ชายแดนเมืองจิงโจ
จวนแม่ทัพภายในห้องบรรทมชินอ๋อง พระวรกายสูงใหญ่ของจอมมารชินซางทรงบรรทมสนิทในเวลาแห่งรัตติกาล ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาจอมมารหนุ่มหรือชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ดำรงพระชนม์ชีพดั่งเช่นมนุษย์ธรรมดาเดินดินทั่วไป มีความรู้สึกร้อน หนาวและเจ็บป่วย รวมไปถึงได้รับบาดแผลจากการทำสงครามไม่แตกต่างจากผู้อื่นแม้แต่น้อย ในเวลานี้ไอจอมมารและพลังปีศาจที่ทรงมีอยู่คู่พระวรกายได้เลือนหายไปจนหมดสิ้นนับตั้งแต่ปานไฟอัคคีย้ายไปสถิตอยู่กับคู่ชะตาของพระองค์ จอมมารจึงคงเหลือเพียงวรยุทธ์จากดินแดนปีศาจที่ทรงฝึกฝนมานับหลายแสนปีเท่านั้น เมื่อไอมารเลือนหายความเป็นมนุษย์เข้ามาแทนที่พระองค์จึงเริ่มได้รับบาดเจ็บจากการทำสงคราม บาดแผลปรากฏอยู่บนพระวรกายหลายแห่ง แต่โชคยังดีที่ภายในพระวรกายทรงมีเลือดปีศาจจึงทำให้บาดแผลสมานเข้าหากันได้ในเร็ววัน แต่สิ่งหนึ่งที่หามีผู้ใดล่วงรู้นั่นก็คือทรงไม่มีวันตายเพราะเป็นอมตะ ทว่าความเป็นอมตะของพระองค์ล้วนอยู่ในปานรูปไฟอัคคีทั้งสิ้น ปานดังกล่าวคือสัญลักษณ์ของจอมมาร พลังเวทปีศาจและญาณตบะขั้นที่แปดที่ทรงฝึกฝนมาล้วนอยู่ในปานไฟอัคคีทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นตาที่สามของพระองค์สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต อดีตและปัจจุบัน ครั้นย้ายไปสถิตอยู่กับคู่ชะตาทำให้พระองค์มิอาจหยั่งรู้ได้ดั่งเช่นกาลก่อน ตรงกันข้ามกับคู่ชะตาจะสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอนาคต อดีตและปัจจุบันเข้ามาแทนที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั่นก็คือรูปสังขารที่มิโรยรา ไม่ว่าระยะเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด จะเป็นร้อยปีหรือพันปีหรือเป็นหมื่นๆ ปี พระองค์ยังทรงเต็มไปด้วยพระสิริโฉมอันงดงามมิมีเสื่อมคลาย ทรงอ่อนชันษาดั่งเช่นบุรุษหนุ่มในวัยยี่สิบปี เป็นเช่นนี้ตลอดกาล ถึงแม้ว่าจะทรงมีพระชนมายุในโลกมนุษย์เข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้า แต่ถ้าหากเทียบพระชนมายุในดินแดนปีศาจแล้วไซร้ จอมมารมีพระชนมายุถึงสองแสนปี และตลอดห้าปีที่ผ่านมาจอมมารเฝ้าค้นหาติดตามเจ้าสาวในชุดสีขาว ผู้ถูกกำหนดให้เป็นคู่ชีวิตของพระองค์มาโดยตลอด เหตุที่ทรงเลือกประทับอยู่แถบชายแดน นอกจากสามารถป้องกันเทียนโจวให้ปลอดภัยตามสัตย์สัญญาที่ทรงให้ไว้กับเฉินกงฮ่องเต้ จอมมารสามารถใช้โอกาสดังกล่าวออกติดตามค้นหาคู่ชะตาของพระองค์ไปในแต่ละแคว้นยามเมื่อยกกองทัพออกโจมตีแคว้นศัตรูหรือหากมีแคว้นอื่นมารุกราน ครั้นเมื่อรบชนะจอมมารชินซางจะเสด็จเข้าเมืองหลวงและค้นหาคู่ชะตาชนิดพลิกบ้านเรือนของแต่ละแคว้นจนละเอียดถี่ยิบ โดยเฉพาะจวนขุนนางที่บุตรีได้สมรสกับเชื้อพระวงศ์ พระองค์จะส่งทหารไปตรวจตราบ้านนั้นทุกซอกทุกมุมโดยเฉพาะเจ้าสาว จะถูกนำมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์เพื่อพระองค์ได้เพ่งพิศว่าใช่เจ้าสาวในชุดขาวของพระองค์ที่หายไปหรือไม่ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของเทียนโจว แคว้นที่แพ้สงครามจะต้องทำตามเงื่อนไขของเทพสงครามทุกประการโดยไร้สิ้นข้อแม้ใดๆ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงน่าสะพรึงกลัว ดุดัน อีกทั้งโหดร้ายเต็มไปด้วยความเลือดเย็นและเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงในสนามรบ แต่โดยเนื้อแท้แล้วไซร้จอมมารชินซางมีพระทัยอ่อนโยน และจะแสดงออกเฉพาะคนที่ทรงรักเท่านั้น พระองค์มีอุปนิสัย รักแรง เกลียดแรง แค้นลึกถึงรากเหง้า และที่สำคัญทรงหวงแหนทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์อย่างยิ่งยวดและอย่าหวังว่าผู้ใดจะได้ครอบครอง ในขณะเดียวกันแม้ว่าจะทรงมีลักษณะดุดันและน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น ทว่ากลับกลายเป็นที่ชื่นชมของประชาชนไปทุกหัวระแหง โดยเฉพาะทรงเป็นที่ใฝ่ฝันและได้รับความนิยมจากอิสตรีที่ได้มีโอกาสประสบพบพระพักตร์ องค์หญิงจากแคว้นน้อยใหญ่เดินทางไกลมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นเทียนโจวก็หวังที่จะได้ถูกยกให้เป็นพระชายาของชินอ๋องนั่นเอง ด้วยเพราะสาเหตุนี้จึงทรงประทับอยู่แต่ชายแดนมิยอมเหยียบเข้าเมืองหลวงแต่อย่างใด เพื่อตัดปัญหาในเรื่องสมรสพระราชทานที่จะต้องมีขึ้นรวมไปถึงต้องรับพระชายาเพิ่ม ซึ่งเป็นผลมาจากการทำสงครามของพระองค์ ด้วยภายในราชสำนักตอนนี้เต็มไปด้วยพระสนมที่พ่ายแพ้สงคราม และเดินทางมาอภิเษกสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีสงบศึกระหว่างแคว้นกันอย่างคับคั่ง ทำให้วังหลังเต็มไปด้วยพระสนมมากมาย ด้วยเหตุนี้ทำให้บรรดาองค์ชายต่างๆ ซึ่งประสูติจากโจวฟางหยางฮ่องเต้ ที่ถึงเกณฑ์อายุแต่งงานแล้วต่างได้รับพระราชทานอภิเษกสมรสกับบรรดาองค์หญิงต่างๆ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงจนเนืองแน่นไปหมด ซึ่งโจวฟางหยางฮ่องเต้ก็ทรงต้องการให้เป็นเช่นนั้น พระองค์มิประสงค์ให้พระอนุชาต่างพระมารดาเสด็จหวนคืนเมืองหลวงแต่อย่างใด ด้วยเพราะทรงริษยาและชิงชังพระอนุชาต่างพระมารดาอย่างยิ่งยวด ยิ่งพสกนิกรและทหารในกองทัพชื่นชมรักเทิดทูนชินอ๋องจนถึงขนาดพากันกราบไหว้บูชาภาพเหมือนของชินอ๋องดุจดั่งเทพเจ้า แทนที่จะรักและเทิดทูนพระองค์ซึ่งเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้น ยิ่งเพิ่มความชิงชังที่มีต่อพระอนุชามากล้นทวีคูณ ด้วยทรงกลัวว่าหากชินอ๋องเสด็จหวนกลับคืนเมืองหลวง พระองค์จะมิหลงเหลืออำนาจใดๆ ที่อยู่ในพระหัตถ์อีกต่อไป ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีและความเงียบงันที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ พระพักตร์หล่อเหลาในยามบรรทมไม่หลงเหลือความเย็นชาปรากฏอยู่แต่อย่างใด เกศาสีเงินยวงปล่อยยาวสยายค่อยๆ ปรกลงบนพระพักตร์เมื่อพระองค์เข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความฝัน ในฝันนั้นคืองานพิธีอภิเษกสมรสของโจวฟางหยางฮ่องเต้และองค์หญิงจากต่างแคว้น ภายในพระราชวังหลวงบริเวณตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสนมองค์ใหม่กำลังจะเข้าพิธีอภิเษก ได้ถูกประดับด้วยผ้าแดงมงคลทั้งด้านนอกและด้านใน เจ้าสาวในชุดขาว สวมมงกุฎหงส์กำลังก้าวออกจากพระตำหนักเพื่อเดินทางไปเข้าพิธีโดยมีพัดสีขาวที่ทำมาจากขนห่านฟ้าปิดบังใบหน้า “หยุดก่อน!” สุรเสียงดังก้องสั่งห้ามเจ้าสาวให้หยุดพระดำเนินตรงหน้าพระตำหนักในขณะที่กำลังจะขึ้นเกี้ยวจอมมารทรงยืนสูงทะมึนอยู่ตรงหน้าเกี้ยวพระที่นั่ง พระเนตรสีนิลกาฬทรงทอดพระเนตรเจ้าสาวในชุดสีขาวเขม็งเพื่อสำรวจนางก่อนเข้าพิธี ใบหน้าที่ถูกพัดปิดบังอยู่ในขณะนั้นเห็นเพียงแค่ดวงตากลมโต ค่อยๆ หันกลับมามองพระองค์ด้วยความสงสัย
“เทพสงครามอุตสาห์เสด็จมาถึงตำหนักบูรพามีพระประสงค์สิ่งใดหรือเพคะ” องค์หญิงต่างแคว้นรับสั่งถามกลับไป จอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเจ้าสาวในชุดขาวเขม็งตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชุดเจ้าสาวช่างคุ้นตาเสียนี่กระไร ก่อนจะทอดพระเนตรมงกุฎหงส์พลางพระดำเนินเข้ามาหานางทันทีในระยะใกล้ชิดเพื่อทอดพระเนตรให้แน่พระทัย ครั้นพระเนตรสีนิลกาฬทรงทอดพระเนตรมงกุฎหงส์ที่นางประดับอยู่บนศีรษะก็ทรงจดจำได้ทันทีว่าเป็นแบบเดียวกับคู่ชะตาของพระองค์สวมในวันแรกที่ทรงเบิกเนตรขึ้นมาพบนางในชุดเจ้าสาว ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ พระองค์รีบมีรับสั่งออกไปทันใด “นี่คือการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยก่อนเข้าพิธี องค์หญิงให้ความร่วมมือด้วย” จอมมารรับสั่งออกไป ก่อนจะได้ยินเจ้าสาวตอบกลับมา “เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เหตุไฉนชินอ๋องจึงต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เองเล่า ให้ทหารองครักษ์มาตรวจสอบก็เพียงพอแล้วมิจำเป็นให้พระองค์ต้องมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้แต่อย่างใด” องค์หญิงต่างแคว้นรับสั่งถามกลับไป พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนก้มลงทอดพระเนตรเจ้าสาวตรงหน้าพระพักตร์ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “ก็ข้าพอใจ! มีอะไรไหม!” รับสั่งสุรเสียงห้วนสั้นพร้อมมีรับสั่งตามติดมา “เอาพัดลงข้าจะตรวจสอบใบหน้าของเจ้”รับสั่งบังคับเจ้าสาว และนั่นทำให้จอมมารทอดพระเนตรดวงตากลมโตสีเมล็ดองุ่นจ้องมาที่พระองค์เขม็งด้วยความไม่พอใจ “ทรงทำเช่นนี้ผิดธรรมเนียมในพิธีนะเพคะ พระสวามีของหม่อมฉันเท่านั้นจึงจะสามารถเปิดพัดที่ปิดใบหน้านี้ได้ พระองค์รับสั่งให้เปิดเผยรูปโฉมของหม่อมฉันก่อนพระสวามีเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง” ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้นพระโอษฐ์ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาบางๆ “สมควรอย่างไร ไม่สมควรเป็นอย่างไร ข้าไม่รู้จัก ข้าสนใจแต่เพียงว่าเจ้ามีใบหน้าของสตรีที่ข้ากำลังค้นหาอยู่หรือเปล่าเท่านั้น...เอาพัดลง!” ประโยคสุดท้ายรับสั่งสุรเสียงดุดัน องค์หญิงต่างแคว้นทรงยืนนิ่งมิยอมขยับเขยื้อนพระวรกายแม้แต่น้อย และไม่ยอมนำพัดลงตามพระบัญชาแต่อย่างใด ยังคงยืนอย่างไม่สะทกสะท้านมิหนำซ้ำยังจ้องพระองค์ไม่หลบสายพระเนตรจอมมารแม้แต่น้อย “ช่างเป็นสตรีที่ใจกล้าและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก กล้าจ้องหน้าข้าโดยไม่ยอมหลบสายตาเสียด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ดี! อยากจะรู้เช่นกันว่าเจ้าจะหลบหลีกข้าไปได้สักกี่น้ำ” รับสั่งพร้อมดึงพัดที่อยู่ในมือของนางออกทันใด “เพียะ!” มือเรียวสวยขององค์หญิงต่างแคว้นฟาดลงบนพระหัตถ์หนาของจอมมารอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะรีบหมุนตัวกลับพร้อมใช้พัดยกขึ้นปิดบังใบหน้าจนมิดชิด “อุ้ย!ขออภัย!ด้วยความตกใจมือมันลั่นไปเองเพคะ”เสียงตอบกลับมานั้นเต็มไปด้วยความยียวนกวนอารมณ์ให้จอมมารเริ่มทรงมีพระอารมณ์ขุ่นมัว ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปพบรอยไฟอัคคีลามเลียอยู่ตรงข้อมือข้างที่กำลังยกพัดขึ้นสูงเพื่อปิดบังใบหน้า รอยไฟอัคคีถูกแป้งทาทับเอาไว้จนเลือนรางจนถึงข้อมือเพียงเท่านั้น แต่ผิวเนื้อนวลเนียนเหนือขึ้นไปเต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีอย่างเห็นได้ชัด “จะ....เจ้า!” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นเสียงของหัวหน้าขันทีดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังขึ้นมาโดยพลัน “ชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! ทรงมาอยู่ตรงนี้เองกระหม่อมตามหาจนทั่ว” หัวหน้าขันทีกราบทูลกลับไป “มีอะไร!” รับสั่งสุรเสียงห้วนและนั่นทำให้หัวหน้าขันทีสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินพระสุรเสียงที่บ่งบอกว่าทรงมีพระอารมณ์มิสู้ดีนัก “อะ...เออ...ฝ่าบาททูลเชิญพระองค์ให้เสด็จไปเป็นสักขีพยานพิธีอภิเษกสมรสในวันนี้ด้วย ตอนนี้ใกล้จะถึงฤกษ์มงคลแล้วทูลเชิญชินอ๋องขึ้นเกี้ยว และองค์หญิงก็รีบขึ้นเกี้ยวเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ประโยคสุดท้ายหัวหน้าขันทีหันไปกราบทูลเจ้าสาวในพิธีของวันนี้ ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้นพระพักตร์หล่อเหลาหันกลับไปทอดพระเนตรคู่ชะตาของพระองค์ทันที แม้จะยังมิได้ทอดพระเนตรใบหน้าแต่รอยไฟอัคคีเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี ผู้ครอบครองไฟอัคคีของพระองค์เท่านั้นจึงจะปรากฏรอยเช่นนี้ขึ้นบนเรือนกาย “ไปกราบทูลฝ่าบาท! ว่าข้าต้องการเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแทนพระองค์!” รับสั่งกับหัวหน้าขันที “หา!” เสียงอุทานดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกชีวิตมีอาการตื่นตะลึงไปตามๆ กันกับถ้อยรับสั่งเช่นนั้น ท่ามกลางอาการตกตะลึงของผู้คนในบริเวณนั้น ชินอ๋องตรงเข้าไปคว้าแขนเรียวของเจ้าสาวโดยพลัน “ข้าจะเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้า! ไปกับข้า!”รับสั่งพร้อมลากนางให้ไปพร้อมกับพระองค์ “พรืดดด!” ท่อนแขนเรียวสะบัดออกจากพระหัตถ์หนาของจอมมารด้วยความรวดเร็ว “หม่อมฉันไม่เข้าพิธีกับพระองค์ เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรคนอย่าง... เยว่วาวา จะไม่ขอเข้าพิธีแต่งงานกับบุรุษผู้มีนามว่าโจวชินซางอย่างเด็ดขาด!” และนั่นทำให้พระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารแปรเปลี่ยนเป็นดวงเนตรสีเลือดขึ้นมาโดยพลันก่อนจะเลือนหายไปเพียงชั่วพริบตา “เจ้าเป็นของข้าเยว่วาวา!” จอมมารรับสั่งสุรเสียงกึกก้อง “พรึ่บ!!!” พระเนตรสีนิลกาฬเปิดขึ้นมาทันทีครั้นทรงหลุดจากภวังค์แห่งความฝัน พระวรกายใหญ่ลุกพรวดพราดจากฟูกพระบรรทม พระพักตร์หล่อเหลาส่ายไปมาติดๆ กันด้วยทรงทบทวนความฝันเมื่อครู่ที่ผ่านมาให้มั่นพระทัยอีกรอบ พระโอษฐ์ค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีพระทัยอย่างยิ่งยวด “เยว่วาวา! ในที่สุดข้าก็ล่วงรู้ชื่อของเจ้าแล้ว” รับสั่งพร้อมทรงรีบลุกจากแท่นพระบรรทม พระวรกายสูงทะมึนพระดำเนินออกจากห้องพระบรรทมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาทรงหยุดยืนอยู่กลางสวนหย่อม พระพักตร์แหงนขึ้นทอดพระเนตรท้องฟ้าเบื้องบน เพื่อควานหาตำแหน่งดวงดาว พระเนตรสีนิลกาฬกวาดสายพระเนตรไปทั่วท้องฟ้าก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อดาวราชินีปีศาจส่องแสงเจิดจ้าให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร พระโอษฐ์คลี่ยิ้มกว้างออกมาทันที “นางปรากฏตัวแล้ว! เหตุใดเจ้าจึงหายไปนานถึงห้าปีเช่นนี้เยว่วาวา รู้หรือไม่ว่าข้าเพียรเฝ้าค้นหาเจ้าแทบพลิกแผ่นดินไปทั่วทุกแคว้น แต่ตำแหน่งดวงดาวของเจ้ากลับไปปรากฏอยู่ที่แคว้นเทียนโจวเสียนี่ เห็นทีถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับเมืองหลวง” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นทรงหยุดนิ่งคิดกับความฝันของพระองค์ทันใด “ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาข้าไม่เคยฝันเห็นนางแม้แต่น้อย จนกระทั่งคืนนี้แสดงว่าไฟอัคคีซึ่งเป็นตาที่สามของข้าได้สื่อสารให้ข้าล่วงรู้ทันทีที่นางปรากฏตัว เพื่อบอกตำแหน่งและเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นกับนาง ไม่ได้การแล้ว... ข้าต้องรีบกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้! หาไม่แล้วจะคลาดกับเจ้าอีก หากแม้นกลับไปไม่ทันเวลา” รับสั่งพร้อมหันพระวรกายกลับพระดำเนินไปที่ห้องพระบรรทม จอมมารหนุ่มมิสามารถข่มพระเนตรบรรทมได้อีกต่อไป เพราะหัวใจล่องลอยไปไกลถึงเมืองหลวงของแคว้นเทียนโจว ทันทีที่ไฟอัคคีซึ่งสถิตอยู่ที่กายนางสื่อสารให้พระองค์ทรงล่วงรู้ว่าบัดนี้คู่ชะตาของพระองค์ปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหายไปอย่างไร้ร่องรอยถึงห้าปี ราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่ในภพนี้ และครานี้จอมมารจะไม่เสียเวลาอีกต่อไป พระองค์จะทรงทำทุกอย่างเพื่อนำนางมาเคียงข้างพระวรกายเพราะเยว่วาวา เป็นเจ้าของหัวใจเพียงหนึ่งเดียวที่สถิตอยู่ในความรู้สึกและทุกลมหายใจเข้าออกของพระองค์แคว้นเทียนโจวเมืองเทียนจิ้น (เมืองหลวงตะวันตก)บริเวณนอกเมืองหลวงแคว้นเทียนโจว มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นแคว้นเดียวที่มีเมืองหลวงด้วยกันถึงสองเมือง มีเมืองหลวงตะวันออกอยู่ที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้น พระราชวังหลวงอันเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนอยู่ที่นี่ในขณะเดียวกันทางตะวันตกซึ่งมีทั้งสายแร่ทองคำและเหมืองหยก มีเมืองเทียนจิ้นเป็นเมืองหลวงตะวันตก ซึ่งเมืองนี้มีความเจริญทางด้านการค้าเป็นแหล่งผลิตทองคำและหยกอีกทั้งเป็นเส้นทางการขนส่งทองคำและหยกไปยังเมืองอื่นๆ และต่างแคว้น ทำให้การค้าของเมืองหลวงตะวันตกและระหว่างแคว้นเจริญรุ่งเรืองคับคั่งยิ่งนักเมืองหลวงตะวันตกนี้โจวเฉินกงฮ่องเต้ได้มีพระบรมราชโองการยกให้ชินอ๋องปกครองเมืองการค้าซึ่งเป็นหัวใจสำคัญหลักของแคว้นเทียนโจว ในขณะที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอก จะเป็นพื้นที่ราบและมีพื้นที่กว้างอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลทางการเกษตรกว้างใหญ่เป็นอู่ข้าวอู้น้ำของแคว้น เป็นของโจวฟางหยางฮ่องเต้ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการลับอีกฉบับสถาป
ในขณะเดียวกันขบวนเสด็จถูกหยุดกลางคันเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของชินอ๋องทรงมีพระบัญชาออกมาเช่นนั้น ภายในรถม้าหน้ากากทองคำที่ทรงเตรียมไว้ถูกนำมาสวมครอบพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารชินซาง ครอบพระพักตร์ตั้งแต่ส่วนบนของหน้าผากทั้งหมดยาวครอบคลุมพระพักตร์ซีกซ้ายจรดปลายคางเผยให้เห็นส่วนพระพักตร์หล่อเหลาทางซีกขวาเท่านั้น ซึ่งลักษณะของหน้ากากดังกล่าวช่างออกแบบเหมือนกับของเฉินวาวาที่กำลังสวมอยู่ในขณะนี้เช่นกัน แตกต่างตรงที่ลวดลายบนหน้ากากเท่านั้นซึ่งหน้ากากของพระองค์สลักลายเป็นเปลวไฟอัคคีพระวรกายสูงใหญ่ในฉลองพระองค์ชุดเกราะของจอมทัพสีดำทะมึน ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่กลางเมืองท่ามกลางประชาชนทั้งสองฝั่งฟากถนน ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้เห็นชินอ๋องหรือเทพเจ้าสงครามตัวเป็นๆ ที่ต่างให้ความเคารพและเทิดทูน และไม่ต้องมีใครบอก ประชาชนรวมไปถึงผู้คนจากต่างแคว้นพากันทรุดกายลงนั่งกับพื้นถวายความเคารพผู้ปกครองของตนทันที“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงประชาชนต่างเอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าพากันชื่นชมพระสิริโฉมของชินอ
ภายในห้องพัก“พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่าท่านลู่เหอ องค์หญิงทรงหายไปเช่นนี้มิรู้จะออกไปตามหาได้ที่ไหน” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิงของตน“ข้าก็กำลังคิดอยู่นี่ไง ขอเวลาหน่อยได้ไหม ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง มันก็ยากที่จะค้นหาพระนางพบ อีกทั้งชินอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ตามหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาวซึ่งตรงกับลักษณะขององค์หญิงทุกประการยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากหลายเท่า”ลู่เหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เหตุใดชินอ๋องจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้นเล่าท่านลู่เหอ ข้าไม่เข้าใจ!” มู่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัย“เจ้าอย่าล่วงรู้อะไรให้มันมากไปหน่อยเลยมู่อิง เอาเป็นว่าในยามนี้องค์หญิงทรงไม่ปลอดภัยเพราะมิรู้ว่าชินอ๋องทรงได้ข่าวระแคะระคายมาหรือเปล่าจึงทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ตราบใดที่ยังหาองค์หญิงไม่พบก็ยังกลับเข้าขบวนเจ้าสาวไม่ได้เช่นกัน และพรุ่งนี้ไม่เกินช่วงบ่ายจะต้องมีรายงานจากทหารอารักขานอกเมืองว่าขบวนเสด็จเจ้าสาวจะใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้น” ลู่เหอกล่าวพร้อมถอนหายใจอ
ในขณะเดียวกัน“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที“โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันทีร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท“ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที“หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนกครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที“เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก”หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยคว
ร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องห
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระราชวังจำลองพิธีอภิเษกสมรสในซีรีส์เรื่องดัง ถ่ายทำฉากกราบไหว้ฟ้าดินระหว่างนางมารร้ายตัวเอกของเรื่องและชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเฉินวาวาด้วยความรู้สึกยากเกินจะบรรยายออกมาได้ ด้วยทุกอย่างตรงกับพิธีที่การทุกอย่างในยุคอดีต ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสถานที่โดยรอบ บรรดาข้าราชบริพารที่ยืนประจำจุดของตน รวมไปถึงตำแหน่งที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนเหมือนกันทุกอย่าง“อะ... อะไรกันนี่!” หญิงสาวในชุดเจ้าสาวโบราณในพิธีเตรียมพร้อมเข้าฉากถึงกับยืนตะลึงไปโดยพลันในขณะที่อู๋ชิงเหยียนก็มีอาการไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย ไม่คาดคิดว่าพิธีแต่งงานในยุคโบราณจะยิ่งใหญ่อลังการถึงขนาดนี้“โอ้โฮ! วาวาเธอนี่โคตรโชคดีเลยให้ตายสิ! ได้เข้าฉากแต่งงานยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ ราวกับว่าเข้าไปมีชีวิตในซีรีส์เรื่องนี้เลยนะ” แม่ผู้จัดการสาวกล่าวออกมาตามความรู้สึก“ฉันเคยเข้าพิธีแบบนี้มาแล้วกับชินอ๋องแห่งเทียนโจว และครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ฉันจะได้เข้าพิธีแบบนี้อีก แตกต่างตรงที่คนที่ฉันจะเข้าพิธีในครั้งนี้ไม่ใช่ท่านอ๋องของฉัน”
งานแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรเฉินวาวานั่งเงียบงันอยู่บนรถ SUV ของบริษัทฯ ซึ่งเธอเดินทางมาร่วมงานในฐานะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ของ JCS GOLD MASTER ใบหน้างดงามลึกล้ำถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนเฉิดฉายน่ามองชวนหลงใหลอย่างยิ่งยวด หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับมีแต่ความหม่นหมอง ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนก่อน“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากแม่ผู้จัดการสาว บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกลุ้มใจกับอาการของเพื่อนรัก“วาวา! ถึงงานแล้วไม่ลงเหรอ นั่งเหม่อมาตลอดทาง ไม่ใช่สิ นั่งเหม่อมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นแบบนี้จะสองอาทิตย์แล้วนะ ถามจริงเถอะ! เมื่อไรอาการแบบนี้จะหายไปจากตัวแกเสียที” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดให้เพื่อนรัก“ไม่หาย! ไม่มีใครรักษาฉันหายหรอกเหยียนเหยียน ป่วยกายรักษาด้วยยาหายได้ แต่ป่วยใจคนที่รักษาได้คือคนรักของฉันเท่านั้น มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวที่ทำได้” กล่าวพร้อมหยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที“แปะ!” น้ำตาร่วงหล่นลงมาทันใด“อั้ยยะ! อย่าร้องนะ! อย่าร้อง... ห้ามร้องเด็ดขาดเลย จะต้องเข้าไปในงาน
มณฑลเสฉวน ณ โรงพยาบาลเฉิงตูภายในห้องคนไข้พิเศษพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารชินซางยังคงอยู่ในห้วงญาณหลับใหลมาโดยตลอด พระพักตร์หล่อเหลาตราตรึงรัญจวนจิต รับกับขนตางามงอนเป็นแพยาวสวย พระนาสิกโด่งสันสวยขึ้นเป็นสันคม ภายใต้เกศาสีเงินยาวสยายเต็มหมอนที่กำลังถูกนางพยาบาลใช้แปรงหวีพระเกศาสีเงินยาวสยายอย่างเบามือ“ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล่อยิ่งกว่าพระเอกหนังอีกเลยเนอะ พระเอกบางคนยังหล่อสู้ไม่ได้เลย เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ถึงมีเส้นผมสีบลอนด์เงินแบบนี้ สีเงินสม่ำเสมอไม่ใช่สีขาวเพราะผมหงอกก่อนวัยด้วย แถมสูงเกือบสองเมตร หุ่นก็ดี๊ดี... กล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วนเลย เช็ดตัวให้ทีไรมีความสุขจริงๆ เลยนะเธอ” นางพยาบาลสองคนที่ช่วยกันดูแลคนไข้ปริศนา ต่างคุยกันอยู่ใกล้เตียงด้วยความเคลิบเคลิ้มอย่างยิ่งยวดตั้งแต่จอมมารถูกช่วยขึ้นจากน้ำตกในอุทยานแห่งชาติที่เดียวกันกับเฉินวาวา หากแต่พบพระองค์ห่างไกลออกไปนอนหมดสติอยู่ทางต้นน้ำ หลังจากนั้นได้ถูกช่วยจากเจ้าหน้าที่อุทยานนำส่งโรงพยาบาลเฉิงตู หลังพระชายาเข้าทำการรักษาไปแล้วหนึ่งวัน นับ
ร่างระหงตรงดิ่งเข้าสวมกอดนางพยาบาลที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด ในขณะที่อีกฝ่าย อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนางร้ายหน้าสวยจึงรู้จักชื่อของเธอ สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“คุณเฉินวาวารู้จักชื่อของฉันด้วยเหรอคะ” นางพยาบาลที่เหมือนมู่อิงราวเป็นคนเดียวกันถามทำลายความเงียบหญิงสาวที่กำลังสวมกอดด้วยความดีใจ ยิ้มกว้างพร้อมหยาดน้ำตาก่อนจะปล่อยร่างนั้นออกจากอ้อมกอดของเธอเพื่อสำรวจใบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ครั้นยิ่งมองยิ่งเหมือนมู่อิงในยุคอดีตทำให้เฉินวาวายิ่งหลั่งน้ำตามากขึ้นไปกว่าเดิม“ขอโทษด้วยคะ พอดีคุณเหมือนกับคนที่ฉันรู้จักมากๆ เธอมีชื่อและหน้าตาเหมือนกับคุณพยาบาลไม่มีผิดเพี้ยน ก็เลยทำให้นึกถึงและคิดถึงมากด้วย”หญิงสาวตอบพลางส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมาทันทีนางพยาบาลสาวถึงกับน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันที เธอเอื้อมมือไปจับมือเรียวสวยของนางร้ายที่เธอชื่นชอบ พร้อมเอ่ยปลอบโยน“อย่าร้องไห้เลยนะคะ เดี๋ยวคนที่คุณรู้จักถ้ารู้ว่าร้องไห้เพราะคิดถึงแบบนี้จะไม่สบายใจเอาได้ ร้องไห้มากตาบวมเดี๋ยวไม่สวยนะคะ”หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันทีเม
ยุคอนาคตมณฑลเสฉวน ณ.โรงพยาบาลเฉิงตูภายในห้องพิเศษบัดนี้ร่างงามระหงของเฉินวาวา กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หญิงสาวได้กลับคืนสู่ยุคอนาคต และยังคงอยู่บนผืนแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ เธอหลับใหลตั้งแต่อยู่ในอดีตกาลจนกระทั่งกลับมาสู่อนาคตอย่างไม่คาดฝันร่างของเธอถูกพบอยู่บริเวณน้ำตกในอุทยานแห่งชาติในชุดเกราะและสวมหน้ากากทองคำอยู่ด้วยในขณะนั้น แผลจากคมธนูที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเยว่ยิงปักถูกร่างนั้น ถูกเย็บและได้รับรักษาเป็นอย่างดีจากแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีใครล่วงรู้ว่าเธอมาปรากฏกายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่การพบนางร้ายหน้าสวยเฉินวาวาเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหญิงสาวหายสาบสูญไปนานกว่าหนึ่งเดือน อันเป็นระยะเวลาของโลกอนาคตที่ดำเนินอยู่ ซึ่งแตกต่างจากยุคอดีตที่จากมากาลเวลาในยุคอดีตผ่านไปแล้วหนึ่งปีในขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนักข่าวต่างรอทำข่าวกันอย่างเนืองแน่น เมื่อข่าวการค้นพบของเฉินวาวา นางร้ายหน้าสว
ฉับพลันสุรเสียงของจอมมารชินซางดังกระหึ่มท่ามกลางทะเลเพลิง“มันผู้ใดหาญกล้าแตะต้องราชินีของข้า!” สุรเสียงของจอมมารดังกึกก้อง พร้อมพระวรกายค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลเพลิงที่ลุกโชนท่วมสูงทิวเขาต่อหน้ากองทัพของทั้งสามแคว้นท่ามกลางสายตาของมนุษย์ที่มีมากมายเป็นเรือนแสนของสองฝั่งแม่น้ำ ต่างยืนมองอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินปลิวยายสยาย ในขณะที่รองแม่ทัพซึ่งล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างเมื่อเห็นชินอ๋องทรงฟื้นขึ้นดั่งเดิมและปรากฏอยู่ตรงหน้าท่ามกลางทะเลเพลิงอยู่ในขณะนี้“ชินอ๋องทรงฟื้นแล้ว! พระองค์ช่วยพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่องเต้โฉดผู้นี้กำลังจะจับพระชายาถ่วงน้ำ!” รองแม่ทัพตะโกนแทรกออกไปทันทีและนั่นทำให้ชิงอวิ้นฮ่องเต้ถึงกับชะงักงันเมื่อบุรุษสูงใหญ่ตรงพระพักตร์แท้จริงแล้วคือชินอ๋องผู้วายชนม์ไปแล้วเมื่อสามเดือนก่อนแต่บัดนี้กลับมาปรากฏพระวรกายด้วยร่างที่ยังคงรูปมิเน่าเปื่อยแต่อย่างใด“เป็นไปไม่ได้! คนตายแล้วฟื้นคืนกลับมาอย่างนั้นรึ!” รับสั่งรำพึงรำพันในขณะเดียวกันพระวรกายสูงใหญ่ทะ
ในขณะเดียวกันตำหนักลับทันทีที่เฉินวาวาราชินีปีศาจของจอมมาร ปลดปล่อยไอปีศาจจนทำลายแคว้นเยว่พินาศวอดวาย พระวรกายของจอมมารที่ตกอยู่ในห้วงญาณแห่งการหลับใหลมีความรู้สึกขึ้นมาโดยพลัน“ตึก ตึก ตึก” พระวรกายใหญ่เริ่มกระตุกติดต่อกันอย่างไม่รู้สาเหตุแรงกระตุกดังกล่าวราวกับทรงสัมผัสได้ว่าราชินีของพระองค์ตกอยู่ในห้วงอันตราย และทันทีที่ร่างระหงล้มลงหมดสติจอมมารชินซางก็ทรงตื่นจากห้วงญาณแห่งการหลับใหลขึ้นมาทันที“พรึ่บ!” เปลือกพระเนตรเปิดขึ้นทันใดพระเนตรสีเลือดวาววับขึ้นมาทันที พระวรกายใหญ่ลุกพรวดพราดจากฟูกบรรทมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“วาเอ๋อร์! วาเอ๋อร์ของข้า!” รับสั่งเพรียกหาพระชายาพระวรกายใหญ่ลุกจากแท่นพระบรรทมโดยพลัน ก่อนจะซวนเซไปมาเมื่อพระองค์หลับใหลไปนานเกือบสามเดือนแต่ต้องตื่นก่อนกำหนดเพราะความรักที่ทั้งสองมอบให้แก่กันสื่อสัมผัสให้จอมมารชินซางออกจากญาณหลับใหลก่อนกำหนดที่ควรจะเป็น ทำให้การรวบรวมพลังเวทและตบะขั้นที่แปดหวนคืนกลับมาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นบัดนี้พระเนตรสีเล
แคว้นเยว่เมืองหลวงมี่โจแผนผังวางระเบิดตามจุดถูกกางออกอยู่ตรงหน้านางร้ายจากยุคอนาคตในขณะนี้ หญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้ามองตรงไปจากเนินเขาสูง เบื้องล่างคือเมืองหลวงแคว้นเยว่ นามว่ามี่โจเป็นเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง แต่มีสิ่งปลูกสร้างไม่แออัดหรือสร้างติดต่อกัน ด้วยเป็นเมืองที่เพิ่งจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ซึ่งสิ่งปลูกสร้างเดิมถูกเผาทำลายเมืองครั้งผลัดเปลี่ยนราชวงศ์และการแย่งชิงความเป็นใหญ่ดังกล่าวจึงทำให้แคว้นเยว่มิได้เจริญเติบโตเท่าที่ควรจะเป็น เจ้าผู้ครองแคว้นฝักใฝ่ในการทำสงครามโดยมิประมาณตนว่ากองทัพมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด พื้นที่กว้างใหญ่แต่ไม่มีบุรุษลงมือทำการเกษตรเพราะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปรบทำสงครามจนหมด“จุดชนวนแล้วระเบิดกำแพงเมืองที่โอบล้อมให้พังทลายลงทั้งหมด ระเบิดคลังแสงของทหาร ตัดกำลังอาวุธ ระเบิดพระราชวังหลวงเพื่อข่มขวัญฮ่องเต้แคว้นเยว่ ระเบิดวังหลวงให้หมดทุกตำหนักและทุกที่ สุดท้ายระเบิดคลังเสบียงแล้วนำไปแจกจ่ายให้กับชาวเมือง หลังจากนั้นสายน้ำดำที่ฝังอยู่นอกตัวเมืองทุกจุด ให้ระเบิดขึ้นพร้อมก
แคว้นเยว่ ในขณะเดียวกันท่ามกลางทะเลเพลิงที่ลุกโชนท่วมสูงดั่งขุนเขาต่อหน้ากองทหารของราชินีปีศาจ และกองทหารแคว้นเยว่ที่ควบคุมตัวเฉินวาวาเอาไว้ตั้งแต่คราแรก หากแต่ในเวลานี้ต่างยอมจำนนกันหมดสิ้นทุกสายตาต่างยืนมองทะเลเพลิงเบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าม้าคล้ายกองกำลังทหารกลุ่มใหญ่วิ่งมาหยุดอยู่ด้านหลัง พร้อมกำลังทหารกระจายล้อมรอบไปทั่วบริเวณ“อะไรกันนี่! แคว้นเยว่ถูกทำลา