ในขณะเดียวกัน
ขบวนเสด็จถูกหยุดกลางคันเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของชินอ๋องทรงมีพระบัญชาออกมาเช่นนั้น ภายในรถม้าหน้ากากทองคำที่ทรงเตรียมไว้ถูกนำมาสวมครอบพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารชินซาง ครอบพระพักตร์ตั้งแต่ส่วนบนของหน้าผากทั้งหมดยาวครอบคลุมพระพักตร์ซีกซ้ายจรดปลายคาง เผยให้เห็นส่วนพระพักตร์หล่อเหลาทางซีกขวาเท่านั้น ซึ่งลักษณะของหน้ากากดังกล่าวช่างออกแบบเหมือนกับของเฉินวาวาที่กำลังสวมอยู่ในขณะนี้เช่นกัน แตกต่างตรงที่ลวดลายบนหน้ากากเท่านั้นซึ่งหน้ากากของพระองค์สลักลายเป็นเปลวไฟอัคคี พระวรกายสูงใหญ่ในฉลองพระองค์ชุดเกราะของจอมทัพสีดำทะมึน ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่กลางเมืองท่ามกลางประชาชนทั้งสองฝั่งฟากถนน ที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้เห็นชินอ๋องหรือเทพเจ้าสงครามตัวเป็นๆ ที่ต่างให้ความเคารพและเทิดทูน และไม่ต้องมีใครบอก ประชาชนรวมไปถึงผู้คนจากต่างแคว้นพากันทรุดกายลงนั่งกับพื้นถวายความเคารพผู้ปกครองของตนทันที “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงประชาชนต่างเอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าพากันชื่นชมพระสิริโฉมของชินอ๋อง ที่พากันยกย่องให้เป็นเทพสงครามกันอย่างเอ็ดอึง พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนกว่าบุรุษปกติทั่วไปในฉลองพระองค์ชุดเกราะสีดำ เกศาสีเงินยวงถูกเกล้าขึ้นสูงม้วนเป็นมวยพร้อมครอบเครื่องประดับพระเกศาสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์เสียบด้วยปิ่นปักผมทำจากหยกสูงค่า พระพักตร์ถูกครอบด้วยหน้ากากทองคำ ทั้งนี้เพื่อปกปิดพระพักตร์จริงมิให้ผู้ใดพานพบ เพื่อความปลอดภัยของพระองค์มิให้ศัตรูจากต่างแคว้นจดจำพระพักตร์จริงได้ ด้วยทรงยกทัพออกตีเมืองมาไว้ในความครอบครองของเทียนโจวมานับไม่ถ้วนย่อมก่อให้เกิดความแค้นอย่างมากมายนั่นเอง ทว่าถึงแม้จะปกปิดเพียงใด ราวกับว่ายิ่งซ่อนเร้นมากเพียงใด ยิ่งทำให้พระองค์น่าค้นหามากยิ่งขึ้น อิสตรีน้อยใหญ่ทั้งในแคว้นและมาจากต่างแคว้นที่เดินทางมาเที่ยวชมเทศกาลลอยโคมประทีปต่างพากันยืนมองพระองค์ด้วยความหลงใหลไปตามๆ กัน เสียงชื่นชมดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่จอมมารชินซางทรงพระดำเนินไปยังบริเวณจุดที่เฉินวาวาเคยยืนอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมา พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณเพื่อสอดส่ายค้นหา ร่างระหงของบุรุษในชุดสีขาว พระวรกายสูงทะมึนก้มลงรับสั่งถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ “เจ้าพบเห็นบุรุษชุดขาวร่างบอบบาง สวมหมวกที่มีผ้าคลุมสีขาวเช่นเดียวกัน ยืนอยู่แถวนี้หรือไม่” รับสั่งพลางทอดพระเนตรชายผู้นั้นเขม็ง ชายคนดังกล่าวคือคนเดียวกันที่ยืนสนทนากับเฉินวาวาเมื่อครู่ที่ผ่านมา ใบหน้าอวบอูมฉีกยิ้มกว้างทันทีครั้นได้ยินชินอ๋องรับสั่งถามตนเช่นนั้น “มะ... มะ... มีบุรุษชุดขาวตามลักษณะยืนอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ” ชายคนดังกล่าวกราบทูลกลับไป พระเนตรสีนิลกาฬฉายแววยินดีขึ้นมาทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “แล้วตอนนี้บุรุษผู้นั้นอยู่ที่ไหน!” รับสั่งถามกลับไปทันที “มะ... มีคนพาออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรทั่วบริเวณดังกล่าวโดยรอบ จอมมารสามารถทอดพระเนตรไม่ว่าระยะไกลเพียงใดก็ทอดพระเนตรได้อย่างชัดเจนราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เพียงตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์เท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะทอดพระเนตรไปทิศทางใดกลับไม่เห็นแม้เพียงเงาพาดผ่าน ราวกับว่ากำลังเลือนหายไปฉันใดก็ฉันนั้น ความรู้สึกกำลังบอกว่านางกำลังจะหายไปจากบริเวณนี้และพระองค์จะต้องค้นหานางให้ถึงที่สุด พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรทางเข้าออกของเมืองทันใด พระหัตถ์ยกขึ้นพร้อมชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังทิศทางดังกล่าว “ปิดประตูเมือง!!!” จอมมารแผดพระสุรเสียงดังกึกก้องขึ้นมาทันที “ปิดประตูเมือง!!!” “ปิดประตูเมือง!!!” “ปิดประตูเมือง!!!” เสียงของกองทหารอารักขาขานรับกันเป็นทอดๆ พลางส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง ดังยาวไปไกลพร้อมคำสั่งปิดประตูเมืองถูกส่งต่อถ่ายทอดไปจนถึงประตูที่จะเข้าสู่เมืองหลวงเทียนฮุยด้วยเช่นกัน “ปัง! ปัง! ปัง!” ประตูเมืองทิศตะวันออกและทิศตะวันตกถูกปิดลงทันทีตามคำสั่งของจอมมาร ประชาชนชาวเมืองเทียนจิ้นและจากต่างแคว้นที่เดินทางมาชมเทศกาลลอยโคมประทีปต่างพากันตกใจกันถ้วนหน้าเมื่อได้ยินพระบัญชาของชินอ๋องให้ปิดประตูเมืองทั้งขาเข้าและขาออกจนหมด พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งดังขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องตกใจ! ข้ากำลังค้นหาคนสำคัญที่สุดในชีวิต หากแม้นผู้ใดพบเห็นบุรุษร่างบอบบางสวมอาภรณ์ขาวและคลุมหมวกผ้าสีขาว รีบนำความไปแจ้งเบาะแสได้ที่จวนของข้า รางวัลสำหรับผู้ให้เบาะแสหนึ่งร้อยใบไม้ทองคำ!” สิ้นพระสุรเสียงชาวเมืองต่างพากันเอ็ดอึงกันอย่างถ้วนหน้ากับรางวัลก้อนใหญ่ “โอ้โฮ หนึ่งร้อยใบไม้ทองคำ!!!” แต่ละคนรีบกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณและเริ่มมีปฏิกิริยาค้นหาบุรุษที่มีลักษณะตามรับสั่ง ในขณะที่จอมมารชินซางส่งสัญญาณให้กองทหารอารักขาของพระองค์เช่นกัน “ค้นให้ทั่ว!” รับสั่งสุรเสียงดังก้อง “พ่ะย่ะค่ะ!” กองทหารอารักขาขานรับเร็วพลัน พร้อมแยกย้ายออกค้นหาลักษณะของบุรุษตามรับสั่ง ท่ามกลางสายตาขององครักษ์ลู่เหอ ที่ยืนปะปนสังเกตการณ์กับชาวเมืองเทียนจิ้นอยู่ในเวลานั้น “ชินอ๋องมีรับสั่งให้ค้นหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาว คลุมหมวกผ้าขาวทำไมกันนะ ทรงล่วงรู้อะไรมาหรือไรจึงมีรับสั่งเช่นนั้น ลักษณะของบุรุษก็ช่างตรงกับองค์หญิงเสียนี่กระไร” ลู่เหอรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “แย่แล้ว! นั่นมันลักษณะขององค์หญิง! ไม่ได้การแล้ว!” ร่างสูงขององครักษ์หนุ่มรีบเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว สายตารีบควานหาร้านเสื้อผ้าของบุรุษอย่างเร่งด่วน ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นร้านขายเสื้อผ้าของบุรุษฝั่งตรงกันข้าม ร่างสูงรีบข้ามถนนเดินตรงไปยังร้านดังกล่าวเพื่อซื้อเสื้อผ้าบุรุษชุดใหม่โดยเร็ว “เถ้าแก่! ขอชุดเดินทางลำลองพร้อมหมวกผ้าคลุมสีอะไรก็ได้ยกเว้นสีขาวมาหน่อยสักสองสามชุด!” ลู่เหอรีบสั่งรายการที่ตนอยากได้อย่างรวดเร็ว “อ่อ! ได้ขอรับคุณชาย...ว่าแต่เอาขนาดของท่านหรือขนาดไหนดี!” เถ้าแก่ร้านถามกลับไป “ขนาดไหนอย่างนั้นเหรอ!” ลู่เหอกล่าวพร้อมพลางกวาดสายตาไปทั่วร้านเพื่อหาขนาดของคนที่มีรูปร่างและความสูงใกล้เคียงกับองค์หญิงของตน ก่อนจะเห็นลูกจ้างสาวของร้านกำลังเดินเข้ามาพอดี “นั่น! ขนาดเท่าแม่นางผู้นั้น” กล่าวพร้อมชี้มือไปทางลูกจ้างสาวคนดังกล่าว เถ้าแก่ร้านมองตามไปยังทิศทางที่ลู่เหอชี้ไปทันที ก่อนจะนิ่วหน้าเข้าหากัน “ขนาดเล็กสุดแบบนั้นมิรู้ว่าจะยังมีไหม บุรุษร่างเล็กบอบบางเช่นนั้นร้านของข้าไม่ค่อยมีแต่จะลองหาดู” เถ้าแก่คนดังกล่าวตอบกลับมา “เจ้ามีเท่าไรก็เอามาเถิด... ข้ามีเวลาไม่มาก...เร็วๆ เข้า!” ลู่เหอรีบกล่าวตัดบท “ดะ... ได้! ท่านรอสักครู่... อะไรจะรีบขนาดนั้น” ประโยคสุดท้ายเถ้าแก่ร้านบ่นพึมพำในขณะเดียวกัน
ท่ามกลางสายตาของผู้ติดตามที่เห็นองค์หญิงของตนเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น แต่ละคนตกใจทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันทีเมื่อพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว “องค์หญิงหายไปไหน! พวกท่านเห็นเหมือนกับข้าไหม! เห็นไหม!” มู่อิงรีบหันกลับไปถามองครักษ์ทั้งหกนาย “พวกข้าก็เห็นเหมือนกับเจ้านั่นแหละมู่อิง... เป็นไปได้อย่างไรที่องค์หญิงทรงหายไปเช่นนั้น พระนางทรงมีวิชาเร้นกายอย่างนั้นหรอกรึ” หนึ่งในทหารองครักษ์เอ่ยถามมู่อิงกลับมา “ถามแบบนี้แล้วคิดว่าข้าจะตอบพวกท่านได้อย่างนั้นหรอกเหรอ หรือว่าพวกเราตาฝาดกันไปเอง องค์หญิงคงพระดำเนินเร็วกว่าพวกเรากระมัง” “เห็นพร้อมกันว่าทรงหายไปต่อหน้าต่อตา แล้วยังจะบอกว่าทรงพระดำเนินหายไปได้ยังไงมู่อิง ไม่ได้การแล้วต้องรีบรายงานท่านลู่เหอ” องครักษ์คนดังกล่าวเอ่ยขึ้นมาทันทีก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นร่างสูงของหัวหน้าตนกำลังวิ่งตรงมาหาเข้าให้พอดี ครั้นลู่เหอวิ่งมาถึงองครักษ์หนุ่มกวาดสายตามองหาองค์หญิงของตนทันใด “องค์หญิงไปไหน! เหตุใดจึงมีแต่เพียงพวกเจ้าที่พากันยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น!” องครักษ์หนุ่มเอ่ยถามก่อนจะได้ยินเสียงของมู่อิงเอ่ยตอบกลับมา “อะ... องค์หญิงหายไปแล้วเจ้าค่ะ” “อะไรนะ!” ลู่เหอร้องเสียงหลงออกมาทันที “พวกเจ้าอารักขากันอย่างไรจึงพลัดหลงองค์หญิงไปได้ แยกย้ายกันค้นหาเร็วเข้า!” ลู่เหอสั่งการออกไปทันที ทว่าบรรดาองครักษ์ทั้งหกนายและมู่อิงต่างหันกลับมามองหน้ากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “จะไปตามองค์หญิงที่ใดได้เล่าเจ้าคะ พระนางทรงเลือนหายไปต่อหน้าพวกข้าทั้งหมดนี้เลย ไม่ได้พลัดหลงแม้แต่น้อยและพวกข้าก็เห็นพร้อมกันไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด เพิ่งจะรู้ว่าองค์หญิงทรงมีวิชาเร้นกายด้วย จึงเร้นพระวรกายหายไปได้เองเช่นนี้” นางกำนัลมู่อิงกล่าวรายงาน และนั่นทำให้องครักษ์ลู่เหอถึงกับยืนนิ่งไปโดยพลันครั้นได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่คำพูดของผู้ติดตามทั้งหมดเฉินวาวาที่อยู่ในร่างล่องหนซึ่งมิได้เดินจากไปไหนแม้แต่น้อย ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ถึงกับยืนงงเป็นไก่ตาแตกไปเลยทีเดียวครั้นได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก้มลงมองเรือนกายของตัวเองซึ่งบัดนี้โปร่งแสงเลือนรางส่องประกายระยิบระยับ “อะไรกันนี่! ทำไมฉันล่องหนหายตัวได้จริงๆ พวกเขาไม่เห็นเราอย่างนั้นเลยเหรอ... ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แค่คิดเล่นๆ ก็ดันเป็นจริงได้ อะไรมันจะขนาดนั้น... ฝันไปหรือเปล่าเฉินวาวา” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือบิดเข้าที่ต้นแขนของเธออย่างแรง “อูยยยย... เจ็บวุ้ย! ไม่ได้ฝันแฮะ แต่มันคือเรื่องจริง” หญิงสาวยืนรำพึงรำพันก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเจ้าเล่ห์ส่องประกายวาววับขึ้นมาทันที “ว้าว! แบบนี้ก็ดีน่ะสิอยากไปไหนแค่คิดก็เลือนหาย” หญิงสาวรำพึงอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแต่แล้วหน้าที่เบิกบานเมื่อครู่ที่ผ่านมาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน “เฮ้ย! ไม่ได้สิ แล้วถ้าเกิดล่องหนแบบนี้ไปตลอดมันก็เหมือนผีชัดๆ ไม่ได้! ไม่ได้! ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นถึงจะอึดอัดเพราะมีแต่คนคอยเดินตามอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ดีกว่าอยู่คนเดียวเพียงลำพังในยุคโบราณที่ฉันไม่รู้จักใครเลยแบบนี้ ไม่ได้การแล้วทำไงดี ถึงจะหายจากการล่องหนได้!” หญิงสาวพยายามครุ่นคิดหาวิธีเป็นการใหญ่ก่อนจะเบิกตากว้าง “คิดออกแล้ว! ถ้าเช่นนั้นก็จะต้องลองพิสูจน์ว่าเพียงแค่คิดก็จะได้อย่างที่นึกเอาไว้ ถ้าเช่นนั้น…” ยังมิทันที่เธอจะกล่าวสิ่งใดออกไปคณะผู้ติดตามของหญิงสาวก็ต้องแตกฮือทันที กองทหารอารักขาหลายสิบนายกำลังเดินตรงเข้ามาใกล้จุดที่องครักษ์ลู่เหอและผู้ติดตามของเฉินวาวา เป็นเหตุให้หัวหน้าองครักษ์ต้องแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าทันที “นี่พวกเรา! คืนนี้พากันค้างคืนที่โรงเตี๊ยมนี้กันเถอะ พอพลบค่ำค่อยออกมาลอยโคมประทีป” ลู่เหอแสร้งเอ่ยเสียงดังขึ้นมาทันทีพร้อมรีบเดินนำหน้าก่อนจะส่งสัญญาณให้ทุกคนก้าวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม “อ้าวเฮ้ย! รอกันด้วยดิ! อย่าเพิ่งทิ้งกันไป!” หญิงสาวตะโกนไล่หลังพลางวิ่งตามไปติดๆ ร่างโปร่งแสงเลือนรางเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงกลางถนน ในขณะที่จอมมารหนุ่มทรงยืนสูงทะมึนทอดพระเนตรไปโดยรอบอยู่ตลอดเวลาและแล้วสายพระเนตรพลันกระทบเข้ากับกลุ่มขององครักษ์ลู่เหอที่กำลังเดินข้ามถนนตรงเข้าไปในโรงเตี๊ยมโดยมีร่างล่องหนของเฉินวาวาเดินตามรั้งท้าย ทว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรร่างล่องหนของคู่ชะตาที่ทรงพยายามค้นหามาโดยตลอด พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรผ่านไปยังทิศทางอื่นหากปานไฟอัคคียังสถิตอยู่กับพระองค์ เฉินวาวาไม่มีทางรอดพ้นจากสายพระเนตรไปได้อย่างแน่นอน พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนยังคงยืนนิ่งอยู่กลางเมืองเช่นนั้นภายในห้องพัก“พวกเราจะทำอย่างไรดีเล่าท่านลู่เหอ องค์หญิงทรงหายไปเช่นนี้มิรู้จะออกไปตามหาได้ที่ไหน” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยถามหัวหน้าองครักษ์ด้วยความเป็นห่วงองค์หญิงของตน“ข้าก็กำลังคิดอยู่นี่ไง ขอเวลาหน่อยได้ไหม ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง มันก็ยากที่จะค้นหาพระนางพบ อีกทั้งชินอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ตามหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาวซึ่งตรงกับลักษณะขององค์หญิงทุกประการยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากหลายเท่า”ลู่เหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เหตุใดชินอ๋องจึงทรงมีพระบัญชาเช่นนั้นเล่าท่านลู่เหอ ข้าไม่เข้าใจ!” มู่อิงถามกลับไปด้วยความสงสัย“เจ้าอย่าล่วงรู้อะไรให้มันมากไปหน่อยเลยมู่อิง เอาเป็นว่าในยามนี้องค์หญิงทรงไม่ปลอดภัยเพราะมิรู้ว่าชินอ๋องทรงได้ข่าวระแคะระคายมาหรือเปล่าจึงทรงมีรับสั่งเช่นนั้น ตราบใดที่ยังหาองค์หญิงไม่พบก็ยังกลับเข้าขบวนเจ้าสาวไม่ได้เช่นกัน และพรุ่งนี้ไม่เกินช่วงบ่ายจะต้องมีรายงานจากทหารอารักขานอกเมืองว่าขบวนเสด็จเจ้าสาวจะใช้เส้นทางผ่านเมืองเทียนจิ้น” ลู่เหอกล่าวพร้อมถอนหายใจอ
ในขณะเดียวกัน“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที“โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันทีร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท“ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที“หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนกครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที“เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก”หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยคว
ร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องห
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
พระราชวังจำลองพิธีอภิเษกสมรสในซีรีส์เรื่องดัง ถ่ายทำฉากกราบไหว้ฟ้าดินระหว่างนางมารร้ายตัวเอกของเรื่องและชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจว ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเฉินวาวาด้วยความรู้สึกยากเกินจะบรรยายออกมาได้ ด้วยทุกอย่างตรงกับพิธีที่การทุกอย่างในยุคอดีต ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสถานที่โดยรอบ บรรดาข้าราชบริพารที่ยืนประจำจุดของตน รวมไปถึงตำแหน่งที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ล้วนเหมือนกันทุกอย่าง“อะ... อะไรกันนี่!” หญิงสาวในชุดเจ้าสาวโบราณในพิธีเตรียมพร้อมเข้าฉากถึงกับยืนตะลึงไปโดยพลันในขณะที่อู๋ชิงเหยียนก็มีอาการไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย ไม่คาดคิดว่าพิธีแต่งงานในยุคโบราณจะยิ่งใหญ่อลังการถึงขนาดนี้“โอ้โฮ! วาวาเธอนี่โคตรโชคดีเลยให้ตายสิ! ได้เข้าฉากแต่งงานยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ ราวกับว่าเข้าไปมีชีวิตในซีรีส์เรื่องนี้เลยนะ” แม่ผู้จัดการสาวกล่าวออกมาตามความรู้สึก“ฉันเคยเข้าพิธีแบบนี้มาแล้วกับชินอ๋องแห่งเทียนโจว และครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ฉันจะได้เข้าพิธีแบบนี้อีก แตกต่างตรงที่คนที่ฉันจะเข้าพิธีในครั้งนี้ไม่ใช่ท่านอ๋องของฉัน”
งานแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรเฉินวาวานั่งเงียบงันอยู่บนรถ SUV ของบริษัทฯ ซึ่งเธอเดินทางมาร่วมงานในฐานะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ของ JCS GOLD MASTER ใบหน้างดงามลึกล้ำถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนเฉิดฉายน่ามองชวนหลงใหลอย่างยิ่งยวด หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับมีแต่ความหม่นหมอง ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนก่อน“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากแม่ผู้จัดการสาว บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกลุ้มใจกับอาการของเพื่อนรัก“วาวา! ถึงงานแล้วไม่ลงเหรอ นั่งเหม่อมาตลอดทาง ไม่ใช่สิ นั่งเหม่อมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นแบบนี้จะสองอาทิตย์แล้วนะ ถามจริงเถอะ! เมื่อไรอาการแบบนี้จะหายไปจากตัวแกเสียที” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดให้เพื่อนรัก“ไม่หาย! ไม่มีใครรักษาฉันหายหรอกเหยียนเหยียน ป่วยกายรักษาด้วยยาหายได้ แต่ป่วยใจคนที่รักษาได้คือคนรักของฉันเท่านั้น มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวที่ทำได้” กล่าวพร้อมหยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที“แปะ!” น้ำตาร่วงหล่นลงมาทันใด“อั้ยยะ! อย่าร้องนะ! อย่าร้อง... ห้ามร้องเด็ดขาดเลย จะต้องเข้าไปในงาน
มณฑลเสฉวน ณ โรงพยาบาลเฉิงตูภายในห้องคนไข้พิเศษพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารชินซางยังคงอยู่ในห้วงญาณหลับใหลมาโดยตลอด พระพักตร์หล่อเหลาตราตรึงรัญจวนจิต รับกับขนตางามงอนเป็นแพยาวสวย พระนาสิกโด่งสันสวยขึ้นเป็นสันคม ภายใต้เกศาสีเงินยาวสยายเต็มหมอนที่กำลังถูกนางพยาบาลใช้แปรงหวีพระเกศาสีเงินยาวสยายอย่างเบามือ“ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล่อยิ่งกว่าพระเอกหนังอีกเลยเนอะ พระเอกบางคนยังหล่อสู้ไม่ได้เลย เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ถึงมีเส้นผมสีบลอนด์เงินแบบนี้ สีเงินสม่ำเสมอไม่ใช่สีขาวเพราะผมหงอกก่อนวัยด้วย แถมสูงเกือบสองเมตร หุ่นก็ดี๊ดี... กล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วนเลย เช็ดตัวให้ทีไรมีความสุขจริงๆ เลยนะเธอ” นางพยาบาลสองคนที่ช่วยกันดูแลคนไข้ปริศนา ต่างคุยกันอยู่ใกล้เตียงด้วยความเคลิบเคลิ้มอย่างยิ่งยวดตั้งแต่จอมมารถูกช่วยขึ้นจากน้ำตกในอุทยานแห่งชาติที่เดียวกันกับเฉินวาวา หากแต่พบพระองค์ห่างไกลออกไปนอนหมดสติอยู่ทางต้นน้ำ หลังจากนั้นได้ถูกช่วยจากเจ้าหน้าที่อุทยานนำส่งโรงพยาบาลเฉิงตู หลังพระชายาเข้าทำการรักษาไปแล้วหนึ่งวัน นับ
ร่างระหงตรงดิ่งเข้าสวมกอดนางพยาบาลที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด ในขณะที่อีกฝ่าย อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนางร้ายหน้าสวยจึงรู้จักชื่อของเธอ สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“คุณเฉินวาวารู้จักชื่อของฉันด้วยเหรอคะ” นางพยาบาลที่เหมือนมู่อิงราวเป็นคนเดียวกันถามทำลายความเงียบหญิงสาวที่กำลังสวมกอดด้วยความดีใจ ยิ้มกว้างพร้อมหยาดน้ำตาก่อนจะปล่อยร่างนั้นออกจากอ้อมกอดของเธอเพื่อสำรวจใบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ครั้นยิ่งมองยิ่งเหมือนมู่อิงในยุคอดีตทำให้เฉินวาวายิ่งหลั่งน้ำตามากขึ้นไปกว่าเดิม“ขอโทษด้วยคะ พอดีคุณเหมือนกับคนที่ฉันรู้จักมากๆ เธอมีชื่อและหน้าตาเหมือนกับคุณพยาบาลไม่มีผิดเพี้ยน ก็เลยทำให้นึกถึงและคิดถึงมากด้วย”หญิงสาวตอบพลางส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมาทันทีนางพยาบาลสาวถึงกับน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันที เธอเอื้อมมือไปจับมือเรียวสวยของนางร้ายที่เธอชื่นชอบ พร้อมเอ่ยปลอบโยน“อย่าร้องไห้เลยนะคะ เดี๋ยวคนที่คุณรู้จักถ้ารู้ว่าร้องไห้เพราะคิดถึงแบบนี้จะไม่สบายใจเอาได้ ร้องไห้มากตาบวมเดี๋ยวไม่สวยนะคะ”หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันทีเม
ยุคอนาคตมณฑลเสฉวน ณ.โรงพยาบาลเฉิงตูภายในห้องพิเศษบัดนี้ร่างงามระหงของเฉินวาวา กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หญิงสาวได้กลับคืนสู่ยุคอนาคต และยังคงอยู่บนผืนแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ เธอหลับใหลตั้งแต่อยู่ในอดีตกาลจนกระทั่งกลับมาสู่อนาคตอย่างไม่คาดฝันร่างของเธอถูกพบอยู่บริเวณน้ำตกในอุทยานแห่งชาติในชุดเกราะและสวมหน้ากากทองคำอยู่ด้วยในขณะนั้น แผลจากคมธนูที่ถูกฮ่องเต้แคว้นเยว่ยิงปักถูกร่างนั้น ถูกเย็บและได้รับรักษาเป็นอย่างดีจากแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีใครล่วงรู้ว่าเธอมาปรากฏกายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่การพบนางร้ายหน้าสวยเฉินวาวาเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหญิงสาวหายสาบสูญไปนานกว่าหนึ่งเดือน อันเป็นระยะเวลาของโลกอนาคตที่ดำเนินอยู่ ซึ่งแตกต่างจากยุคอดีตที่จากมากาลเวลาในยุคอดีตผ่านไปแล้วหนึ่งปีในขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนักข่าวต่างรอทำข่าวกันอย่างเนืองแน่น เมื่อข่าวการค้นพบของเฉินวาวา นางร้ายหน้าสว
ฉับพลันสุรเสียงของจอมมารชินซางดังกระหึ่มท่ามกลางทะเลเพลิง“มันผู้ใดหาญกล้าแตะต้องราชินีของข้า!” สุรเสียงของจอมมารดังกึกก้อง พร้อมพระวรกายค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลเพลิงที่ลุกโชนท่วมสูงทิวเขาต่อหน้ากองทัพของทั้งสามแคว้นท่ามกลางสายตาของมนุษย์ที่มีมากมายเป็นเรือนแสนของสองฝั่งแม่น้ำ ต่างยืนมองอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินปลิวยายสยาย ในขณะที่รองแม่ทัพซึ่งล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างเมื่อเห็นชินอ๋องทรงฟื้นขึ้นดั่งเดิมและปรากฏอยู่ตรงหน้าท่ามกลางทะเลเพลิงอยู่ในขณะนี้“ชินอ๋องทรงฟื้นแล้ว! พระองค์ช่วยพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่องเต้โฉดผู้นี้กำลังจะจับพระชายาถ่วงน้ำ!” รองแม่ทัพตะโกนแทรกออกไปทันทีและนั่นทำให้ชิงอวิ้นฮ่องเต้ถึงกับชะงักงันเมื่อบุรุษสูงใหญ่ตรงพระพักตร์แท้จริงแล้วคือชินอ๋องผู้วายชนม์ไปแล้วเมื่อสามเดือนก่อนแต่บัดนี้กลับมาปรากฏพระวรกายด้วยร่างที่ยังคงรูปมิเน่าเปื่อยแต่อย่างใด“เป็นไปไม่ได้! คนตายแล้วฟื้นคืนกลับมาอย่างนั้นรึ!” รับสั่งรำพึงรำพันในขณะเดียวกันพระวรกายสูงใหญ่ทะ
ในขณะเดียวกันตำหนักลับทันทีที่เฉินวาวาราชินีปีศาจของจอมมาร ปลดปล่อยไอปีศาจจนทำลายแคว้นเยว่พินาศวอดวาย พระวรกายของจอมมารที่ตกอยู่ในห้วงญาณแห่งการหลับใหลมีความรู้สึกขึ้นมาโดยพลัน“ตึก ตึก ตึก” พระวรกายใหญ่เริ่มกระตุกติดต่อกันอย่างไม่รู้สาเหตุแรงกระตุกดังกล่าวราวกับทรงสัมผัสได้ว่าราชินีของพระองค์ตกอยู่ในห้วงอันตราย และทันทีที่ร่างระหงล้มลงหมดสติจอมมารชินซางก็ทรงตื่นจากห้วงญาณแห่งการหลับใหลขึ้นมาทันที“พรึ่บ!” เปลือกพระเนตรเปิดขึ้นทันใดพระเนตรสีเลือดวาววับขึ้นมาทันที พระวรกายใหญ่ลุกพรวดพราดจากฟูกบรรทมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“วาเอ๋อร์! วาเอ๋อร์ของข้า!” รับสั่งเพรียกหาพระชายาพระวรกายใหญ่ลุกจากแท่นพระบรรทมโดยพลัน ก่อนจะซวนเซไปมาเมื่อพระองค์หลับใหลไปนานเกือบสามเดือนแต่ต้องตื่นก่อนกำหนดเพราะความรักที่ทั้งสองมอบให้แก่กันสื่อสัมผัสให้จอมมารชินซางออกจากญาณหลับใหลก่อนกำหนดที่ควรจะเป็น ทำให้การรวบรวมพลังเวทและตบะขั้นที่แปดหวนคืนกลับมาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นบัดนี้พระเนตรสีเล
แคว้นเยว่เมืองหลวงมี่โจแผนผังวางระเบิดตามจุดถูกกางออกอยู่ตรงหน้านางร้ายจากยุคอนาคตในขณะนี้ หญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้ามองตรงไปจากเนินเขาสูง เบื้องล่างคือเมืองหลวงแคว้นเยว่ นามว่ามี่โจเป็นเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง แต่มีสิ่งปลูกสร้างไม่แออัดหรือสร้างติดต่อกัน ด้วยเป็นเมืองที่เพิ่งจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ซึ่งสิ่งปลูกสร้างเดิมถูกเผาทำลายเมืองครั้งผลัดเปลี่ยนราชวงศ์และการแย่งชิงความเป็นใหญ่ดังกล่าวจึงทำให้แคว้นเยว่มิได้เจริญเติบโตเท่าที่ควรจะเป็น เจ้าผู้ครองแคว้นฝักใฝ่ในการทำสงครามโดยมิประมาณตนว่ากองทัพมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด พื้นที่กว้างใหญ่แต่ไม่มีบุรุษลงมือทำการเกษตรเพราะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปรบทำสงครามจนหมด“จุดชนวนแล้วระเบิดกำแพงเมืองที่โอบล้อมให้พังทลายลงทั้งหมด ระเบิดคลังแสงของทหาร ตัดกำลังอาวุธ ระเบิดพระราชวังหลวงเพื่อข่มขวัญฮ่องเต้แคว้นเยว่ ระเบิดวังหลวงให้หมดทุกตำหนักและทุกที่ สุดท้ายระเบิดคลังเสบียงแล้วนำไปแจกจ่ายให้กับชาวเมือง หลังจากนั้นสายน้ำดำที่ฝังอยู่นอกตัวเมืองทุกจุด ให้ระเบิดขึ้นพร้อมก
แคว้นเยว่ ในขณะเดียวกันท่ามกลางทะเลเพลิงที่ลุกโชนท่วมสูงดั่งขุนเขาต่อหน้ากองทหารของราชินีปีศาจ และกองทหารแคว้นเยว่ที่ควบคุมตัวเฉินวาวาเอาไว้ตั้งแต่คราแรก หากแต่ในเวลานี้ต่างยอมจำนนกันหมดสิ้นทุกสายตาต่างยืนมองทะเลเพลิงเบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าม้าคล้ายกองกำลังทหารกลุ่มใหญ่วิ่งมาหยุดอยู่ด้านหลัง พร้อมกำลังทหารกระจายล้อมรอบไปทั่วบริเวณ“อะไรกันนี่! แคว้นเยว่ถูกทำลา