ทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าว ปานรูปหยดน้ำที่มองเห็นเพียงเลือนรางเนื่องจากถูกรอยไฟอัคคีบดบังสว่างวาบขึ้นมาทันที พร้อมภาพของบุรุษสูงใหญ่ทะมึน สวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาสีเลือดฉายแวววับปรากฏให้เธอเห็นขึ้นมาโดยพลัน
ภาพนิมิตปรากฏให้เธอเห็นร่างงามในชุดเจ้าสาวสีขาวในยุคโบราณกำลังนั่งอยู่บนเตียงมีพัดทำจากขนห่านฟ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าสาวเอาไว้ บุรุษเกศาสีเงินยวงในชุดเจ้าบ่าวสีขาวเปิดประตูเข้ามาในห้องหอ ร่างสูงใหญ่ทะมึนเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมค่อยๆ เอื้อมหยิบพัดที่ปิดใบหน้าเจ้าสาวออกจากมือนาง เผยให้เห็นใบหน้าของเฉินวาวาเธอคือเจ้าสาวงดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดปรากฏอยู่ในห้องหอและในนิมิตดังกล่าว “เฮือกกก!!!” ร่างระหงลุกพรวดพราดขึ้นจากตั่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ เกิดเห็นภาพเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้นอนหลับหรือฝันแต่อย่างใด “ทะ... ทำไม... ฉันถึงเห็นตัวเองเป็นเจ้าสาวของเขา... ขะ... เขาจะตามหลอกหลอนฉันกันไปถึงไหน” เธอยืนบ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่คนเดียวในกระโจม “อ้าวอีตาฮ่องเต้เจ้าแผนการกับองครักษ์หน้าหงิกออกไปตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันถึงไม่ได้สังเกต” ทว่ายังมิทันขาดคำร่างสูงขององครักษ์ลู่เหอเดินเข้ามาภายในกระโจม พร้อมถือถาดที่ทำจากสัมฤทธิ์มีข้าวของวางอยู่ และมีนางกำนัลเดินตามหลังมาอีกหนึ่งคน ในมือถือถาดพร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอ “ฝ่าบาททรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ขอองค์หญิงเยว่วาวาทรงรับพระบรมราชโองการและออกเดินทางไปแคว้นเทียนโจวพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลู่เหอกล่าวพร้อมโค้งคำนับพร้อมยื่นถาดตรงหน้าให้หญิงสาว เฉินวาวาก็รู้งานรีบรับพระบรมราชโองการทันที ร่างระหงทรุดกายลงนั่งคุกเข่าพร้อมก้มคำนับลงพื้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมเงยหน้ายื่นมือรับพระบรมราชโองการจากองครักษ์ลู่เหอ ครั้นดวงตากลมโตเห็นหน้ากากครึ่งซีกทำมาจากทองคำแกะสลักลายดอกจวี๋ฮวา ฝีมือช่างทำทองแกะสลักงดงามเป็นยิ่งนัก จนเฉินวาวายืนมองอยู่นาน “หน้ากากเอาไว้ทำอะไรอย่างนั้นเหรอท่านองครักษ์ลู่เหอ” หญิงสาวเรียกองครักษ์ที่ต้องถวายอารักขาซะเต็มยศ เล่นเอาเจ้าตัวรู้สึกชอบกลเมื่อถูกพระขนิษฐาบุญธรรมขององค์ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกเช่นนั้น “องค์หญิงรับสั่งแต่ชื่อของกระหม่อมก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงเรียกแบบนี้ฟังแล้วแลดูชอบกลนัก” ลู่เหอกราบทูลกลับไปตามความรู้สึกของตน “อ่อ! อย่างนั้นเหรอ... ถ้างั้นไม่เกรงใจละนะ แล้วหน้ากากเอามาไว้ทำอะไร สวยจังเลยฝีมือสลักลวดลายยอดฝีมือโคตรๆ เลยไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน” หญิงสาวเผลอหลุดใช้คำสมัยใหม่ออกไป ก่อนจะรู้สึกตัวว่าต้องใช้คำพูดย้อนยุค “อะ... เออ... ข้าหมายถึงช่างที่ทำมีฝีมือยอดเยี่ยมมากนะ” หญิงสาวกล่าวกลบเกลื่อนทันที “อ่อ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้นพร้อมกราบทูลกลับไป “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ช่างทองหลวงตีหน้ากากทองคำเพื่อนำมาปิดบังพระพักตร์ให้แก่องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการเดินทางและซ่อนเร้นพระพักตร์ที่ถูกพิษเอาไว้ภายใต้หน้ากากนี้” เฉินวาวายืนนิ่งงันไปทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น สองมือที่กำลังถือถาดรีบวางลงกับโต๊ะหนังสือพลางหยิบหน้ากากทองคำมาสวมเข้าที่ใบหน้าของเธอทันที ครั้นสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ลวดลายของหน้ากากที่สลักลายดอกจวี๋ฮวาขับใบหน้าด้านซ้ายที่มิมีรอยไฟอัคคีจนโดดเด่นสวยงามขึ้นมาอย่างน่าตื่นตะลึง เล่นเอาองครักษ์ลู่เหอถึงกับยืนนิ่งงันไปทันใด “สวยไหม!” เฉินวาวาเอ่ยถามองครักษ์หนุ่มตรงหน้าพลางส่องกระจกเห็นใบหน้าด้านซ้ายขาวนวลเนียนไร้ที่ติ ขับริมฝีปากอวบอิ่มอมชมพูจนน่าหลงใหลอย่างไม่คาดคิด ในขณะที่องครักษ์ลู่เหอก้มหน้ามองพื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้นพลางรีบซ่อนเร้นดวงตาที่ชื่นชมสตรีที่ตนเคยเอ่ยปากว่านางมีใบหน้าดุจปีศาจ ก่อนจะได้ยินเสียงของนางถามกลับมา “แล้วนี่ถาดอะไร!” เฉินวาวาเอ่ยถามพร้อมเดินตรงไปหานางกำนัลที่กำลังถือถาดสัมฤทธิ์อยู่ในขณะนั้น ทว่านางกำนัลคนดังกล่าวเผลอตัวมองหญิงสาวหลังจากสวมหน้ากากทองคำปิดบังรอยไฟอัคคี เผยให้เห็นใบหน้าส่วนที่เหลือที่เต็มไปด้วยความงดงามชวนมองน่าหลงใหลอย่างยิ่งยวด จนเฉินวาวาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “มองอะไรอยู่เหรอ... ทำไมถามแล้วไม่ตอบ” ครั้นนางกำนัลคนดังกล่าวรู้สึกตัวว่าได้เผลอมององค์หญิงพระองค์ใหม่ด้วยความลืมตัว นางรีบทรุดกายลงคุกเข่าพร้อมรีบเอ่ยกราบทูลกลับไปทันที “หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เผลอตัวมององค์หญิงจนลืมทำหน้าที่ของตัวเองไป ได้โปรดพระราชทานอภัยให้แก่หม่อมฉันด้วยเพคะ”นางกำนัลคนดังกล่าวเอ่ยละล่ำละลัก เฉินวาวาถึงกับยืนงงไปชั่วขณะเมื่อเห็นอาการกลัวลนลานของนางกำนัลตรงหน้า “แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องกลัวลนลานถึงขนาดนี้เลยเหรอ แปลกจังเลย” หญิงสาวพึมพำอยู่ภายในใจ “เอาเถอะจ้ะ... เอาเถอะ... ลุกขึ้น! ... ลุกขึ้น!ไม่ต้องมากพิธี... เธอ... เอ้ย... เจ้าชื่ออะไรเหรอ” หญิงสาวถามกลับไป “หม่อมฉันชื่อมู่อิงเพคะ” นางกำนัลรายงานตัวเองกลับไปทันทีพร้อมเสียงองครักษ์ลู่เหอแทรกดังขึ้น “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้มู่อิงตามเสด็จองค์หญิงไปที่แคว้นเทียนโจวด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อคอยรับใช้อย่างใกล้ชิดและพรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็เคลื่อนขบวนเสด็จทันที เพราะตั้งค่ายอยู่ที่นี่นานกว่าสิบห้าวันแล้วต้องรีบเดินทางให้ทันตามกำหนดที่เคยแจ้งให้เทียนโจวรู้ล่วงหน้า” “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน “อือ... รู้แล้วถึงเวลาข้าจะเตรียมตัวให้พร้อม...” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันกลับไปสนใจถาดที่อยู่ในมือของนางกำนัลส่วนตัวที่มีผ้าสีเหลืองนวลคลุมอยู่ “ของใช้ส่วนพระองค์ที่ติดพระวรกายองค์หญิงมาเพคะ” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยกราบทูลออกไป และนั่นทำให้เฉินวาวาเบิกตากว้างขึ้นมาทันทีพร้อมรีบเปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันอยู่บนถาดและเครื่องประดับหลายรายการที่ติดตัวเธอมารวมไปถึงมงกุฎหงส์ที่ทำจากทองคำแท้ “อร้ายยย!!! เครื่องสำอางของฉัน” หญิงสาวดีใจอย่างเห็นได้ชัดเธอรีบรับถาดจากมือของมู่อิงมาถือเอาไว้เสียเอง เฉินวาวาแสร้งทำเป็นให้ความสนใจกับถาดเครื่องใช้ส่วนตัว ครั้นเห็นร่างสูงขององค์รักษ์ลู่เหอก้าวพ้นไปจากกระโจม เธอรีบกวักมือเรียกนางกำนัลมู่อิงเข้ามาหาเพื่อสอบถามเรื่องราวทุกอย่างที่เธออยากรู้ ทันทีที่มู่อิงมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้า หญิงสาวคัดปิ่นปักผมที่ทำจากหยกชั้นดีซึ่งทำจากยุคปัจจุบันยื่นส่งให้นาง “ข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัลที่จะมาคอยดูแล” เฉินวาวากล่าวพร้อมทำท่าจะเสียบปิ่นปักผมให้แก่นาง ทว่านางกำนัลมู่อิงกลับปฏิเสธเป็นพัลวันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หม่อมฉันรับมิได้เพคะองค์หญิง ปิ่นนี้สูงค่ายิ่งนักเกินฐานะอันต่ำต้อยของหม่อมฉันที่จะรับเอาไว้” สิ้นเสียงของนางกำนัลคนสนิท เฉินวาวาจำต้องใช้แผนขู่ออกมาทันที “เจ้าเลือกเอาไว้จะรับปิ่นปักผมจากข้า หรือจะถูกโบยห้าสิบไม้! เลือกเอา” หญิงสาวทิ้งไม้ตายที่ใช้ที่ไรได้ผลทุกคราในยุคปัจจุบันและยังนำมาใช้ในเวลานี้ นางกำนัลมู่อิงรีบก้มคำนับลงพื้นทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “อย่าโบยหม่อมฉันเลยเพคะองค์หญิง รับแล้วเพคะ รับแล้ว” กล่าวพร้อมยกมือทั้งสองข้างรีบรับปิ่นหยกจากมือขององค์หญิงคนงามเอาไว้อย่างรวดเร็ว “มู่อิงขอบพระทัยเพคะที่เมตตาประทานปิ่นปักผมนี้ให้ นอกจากจะงดงามแล้วทรงมีพระเมตตายิ่งนัก” นางกำนัลมู่อิงกราบทูลกลับไป “โอ๊ยยย! ของมันแน่อยู่แล้วละ... ข้ารู้ว่าเกิดมาสวย ดังนั้นเมื่อเป็นหญิงก็ต้องคู่กับความงาม ข้าให้ปิ่นปักผมนี้แก่เจ้าเอาไว้ใช้นะไม่ได้ให้ไว้บูชากราบไหว้หรือเก็บไว้เฉยๆ รู้หรือเปล่า” หญิงสาวกล่าวกำชับ “อะ... เออเพคะองค์หญิง... แม้ว่ามู่อิงจะฟังรับสั่งรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็พอจะเข้าใจ คงเป็นเพราะโง่เขลาอับปัญญาความฉลาดมาน้อย ขอองค์หญิงได้โปรดขัดเกลาและสั่งสอนมู่อิงด้วยเพคะ” “โอ้โฮ! พูดซะสะเทือนใจตับไตใส้พุงหมดเลย” เฉินวาวาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำและอาการหวั่นเกรงของนางที่มีต่อเธออยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเริ่มใช้จิตวิทยากับนางกำนัลส่วนตัวของเธอ “เอาแบบนี้ข้าจะค่อยๆ สอนเจ้า และถ้าข้าอยากรู้อะไรก็ให้ตอบมาตามตรงและบอกให้ละเอียดไม่ต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น แล้วข้าจะสั่งสอนเจ้าจนกลายเป็นสตรีที่ทั่วหล้าอยากได้เจ้าครอบครอง... เชื่อเฉิน... เอ้ย... เชื่อข้าแล้วจะดี ข้าถามแล้วเจ้าตอบตกลงไหม” หญิงสาวพูดพลางมองนางกำนัลส่วนตัวของเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกัน ยินยอมที่จะตอบคำถามที่เธออยากรู้ทุกอย่างชายแดนเมืองจิงโจจวนแม่ทัพภายในห้องบรรทมชินอ๋องพระวรกายสูงใหญ่ของจอมมารชินซางทรงบรรทมสนิทในเวลาแห่งรัตติกาล ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาจอมมารหนุ่มหรือชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ดำรงพระชนม์ชีพดั่งเช่นมนุษย์ธรรมดาเดินดินทั่วไป มีความรู้สึกร้อน หนาวและเจ็บป่วย รวมไปถึงได้รับบาดแผลจากการทำสงครามไม่แตกต่างจากผู้อื่นแม้แต่น้อย ในเวลานี้ไอจอมมารและพลังปีศาจที่ทรงมีอยู่คู่พระวรกายได้เลือนหายไปจนหมดสิ้นนับตั้งแต่ปานไฟอัคคีย้ายไปสถิตอยู่กับคู่ชะตาของพระองค์จอมมารจึงคงเหลือเพียงวรยุทธ์จากดินแดนปีศาจที่ทรงฝึกฝนมานับหลายแสนปีเท่านั้น เมื่อไอมารเลือนหายความเป็นมนุษย์เข้ามาแทนที่พระองค์จึงเริ่มได้รับบาดเจ็บจากการทำสงคราม บาดแผลปรากฏอยู่บนพระวรกายหลายแห่ง แต่โชคยังดีที่ภายในพระวรกายทรงมีเลือดปีศาจจึงทำให้บาดแผลสมานเข้าหากันได้ในเร็ววัน แต่สิ่งหนึ่งที่หามีผู้ใดล่วงรู้นั่นก็คือทรงไม่มีวันตายเพราะเป็นอมตะทว่าความเป็นอมตะของพระองค์ล้วนอยู่ในปานรูปไฟอัคคีทั้งสิ้น ปานดังกล่าวคือสัญลักษณ์ของจอมมาร พลังเว
แคว้นเทียนโจวเมืองเทียนจิ้น (เมืองหลวงตะวันตก)บริเวณนอกเมืองหลวงแคว้นเทียนโจว มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นแคว้นเดียวที่มีเมืองหลวงด้วยกันถึงสองเมือง มีเมืองหลวงตะวันออกอยู่ที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้น พระราชวังหลวงอันเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนอยู่ที่นี่ในขณะเดียวกันทางตะวันตกซึ่งมีทั้งสายแร่ทองคำและเหมืองหยก มีเมืองเทียนจิ้นเป็นเมืองหลวงตะวันตก ซึ่งเมืองนี้มีความเจริญทางด้านการค้าเป็นแหล่งผลิตทองคำและหยกอีกทั้งเป็นเส้นทางการขนส่งทองคำและหยกไปยังเมืองอื่นๆ และต่างแคว้น ทำให้การค้าของเมืองหลวงตะวันตกและระหว่างแคว้นเจริญรุ่งเรืองคับคั่งยิ่งนักเมืองหลวงตะวันตกนี้โจวเฉินกงฮ่องเต้ได้มีพระบรมราชโองการยกให้ชินอ๋องปกครองเมืองการค้าซึ่งเป็นหัวใจสำคัญหลักของแคว้นเทียนโจว ในขณะที่เมืองเทียนฮุยซึ่งเป็นเมืองหลวงเอก จะเป็นพื้นที่ราบและมีพื้นที่กว้างอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลทางการเกษตรกว้างใหญ่เป็นอู่ข้าวอู้น้ำของแคว้น เป็นของโจวฟางหยางฮ่องเต้ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการลับอีกฉบับสถาป
ในขณะเดียวกันขบวนเสด็จถูกหยุดกลางคันเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของชินอ๋องทรงมีพระบัญชาออกมาเช่นนั้น ภายในรถม้าหน้ากากทองคำที่ทรงเตรียมไว้ถูกนำมาสวมครอบพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารชินซาง ครอบพระพักตร์ตั้งแต่ส่วนบนของหน้าผากทั้งหมดยาวครอบคลุมพระพักตร์ซีกซ้ายจรดปลายคางเผยให้เห็นส่วนพระพักตร์หล่อเหลาทางซีกขวาเท่านั้น ซึ่งลักษณะของหน้ากากดังกล่าวช่างออกแบบเหมือนกับของเฉินวาวาที่กำลังสวมอยู่ในขณะนี้เช่นกัน แตกต่างตรงที่ลวดลายบนหน้ากากเท่านั้นซึ่งหน้ากากของพระองค์สลักลายเป็นเปลวไฟอัคคีพระวรกายสูงใหญ่ในฉลองพระองค์ชุดเกราะของจอมทัพสีดำทะมึน ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่กลางเมืองท่ามกลางประชาชนทั้งสองฝั่งฟากถนน ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้เห็นชินอ๋องหรือเทพเจ้าสงครามตัวเป็นๆ ที่ต่างให้ความเคารพและเทิดทูน และไม่ต้องมีใครบอก ประชาชนรวมไปถึงผู้คนจากต่างแคว้นพากันทรุดกายลงนั่งกับพื้นถวายความเคารพผู้ปกครองของตนทันที“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงประชาชนต่างเอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าพากันชื่นชมพระสิริโฉมของชินอ
ภายในห้องพัก“พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่าท่านลู่เหอ องค์หญิงทรงหายไปเช่นนี้มิรู้จะออกไปตามหาได้ที่ไหน” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิงของตน“ข้าก็กำลังคิดอยู่นี่ไง ขอเวลาหน่อยได้ไหม ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง มันก็ยากที่จะค้นหาพระนางพบ อีกทั้งชินอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ตามหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาวซึ่งตรงกับลักษณะขององค์หญิงทุกประการยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากหลายเท่า”ลู่เหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เหตุใดชินอ๋องจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้นเล่าท่านลู่เหอ ข้าไม่เข้าใจ!” มู่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัย“เจ้าอย่าล่วงรู้อะไรให้มันมากไปหน่อยเลยมู่อิง เอาเป็นว่าในยามนี้องค์หญิงทรงไม่ปลอดภัยเพราะมิรู้ว่าชินอ๋องทรงได้ข่าวระแคะระคายมาหรือเปล่าจึงทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ตราบใดที่ยังหาองค์หญิงไม่พบก็ยังกลับเข้าขบวนเจ้าสาวไม่ได้เช่นกัน และพรุ่งนี้ไม่เกินช่วงบ่ายจะต้องมีรายงานจากทหารอารักขานอกเมืองว่าขบวนเสด็จเจ้าสาวจะใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้น” ลู่เหอกล่าวพร้อมถอนหายใจอ
ในขณะเดียวกัน“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที“โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันทีร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท“ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที“หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนกครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที“เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก”หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยคว
ร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องห
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ