ในขณะเดียวกัน
“จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของเฉินวาวาดังออกมาจนเจ้าตัวที่กำลังหลับอยู่ในขณะนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที “โอ๊ยยยย!หิวข้าวจังเลย” หญิงสาวรำพึงรำพันออกมาทันที ร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง เมื่อไม่พบผู้ติดตามของเธอหลงเหลือสักคนไม่เว้นแม้กระทั่งมู่อิง นางกำนัลคนสนิท “ไปไหนกันหมดนะ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำด้วยความสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “หรือว่าพากันออกจากเมืองกลับไปที่ขบวนเจ้าสาวแล้ว!” หญิงสาวกล่าวอย่างตื่นตระหนก ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ลู่เหอซื้อติดมือมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เป็นเป้าหมายเป็นชุดอื่นแทน หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันที “เฮ้อ! โล่งอกไปทีพวกเขายังไม่พากันไปไหน ยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าหายไปหมดแบบนี้หรือว่าจะออกไปตามหาเราอีก” หญิงสาวยืนครุ่นคิดก่อนจะได้ยินเสียงอึกทึกและการละเล่นต่างๆ เริ่มต้นการแสดงในเทศกาลลอยโคมประทีปของค่ำคืนนี้ ร่างระหงก้าวตรงไปที่หน้าต่างทันใดพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งยวด “โอ้โฮ! สวยจังเลย” หญิงสาวแหงนคอมองโคมไฟที่กำลังค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางพระจันทร์กลมโตกำลังส่องแสงสุกสกาวไปทั่วผืนฟ้าเบื้องบน “ฉันอยากลอยโคมประทีปจังเลย ดูสิเทศกาลนี้มีมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน แต่ทำไมในยุคนี้ถึงได้สวยจับใจและมีมนต์ขลังเช่นนี้หนอ ทำยังไงถึงจะปรากฏกายได้ แล้วไปลอยโคมประทีปกับคนอื่นบ้างนะ” หญิงสาวเฝ้ารำพึงรำพัน “พรึ่บ!” ร่างที่กำลังล่องหนค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นมาทันใด ทันทีที่เธอเอ่ยออกมาเช่นนั้นโดยที่เฉินวาวาก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าสามารถปรากฏร่างได้แล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่าภายในถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน จอมมารชินซางทรงพระดำเนินปะปนอยู่กับฝูงชนที่เดินเที่ยวชมเทศกาลลอยโคมประทีปกันอย่างคับคั่ง และพระองค์อยู่ห่างจากโรงเตี๊ยมดังกล่าวเพียงสองร้านค้าก็ก้าวถึงแล้วนั่นเอง ท่ามกลางฝูงชนอันล้นหลามที่เดินผ่านไปมา จอมมารกวาดสายพระเนตรค้นหาเยว่วาวาของพระองค์ไปตลอดตามทางที่ก้าวเดิน ทรงค่อยๆ พระดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยมิได้เร่งรีบใช้สายพระเนตรที่สามารถทอดพระเนตรในระยะใกล้ไกลดั่งอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ไปตลอดทาง ก่อนจะแหงนพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรโคมประทีปที่ถูกจุดค่อยๆ ลอยขึ้นกันอย่างคับคั่ง พระเนตรสีนิลกาฬเหลือบไปพบร่างบอบบางเล็กๆ ผลุบหายออกจากหน้าต่างเข้าไปด้านในเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะถูกสายพระเนตรของพระองค์ปะทะเข้าให้อย่างจัง สายพระเนตรยังคงจับอยู่ที่โคมประทีปอยู่ตลอดเวลา ครั้นทรงย้อนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ในเทศกาลลอยประทีปพระองค์เคยทรงตามหาสตรีที่ทรงรักอย่างสุดหัวใจแต่นางกลับมอบหัวใจให้บุรุษอื่นแทนที่จะเป็นพระองค์ “เยว่วาวาเจ้าอยู่แห่งหนใดหนอ รู้ไหมว่าข้ามิเคยปล่อยโคมประทีปเลยสักคราเพราะหามีผู้ใดเคียงข้างกายข้าที่จะร่วมอธิษฐานไปด้วยกัน” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัย หัวใจของจอมมารเพียรเฝ้าคะนึงหาแต่โฉมตรู ในขณะที่คนเฝ้าคะนึงหาอยู่ตลอดเวลานั้นกำลังอ้าปากค้างด้วยความดีใจสุดขีด เมื่อเห็นร่างของเธอปรากฏอยู่หน้ากระจกสัมฤทธิ์ สองมือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าก่อนจะหยิกแก้มของตัวเองอย่างแรง “อูยยยย!เจ็บ!!!” หญิงสาวกล่าวพร้อมฉีกยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความดีใจ “เย้!!!” เธอส่งเสียงออกมาอีกคำรบ พร้อมยกท่อนแขนกำมือเข้าหากันจนแน่นกระชากลงเป็นท่าที่แสดงออกถึงความสำเร็จที่บังเกิดขึ้น “ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องติดอยู่ในร่างล่องหนไปตลอดกาลดีใจจังเล้ย! ต่อไปจะต้องระวังคำพูดให้มาก หาไม่แล้วถ้าพูดไม่รู้จักคิดเกิดกลายเป็นหมู หมา กา ไก่แล้วคืนร่างไม่ได้เฉินวาวาเอ๋ยเฉินวาวาเธอต้องตายแน่ๆ ถ้าต้องเป็นแบบนั้น คงต้องหนีจากการถูกเชือดกลายเป็นอาหารจนหัวซุกหัวซุนเลยทีเดียว” หญิงสาวรำพึงรำพันก่อนจะหันรีหันขวางไปรอบห้อง “เอาไงดี... จะรอมู่อิงและลู่เหอกลับมาก่อนแล้วค่อยออกไป หรือเราจะออกไปเพียงลำพัง แต่คงทนรอต่อไปไม่ได้เพราะท้องหิวต้องการอาหารอย่างแรง จะแบกท้องรอพวกเขาอย่างนั้นเหรอหิวตายกันพอดี อีกอย่างฉันอยากไปปล่อยโคมประทีปและก็เดินเที่ยวงานด้วย”หญิงสาวยืนใช้ความคิดพลางเหลือบสายตาไปที่ห่อผ้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง “นึกออกแล้ว! เปลี่ยนเสื้อผ้าซะก็สิ้นเรื่อง เพียงแค่นี้เราก็ไม่ใช่คนตามลักษณะที่อีตาอ๋องบ้าอำนาจพยายามค้นหาแล้วละ คราวนี้ก็จะได้ออกไปหาอะไรกินเสียที หิวจนหูอื้อตาลายไปหมดแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมเดินตรงไปที่ห่อผ้าที่วางไว้บนโต๊ะจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเฉินวาวาปรากฏกายในคราบของบุรุษอีกครา สวมอาภรณ์สีดำทะมึนซึ่งตัดเย็บมาจากผ้าฝ้ายเรียบง่ายไม่ดึงดูดสายตากับผู้ใดพร้อมหมวกผ้าคุลมสีดำสนิทสวมปิดบังความเป็นตัวตนของเธอ หญิงสาวเดินลงจากห้องพักก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ด้านล่างหวังจะสั่งอาหาร “อะไรกันนี่! ไม่มีโต๊ะว่างเลยเหรอ” หญิงสาวยืนบ่นพึมพำเมื่อเห็นผู้คนมากมายนั่งดื่มกินกันเต็มทุกโต๊ะไม่ว่างแม้แต่เก้าอี้เดียว “ดื่มกินกันไม่ยั้งแบบนี้ท่าทางคงลุกยาก ไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้เทศกาลแบบนี้ของกินคงมีขายมากมายอยู่หรอกนะ หญิงสาวบ่นพึมพำพลางก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง ร่างบอบบางถูกผู้ชายตัวอ้วนใหญ่ชนเข้าให้อย่างจัง “พลั่ก!” ร่างน้อยๆ เซถลาไปชนเข้ากับเสาขนาดใหญ่หน้าโรงเตี๊ยมทันที “โป๊ก!” หน้าผากกระแทกเข้ากับเสาอย่างจัง หน้ากากทองคำที่เธอสวมอยู่ในขณะนั้น กดทับลงบนปานไฟอัคคีจนปานของจอมมารห้อเลือดขึ้นมาทันใด และเลือดของเธอทำให้การส่งพลังของปานไฟอัคคีดับวูบลงโดยพลัน มิสามารถส่งกระแสนำทางให้แก่จอมมารผู้เป็นเจ้าของได้ล่วงรู้ในการปรากฏกายของเธอแต่อย่างใด “เฮ้ย! ไอ้หนูเดินไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้เมาหรือเปล่า! ชนแล้วไม่ขอโทษด้วย!” หนุ่มอ้วนคนดังกล่าวต่อว่าเธอทันที ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นหน้ากากทองคำที่ครอบใบหน้าวาววับลอดผ้าคลุมออกมาให้เห็นด้วยความบังเอิญ “หน้ากากทองคำ!” ชายตัวใหญ่คนดังกล่าวรำพึงออกมาทันที ดวงตาเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นมาทันใด เฉินวาวาที่กำลังมึนกับการถูกชนอย่างแรงค่อยๆ พยุงตัวเองให้หันกลับมามองคนที่ชนเธอทันที “ลุงต่างหากที่เดินชน! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันเดินอยู่ดีๆ ตาไม่ได้บอดมองเห็นถนนนะขอบอก... จะให้ขอโทษเหรอไม่มีทางหรอก! เชอะ!” หญิงสาวใช้คำกล่าวในยุคปัจจุบันพลางเชิดหน้าขึ้นสูงภายใต้หมวกผ้าที่ปกคลุมใบหน้า “หน็อยไอ้เด็กเมื่อวานซืน! มาว่าข้าชนเจ้าอย่างนั้นเหรอ! รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร! ทั่วทั้งเมืองเทียนจิ้นต่างยำเกรงข้าทั้งนั้น! ขอโทษข้าเดี๋ยวนี้ไอ้หนุ่ม!” ชายอ้วนคำรามลั่นหน้าตาถมึงทึงดุดันเอาเรื่องหนุ่มน้อยร่างบอบบางตรงหน้าอย่างถึงที่สุดเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ต้องการมากกว่าคำขอโทษก็คือหน้ากากทองคำนั่นเอง“ถ้าฉันผิดจริงมีหรือจะไม่ขอโทษ แต่นี่ไม่ผิด! ฝันไปเถอะว่าจะขอโทษ!” เฉินวาวาผู้ที่เกิดมาไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น กล่าวด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างยิ่งยวด
“อย่างนั้นเหรอ!” ชายอ้วนตะเบ็งเสียงดังก้องพร้อมส่งสัญญาณให้ลูกน้องตรงเข้าจัดการหญิงสาวทันที ชายฉกรรจ์สองคนหน้าตาดุดันซึ่งเป็นอันธพาลเป็นมือเป็นเท้าให้กับชายอ้วนคนดังกล่าวกรูเข้าหาหญิงสาวที่กำลังก้าวถอยหลังลงบันไดโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอเห็นคนทั้งสองท่าทางประสงค์ร้ายอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้ย! เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ! บ้านเมืองมีขื่อมีแปรนะ” หญิงสาวต่อว่ากลับไปทันที “เมืองนี้นายท่านของข้าเป็นใหญ่เท่านั้นไอ้หนู!” ชายฉกรรจ์สองคนตะโกนบอกเธอ “เหวอออ... อยู่ไม่ได้แล้ว มีหวังตายแน่!” เฉินวาวากล่าวพร้อมหันหลังกลับสับขาวิ่งยาวๆ รีบหนีออกไปจากหน้าโรงเตี๊ยมทันทีอย่างสุดชีวิต “ตาม!!! จับตัวมาให้ได้! ข้าต้องการหน้ากากทองคำของมัน!” ชายอ้วนตะโกนสั่งการออกไปทันที ความบันเทิงจึงบังเกิดขึ้นทันใด เฉินวาวาถูกชายฉกรรจ์วิ่งตามอย่างไม่ลดละในขณะที่เธอสับขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตท่ามกลางฝูงชนมากมายที่กำลังเดินชมงานกันอย่างคับคั่ง “โอ๊ยยยย! จะวิ่งตามไปถึงไหน... ก็บอกว่าไม่ผิด!ไม่ผิด!” หญิงสาวพูดไปวิ่งหนีไปจนกระทั่งเมื่อเธอเริ่มจวนตัว เฉินวาวามองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่สวมชุดสีดำทะมึนเหมือนกับเธอทุกอย่างกำลังยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลจากเธอมากนัก ร่างสูงใหญ่บึกบึนใหญ่โตและน่าเกรงขามเสียนี่กระไร ครั้นเธอเห็นเช่นนั้นหญิงสาวรีบวิ่งตรงเข้าไปหา พลางยืนซุกอยู่ด้านหลังร่างใหญ่นั้นเพื่อใช้เป็นเกราะกำบังก่อนจะรีบขอความช่วยเหลือทันที “พี่ชายได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ! คนพวกนี้พยายามจะทำร้ายข้า! ไม่คิดเลยว่าชาวเทียนจิ้นจะไร้อารายะถึงเพียงนี้ ไล่ทำร้ายคนต่างแคว้นที่มาเดินเที่ยวชมงานอย่างไม่เกรงกลัวกฎบ้านกฎเมือง! โอ๊ยยย... เหนื่อย!” หญิงสาวกล่าวพลางส่งเสียงหอบไปพร้อมใช้มือดึงรั้งตัวชุดของบุรุษที่สวมอยู่เอาไว้จนแน่นเพื่อมิให้หนีหายไปจากเธอ ร่างใหญ่ที่กำลังยืนเป็นเกราะกำบังให้กับเธออยู่ในขณะนั้น หันกลับไปมองชายฉกรรจ์สองคนที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาอย่างน่ากลัว “ไอ้หนู! ออกมาซะดีๆ! อย่าต้องให้ใช้กำลังมากไปกว่านี้... ตามข้ากลับไป!” “ไม่ไป!ข้าไม่รู้จักพวกเจ้า!อยู่ดีๆ มาตามจับข้าทำไมไอ้พวกอันธพาล!”หญิงสาวเถียงกลับไปอย่างไม่ลดละ ก่อนจะได้ยินเสียงสองอันธพาลเอ่ยถามบุรุษที่ยืนเป็นเกราะกำบังให้กับเธออยู่ในขณะนี้ “เจ้าเกี่ยวอะไรกับเด็กหนุ่มผู้นั้นจึงยืนเป็นเกราะกำบังให้เช่นนั้น” สองอันธพาลเอ่ยถามกลับมา ร่างสูงใหญ่ยังคงยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะหันหน้ากลับมาถามเธอ “เจ้าถูกคนพวกนี้ตามล่ามาด้วยเหตุใด” เสียงทุ้มแฝงเร้นอำนาจถามเธอกลับมา เฉินวาวาส่ายหน้าไปมาติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้านายของพวกเขาเป็นฝ่ายเดินชนข้าต่างหาก แต่กลับให้ข้าขอโทษ ซึ่งข้าไม่ผิดนะจะให้ทำตามที่บอกได้ยังไง ข้าทำไม่ได้หรอก! คนอย่างข้าถ้าผิดยอมรับผิด ถ้าไม่ผิดข้าไม่ยอมเป็นตายร้ายดียังไงข้าก็ไม่ยอม!” หญิงสาวอธิบายพร้อมอารมณ์ฉุนก็เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าเจ้าอาจถึงตายหากไม่ขอโทษคนพวกนั้นนะรึ!” เสียงนั้นถามย้ำกลับมา “อือ! ใช่!” เฉินวาวาเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นพลางพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ภายใต้หมวกผ้าคลุมปิดบังอำพรางตัวตนก่อนจะหันกลับไป “พวกเจ้ากลับไปซะเถอะ! ให้เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้ เป็นผู้ใหญ่แกล้งเด็กมันน่าละอาย มากกว่าน่ายกย่อง” เสียงนั้นกล่าวเตือนสองอันธพาล “ท่าทางเจ้าคงอยากเจ็บตัวจึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา จะกลับไปได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ขโมยหน้ากากทองคำจากเจ้านายของพวกข้าไป!” สองอันธพาลกุเรื่องโกหกขึ้นมาทันที และนั่นทำให้ดวงตากลมโตของเฉินวาวาวาวโรจน์ขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ร่างเล็กๆ ที่ซุกอยู่ด้านหลังชายคนดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทันที เมื่ออาการไม่เกรงกลัวใครกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว สองแขนยกมือขึ้นเท้าสะเอวพร้อมตวาดกลับไป “เฮ้ย! พูดให้มันดีๆนะ !หน้ากากทองคำเป็นของข้า! ถูกทำขึ้นมาเพื่อครอบใบหน้าของข้าโดยเฉพาะ! เจ้านายของพวกเจ้าตัวอ้วนใหญ่หน้าบานเท่ากับฝาบ้านแบบนั้นจะสวมหน้ากากของข้าได้ยังไง ไอ้พวกมิจฉาชีพ!!!” หญิงสาวใช้ถ้อยคำปัจจุบันต่อว่าต่อขานสองอันธพาลเป็นการใหญ่ ถ้อยคำของเฉินวาวาทำให้บุรุษร่างสูงทะมึนยืนฟังด้วยความสนใจ ดวงตาสีนิลกาฬจับจ้องอยู่ทางด้านหลังเด็กหนุ่มร่างเล็กสวมชุดสีดำและหลายอย่างในตัวหนุ่มน้อยผู้นี้ทำให้ร่างสูงใหญ่ยังคงยืนอยู่เช่นนั้น ในขณะเดียวกันสองอันธพาลต่างพากันยืนงงเมื่อฟังเฉินวาวารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง “เด็กหนุ่มผู้นี้พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง! อย่าเสียเวลาอยู่เลย รีบจับกลับไปให้นายท่านเถอะขืนชักช้าข้าและเจ้าที่จะเป็นฝ่ายถูกเล่นงาน” กล่าวพร้อมพากันกรูเข้ามาหาร่างเล็กบอบบางทันที “เหวอออ!!!” เฉินวาวาถึงกับตกใจผงะถอยหลังเมื่อสองอันธพาลดาหน้าเข้ามาหาเธอ สองแขนยกขึ้นมาทันทีเพื่อป้องกันตัวเองตามสัญชาติญาณพร้อมหลับตาปี๋ ทันใดนั้นเองร่างบอบบางถูกท่อนแขนใหญ่กำยำโอบเอวเล็กคอดกิ่วจากทางด้านหลังพร้อมดึงรั้งเข้าหาร่างใหญ่ก่อนกอดกระชับเอาไว้อยู่เช่นนั้น ในขณะที่สองอันธพาลกำลังกรูเข้ามาหา ฝ่ามือใหญ่กระแทกลงบนหน้าอกทั้งสองทันที “พลั่ก! พลั่ก!” ร่างของสองอันธพาลลอยละลิ่วกระเด็นออกไปไกลจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ก่อนจะรีบลุกวิ่งหนีไปจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของเฉินวาวาที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง “ว้าววว! นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าพลังจอมยุทธ์ของคนสมัยโบราณ เฉินวาวาเอ๋ยเฉินวาวาช่างเป็นบุญตาของเธอเสียจริงๆ ที่ได้มีโอกาสมาเห็นอะไรแบบนี้” หญิงสาวกล่าวพร้อมแหงนหน้ามองผู้มีพระคุณที่ยังคงกอดเอวของเธออยู่เช่นนั้น “โห! คนโบราณทำไมสูงจังเกือบสองเมตรเลยกระมัง” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะดิ้นขลุกขลักให้ตัวเองเป็นอิสระเหมือนเด็กน้อยกำลังถูกผู้ใหญ่อุ้มอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถที่จะหลุดออกจากท่อนแขนแข็งแกร่งที่กำลังกอดรัดเอวของเธออยู่ในขณะนี้ไปได้เลยจนกระทั่ง “จ๊อกกกก!!!” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารส่งเสียงสำแดงออกมาอีกครา และครั้งนี้ดังกว่าเดิมจนอีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจน “ฮือออ!!! เสียงอะไร!!” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ในขณะที่หญิงสาวหน้าแดงก่ำด้วยความอายเมื่อท้องเจ้ากรรมส่งเสียงร้องดังโครกครากออกมาเช่นนั้น เฉินวาวายกมือทั้งสองข้างขึ้นจับท่อนแขนใหญ่พร้อมเอ่ยขึ้น “พี่ชายปล่อยข้าเถอะ! แขนของท่านรัดเอวข้าจนหายใจไม่ออกไปหมดแล้ว” หญิงสาวบ่นพึมพำ “เช่นนั้นรึ!” เสียงนั้นเอ่ยตอบกลับมาพลางค่อยๆ คลายท่อนแขนใหญ่ออกจากร่างระหงดังกล่าว ครั้นเฉินวาวาเป็นอิสระเธอหันหน้ากลับมามองหน้าผู้มีพระคุณ “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อร่างของเธอพ้นจากการกอดรัด มือเรียวยกขึ้นสะบัดไปมาติดๆ กันเพื่อพัดให้เกิดลม และท่าทางดังกล่าวของหญิงสาวทำให้ผู้มีพระคุณของเธอหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอโดยไม่รู้ตัว เพียงครู่เฉินวาวายกมือทั้งสองข้างประสานเข้าหากัน พลางก้มคำนับผู้มีพระคุณของเธออย่างนอบน้อม “ข้าน้อยขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเหลือชีวิต บุญคุณครั้งนี้จะไม่ลืมเลือนเลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมคลายมือที่ประสานนั้นออกก่อนจะยกแม่นิ้วโป้งชูขึ้นมาทันทีพร้อมเอ่ยบทละครที่เธอเคยสวมบทบาทในซีรีส์ย้อนยุคมาใช้ “พี่ชายท่านช่างเก่งกาจยิ่ง เพียงแค่สองหมัดก็สยบอันธพาลพวกนั้นได้แล้ว ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าน้อยขอนับถือ” เฉินวาวาพูดพลางเอียงคอมองไปมาพร้อมส่งยิ้มหวานให้ผู้มีพระคุณของเธอ ภายใต้หมวกผ้าคลุมที่ปิดบังอำพรางใบหน้าเอาไว้ หัวแม่นิ้วโป้งยังคงชูขึ้นอยู่เช่นนั้น เฉินวาวาไม่รู้ตัวเลยว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอ แท้จริงแล้วคือจอมมารชินซางหรือชินอ๋องของแคว้นเทียนโจว บุรุษอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย เจ้าของดวงตาสีเลือดที่เธอมิเคยลืมเลือนและเป็นบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่หญิงสาวหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิต ท่ามกลางพระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารทรงจับจ้องบุรุษร่างบอบบางที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาร่างบอบบางที่อยู่ในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำทะมึน ส่งยิ้มหวานให้แก่ผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ ในขณะที่สายพระเนตรของจอมมารทรงจับจ้องร่างหนุ่มน้อยตรงหน้าพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในท่าทางและถ้อยเจรจาที่แปลกประหลาดซึ่งพระองค์มิเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน“วันหน้าหากได้พบกันอีก ข้าน้อยจะแทนคุณที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้อย่างแน่นอน สิ่งใดที่พี่ชายต้องการให้ช่วยเหลือข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้าวเข้ามาหาในระยะใกล้พลางเอามือป้องปากเอาไว้“ถ้าข้าได้มีโอกาสมาเมืองนี้อีกนะพี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ พลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงหัวเราะของหนุ่มน้อยร่างบาง พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกลับมา“เอาละข้าน้อยรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่ชายมามากแล้ว ขออำลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน จะไปเดินเที่ยวชมงานสักหน่อย” กล่าวพร้อมหันหลังกลับเดินจากไป“เจ้าชื่ออะไร!” สุรเสียงของจอมมารรับสั่งถามดังขึ้นอยู่เบื้องห
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ