ฉับพลัน! หินศิลารูปไฟอัคคีหลุดติดมือของหญิงสาวออกมาทันใด
“เฮ้ยยย!!!” วาวาอุทานออกมาได้เพียงแค่นั้น หินศิลารูปไฟอัคคีหลุดตกมาอยู่ในอุ้งมือของหญิงสาว ก่อนจะพุ่งทะยานตรงเข้าสถิตกลางหน้าผากของเธอโดยพลัน เปล่งแสงสว่างสีแดงสาดแสงอยู่บนกลางหน้าผาก ก่อนจะเลือนหายไปเพียงชั่วพริบตา เหลือเพียงรอยปานคล้ายหยดน้ำเข้ามาแทนที่ พร้อมการเปลี่ยนแปลงปรากฏขึ้นกับเฉินวาวา ใบหน้างามลึกล้ำปรากฏเส้นเลือดสีแดงแผ่ขยายดังเถาวัลย์ป่าเลื้อยขึ้นเต็มดวงหน้างามเต็มไปหมด ก่อนจะลามเลียลงไปถึงลำคอขาวผ่องและค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วเรือนร่างงาม มองแล้วช่างน่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร เป็นผลจากไฟอัคคีย้ายไปสถิตอยู่ภายในร่างของเธอ ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว ร่างระหงถูกตรึงอยู่กับที่มิอาจขยับเขยื้อนกายได้แม้แต่น้อย ในขณะที่หินศิลาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนต่อหน้าต่อตาให้เธอได้เห็น จากก้อนหินตั้งโดดเดี่ยวค่อยๆ กลับกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมาโดยพลัน หินศาลาค่อยๆ มลายเลือนหายไปอย่างช้าๆ พร้อมร่างบุรุษเข้ามาแทนที่ อาภรณ์สีนิลกาฬพร้อมเกศาสีเงินยวงปล่อยยาวสยายเริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อยและคืนสภาพกลับมาเป็นมนุษย์ดั่งเดิมอยู่ตรงหน้าเฉินวาวาในขณะนี้ “มะ... ไม่จริง! ฉันฝันไปใช่ไหม” หญิงสาวส่งเสียงพึมพำด้วยความตกใจสุดขีด บัดนี้ความฝันตลอดระยะเวลาอันยาวนานกลับเป็นความจริงเข้าให้เสียแล้ว บุรุษในความฝันปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า รูปลักษณะไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เห็นในฝันแต่อย่างใด เปลือกตาที่ปิดสนิทมานานนับหลายหมื่นปี เริ่มกำลังกลอกกลิ้งไปมา ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะหลับใหลมาอย่างยาวนานพลันผุดพรายเข้ามาในความทรงจำทันใด “สวรรค์ลิขิตให้ข้ามีคู่วาสนา หากแต่วาสนาของข้าอันน้อยนิดนางมิรักตอบข้าแต่อย่างใด ข้าขอตัดวาสนาที่มีต่อกันแต่เพียงเท่านี้ นับตั้งแต่นี้ต่อไปดวงเนตรสีเลือดของข้าจะมิเปิดขึ้นเพื่อมองสตรีใดอีก หากแม้นดวงเนตรของข้านี้ต้องเปิดขึ้นมาอีกครา สตรีที่ข้าได้พบนับตั้งแต่เบิกเนตร นางคือของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น รักของข้าจะมอบให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว” “พรึ่บ!!!” เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นทันที ดวงเนตรสีเลือดวาววับขึ้นมาโดยพลัน พร้อมร่างงามระหงของสตรีในชุดเจ้าสาวสีขาวปรากฏอยู่ในแววตาสีเลือดคู่นั้น บัดนี้จอมมารชินซางได้ตื่นจากการหลับใหลมาอย่างยาวนาน เมื่อเฉินวาวาหญิงสาวในยุคปัจจุบันได้ทำให้พระเนตรสีเลือดกลับมาเบิกเนตรอีกครั้ง เพื่อรอคอยรักแท้ที่ทรงรอคอยมานานนับหลายหมื่นปี “เฮือกกก!!!” เฉินวาวาสะดุ้งจนสุดตัวครั้นได้เห็นดวงตาสีเลือดจ้องเขม็งมาที่เธอตาไม่กะพริบต่างฝ่ายอยู่ในภาวะตกตะลึงด้วยกันทั้งคู่ พระเนตรสีเลือดเต็มไปด้วยความแปลกพระทัย ครั้นทอดพระเนตรสตรีเบื้องหน้าพระพักตร์อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาว ทว่าใบหน้าของนางกลับผิดแปลกแตกต่างไปจากสตรีทั่วไปเป็นยิ่งนัก เมื่อไฟอัคคีลามเลียไปทั่วดวงหน้างามปิดบังรูปโฉมงดงามลึกล้ำไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความน่าสะพรึงกลัวดั่งเช่นปีศาจร้ายเข้ามาแทนที่ ในขณะที่อีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตื่นกลัวเมื่อความฝันกลับเป็นความจริง
“มะ... ไม่จริง! เขาเป็นเพียงความฝันของฉัน! ไม่มีทางเป็นความจริงไปได้! ไม่จริง! ไม่จริง!” หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก “ฉันต้องหนีไปจากที่นี่ไม่อยู่แล้ว!” หญิงสาวเอ่ยออกมาทันที ครั้นเฉินวาวากล่าวออกมาเช่นนั้น ร่างระหงที่ถูกตรึงเอาไว้อยู่กับที่พลันขยับเรือนกายขึ้นมาได้อีกครั้ง หญิงสาวมิรอช้ารีบหันหลังกลับวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความตื่นกลัวสุดขีด “ไม่อยู่แล้ว! หนีให้สุดชีวิตไปให้ไกลจากตรงนี้ดีที่สุด!” หญิงสาวพูดพร้อมยกกระโปรงเจ้าสาวขึ้นสูงเพื่อให้เธอวิ่งหนีออกไปจากสถานที่ดังกล่าว ท่ามกลางดวงเนตรสีเลือดมองตามหลังเธอตาไม่กะพริบ พระพักตร์หล่อเหลาคมคร้าม ค่อยๆ คลี่พระโอษฐ์ยกยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเฉินวาวาคือสตรีที่ได้พานพบนับตั้งแต่เบิกเนตรขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากหลับใหลไปนานหลายหมื่นปี แม้รูปโฉมของนางจะน่าสะพรึงกลัวแต่สำหรับจอมมารชินซาง นางคือสตรีที่ถูกกำหนดให้เป็นของพระองค์! “เจ้าเป็นของข้า! ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดข้าจะต้องตามเจ้ากลับคืน!” สุรเสียงทุ้มก้องกังวานแฝงเร้นอำนาจอันยิ่งใหญ่ หากแต่เพียงครู่กลับต้องตกพระทัยขึ้นมาโดยพลัน เมื่อปานไฟอัคคีได้เลือนหายไปจากกลางหน้าผากของพระองค์ “แย่แล้ว! ไฟอัคคีของข้าย้ายไปสถิตอยู่ในร่างของนางเข้าให้เสียแล้ว” รับสั่งด้วยความกังวล พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนทรงลุกยืนจากแท่นหินทันที เสด็จพระดำเนินติดตามเจ้าสาวในชุดขาวที่วิ่งหนีจากพระองค์ออกไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา พระเนตรสีเลือดค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมพระเนตรสีนิลกาฬปรากฏเข้ามาแทนที่ทรงทอดพระเนตรตรงไปทางเดินเบื้องหน้า สองพระบาทรีบก้าวติดตามเพื่อให้ทันนาง ในขณะเดียวกัน เฉินวาวาวิ่งหนีเตลิดมาอย่างไม่คิดชีวิต เธอรีบร้อนจนกระทั่งลืมไปว่าด้านหน้าปากทางเข้ามีเสือดำสองตัวนอนเฝ้าอยู่ตรงหน้า “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามลั่นของเสือดำสองตัวทำให้หญิงสาวหยุดชะงักทันที “ข้างหน้าก็เสือ! ข้างหลังก็ไม่รู้ว่าผีหรือคน! ทำไมฉันจะต้องมาพบเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ! เหตุการณ์ไม่เหมือนในฝันแม้แต่น้อย สิ่งที่ฉันเห็นเมื่อกี้มันจะต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ ไม่มีทางเป็นความจริง” วาวาพูดสลับไปสลับมาอยู่เช่นนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามหลังเธอมาติดๆ “เหวอ!!! มาแล้ว” เสียงร้องอย่างตื่นตระหนก ร่างงามหันรีหันขวางไม่รู้จะหลบไปทิศทางใดไม่มีมุมหรือซอกหลืบตรงไหนที่เธอสามารถหลบเร้นซ่อนกายได้เลย มิหนำซ้ำแสงสว่างจากโถงลึกที่เพิ่งวิ่งออกมาก็ไม่สามารถสาดมาถึงจุดที่เธอกำลังยืนอยู่ มองไปแห่งหนใดมีแต่ความมืดมิด เสียงฝีเท้าก็เริ่มก้าวเข้ามาใกล้ทุกขณะ หญิงสาวรีบล้วงเข้าไปในอกเสื้อด้านในของตัวชุดเจ้าสาวควานหาไฟแช็กจ้าละหวั่น ร่างงามหมุนไปโดยรอบ และก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเธอหันกลับมาด้านหลัง “พลั่ก!!!” ร่างระหงปะทะเข้าที่แผ่นอกกว้างของจอมมาร ใบหน้าสวยแหงนหน้ามองร่างบุรุษสูงทะมึนท่ามกลางความมืดมิด ในขณะที่จอมมารทรงก้มลงทอดพระเนตรสตรีของพระองค์เฉกเช่นเดียวกัน แม้ในขณะนั้นบริเวณโดยรอบจะมืดสนิท แต่พระเนตรของจอมมารกลับสามารถทอดพระเนตรได้อย่างชัดเจนมิมีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นสายพระเนตรไปได้ พระหัตถ์ค่อยๆ ยกขึ้นลูบไล้ใบหน้างามของเธอ “เจ้าเป็นของข้า!” รับสั่งออกมาเพียงสั้นๆ พระเนตรสีนิลกาฬค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นพระเนตรสีเลือดขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิด ทรงทอดพระเนตรเฉินวาวา ที่สวรรค์ลิขิตกำหนดให้นางเป็นคู่ชะตาของพระองค์อย่างลึกซึ้ง ทว่าประโยคดังกล่าวกลับทำให้หญิงสาวสติแตกขึ้นมาทันใด สองขารีบก้าวเดินถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยมิรู้ตัวเลยว่ากำลังก้าวข้ามเขตแดนระหว่างมนุษย์กับปีศาจอีกครั้ง ทันทีที่สองขาของเธอก้าวเดินถอยหลังผ่านเส้นแบ่งเขตแดน ติดต่อกันถึงห้าก้าว “พรึ่บบบ!!!” เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างภพมนุษย์กับดินแดนปีศาจสว่างวาบขึ้นมาทันที “หมับ!” สองพระกรของจอมมารชินซาง ตรงเข้าโอบกอดร่างงามเอาไว้แนบอกอย่างรวดเร็วครั้นทอดพระเนตรเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเช่นนั้น ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้าจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พร้อมร่างระหงของเฉินวาวาและพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารชินซาง ค่อยๆ เลือนหายไปจากถ้ำดังกล่าวเพียงชั่วพริบตา เฉินวาวามิล่วงรู้เลยว่าการก้าวเดินถอยหลังผ่านเขตแดนในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเธอเข้าให้เสียแล้ว หญิงสาวก้าวผ่านเส้นเขตแดนระหว่างภพมนุษย์กับดินแดนปีศาจเป็นครั้งที่สอง การเดินถอยหลังกลับของเฉินวาวา ทำให้กาลเวลาหวนกลับคืนสู่อดีตกาล ปากทางเข้ามิใช่ยุคปัจจุบันที่เธอร่วงหล่นตกลงมาอีกต่อไป แต่หวนคืนย้อนกลับไปในยุคโบราณแรกเริ่ม ที่แผ่นดินจีนได้ผ่านการก่อตั้งราชวงศ์มีกษัตริย์เป็นประมุข นำร่างของเธอและจอมมารหนุ่มเข้าสู่ยุคของเจ้าผู้ครองแคว้น นำพาทั้งสองเผชิญโชคชะตาไปพร้อมกัน บัดนี้ปานรูปไฟอัคคีของจอมมารชินซางย้ายไปสถิตอยู่ในร่างของเฉินวาวาแทน พลังเวทปีศาจทั้งหมดรวมไปถึงอำนาจและอิทธิฤทธิ์อย่างไร้ขีดจำกัดอยู่ที่ปานไฟอัคคีในร่างของหญิงสาว ทำให้จอมมารกลับกลายเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาเหลือเพียงวิทยายุทธ์จากดินแดนปีศาจที่มิมีผู้ใดทัดเทียม ในขณะที่เฉินวาวาผู้ครอบครองไฟอัคคีต้องกลับกลายเป็นนางมารร้ายเข้ามาแทนที่ โชคชะตานำทั้งสองมาพานพบอย่างไม่คาดฝัน สตรีเพียงหนึ่งเดียวนับตั้งแต่เบิกเนตรที่จอมมารชินซางเฝ้าถวิลหามาโดยตลอด บัดนี้พระองค์ได้พานพบนางแล้ว เฉินวาวา เจ้าสาวในชุดขาว งดงามตราตรึงสถิตอยู่ในหัวใจของพระองค์ทันทีที่ได้พบแคว้นเทียนโจวรัชสมัยโจวเฉินกงฮ่องเต้อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยที่ราบลุ่ม สามารถเพาะปลูกได้พืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างดี พื้นดินอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็ออกดอกผลมากมาย เทือกเขาน้อยใหญ่เต็มไปด้วยป่าดงดิบ แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเป็นภูมิประเทศที่ถือได้ว่าหายากอย่างยิ่งยวด เป็นพื้นที่มหามงคลเพราะด้วยมังกรทั้งตัวสถิตอยู่ในแคว้นเทียนโจว ก่อให้เกิดพื้นที่สวยงามและสภาพอากาศที่เหมาะสม อากาศหนาวจัดด้วยหิมะปกคลุมก็มีระยะเวลาเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้นไม่ยาวนานดั่งเช่นแคว้นอื่นๆ พากันประสบและด้วยเพราะความสมบูรณ์ของแคว้นเทียนโจว จึงเป็นสาเหตุทำให้แคว้นน้อยใหญ่ต้องการยึดครองเอามาเป็นของตน พืชผลมหาศาล พื้นที่ทางการเกษตรเป็นอู่ข่าวอู่น้ำเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังอุดมไปด้วยสายแร่ทองคำและเหมืองหยกชั้นดี ความสมบูรณ์ของแคว้นกลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้เผชิญปัญหากับสงครามที่แคว้นอื่นต้องการแย่งชิงดินแดนแคว้นเทียนโจวในเวลานี้ถูกแคว้นฉู่ที่เป็นแคว้นพื้นบ้าน บุกประชิดชายแดนตีเมืองในอาณาเขตของแคว้นเทียนโจวไปแล้วถึงห้า เมือง โจวเฉินกงฮ่องเต้ มีพระบัญช
ดาบปีศาจของจอมมารชินซาง ที่สถิตอยู่ในดินแดนปีศาจถูกดึงออกจากแท่นหินด้วยตัวเองก่อนจะลอยละลิ่วขึ้นสู่ผืนฟ้าเบื้องบน จากดินแดนปีศาจผ่านดินแดนน้อยใหญ่ พุ่งแหวกว่ายกลางอากาศลงมาพร้อมสายฟ้าฟาดตรงเข้ามาหาจอมมารผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้น พระหัตถ์ยกขึ้นรับดาบปีศาจของพระองค์อย่างรวดเร็ว พระวรกายสูงใหญ่หมุนไปโดยรอบพร้อมตวัดดาบปีศาจกวัดแกว่งไปมา จอมมารกระชับอาวุธประจำพระองค์เสด็จพระดำเนินตรงมาหาเฉินกงฮ่องเต้พร้อมใช้พระวรกายสูงใหญ่ทะมึน ยืนบังฮ่องเต้แคว้นต้าโจวเอาไว้ ท่อนพระกรใหญ่ยื่นออกไปข้างหน้าพลางยกพระหัตถ์ขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วพระหัตถ์ชี้ไปที่พระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่พลางขยับนิ้วพระหัตถ์ขึ้นลงเป็นสัญญาณเรียกให้เข้ามาหา ท่ามกลางพระอาการตกตะลึงของเฉินกงฮ่องเต้ ครั้นเมื่อทรงได้ทอดพระเนตรบุรุษอาภรณ์สีนิลกาฬในระยะใกล้ชิด พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนทรงยืนบังฮ่องเต้แคว้นเทียนโจวได้อย่างมิดชิดยิ่งนัก ในขณะที่ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ทอดพระเนตรการกระทำของบุรุษปริศนาที่หาญกล้าแสดงอาการท้าทายพระองค์อย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ในขณะที่กองทัพของพระองค์โอบล้อมทัพต้าโจวเอาไว้รอบด้าน “หาคนมาช
ทหารต้าฉู่ที่รอดชีวิตต่างพร้อมใจพากันทิ้งอาวุธอย่างพร้อมเพรียง ทุกชีวิตทรุดกายลงนั่งคุกเข่าพร้อมส่งเสียงขานรับพระบัญชาของจอมมารออกมาทันที“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! นับตั้งแต่นี้ต่อไปแคว้นต้าฉู่ยินดีสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเทียนโจวตลอดไป ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”เหล่าทหารแคว้นต้าฉู่เปล่งถ้อยคำออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันครั้นจอมมารชินซางได้ยินคำกล่าวของบรรดาทหารต้าฉู่เอ่ยออกมาเช่นนั้น พระองค์หันพระวรกายกลับไปทอดพระเนตรเฉินกงฮ่องเต้ พระวรกายสูงทะมึนเสด็จพระดำเนินก้าวเข้าไปหาบุรุษที่เหมือนพระบิดาของพระองค์อย่างไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย“ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว ที่จะจัดการเยี่ยงไรต่อไป ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถจัดการได้ออกมาเป็นอย่างดี” รับสั่งสุรเสียงเรียบเฉย พร้อมพระดำเนินออกไปจากบริเวณนั้นครั้นเฉินกงฮ่องเต้หายจากพระอาการตกตะลึงและทอดพระเนตรบุรุษปริศนากำลังจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงรีบมีรับสั่งทักท้วงออกไปทันที“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม!” สุรเสียงรับสั่งรั้งจอมมารพระวรกายสูงทะมึนทรงหยุดพระดำเนินเมื่อเฉิ
ชายแดนแคว้นฉู่ “พรึ่บ!” ร่างงามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ หญิงสาวนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่บริเวณชายป่าเขตแดนแคว้นฉู่ ซึ่งเดิมทีเป็นของแคว้นฉู่ทั้งหมด ภายหลังต้องแบ่งสิทธิในการดูแลและครอบครองเมืองแถบชายแดนของแคว้นฉู่ทั้งหมดให้กับแคว้นเทียนโจวคนละครึ่งช่วยกันปกครอง เพื่อทางเทียนโจวสามารถสอดส่องและส่งกองทหารมาตรึงตามชายแดน มิให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้นมาได้อีก ด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามในศึกเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน ทำให้แคว้นฉู่จำต้องยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งดีกว่าจะต้องเสียแคว้นให้อยู่ใต้การปกครองของเทียนโจวตลอดไป และการก้าวเดินถอยหลังของวาวาถึงห้าก้าวในเขตแดนปีศาจเข้าสู่ภพมนุษย์ทำให้เธอกลับมาในยุคอดีตภายหลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างแคว้นเทียนโจวและแคว้นฉู่เสร็จสิ้นไปแล้วเป็นเวลานานถึงห้าปี ในขณะที่จอมมารชินซางทรงสวมกอดนางเอาไว้แนบอกตลอดเวลาจึงทำให้พระองค์หวนกลับคืนสู่อดีตกาลเช่นเดียวกัน แต่ทรงกลับมาเพียงลำพังโดยไร้สิ้นนางในอ้อมกอด ด้วยเพราะเฉินวาวาก้าวถอยหลังถึงห้าก้าวทำให้กลับมาช้ากว่าพระองค์ห้
ภายในกระโจมที่ประทับร่างงามนอนหลับใหลมิได้สติจนผ่านไปหนึ่งวันกับอีกสองคืน ภายในกระโจมส่วนตัวติดกับกระโจมขององค์หญิงชิวหรงซึ่งทรงพระประชวรอยู่ในขณะนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยไฟอัคคีสร้างความหวาดกลัวให้แก่นางกำนัลที่เฝ้าคอยดูแลหญิงสาวเป็นยิ่งนัก พิศเพ่งหน้านางคราใดต้องตื่นตกใจทุกครา จนมิมีผู้ใดกล้าเฝ้านางอยู่ตลอดเวลาคงทำได้แต่เพียงยืนเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าของกระโจมใบหน้าราวปีศาจปรากฏแสงเรืองรองสว่างวาบออกมาจากรอยปานคล้ายหยดน้ำซึ่งก็คือไฟอัคคีของจอมมารชินซางที่ย้ายมาสถิตอยู่ตรงกลางหน้าผากของหญิงสาว ใบหน้าเริ่มพลิกไปมาอย่างช้าๆ เปลือกตากลอกกลิ้งไปมาพร้อมเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า เมื่อเธอได้นิมิตฝันเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ทะมึน เจ้าของเกศาสีเงินยวงสวมชุดเกราะจอมทัพ ภายในมือถือดาบยาวขนาดใหญ่ ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมลุกกระพือออกเป็นวงกว้างดั่งไฟจากขุมนรกทั่วบริเวณเต็มไปด้วยทหารนับหลายพันนายรายล้อมบุรุษผู้นั้นหมายรุมฆ่าลงประชาทัณฑ์ ในขณะที่มีเพียงบุรุษผู้นั้นเพียงหนึ่งเดียวยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน เสียงตะโกนก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมดาบยาวยกขึ้นช
บริเวณนอกกระโจม“ชิงเหยียน! อู๋ชิงเหยียน! อู๋…” หญิงสาวตะโกนได้เพียงแค่นั้นดวงตากลมโตกวาดสายตามองขบวนเจ้าสาวที่เต็มไปด้วยนางกำนัลมากมายพร้อมขันทีและกองทหารตามขบวนเสด็จไม่ต่ำกว่าสองร้อยนาย คอยถวายอารักขาไปตลอดการเดินทาง ม้านับร้อยตัวยืนอยู่อีกมุมหนึ่งรถม้าในสมัยโบราณมีมากมายหลายสิบคัน อุดมไปด้วยของมีค่ามากมายสิ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ขององค์หญิงชิวหรงครั้นมองไปทิศทางใดก็มีแต่เทือกเขาสูงและป่าดงดิบทุกคนล้วนสวมชุดในสมัยโบราณที่แลดูแปลกตา ไม่เหมือนที่เธอเห็นในกองถ่ายซีรีส์ย้อนยุคแม้แต่น้อย แม้จะแลดูมีสีสันไม่แตกต่างกันแต่กลับมีความงามแปลกประหลาดในตัวเองในขณะที่ทุกสายตาหันกลับมามองเธอด้วยความตกใจสุดขีดที่เห็นใบหน้าดุจปีศาจของสตรีแปลกหน้า ก่อนจะรีบก้มหน้าลงมองพื้นทันทีเมื่อเห็นทางด้านหลังปรากฏองค์ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากนอกกระโจม ยืนอยู่ด้านหลังของสตรีผู้มีใบหน้าดุจปีศาจ“ในเมื่อข้าถามเจ้าหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากเจ้าแต่อย่างใด ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าด้วยตัวเองว่าที่นี่คือชายแดนแคว้นฉู่ พ้นเนินเ
ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะทอดสายตาจับจ้องชิงอวิ้นฮ่องเต้อย่างละเอียดรวมไปถึงองครักษ์ลู่เหอซึ่งยืนถือดาบยาวยืนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่แตกต่างจากจินตนาการของคนยุคใหม่อย่างสิ้นเชิง เรียบง่ายแต่สวยงามแปลกประหลาดเพราะทอด้วยมือ แม้กระทั่งงานปักลวดลายทุกอย่างล้วนเป็นงานฝีมือทั้งสิ้น“นี่อย่าบอกนะว่าฉันหลงมาอยู่ในยุคโบราณในสมัยที่ยังมีเจ้าผู้ครองแคว้น ไม่นะ!”หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ภายในใจก่อนจะกะพริบตาสื่อสารขึ้นลงติดๆ กันเป็นสัญญาณว่าเธอต้องการที่จะพูดบ้าง ตามบทละครที่เธออ่านมาว่าคนโบราณที่ถูกสกัดจุดจะต้องสื่อสารอย่างไรบ้างและอาการของเธอองค์ฮ่องเต้ก็ทรงล่วงรู้โดยพลัน“ลู่เห่อคลายจุดให้นาง ดูท่าจะอยากกล่าวถ้อยคำบางอย่างกับข้า”“พ่ะย่ะค่ะ!” ลู่เหอรับขานรับทันที พร้อมยื่นสองนิ้วกดคลายจุดให้หญิงสาวเอ่ยถ้อยคำออกมาได้“ตึก!” สองนิ้วกดคลายจุดให้กับหญิงสาวทันทีและนั่นทำให้เธอเป็นอิสระที่จะพูดเจรจาต่อรองได้ขึ้นมาทันใด“เฮ้อ!!!” หญิงสาวรู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาทันที ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอเพื่อ
ทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าว ปานรูปหยดน้ำที่มองเห็นเพียงเลือนรางเนื่องจากถูกรอยไฟอัคคีบดบังสว่างวาบขึ้นมาทันที พร้อมภาพของบุรุษสูงใหญ่ทะมึน สวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาสีเลือดฉายแวววับปรากฏให้เธอเห็นขึ้นมาโดยพลันภาพนิมิตปรากฏให้เธอเห็นร่างงามในชุดเจ้าสาวสีขาวในยุคโบราณกำลังนั่งอยู่บนเตียงมีพัดทำจากขนห่านฟ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าสาวเอาไว้ บุรุษเกศาสีเงินยวงในชุดเจ้าบ่าวสีขาวเปิดประตูเข้ามาในห้องหอ ร่างสูงใหญ่ทะมึนเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมค่อยๆ เอื้อมหยิบพัดที่ปิดใบหน้าเจ้าสาวออกจากมือนาง เผยให้เห็นใบหน้าของเฉินวาวาเธอคือเจ้าสาวงดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดปรากฏอยู่ในห้องหอและในนิมิตดังกล่าว“เฮือกกก!!!” ร่างระหงลุกพรวดพราดขึ้นจากตั่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ เกิดเห็นภาพเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้นอนหลับหรือฝันแต่อย่างใด“ทะ... ทำไม... ฉันถึงเห็นตัวเองเป็นเจ้าสาวของเขา... ขะ... เขาจะตามหลอกหลอนฉันกันไปถึงไหน” เธอยืนบ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่คนเดียวในกระโจม“อ้าวอีตาฮ่องเต้เจ้าแผนการกับองครักษ
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ