่ยังมีกษัตริย์ปกครองของแต่ละแคว้น และมีการทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์มาเป็นของตนเองกันอย่างดุเดือด และแคว้นเทียนโจวที่เธอต้องเดินทางมาเข้าพิธีแต่งงานแทนองค์หญิงเยว่ชิวหรง เป็นแคว้นศัตรูคู่อาฆาตของต้าฉู่และผลจากการพ่ายแพ้สงครามอย่างย่อยยับจึงเป็นที่มาของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างแคว้นตามสนธิสัญญาสงบศึก ทว่าเยว่ชิงอวิ้นฮ่องเต้ กลับแฝงเร้นแผนการร้ายในการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งเฉินวาวารู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งยวดเมื่อเธอสามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ด้วยตัวเองที่จะต้องเป็นเครื่องมือทำเรื่องชั่วร้ายดังกล่าว แต่เพื่อความอยู่รอดของตัวเองเธอจะต้องทำทุกอย่างให้หลุดพ้นจากแผนการอันร้ายกาจของฮ่องเต้ผู้นี้ให้จงได้ทันทีที่โอกาสนั้นมาถึง และในเวลานี้กำลังย่างเข้าสู่เวลาเย็นย่ำแล้ว จึงจำเป็นต้องแวะพักระหว่างทาง ซึ่งแผนผังเส้นทางขบวนเสด็จกำลังถูกกางออกอยู่ตรงหน้าเฉินวาวาอยู่ในขณะนี้ “นี่พวกเจ้ากำลังจะบอกว่าถ้าใช้เส้นทางอ้อมเมืองเทียนจิ้น จะทำให้เดินทางถึงเมืองหลวงเทียนฮุยในอีกสิบห้าวันข้างหน้า แต่ถ้าเดินทางเข้าเมืองหลวงเทียนจิ้นกลับถึงเมืองหลวงเอกใช้เวลาเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น โอ้โฮ! ทำไมระยะทางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้เล่า แค่นี้ก็ไม่ต้องเลือกแล้ว ใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้นนี่แหละ” หญิงสาวบอกองครักษ์ลู่เหอ ซึ่งทำหน้าที่คอยถวายอารักขามาตลอดการเดินทางกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา “พ่ะย่ะค่ะ! ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะรีบไปจัดแผนอารักขาเตรียมการเดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ ที่จะต้องเข้าเมืองเทียนจิ้นก่อน วันนี้ทรงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวันแล้ว องค์หญิงทรงรีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลู่เหอกราบทูลกลับไป “อั้ยยะ! เหตุใดเจ้าต้องรีบนักเล่า นี่! ไหนๆ ก็ตั้งค่ายไม่ไกลจากเมืองเทียนจิ้นมากนัก ข้าอยากจะไปเที่ยวชมเมืองหลวงตะวันตกของเทียนโจว ได้ยินมาว่าเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมาก เพราะมีสายแร่ทองคำและเหมืองหยก จึงทำให้อดีตฮ่องเต้ต้าฉู่อยากครอบครองแคว้นนี้ใช่ไหม” เฉินวาวาเอ่ยถามองครักษ์ลู่เหอและนางกำนัลมู่อิงที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสองต่างพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกัน แต่ยังมิทันจะกราบทูลกลับไปเสียงของเฉินวาวาก็แทรกขึ้นมาทันที “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าพาข้าไปเปิดหูเปิดตาหน่อยสิลู่เหอ... มู่อิง อยู่แต่ในรถม้าตลอดเวลา พอเย็นมาก็อยู่แต่ในกระโจม รู้ไหมว่าข้าจะง่อยตายอยู่แล้ว แถมสมองก็พาลจะฝ่อลงทุกวัน เพราะเห็นแต่เทือกเขาและป่าดงดิบ กินแต่เนื้อกระต่าย เนื้อกวางมาตลอดหนึ่งเดือนเต็มๆ ให้ข้าได้ลิ้มลองอาหารอย่างอื่นบางเถอะ” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดท่ามกลางสายตาขององครักษ์ลู่เหอและนางกำนัลมู่อิง ที่ยืนฟังองค์หญิงของตนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเนื่องจากมีคำแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ได้ยินอยู่เสมอ “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะองค์หญิงจะเป็นอันตรายต่อพระนางยิ่งนัก หากมีผู้ใดล่วงรู้ฐานันดรอันแท้จริงของพระนางความปลอดภัยย่อมหามีไม่เป็นแม่นมั่น อดทนอีกสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นขบวนเสด็จก็จะถึงเมืองเทียนฮุยแล้ว” ลู่เหอกราบทูลคัดค้านหัวชนฝา ในขณะที่เฉินวาวามีหรือจะยอม คนอย่างเธอถ้าอยากจะไปแล้วละก็ใครหน้าไหนก็ห้ามไม่ได้ “แล้วเจ้าจะทำให้ผู้อื่นล่วงรู้ฐานะของข้าทำไมเล่า! พวกเราก็ปลอมตัวเป็นสามัญชนไม่ต้องเอาคนไปมากมาย ทำเหมือนพวกคุณหนูออกจากจวนมาเดินซื้อของอะไรแบบเนี้ย! เถอะนะลู่เหอ พาข้าไปหน่อยเถิด เดี๋ยวพอแต่งงานก็ไม่มีโอกาสออกไปไหนต้องหมกตัวอยู่แต่ในวังหลวง เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันน่าเบื่อแค่ไหน ข้าเป็นองค์หญิงจากแคว้นเยว่มาก่อนย่อมรู้ดี” หญิงสาวจำบทละครที่เธอสวมบทบาทยกขึ้นมาอ้างทันที “เออ... ตะ... แต่ว่า” ลู่เหอยืนชั่งใจพลางใช้ความคิด ก่อนจะได้ยินเสียงเฉินวาวาดังแทรกขึ้น “เถอะนะ! อย่าใจร้ายกับข้านักเลยลู่เหอ ข้าสัญญาว่าจะไม่วุ่นวายทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจ เพราะมีแต่เจ้ากับมู่อิงที่คอยดูแลข้าอยู่ตลอดเวลาและข้าก็รู้ดีว่าพวกเจ้าเป็นห่วงในความปลอดภัยของข้า ดังนั้นข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนหรอก พาข้าไปหน่อย นะนะนะนะนะ” หญิงสาวพยายามหว่านล้อมและตื๊อให้ถึงที่สุดพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร ครั้นลู่เหอเห็นสายตาน่าสงสารขององค์หญิงที่แสดงออกมาเช่นนั้น องครักษ์หนุ่มใจอ่อนลงโดยพลัน ผู้ใดจะทานทนสายตาเว้าวอนเช่นนี้ได้ “เฮ้อ!” ลู่เหอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ครั้งเดียวเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ!” ลู่เหอกราบทูลพร้อมชูมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว เฉินวาวาพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันด้วยความดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “สัญญา! สัญญาเลย!” หญิงสาวรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะไปจัดเตรียมองครักษ์ติดตามเสด็จ และองค์หญิงจะต้องปลอมตัวเป็นบุรุษจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยของพระนาง กระหม่อมจะไปจัดเตรียมฉลองพระองค์ของบุรุษมาให้พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหอกราบทูลกลับไปพร้อมหันหลังกลับเดินออกจากกระโจมพร้อมส่ายศีรษะไปมาติดๆ กัน “สุดท้ายข้าก็ต้องใจอ่อนอีกจนได้ องค์หญิงชอบใช้ไม้ตายกับข้าแบบนี้เรื่อยเลย” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพัน ท่ามกลางสายตาของหญิงสาวเมื่อลูกตื๊อของเธอประสบความสำเร็จ ก่อนจะหันกลับไปมองนางกำนัลคนสนิท “มู่อิง! เรามาแต่งตัวกันเถอะ!” หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้นางกำนัลของเธอ “เพคะองค์หญิง” มู่อิงยิ้มกว้างตอบรับออกไปทันทีพลางส่ายหน้าไปมาเมื่อองค์หญิงของนางเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงและขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาภายในเมืองเทียนจิ้น
ผู้คนมากมายต่างพากันเดินขวักไขว่ไปมาตามท้องถนน เพื่อทำการค้าขายของตน ร้านค้ามากมายมีตั้งแต่หัวถนนยาวไปไกลจนสุดทางจนถึงประตูเมืองที่จะเปิดออกไปสู่เมืองเทียนฮุย ซึ่งเป็นเมืองหลวงตะวันออก คับคั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายพากันแลกเปลี่ยนทำการค้าและจับจ่ายซื้อของ อีกทั้งในวันนี้เป็นเทศกาลลอยโคมประทีปซึ่งเมืองเทียนจิ้นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี จึงทำให้วันนี้เต็มไปด้วยผู้คนจากต่างแคว้นที่เดินทางมาเที่ยวชมเทศกาลดังกล่าว ร่างระหงของเฉินวาวาในชุดบุรุษสีขาวสะอาด คลุมหมวกสานซึ่งมีผ้าคลุมสีขาวรอบด้านมีความยาวปกคลุมไปจนถึงเอวป้องกันลมพัดเห็นใบหน้าที่สวมหน้ากากทองคำเอาไว้ในขณะนี้ โดยมีนางกำนัลมู่อิงในชุดหญิงสามัญชนและองครักษ์ลู่เหอพร้อมองครักษ์ผู้ติดตามอีกหกนายในชุดบุรุษสามัญชน ปรากฏตัวอยู่บนถนนสายหลักของเมืองเทียนจิ้นที่กำลังมีงานเทศกาลลอยโคมประทีบอยู่ในขณะนี้ “โอ้โฮ! นี่นะเหรอชีวิตของคนในยุคโบราณ ทำไมมันดูคลาสสิกและมีมนต์ขลังขนาดนี้นักล่ะ ว้าว... ถึงตายก็ไม่เสียชาติเกิดแล้วเฉินวาวา เกิดมาได้ใช้ชีวิตทั้งในยุคโบราณและในอนาคตพร้อมๆ กันเลย ไปกันเถอะมู่อิง! ไปชอปปิงกัน!” กล่าวพร้อมคว้ามือนางกำนัลคนสนิทลากแขนรีบวิ่งตรงไปยังร้านค้าตรงหน้ามากมายด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งยวด “อะ... องค์...” ลู่เหอเกือบหลุดคำพูดที่ใช้เป็นประจำออกไปก่อนจะรีบเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว “คุณชาย! รอด้วย!” ลู่เหอพร้อมองครักษ์ผู้ติดตามรีบวิ่งตามหลังกันจ้าละหวั่น ก่อนจะได้ยินเสียงของชาวเมืองต่างพากันส่งเสียงเอ็ดอึงไปทั่ว “เทพสงครามเสด็จกลับมาแล้ว!” “ชินอ๋องเสด็จกลับจากชายแดนแล้วพวกเรา!” “เทพเจ้าของแคว้นเทียนโจวกลับมาแล้ว!” เสียงเอ็ดอึงของชาวเมืองเทียนจิ้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนจะพากันเดินหลบเข้าสองฝั่งถนนเพื่อหลีกทางให้ขบวนเสด็จของชินอ๋องซึ่งเสด็จกลับจากชายแดนเข้าเมืองหลวงตะวันตกของพระองค์ ท่ามกลางสายตาของเฉินวาวาและผู้ติดตามที่ยืนหลบอยู่ข้างทางเช่นกัน “ใครมาอย่างนั้นเหรอ... ทำไมชาวเมืองที่นี่ถึงพากันดีใจนักหนา โดยเฉพาะพวกสาวๆ แต่ละคนทำหน้าตาเคลิ้มฝันไปตามๆ กันเลย” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เธอ “นี่เจ้าคงเป็นคนต่างแคว้นล่ะสิ ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย ชินอ๋องหรือเทพสงครามของแคว้นเทียนโจวเสด็จกลับจากชายแดนแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะเสด็จกลับมานึกว่าจะทรงประทับอยู่ที่ชายแดนตลอดโดยไม่หวนคืนกลับมาอีก นี่คงจะต้องมีอะไรสำคัญยิ่งกับพระองค์จึงเสด็จจากชายแดนเพื่อเข้าเมืองหลวงเช่นนี้” ชายคนดังกล่าวอธิบายอย่างชื่นชม พลางชะเง้อมองขบวนเสด็จที่กำลังเดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามา ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของบรรดาสตรีสาวทั้งหลายที่ได้ยินข่าวว่าเป็นขบวนเสด็จของชินอ๋อง “โอ้โฮ! พอปพิวลาร์ขนาดนี้เลยเหรอ สาวๆ กรี๊ดลั่นทั้งเมืองเลย จะหล่อแค่ไหนกันเชียวหว่า” หญิงสาวบ่นรำพึง “แต่เขาลือกันว่าชินอ๋องพระองค์นี้ ทรงรูปงามมากเลยนะเพ... เอ้ย... รูปงามมากเลยนะคุณชาย” มู่อิงกราบทูลกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงชายวัยกลางคนที่เฉินวาวาสอบถามเมื่อครู่ที่ผ่านมาเอ่ยแทรกขึ้น “รูปงามหรือไม่ถ้าพวกเจ้ามีบุญวาสนาก็จะได้พานพบเองนั่นแหละ น้อยคนนักจะได้เห็นพระสิริโฉมอันแท้จริงของพระองค์แม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยเห็น ได้ยินแต่ทหารในกองทัพที่ติดตามเสด็จไปรบกับพระองค์บอกเล่าต่อๆ กันมาว่าชินอ๋องทรงรูปงามยิ่งนัก งามดั่งเทพสวรรค์ลงมาจุติ พระวรกายสูงใหญ่เกือบเท่าประตูร้านของข้าเลยทีเดียว” ชายคนดังกล่าวเอ่ยพร้อมทำท่าทางประกอบ หญิงสาวยืนมองท่าทางประกอบก่อนจะหันหลังกลับไปมองประตูร้านค้าทางด้านหลังของนางทันที “โอ้โฮ! เกือบสองเมตรเลยเหรอ... ยังมีคนโบราณสูงเทียบเท่าคนในยุคปัจจุบันขนาดนี้เชียว ทำไมเท่าที่เคยรู้มาในยุคโบราณแทบจะไม่ค่อยเห็นผู้ชายที่มีความสูงขนาดนี้เลยนะ หรือถ้ามีก็น้อยมาก หรืออีตาชินอ๋องคนนี้เป็นหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวยืนพึมพำพลางมองขบวนเสด็จที่กำลังเข้ามาใกล้ กองทหารถวายอารักขาไม่ต่ำกว่าร้อยนายนั่งอยู่บนหลังม้านำหน้าขบวน ติดตามด้วยรถม้าและกองทหารอารักขาอีกร้อยนายรั้งท้ายขบวนเสด็จ ซึ่งภายในรถม้าคันดังกล่าวที่กำลังเคลื่อนตัวมาตามท้องถนนผ่านประชาชนทั้งสองฝั่ง จอมมารชินซางหรือชินอ๋องประทับอยู่ภายในนั้น พระวรกายใหญ่ทรงนั่งเข้าญาณตบะ พระเนตรปิดสนิทมาตลอดการเดินทางและขบวนดังกล่าวกำลังผ่านหน้าเฉินวาวาที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนอันล้นหลาม ทันทีที่รถม้าของพระองค์วิ่งมาถึงจุดที่หญิงสาวกำลังยืนอยู่ ปานรูปไฟอัคคีซึ่งอยู่ภายใต้หน้ากากทองคำสว่างวาบขึ้นมาทันทีเมื่อจอมมารซึ่งเป็นเจ้าของไฟอัคคีเข้ามาใกล้รัศมีนำทาง ภาพของบุรุษร่างระหงในชุดสีขาวครอบหมวกคลุมผ้าสีขาวเช่นเดียวกันปรากฏขึ้นภายในญาณจิตของพระองค์ทันที “พรึ่บ!” พระเนตรที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด “นางอยู่ที่นี่!” จอมมารรับสั่งออกมาทันทีพระโอษฐ์คลี่แย้มยิ้มออกมาบางๆ “หยุด!” สุรเสียงรับสั่งดังก้อง ในขณะที่เฉินวาวากำลังยืนมองด้วยความแปลกใจที่จู่ๆ ขบวนเสด็จก็หยุดอยู่ตรงหน้าเธอ แขนเรียวก็ถูกลากออกจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับมู่อิง “เฮ้ย!!! จะไปไหนกัน!” หญิงสาวอุทานออกมาทันที ร่างระหงถูกองครักษ์ลู่เหอพร้อมด้วยทหารอารักขานำออกจากบริเวณดังกล่าวเร้นกายออกไปจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงโวยวายของหญิงสาว “เจ้าลากข้าออกมาทำไมลู่เหอ! ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ยืนมองขบวนเสด็จเท่านั้นเองและก็แค่อยากรู้ว่าชินอ๋องอะไรนั่นน่ะมีรูปร่างหน้าตายังไงก็แค่นั้น” เฉินวาวาบ่นพึมพำเป็นการใหญ่เมื่อจู่ๆ ก็ถูกลากออกมาจากบริเวณนั้น “อย่าทรงเสียเวลาอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ ชินอ๋องพระองค์นี้ไม่ปรากฏพระวรกายให้ผู้ใดพบเห็นง่ายๆ บางทีพระนางอาจจะได้พบในงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสที่เมืองเทียนฮุยก็อาจเป็นได้ แต่กระหม่อมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมจึงเสด็จกลับเมืองหลวง เพราะได้ยินมาว่าทรงประทับอยู่แต่ชายแดนเท่านั้นไม่เคยหวนกลับคืนมาเลยนับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคต” ลู่เหอเอ่ยพลางครุ่นคิดตาม ก่อนจะได้ยินองค์หญิงของตนรับสั่งแทรกขึ้น “จะคิดอีกนานไหม! ข้าหิวแล้ว อยากลิ้มรสชาติอาหารของเมืองนี้หน่อยว่าจะเป็นยังไง!” หญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้นกอดอกทันที “ทรงอยากพระกระยาหารแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ จริงสินี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะพาไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ อยู่หัวมุมถนนทางด้านโน้นเลย” ลู่เหอกล่าวพลางผายมือให้องค์หญิงของตนเสด็จนำหน้า “ดูท่าเจ้าจะรู้จักเส้นทางของเมืองนี้เป็นอย่างดีเลยนะ ถึงล่วงรู้ว่าตรงไหนเป็นอย่างไร” เฉินวาวาเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อเธอรู้สึกผิดสังเกต ก่อนจะเดินนำหน้าออกไป ลู่เหอก้มหน้ามองพื้นไม่เอ่ยถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาอีก ก่อนจะส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่เหลือรีบเข้าถวายอารักขาหญิงสาวทันที พร้อมก้มลงกระซิบกับลูกน้องของตน “ข้าจะไปสังเกตการณ์เดี๋ยวตามหลังไป คอยอารักขาองค์หญิงให้ดี” ลู่เหอกล่าวกำชับ “ขอรับ!” องครักษ์ทั้งหกนายขานรับทันใดก่อนจะรีบแยกย้ายเดินตรงเข้าไปประกบซ้ายขวาหน้าหลังถวายอารักขาองค์หญิงของตน “ไม่ต้องพากันล้อมหน้าล้อมหลังข้าแบบนี้ก็ได้ ยิ่งทำแบบนี้คนอื่นผิดสังเกตกันหมดพอดี!” หญิงสาวบ่นพึมพำเมื่อทหารองครักษ์พากันถวายอารักขากันอย่างเอิกเกริก “อยากจะล่องหนหายตัวไปได้จริงๆ เชียว จะได้ไปไหนต่อไหนโดยไม่มีใครคอยตามแบบนี้ อึดอัดเป็นบ้า!” หญิงสาวรำพึงรำพันด้วยความรำคาญ สิ้นเสียงของหญิงสาวปานรูปไฟอัคคีสว่างวาบขึ้นมาทันที พร้อมกับร่างระหงของเธอค่อยๆ เลือนหายไปโดยพลันต่อหน้าต่อตาของนางกำนัลมู่อิงและทหารองครักษ์ทั้งหกนาย ท่ามกลางอาการตกตะลึงของผู้ติดตามในขณะเดียวกันขบวนเสด็จถูกหยุดกลางคันเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของชินอ๋องทรงมีพระบัญชาออกมาเช่นนั้น ภายในรถม้าหน้ากากทองคำที่ทรงเตรียมไว้ถูกนำมาสวมครอบพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารชินซาง ครอบพระพักตร์ตั้งแต่ส่วนบนของหน้าผากทั้งหมดยาวครอบคลุมพระพักตร์ซีกซ้ายจรดปลายคางเผยให้เห็นส่วนพระพักตร์หล่อเหลาทางซีกขวาเท่านั้น ซึ่งลักษณะของหน้ากากดังกล่าวช่างออกแบบเหมือนกับของเฉินวาวาที่กำลังสวมอยู่ในขณะนี้เช่นกัน แตกต่างตรงที่ลวดลายบนหน้ากากเท่านั้นซึ่งหน้ากากของพระองค์สลักลายเป็นเปลวไฟอัคคีพระวรกายสูงใหญ่ในฉลองพระองค์ชุดเกราะของจอมทัพสีดำทะมึน ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่กลางเมืองท่ามกลางประชาชนทั้งสองฝั่งฟากถนน ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้เห็นชินอ๋องหรือเทพเจ้าสงครามตัวเป็นๆ ที่ต่างให้ความเคารพและเทิดทูน และไม่ต้องมีใครบอก ประชาชนรวมไปถึงผู้คนจากต่างแคว้นพากันทรุดกายลงนั่งกับพื้นถวายความเคารพผู้ปกครองของตนทันที“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงประชาชนต่างเอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าพากันชื่นชมพระสิริโฉมของชินอ
ภายในห้องพัก“พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่าท่านลู่เหอ องค์หญิงทรงหายไปเช่นนี้มิรู้จะออกไปตามหาได้ที่ไหน” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิงของตน“ข้าก็กำลังคิดอยู่นี่ไง ขอเวลาหน่อยได้ไหม ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง มันก็ยากที่จะค้นหาพระนางพบ อีกทั้งชินอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ตามหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาวซึ่งตรงกับลักษณะขององค์หญิงทุกประการยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากหลายเท่า”ลู่เหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เหตุใดชินอ๋องจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้นเล่าท่านลู่เหอ ข้าไม่เข้าใจ!” มู่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัย“เจ้าอย่าล่วงรู้อะไรให้มันมากไปหน่อยเลยมู่อิง เอาเป็นว่าในยามนี้องค์หญิงทรงไม่ปลอดภัยเพราะมิรู้ว่าชินอ๋องทรงได้ข่าวระแคะระคายมาหรือเปล่าจึงทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ตราบใดที่ยังหาองค์หญิงไม่พบก็ยังกลับเข้าขบวนเจ้าสาวไม่ได้เช่นกัน และพรุ่งนี้ไม่เกินช่วงบ่ายจะต้องมีรายงานจากทหารอารักขานอกเมืองว่าขบวนเสด็จเจ้าสาวจะใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้น” ลู่เหอกล่าวพร้อมถอนหายใจอ
ในขณะเดียวกัน“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที“โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันทีร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท“ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที“หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนกครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที“เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก”หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยคว
ร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องห
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ