ในขณะเดียวกัน
ขบวนเสด็จถูกหยุดกลางคันเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของชินอ๋องทรงมีพระบัญชาออกมาเช่นนั้น ภายในรถม้าหน้ากากทองคำที่ทรงเตรียมไว้ถูกนำมาสวมครอบพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารชินซาง ครอบพระพักตร์ตั้งแต่ส่วนบนของหน้าผากทั้งหมดยาวครอบคลุมพระพักตร์ซีกซ้ายจรดปลายคาง เผยให้เห็นส่วนพระพักตร์หล่อเหลาทางซีกขวาเท่านั้น ซึ่งลักษณะของหน้ากากดังกล่าวช่างออกแบบเหมือนกับของเฉินวาวาที่กำลังสวมอยู่ในขณะนี้เช่นกัน แตกต่างตรงที่ลวดลายบนหน้ากากเท่านั้นซึ่งหน้ากากของพระองค์สลักลายเป็นเปลวไฟอัคคี พระวรกายสูงใหญ่ในฉลองพระองค์ชุดเกราะของจอมทัพสีดำทะมึน ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่กลางเมืองท่ามกลางประชาชนทั้งสองฝั่งฟากถนน ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้เห็นชินอ๋องหรือเทพเจ้าสงครามตัวเป็นๆ ที่ต่างให้ความเคารพและเทิดทูน และไม่ต้องมีใครบอก ประชาชนรวมไปถึงผู้คนจากต่างแคว้นพากันทรุดกายลงนั่งกับพื้นถวายความเคารพผู้ปกครองของตนทันที “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงประชาชนต่างเอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าพากันชื่นชมพระสิริโฉมของชินอ๋อง ที่พากันยกย่องให้เป็นเทพสงครามกันอย่างเอ็ดอึง พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนกว่าบุรุษปกติทั่วไปในฉลองพระองค์ชุดเกราะสีดำ เกศาสีเงินยวงถูกเกล้าขึ้นสูงม้วนเป็นมวยพร้อมครอบเครื่องประดับพระเกศาสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์เสียบด้วยปิ่นปักผมทำจากหยกสูงค่า พระพักตร์ถูกครอบด้วยหน้ากากทองคำ ทั้งนี้เพื่อปกปิดพระพักตร์จริงมิให้ผู้ใดพานพบ เพื่อความปลอดภัยของพระองค์มิให้ศัตรูจากต่างแคว้นจดจำพระพักตร์จริงได้ ด้วยทรงยกทัพออกตีเมืองมาไว้ในความครอบครองของเทียนโจวมานับไม่ถ้วนย่อมก่อให้เกิดความแค้นอย่างมากมายนั่นเอง ทว่าถึงแม้จะปกปิดเพียงใด ราวกับว่ายิ่งซ่อนเร้นมากเพียงใด ยิ่งทำให้พระองค์น่าค้นหามากยิ่งขึ้น อิสตรีน้อยใหญ่ทั้งในแคว้นและมาจากต่างแคว้นที่เดินทางมาเที่ยวชมเทศกาลลอยโคมประทีปต่างพากันยืนมองพระองค์ด้วยความหลงใหลไปตามๆ กัน เสียงชื่นชมดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่จอมมารชินซางทรงพระดำเนินไปยังบริเวณจุดที่เฉินวาวาเคยยืนอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมา พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณเพื่อสอดส่ายค้นหา ร่างระหงของบุรุษในชุดสีขาว พระวรกายสูงทะมึนก้มลงรับสั่งถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ “เจ้าพบเห็นบุรุษชุดขาวร่างบอบบาง สวมหมวกที่มีผ้าคลุมสีขาวเช่นเดียวกัน ยืนอยู่แถวนี้หรือไม่” รับสั่งพลางทอดพระเนตรชายผู้นั้นเขม็ง ชายคนดังกล่าวคือคนเดียวกันที่ยืนสนทนากับเฉินวาวาเมื่อครู่ที่ผ่านมา ใบหน้าอวบอูมฉีกยิ้มกว้างทันทีครั้นได้ยินชินอ๋องรับสั่งถามตนเช่นนั้น “มะ... มะ... มีบุรุษชุดขาวตามลักษณะยืนอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ” ชายคนดังกล่าวกราบทูลกลับไป พระเนตรสีนิลกาฬฉายแววยินดีขึ้นมาทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “แล้วตอนนี้บุรุษผู้นั้นอยู่ที่ไหน!” รับสั่งถามกลับไปทันที “มะ... มีคนพาออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรทั่วบริเวณดังกล่าวโดยรอบ จอมมารสามารถทอดพระเนตรไม่ว่าระยะไกลเพียงใดก็ทอดพระเนตรได้อย่างชัดเจนราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เพียงตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์เท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะทอดพระเนตรไปทิศทางใดกลับไม่เห็นแม้เพียงเงาพาดผ่าน ราวกับว่ากำลังเลือนหายไปฉันใดก็ฉันนั้น ความรู้สึกกำลังบอกว่านางกำลังจะหายไปจากบริเวณนี้และพระองค์จะต้องค้นหานางให้ถึงที่สุด พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรทางเข้าออกของเมืองทันใด พระหัตถ์ยกขึ้นพร้อมชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังทิศทางดังกล่าว “ปิดประตูเมือง!!!” จอมมารแผดพระสุรเสียงดังกึกก้องขึ้นมาทันที “ปิดประตูเมือง!!!” “ปิดประตูเมือง!!!” “ปิดประตูเมือง!!!” เสียงของกองทหารอารักขาขานรับกันเป็นทอดๆ พลางส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง ดังยาวไปไกลพร้อมคำสั่งปิดประตูเมืองถูกส่งต่อถ่ายทอดไปจนถึงประตูที่จะเข้าสู่เมืองหลวงเทียนฮุยด้วยเช่นกัน “ปัง! ปัง! ปัง!” ประตูเมืองทิศตะวันออกและทิศตะวันตกถูกปิดลงทันทีตามคำสั่งของจอมมาร ประชาชนชาวเมืองเทียนจิ้นและจากต่างแคว้นที่เดินทางมาชมเทศกาลลอยโคมประทีปต่างพากันตกใจกันถ้วนหน้าเมื่อได้ยินพระบัญชาของชินอ๋องให้ปิดประตูเมืองทั้งขาเข้าและขาออกจนหมด พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งดังขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องตกใจ! ข้ากำลังค้นหาคนสำคัญที่สุดในชีวิต หากแม้นผู้ใดพบเห็นบุรุษร่างบอบบางสวมอาภรณ์ขาวและคลุมหมวกผ้าสีขาว รีบนำความไปแจ้งเบาะแสได้ที่จวนของข้า รางวัลสำหรับผู้ให้เบาะแสหนึ่งร้อยใบไม้ทองคำ!” สิ้นพระสุรเสียงชาวเมืองต่างพากันเอ็ดอึงกันอย่างถ้วนหน้ากับรางวัลก้อนใหญ่ “โอ้โฮ หนึ่งร้อยใบไม้ทองคำ!!!” แต่ละคนรีบกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณและเริ่มมีปฏิกิริยาค้นหาบุรุษที่มีลักษณะตามรับสั่ง ในขณะที่จอมมารชินซางส่งสัญญาณให้กองทหารอารักขาของพระองค์เช่นกัน “ค้นให้ทั่ว!” รับสั่งสุรเสียงดังก้อง “พ่ะย่ะค่ะ!” กองทหารอารักขาขานรับเร็วพลัน พร้อมแยกย้ายออกค้นหาลักษณะของบุรุษตามรับสั่ง ท่ามกลางสายตาขององครักษ์ลู่เหอ ที่ยืนปะปนสังเกตการณ์กับชาวเมืองเทียนจิ้นอยู่ในเวลานั้น “ชินอ๋องมีรับสั่งให้ค้นหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาว คลุมหมวกผ้าขาวทำไมกันนะ ทรงล่วงรู้อะไรมาหรือไรจึงมีรับสั่งเช่นนั้น ลักษณะของบุรุษก็ช่างตรงกับองค์หญิงเสียนี่กระไร” ลู่เหอรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “แย่แล้ว! นั่นมันลักษณะขององค์หญิง! ไม่ได้การแล้ว!” ร่างสูงขององครักษ์หนุ่มรีบเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว สายตารีบควานหาร้านเสื้อผ้าของบุรุษอย่างเร่งด่วน ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นร้านขายเสื้อผ้าของบุรุษฝั่งตรงกันข้าม ร่างสูงรีบข้ามถนนเดินตรงไปยังร้านดังกล่าวเพื่อซื้อเสื้อผ้าบุรุษชุดใหม่โดยเร็ว “เถ้าแก่! ขอชุดเดินทางลำลองพร้อมหมวกผ้าคลุมสีอะไรก็ได้ยกเว้นสีขาวมาหน่อยสักสองสามชุด!” ลู่เหอรีบสั่งรายการที่ตนอยากได้อย่างรวดเร็ว “อ่อ! ได้ขอรับคุณชาย...ว่าแต่เอาขนาดของท่านหรือขนาดไหนดี!” เถ้าแก่ร้านถามกลับไป “ขนาดไหนอย่างนั้นเหรอ!” ลู่เหอกล่าวพร้อมพลางกวาดสายตาไปทั่วร้านเพื่อหาขนาดของคนที่มีรูปร่างและความสูงใกล้เคียงกับองค์หญิงของตน ก่อนจะเห็นลูกจ้างสาวของร้านกำลังเดินเข้ามาพอดี “นั่น! ขนาดเท่าแม่นางผู้นั้น” กล่าวพร้อมชี้มือไปทางลูกจ้างสาวคนดังกล่าว เถ้าแก่ร้านมองตามไปยังทิศทางที่ลู่เหอชี้ไปทันที ก่อนจะนิ่วหน้าเข้าหากัน “ขนาดเล็กสุดแบบนั้นมิรู้ว่าจะยังมีไหม บุรุษร่างเล็กบอบบางเช่นนั้นร้านของข้าไม่ค่อยมีแต่จะลองหาดู” เถ้าแก่คนดังกล่าวตอบกลับมา “เจ้ามีเท่าไรก็เอามาเถิด... ข้ามีเวลาไม่มาก...เร็วๆ เข้า!” ลู่เหอรีบกล่าวตัดบท “ดะ... ได้! ท่านรอสักครู่... อะไรจะรีบขนาดนั้น” ประโยคสุดท้ายเถ้าแก่ร้านบ่นพึมพำในขณะเดียวกัน
ท่ามกลางสายตาของผู้ติดตามที่เห็นองค์หญิงของตนเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น แต่ละคนตกใจทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันทีเมื่อพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว “องค์หญิงหายไปไหน! พวกท่านเห็นเหมือนกับข้าไหม! เห็นไหม!” มู่อิงรีบหันกลับไปถามองครักษ์ทั้งหกนาย “พวกข้าก็เห็นเหมือนกับเจ้านั่นแหละมู่อิง... เป็นไปได้อย่างไรที่องค์หญิงทรงหายไปเช่นนั้น พระนางทรงมีวิชาเร้นกายอย่างนั้นหรอกรึ” หนึ่งในทหารองครักษ์เอ่ยถามมู่อิงกลับมา “ถามแบบนี้แล้วคิดว่าข้าจะตอบพวกท่านได้อย่างนั้นหรอกเหรอ หรือว่าพวกเราตาฝาดกันไปเอง องค์หญิงคงพระดำเนินเร็วกว่าพวกเรากระมัง” “เห็นพร้อมกันว่าทรงหายไปต่อหน้าต่อตา แล้วยังจะบอกว่าทรงพระดำเนินหายไปได้ยังไงมู่อิง ไม่ได้การแล้วต้องรีบรายงานท่านลู่เหอ” องครักษ์คนดังกล่าวเอ่ยขึ้นมาทันทีก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นร่างสูงของหัวหน้าตนกำลังวิ่งตรงมาหาเข้าให้พอดี ครั้นลู่เหอวิ่งมาถึงองครักษ์หนุ่มกวาดสายตามองหาองค์หญิงของตนทันใด “องค์หญิงไปไหน! เหตุใดจึงมีแต่เพียงพวกเจ้าที่พากันยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น!” องครักษ์หนุ่มเอ่ยถามก่อนจะได้ยินเสียงของมู่อิงเอ่ยตอบกลับมา “อะ... องค์หญิงหายไปแล้วเจ้าค่ะ” “อะไรนะ!” ลู่เหอร้องเสียงหลงออกมาทันที “พวกเจ้าอารักขากันอย่างไรจึงพลัดหลงองค์หญิงไปได้ แยกย้ายกันค้นหาเร็วเข้า!” ลู่เหอสั่งการออกไปทันที ทว่าบรรดาองครักษ์ทั้งหกนายและมู่อิงต่างหันกลับมามองหน้ากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “จะไปตามองค์หญิงที่ใดได้เล่าเจ้าคะ พระนางทรงเลือนหายไปต่อหน้าพวกข้าทั้งหมดนี้เลย ไม่ได้พลัดหลงแม้แต่น้อยและพวกข้าก็เห็นพร้อมกันไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด เพิ่งจะรู้ว่าองค์หญิงทรงมีวิชาเร้นกายด้วย จึงเร้นพระวรกายหายไปได้เองเช่นนี้” นางกำนัลมู่อิงกล่าวรายงาน และนั่นทำให้องครักษ์ลู่เหอถึงกับยืนนิ่งไปโดยพลันครั้นได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่คำพูดของผู้ติดตามทั้งหมดเฉินวาวาที่อยู่ในร่างล่องหนซึ่งมิได้เดินจากไปไหนแม้แต่น้อย ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ถึงกับยืนงงเป็นไก่ตาแตกไปเลยทีเดียวครั้นได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก้มลงมองเรือนกายของตัวเองซึ่งบัดนี้โปร่งแสงเลือนรางส่องประกายระยิบระยับ “อะไรกันนี่! ทำไมฉันล่องหนหายตัวได้จริงๆ พวกเขาไม่เห็นเราอย่างนั้นเลยเหรอ... ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แค่คิดเล่นๆ ก็ดันเป็นจริงได้ อะไรมันจะขนาดนั้น... ฝันไปหรือเปล่าเฉินวาวา” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือบิดเข้าที่ต้นแขนของเธออย่างแรง “อูยยยย... เจ็บวุ้ย! ไม่ได้ฝันแฮะ แต่มันคือเรื่องจริง” หญิงสาวยืนรำพึงรำพันก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเจ้าเล่ห์ส่องประกายวาววับขึ้นมาทันที “ว้าว! แบบนี้ก็ดีน่ะสิอยากไปไหนแค่คิดก็เลือนหาย” หญิงสาวรำพึงอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแต่แล้วหน้าที่เบิกบานเมื่อครู่ที่ผ่านมาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน “เฮ้ย! ไม่ได้สิ แล้วถ้าเกิดล่องหนแบบนี้ไปตลอดมันก็เหมือนผีชัดๆ ไม่ได้! ไม่ได้! ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นถึงจะอึดอัดเพราะมีแต่คนคอยเดินตามอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ดีกว่าอยู่คนเดียวเพียงลำพังในยุคโบราณที่ฉันไม่รู้จักใครเลยแบบนี้ ไม่ได้การแล้วทำไงดี ถึงจะหายจากการล่องหนได้!” หญิงสาวพยายามครุ่นคิดหาวิธีเป็นการใหญ่ก่อนจะเบิกตากว้าง “คิดออกแล้ว! ถ้าเช่นนั้นก็จะต้องลองพิสูจน์ว่าเพียงแค่คิดก็จะได้อย่างที่นึกเอาไว้ ถ้าเช่นนั้น…” ยังมิทันที่เธอจะกล่าวสิ่งใดออกไปคณะผู้ติดตามของหญิงสาวก็ต้องแตกฮือทันที กองทหารอารักขาหลายสิบนายกำลังเดินตรงเข้ามาใกล้จุดที่องครักษ์ลู่เหอและผู้ติดตามของเฉินวาวา เป็นเหตุให้หัวหน้าองครักษ์ต้องแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าทันที “นี่พวกเรา! คืนนี้พากันค้างคืนที่โรงเตี๊ยมนี้กันเถอะ พอพลบค่ำค่อยออกมาลอยโคมประทีป” ลู่เหอแสร้งเอ่ยเสียงดังขึ้นมาทันทีพร้อมรีบเดินนำหน้าก่อนจะส่งสัญญาณให้ทุกคนก้าวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม “อ้าวเฮ้ย! รอกันด้วยดิ! อย่าเพิ่งทิ้งกันไป!” หญิงสาวตะโกนไล่หลังพลางวิ่งตามไปติดๆ ร่างโปร่งแสงเลือนรางเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงกลางถนน ในขณะที่จอมมารหนุ่มทรงยืนสูงทะมึนทอดพระเนตรไปโดยรอบอยู่ตลอดเวลาและแล้วสายพระเนตรพลันกระทบเข้ากับกลุ่มขององครักษ์ลู่เหอที่กำลังเดินข้ามถนนตรงเข้าไปในโรงเตี๊ยมโดยมีร่างล่องหนของเฉินวาวาเดินตามรั้งท้าย ทว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรร่างล่องหนของคู่ชะตาที่ทรงพยายามค้นหามาโดยตลอด พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรผ่านไปยังทิศทางอื่นหากปานไฟอัคคียังสถิตอยู่กับพระองค์ เฉินวาวาไม่มีทางรอดพ้นจากสายพระเนตรไปได้อย่างแน่นอน พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนยังคงยืนนิ่งอยู่กลางเมืองเช่นนั้นภายในห้องพัก“พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่าท่านลู่เหอ องค์หญิงทรงหายไปเช่นนี้มิรู้จะออกไปตามหาได้ที่ไหน” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิงของตน“ข้าก็กำลังคิดอยู่นี่ไง ขอเวลาหน่อยได้ไหม ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง มันก็ยากที่จะค้นหาพระนางพบ อีกทั้งชินอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ตามหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาวซึ่งตรงกับลักษณะขององค์หญิงทุกประการยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากหลายเท่า”ลู่เหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เหตุใดชินอ๋องจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้นเล่าท่านลู่เหอ ข้าไม่เข้าใจ!” มู่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัย“เจ้าอย่าล่วงรู้อะไรให้มันมากไปหน่อยเลยมู่อิง เอาเป็นว่าในยามนี้องค์หญิงทรงไม่ปลอดภัยเพราะมิรู้ว่าชินอ๋องทรงได้ข่าวระแคะระคายมาหรือเปล่าจึงทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ตราบใดที่ยังหาองค์หญิงไม่พบก็ยังกลับเข้าขบวนเจ้าสาวไม่ได้เช่นกัน และพรุ่งนี้ไม่เกินช่วงบ่ายจะต้องมีรายงานจากทหารอารักขานอกเมืองว่าขบวนเสด็จเจ้าสาวจะใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้น” ลู่เหอกล่าวพร้อมถอนหายใจอ
ในขณะเดียวกัน“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที“โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันทีร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท“ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที“หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนกครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที“เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก”หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยคว
ร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องห
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ