“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”
“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”
“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”
หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื่อจะประพรมน้ำมนต์อวยพรให้เดินทางกลับไต้หวันอย่างปลอดภัย ตอนนั้นเอง ทิวา เสือ และเล้งพูดขออนุญาตกับหลวงตา ก่อนค่อย ๆ เดินเข้ามาในโบสถ์ และมานั่งพับเพียบพร้อมเพรียงกันอยู่ข้าง ๆ ถัดจากนุชนภากับสาวใช้อีกสองคน
“โยมนุชจะกลับไต้หวันวันนี้แล้วนะ คราวนี้คงอีกนานกว่าจะได้มาอีก ถึงตอนนั้นพวกเอ็งก็คงไปเรียนมหา’ลัยกันหมดแล้ว เอาละ กราบน้าเขาเสียสิ วันข้างหน้าขอให้พวกเอ็งระลึกถึงโยมน้าเขาด้วย หากมีโอกาสตอบแทนบุญคุณได้ก็จงทำนะ”
“ขอบพระคุณน้านุชมากครับ” เด็กหนุ่มทั้งสามเอ่ยและไหว้ขอบคุณนุชนภาพร้อมเพรียงกัน หากแต่ทิวากลับก้มลงกราบ ทำเอานุชนภาเกือบจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติออกมา
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเห็นจี้อำพันอันสุกใสที่ห้อยคอทิวาอยู่ ซึ่งนี่เป็นสิ่งเดียวที่แทนความรักระหว่างเธอกับเฟย มีเพียงสายป่านของจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่ดึงอาการนี้ไว้อยู่ การกราบไหว้นุชนภาของทิวา เล้งกับเสือยังแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ฤๅจะเป็นชะตาฟ้าลิขิตด้วยสายเลือดเกาะเกี่ยวแน่นแฟ้นยากเกินทลาย...
“ไม่เป็นไรจ้ะเด็ก ๆ ไหว้พระนะลูก ตามสบายเถอะ น้าจะกลับไต้หวันแล้ว คงอีกเป็นปีกว่าจะได้มาเมืองไทยอีก รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี และตั้งใจเรียนกันทุกคนนะ”
“ครับน้านุช” ทั้งสามตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หนูคงต้องกราบลาหลวงตาแล้วค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
“เจริญพรโยม เดินทางกลับไต้หวันปลอดภัยนะ โยมทั้งสองด้วย”
ทิวาทอดสายตามองนุชนภาราวกับเด็กน้อยที่มองตามแม่ที่จะจากไปไกล รถเบนซ์สีบรอนซ์เงินค่อย ๆ แล่นผ่านซุ้มประตูวัดและแล่นออกถนนใหญ่ ทิวาวิ่งตามมาส่งจนถึงประตูทางออกของวัด นุชนภาเหลือบมองเห็นทิวายืนมองอยู่ข้างหลังซุ้มประตูหน้าวัด เธอบอกให้คนขับชะลอและจอดริมไหล่ทาง ก่อนจะชะโงกหน้าไปโบกมือให้กับทิวาเป็นครั้งสุดท้าย
ฝ่ายคนเป็นแม่อิ่มเอิบใจน้ำตาไหล อีกฝ่ายทอดสายตามองผู้มีพระคุณจนรถหายลับไป จากนั้นทิวาก็วิ่งกลับบ้านไปในทันที ทิ้งให้หลวงตาและกลุ่มเพื่อนยืนมองตามพฤติกรรมแปลก ๆ
“เสือ เล้ง อย่าตามทิวาไป ปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองสักพักเถอะ”
“ครับหลวงตา”
หลวงตามหามนตรียิ้มและเข้าใจดีในสิ่งที่ทิวาทำ บางทีอาจเกิดจากสัญชาตญาณของสายใยที่จิตสำนึกสั่งให้แสดงออกไป โดยแม้แต่ทิวาก็ยังไม่สามารถต้านทานมันได้ เพราะอะไรถึงวิ่งตามโยมนุชนภาไปดั่งลูกน้อยที่กำลังพรากจากแม่...
‘ไม่นานหรอกทิวา เอ็งอาจจะไม่ต้องวิ่งตามผู้มีพระคุณคนนี้อีกต่อไป แต่จะเดินตามและดูแลโยมนุชผู้นี้ตลอดชีวิตเหมือนอาม่าของเอ็ง สักวันเอ็งจะได้กราบเขา ผู้ที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเอ็ง...’
ทิวาวิ่งผ่านผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาในตลาด เสียงร้องทักเด็กหนุ่มจากทั้งอาม่าและบรรดาแม่ค้ากลับเหมือนเสียงลมกระพือไร้ทิศทาง ยากนักที่จะเข้าไปยังโสตประสาทในตอนนี้ ทิวาไม่สามารถหยุดความคิดพลุ่งพล่าน พลันรู้สึกโหยหาน้านุชนภาเหมือนเด็กน้อยที่ถูกแม่ทิ้งไปไกล อยากให้น้านุชอยู่นาน ๆ กว่านี้ อยากเห็นน้านุชทุกวัน ความอบอุ่นจากน้านุชแม้มีไม่เท่าอาม่า ทว่าเขากลับอยากไขว่คว้าหา
ทิวาปิดประตู ทรุดตัวลงนั่งกลางห้อง นำรูปถ่ายน้านุชมากอดแน่นเสมือนกอดคนเป็นแม่ น้ำที่ปริ่มขอบตาเริ่มทะลักไหลเป็นสาย มีเสียงสะอื้นเบา ๆ ดังขึ้นเป็นระยะ
“โธ่เอ๊ย อาทิวา อาม่าก็อยากตามหาแม่ของลื้อ แต่สิบกว่าปีมานี้ไม่เห็นวี่แววเลย นี่น้านุชเขาคงกลับไต้หวันไปแล้วละสิเนี่ย น้าเขากลับทีไร ลื้อก็มานั่งเศร้าเสียใจทุกที...ถ้าผู้หญิงสวยใจดีคนนั้นเป็นแม่ลื้อ อาม่าจะยกให้เลย อาทิวา...อาม่าสงสารลื้อจริง ๆ คงอยากมีแม่กับเขามากสินะ เฮ้อ...” กิมลั้งยืนทอดสายตามองจากหน้าบ้านโดยไม่เข้าไปหาทิวา
นางปล่อยให้เด็กหนุ่มอยู่เพียงลำพังสักครู่ ใจของกิมลั้งอยากจะให้เกิดปาฏิหาริย์ ให้นุชนภาเป็นแม่จริง ๆ ของทิวาทีเถอะ ทั้งสองคนถูกชะตากันดีเหลือเกิน เหมือนแม่กับลูกกัน แต่จะทำกระไรได้ กิมลั้งต้องประคับประคองชีวิตของทิวาให้อยู่รอดต่อไป เมื่อสวรรค์กำหนดให้ชีวิตกำเนิดเกิดมา ที่เหลือต้องฟันฝ่าสร้างชะตาด้วยมือเราเอง ถึงโดดเดี่ยวถึงผิดหวังอย่างไร นางไม่ยอมปล่อยให้ทิวาเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเป็นมังกรที่ประเสริฐ...
‘ตราบยังมีลมหายใจ ขออย่าท้อในชีวิต
กรรมลิขิตหรือความไม่พร้อมให้มา
เกิดมาแล้วเลือกทางเดินที่ดี
ถึงไม่มีอย่างใครในตอนนี้
เหนื่อยแค่ไหน ขนขวายไม่รอรี
เป็นเด็กดี ไม่ท้อถอย’
ตั้งแต่บรรดาเด็กกำพร้าจำความกันได้ หลวงตามหามนตรีมักย้ำและให้กำลังใจทุกคนที่กำพร้าพ่อแม่อยู่เสมอ
“บางทีชีวิตของคนเรา เมื่อฝืนดวงชะตาเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกทางเดินให้กับชีวิตได้ รักดี ใฝ่ดีเท่านั้นถึงจะเป็นคุณความดีสะสมที่จะกำหนดดวงชะตาชีวิตในชาตินี้ได้ ขอให้พวกเอ็งทุกคนระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรจะรักษาตน และคุ้มครองคุ้มกายได้เท่ากับความดีที่เรียกว่ากตัญญูกตเวทิตาไปได้ ต่อให้ผู้กตัญญูตกน้ำ ลุยไฟ ก็จะไม่มีวันเป็นอันตรายเด็ดขาด จำไว้ให้ดี ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
แม้ชาตินี้ยังไม่ได้เห็นหน้าพ่อและแม่ แต่คนบนโลกนี้ มีสักกี่คนที่มีบุญเท่าพวกเอ็ง ได้สวดมนต์ภาวนาให้ผู้มีพระคุณอย่างแม่พวกเอ็ง แม้ท่านมีความจำเป็นที่ต้องจากพวกเอ็งไป หากไม่ใช่ไม่รัก หากแต่ความจำเป็นบางอย่างทำให้พ่อแม่พวกเอ็งต้องฝากลูกไว้กับญาติ หรือวัด ก็เพราะรักถึงไม่พาพวกเอ็งไปลำบากกับพวกเขา อย่าได้น้อยใจและรู้สึกอาภัพ ความอาภัพนี้ หาใช่ขาดพ่อขาดแม่ แต่พวกเอ็งจำให้ดี คนที่ขาดศีล ขาดธรรมต่างหาก ที่เรียกว่าอาภัพอับโชควาสนา ครั้งหนึ่งของชีวิตคน หากไม่เคยรู้จักการทำบุญ ให้ทานโปรดสัตว์ ก็ถือว่าชีวิตอับเฉานะ ขอให้พวกเอ็งจำไว้ให้ดี”
หลวงตามหามนตรีมักใช้เวลาหลังทำวัตรเย็น เรียกเด็กวัดทุกคนมาอบรมบ่มนิสัย รวมถึงทิวา แม้ทิวาจะตามอาม่ากิมลั้งมาทำวัตรเย็นและกลับไปนอนที่บ้าน แต่ก็ต้องอยู่ฟังและคอยปรนนิบัติหลวงตาไปด้วย ทุกครั้งที่หลวงตาเทศนา ทิวากับเสือมักจะแข่งกันวิ่งหากระโถนมารองรับน้ำหมาก
คำสอนของหลวงตามักย้ำและปลูกฝังเด็กวัดทุกคน ซึ่งเปรียบเสมือนบ่มเพาะเมล็ดพืชพันธุ์ให้กลายเป็นต้นกล้าที่เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ แม้จะเติบโตยังที่ที่ไม่มีแสงอบอุ่นจากแม่ผู้ให้กำเนิด แต่หลวงตาเข้าใจถึงหัวอกเด็กวัดที่ไม่มีพ่อแม่ดี ว่ารู้สึกเจ็บปวดและหนาวเหน็บมากมายเพียงไหน พระธรรมกับคำสั่งสอนของตนเท่านั้น ที่จะช่วยไม่ให้ต้นกล้าเล็ก ๆ เหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างแคระแกร็น หรือมีรากและใบที่เน่าเสีย
ภาพของเด็กวัดที่มีวินัย โดยมีทิวา เสือ และเล้งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ร่วมแรงร่วมใจกันปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดวัด สวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเย็น อีกทั้งหลวงตายังใช้ไม้เรียวที่ช่วยให้คนเป็นเจ้าคนนายคนอยู่ เพราะการฝึกและดัดนิสัยด้วยไม้เรียว หาใช่ต้องการให้เด็กวัดเหล่านี้เกรงกลัว แต่เมื่อไม้เรียวกระทบกายเมื่อไร สิ่งที่ได้นั้นคือทำให้รู้สึกละอายใจ และไม่อยากทำผิดซ้ำ ๆ อีก สิ่งนี้มากกว่าที่ซ่อนอยู่ในไม้เรียวที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล...ไม้เรียวอันนี้ต่างหาก ทำให้คนเป็นคน มีจิตสำนึก หาใช่เกรงกลัวต่อเสียงไม้ฟาดกระทบร่างกายไม่!...
บทนำ ฝูงวิหคราตรีแผดเสียงร้องก้องป่า ก่อนกระพือปีกบินหายลับไป ผืนน้ำเวิ้งว้างเบื้องล่างดูราบเรียบสงบ ทว่าหมอกกลับหนาขึ้น ไอน้ำค้างเคลื่อนผ่านผิวหน้าของชายหนุ่มเป็นระยะ แต่กายของเขายังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว ห่างไม่ถึงช่วงตัวของชายหนุ่ม หญิงสาวนอนซมด้วยพิษไข้ ริมฝีปากซีดเผือดตัวสั่นเทา เขานำกิ่งไม้มาสานเข้าด้วยกันเป็นซุ้มขนาดเล็ก พอช่วยบังไม่ให้เธอสัมผัสกับน้ำค้างโดยตรง ชายหนุ่มใช้เสื้อของตนซับน้ำจากลำธารเล็กข้างแม่น้ำมาเช็ดตัวให้หญิงสาวหลายครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งเสียงเพ้อด้วยพิษไข้แผ่วจางลง ไออุ่นจากมือของเขาส่งผ่านมือที่มีรอยฟกช้ำ หญิงสาวค่อย ๆ คลายออกและยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าที่มีเลือดเกรอะกรัง ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองแขนซ้ายของหญิงสาวลงแนบลำตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยแววตาอันหม่นเศร้า “คุณเหม่ยลี่นอนพักเอาแรงอีกนิดนะครับ ผมจะพาคุณกลับบ้านให้ได้ ผมสัญญา” “ทิวา...” เสียงเรียกบางเบา กระนั้นยังตามด้วยรอยยิ้ม ฟ้าใกล้สาง ทิวาใช้กิ่งไม้จำนวนหนึ่งมัดรวมกันให้หนา และใช้เถาวัลย์เส้นใหญ่รัดแน่นกับท่อนแขนซ้าย เขาเหลือบมองพุ่มไม้ข้างล
กิมลั้งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน นับถือศาสนาพุทธ ทำอาชีพค้าขาย นางมีร้านค้าของชำในตลาดสด รวมถึงทำร้านขายสมุนไพรจีนโบราณ ต่อมาการค้าของนางประสบปัญหา ส่งผลให้ ‘เฟย’ ลูกชายคนเดียวต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพื่อมาช่วยแม่ค้าขาย กิมลั้งเสียใจที่ไม่สามารถหาเงินค่าเทอมให้เฟยได้ทัน เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายปี ผลพวงจากการเมืองพลิกผันในปี พ.ศ. 2535 ที่เกิดเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ขึ้น การค้าขายแทบไม่ได้กำไร การร้องไห้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่กิมลั้งใช้ระบายความทุกข์ใจ ยิ่งดูรูปอาฟางผู้เป็นสามีของนาง กิมลั้งก็ยิ่งรวดร้าวในใจเรื่อยมา ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนในปีที่เฟยหยุดเรียน กิมลั้งตัดสินใจปิดร้านสองอาทิตย์ เพื่อพาเฟยไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าในหุบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีณ สถานปฏิบัติธรรม เฟยตั้งใจปฏิบัติธรรมและช่วยเหลือกิจของพระ เขาช่วยงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นกุศลผลบุญให้แก่มารดาและตัวเขาเอง วันต่อมา เฟยพบว่าแนวป่าดงดิบด้านหลังสถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีน้ำตกและลำธารน้ำหลากนั้น มีชายฉกรรจ์กำลังฝึกท่วงท่าแม่ไม้มวยไทยแบบโบราณดั้งเดิม โดยมีหลวงปู่ธุดงค์ท่านหนึ่
“อั๊วะบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าต้องน็อกไอ้เจ้าพระยาให้ได้ ชกยังไงได้แค่เสมอวะ ลื้อรู้ไหมว่าอั๊วะหมดเงินหมดทองกับลื้อตั้งเท่าไหร่ สูญไปเท่าไหร่ เป็นล้าน!” เสียงเกรี้ยวกราดของกำนันเอิบดังลั่น“ผมขอโทษครับเฮีย เจ้าพระยาเขาเป็นมวยเท้า เขาป้องกันรัดกุมดีเหลือเกินครับ” ผู้ถูกตบหน้ายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหดหู่ หากแต่ความหดหู่นั้นไม่ได้เกิดจากความพ่ายแพ้ แต่การไม่ได้รับชัยชนะนั่นหมายความว่าบ้านและสวนยางของเขาจะต้องสูญสิ้นเช่นกัน ด้วยติดจำนองไว้สองแสนกว่าบาท นักมวยอย่างเขามีหรือจะพึ่งพาใครได้ยามขัดสน“เฮ้ย! ลื้อเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปเลยนะไอ้เพลิง ขืนลื้ออยู่ต่อ ลื้อจะทำให้อั๊วะเจ๊ง ไป๊!” เจ้าของค่ายมวยวัยกลางคนไล่เสียงดังลั่นเฟยยังคงยืนชิดผนังอยู่ด้านนอก ขณะที่พลายเพลิงกำลังก้มลงกราบผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นหันหลังและเดินคอตกออกจากห้องไป“ขาดเหลือเท่าไหร่ เพลิง?” เสียงอันนุ่มนวลแฝงความเป็นมิตรดังมาจากกรอบประตูด้านนอก บนไหล่ของเพลิงมีมือซ้ายชุ่มเหงื่อแตะเบา ๆ“เจ้าพระยา!”“เรียกฉันว่าเฟยก็ได้ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยเพลิง นายมีพรสวรรค์และยังชกเก่งอยู่ อย่าลืมสิ...เป้าหมายนายคือแชมป์ลุมพ
สองมืออันหยาบกร้านกราบลงบนตักของกิมลั้ง ผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล กิมลั้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำลวดลายมังกรสีเหลือง นางอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงสด ใบหน้ายิ้มแย้ม กิมลั้งก้มลงลูบศีรษะของเฟยผู้เป็นลูกชายด้วยความนุ่มนวล ชายหนุ่มสวมเสื้อและกางเกงสีแดงสด เงยหน้าขึ้นมองแม่ของตนได้ชั่วครู่ เสียงประทัดก็ดังสนั่นลั่นประสานกันอยู่ด้านนอก เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ธนบัตรรัดด้วยยางวงอย่างดีจำนวนสองหมื่นกว่าบาทถูกวางลงอย่างบรรจงบนตักของนางกิมลั้ง ก่อนที่เฟยจะโผเข้าโอบกอดผู้เป็นแม่อย่างแนบแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้“ตรุษจีนปีนี้ ผมขอให้หม่าม้ามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กิจการร้านค้ารุ่งเรือง ๆ นะครับ”เฟยอวยพรแม่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ยังคุมความทุ้มต่ำหนักแน่นของเสียงไว้ได้กิมลั้งมองเข้าไปในตาของเฟย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสุกใสเหมือนอำพันแท้ที่ห้อยคอเฟยอยู่ ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยสัมผัสได้จากอาฟาง ผู้เป็นพ่อของเฟย“เฟย ม้าพอมีเงินอยู่ ลื้อเก็บไว้ใช้เถอะ...ไม่ได้กลับบ้านเกือบสี่เดือน ลื้อผอมไปหรือเปล่า ทำงานลำบากมากไหม” กิมลั้งพูด ในขณะที่ลูบศีรษะลูกชายด้วยความรักและเอ็นดู“หม่าม้า ผมขอโทษที
ชะตาชีวิตของคนบางครั้งกลับเลวร้ายขณะพยายามลดละจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ แม้จะเป็นมือขวาของเถ้าแก่โจว แต่การปกครองคนของเฟยนั้นแม้จะเด็ดขาดแต่ก็มีน้ำใจ ไม่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ลูกน้องและพนักงานระดับต่าง ๆ ในสถานเริงรมย์ของเถ้าแก่โจวเคารพยำเกรงในความเป็นนักเลงคุณธรรมของเฟย คุณลักษณะเช่นนี้ทำให้เฮียกู๋ ผู้เป็นมือซ้ายของเถ้าแก่โจวเกิดความริษยาในตัวเฟย จึงคิดวางแผนใส่ร้ายเฟยว่าเป็นคนทรยศหักหลังเถ้าแก่ โดยวางยานอนหลับในอาหารในงานกินเลี้ยงของแก๊ง เพื่อให้เฟยและลูกน้องคนสนิทกับเถ้าแก่หลับด้วยฤทธิ์ยา“ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างข้าโว้ย ไอ้เฟย! เมื่อเอ็งตื่นมาความผิดทุกอย่างก็จะเป็นของเอ็ง เอ็งรู้ใช่ไหม ความผิดที่ทรยศต่อแก๊งมันเป็นอย่างไร” เฮียกู๋หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เพราะเบื้องหน้าเฟยกับลูกน้องนอนสลบไสลไม่ได้สติ “พวกเอ็งลากไอ้เฟยและลูกน้องมันกับเถ้าแก่ไปแยกขังไว้ก่อน ก่อนที่ไอ้เฟยมันจะตื่นขึ้นมาจัดการกับพวกเอ็ง เร็ว!”“ครับเฮีย”“เดี๋ยว! พวกเอ็งอย่าลืมเอาผงขาวมาซ่อนไว้ในห้องพักของไอ้เฟยและลูกน้องมันทุกคนด้วยนะ แล้วใช้เลือดจากศพมาทาบนเสื้อของพวกมันทุกคนด้วย เข้าใจไหม”“เข้าใจแล้วครับเฮีย”ห
ท้องฟ้ายังขมุกขมัวไร้ซึ่งเงาแสงตะวันสายฝนยังคงพร่างพรมลงมาตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง ทางเดินแคบ ๆ ทำจากแผ่นไม้กระดานสามแผ่นวางเรียงกันยกสูงจากพื้นราว ๆ ช่วงขาได้ บัดนี้เปียกและลื่นจากสายฝนที่ตกหนักทั้งคืน บางช่วงของไม้ผุเป็นร่องและกร่อนเป็นรู เฟยประคองนุชนภาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีออกมาจากห้องเช่า และโบกเรียกแท็กซี่ให้มาส่งที่ตลาดน้ำแถวบางกรวยนุชนภาเห็นจี้อำพันแท้งดงามสุกใสที่คล้องคอเฟยก็อยากนำมาคล้องบ้าง ชายหนุ่มจึงถอดและนำมาคล้องคอให้หญิงสาว นุชนภายิ้มขอบคุณ และไม่ลืมเตือนเฟยให้หาซื้อของฝากไปให้แม่ของเขา เฟยรีบนำเงินจำนวนหนึ่งส่งให้นุชนภาเพื่อใช้ซื้อข้าวของ“เฟยช่วยนุชเลือกผลไม้ที่จะเอาไปฝากแม่เฟยหน่อยสิคะ นุชไม่ทราบว่าท่านชอบผลไม้อะไรบ้าง นะคะ...หือ? มีอะไรคะเฟย เหมือนระแวง มองโน่นมองนี่ตลอด ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้วนะคะ”“เปล่าจ้ะนุช ไม่มีอะไรหรอก นุชอยากซื้อผลไม้ใช่ไหม ได้สิ เดี๋ยวผมพานุชไปเลือกซื้อเอง...นุช ขอบคุณมากนะที่นึกถึงแม่ของผม” เขาพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นเฟยก็ประคองหญิงสาวเดินไปริมคลอง บนเรือพายของแม่ค้ามีผลไม้มากมายให้ซื้อหา ขณะที่นุชนภากำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่นั
หลังจากที่นุชนภาได้พบกับผู้กองสัจจา วันต่อมาเธอก็มาหาผู้กองหนุ่มที่สถานีตำรวจตามนัดหมาย เพื่อพูดคุยเรื่องงานของเธอและอนาคตของลูก หลังจากเมื่อคืนนี้หญิงสาวกลับมาคิดทบทวนว่าระหว่างงานเสมียนบนสถานีตำรวจกับงานโรงงาน เธอควรเลือกอย่างไหนดี ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในโรงงานทอผ้าของชาวจีนไต้หวันตามคำแนะนำของเจ้าของห้องเช่า เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานออกแบบผ้ามาก่อน โรงงานแห่งนี้ผลิตผ้าส่งออกเพื่อนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย โดยตัวโรงงานตั้งอยู่ในย่านบางพลี เธอจึงมาบอกให้ผู้กองสัจจาทราบ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง นุชนภาเข้าไปทำงานในส่วนของฝ่ายควบคุมเอกสารแผนกดีไซน์แบบเสื้อ จึงไม่ต้องทำงานเข้ากะเหมือนฝ่ายผลิตนุชนภาพาลูกมาเช่าห้องแถวอยู่ใกล้โรงงาน ก่อนเริ่มทำงาน เธอได้จ้างผู้หญิงวัยกลางคนที่เช่าห้องใกล้กับเธอให้ดูแลลูกในตอนกลางวันช่วงที่เธอไปทำงาน เมื่อถึงช่วงพักเที่ยง หญิงสาวก็ขออนุญาตหัวหน้าออกมาให้นมลูก เธอโชคดีที่คนรับจ้างเลี้ยงลูกให้มีตู้เย็นในห้อง ตอนเช้านุชนภาจะบีบนมใส่ขวดและนำไปแช่ช่องฟรีซไว้ พร้อมทั้งกำชับให้พี่เลี้ยงนำขวดนมไปนึ่งก่อนป้อนให้ลูกกินผู้กองสัจจากับพลายเพลิงได
ไม่มีใครสังเกตเห็นตะกร้าหวายที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ ประตูทางเข้าโบสถ์ กิมลั้งซึ่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่หน้าโบสถ์ ได้ยินเสียงสุนัขที่นอนหมอบใต้โต๊ะเห่าเรียก นางจึงหันไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นเด็กทารกอยู่ในตะกร้า เป็นเด็กผู้ชายผิวขาวราวหยวกกล้วยนอนขดตัวในผ้าที่อุ่นหนา ไม่ร้องงอแงทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนักฟ้าร้องตลอดเวลา กิมลั้งจึงแจ้งหลวงตามหามนตรี เจ้าอาวาสวัดให้รับทราบ และเจ้าอาวาสได้ฝากให้กิมลั้งช่วยดูแลไปก่อนในคืนนี้ นางยินดีและดีใจที่ได้นำเด็กทารกชายไปดูแล แม้เพียงช่วงหนึ่งนางก็แทบอยากจะขอรับเลี้ยงไว้เป็นลูกเป็นหลานเสียเอง นางพิศดูลักษณะของเด็กน้อยไปมา“เด็กเกิดในปีนี้ เป็นปีมะโรงค่ะหลวงตา ดูสิ...ผิวขาว หน้าผากกว้าง หางตาเชิดขึ้น มีสันจมูก หลังเท้าอวบอิ่ม นิ้วเท้าเรียงชิดกัน โตขึ้นคงมีวาสนาค่ะ” กิมลั้งบอก“เป็นเด็กลักษณะดีนะเนี่ยเรา ต่อไปในภายภาคหน้าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะได้ดิบได้ดี อาจเป็นเจ้าคนนายคนคนหนึ่งเลยทีเดียว สันจมูกโด่งตั้งแต่ยังเล็ก คงเอาดีทางด้านบู๊และบุ๋น บ๊ะ! เจ้านี่ทั้งเรียนทั้งต่อยเลยนะ”หลวงตามหามนตรีอุ้มทารกน้อยกล่อมไปมา พลางดูลักษณะโหงวเฮ้งครบลักษณะทั้งหมด หลวงตาจึงบอกกิมลั้งว่าควร
“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื
ช่วงสายของวันหยุดก่อนเทศกาลวันเข้าพรรษาของไทย ภายในพระอุโบสถทรงไทยของวัด ทิวา เสือ เล้ง และเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดอีกห้าคน ต่างกระจายกันช่วยทำความสะอาดพื้นและหน้าต่าง บางส่วนช่วยกันแบกพรมไปตากแดดหน้าลานพระอุโบสถ ส่วนทิวาและเสือช่วยกันทำความสะอาดกระถางธูปและเชิงเทียนเล้งรวบน้ำตาเทียนที่จับตัวเป็นก้อนกับเถ้าธูปไปทิ้ง และกลับมาช่วยทิวาทำความสะอาดพระประธานและพระพุทธรูปต่อ ทิวาและเสือบิดผ้าพอหมาด แล้วบรรจงเช็ดทำความสะอาดจากฐานของพระประธานปางสมาธิสมัยสุโขทัย จนถึงหน้าพระพักตร์ พระอุโบสถนั้นมีหน้าบันปูนรูปกนกก้านขดช่อเทพนมอยู่กลางประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองประตู เสมาทำด้วยหินทรายแดงขนาดเล็ก เสมาหน้าอยู่ในซุ้มสี่เหลี่ยมมียอด เสมาอื่นเป็นแบบเสมานั่งแท่นใกล้กันเป็นหอระฆังสูง อันมีลักษณะทรงไทยดูอ่อนช้อยสวยงาม หลังจากทำความสะอาดในส่วนต่าง ๆ ในพระอุโบสถแล้ว เด็กทั้งหมดก็มาช่วยสามเณรล้างลานรอบพระอุโบสถ ถึงตอนนี้บรรดาเด็กวัดทั้งห้าคน หรือแม้แต่ทิวากับเสือต่างก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ทั้งล้างทั้งเล่นฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้สามเณรต้องร่นถอยไปยืนพิงผนังข้างพระอุโบสถ ด้วยเกรงว่าอันตรวาสกและอัง
ในคืนนั้นเอง ทิวาบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดของร่างกายจากการชกมวยคาดเชือกมีเพียงผิวเผิน ไม่บอบช้ำถึงข้างใน แต่คำพูดของหลวงตาที่ตอกย้ำว่า หากพลาดสมองกระทบกระเทือนถึงขั้นพิการขึ้นมา ใครจะดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิตชัยชนะของทิวาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที ทิวาได้เงินรางวัลหลายพัน เพียงพอที่จะนำไปตัดแว่นสายตาดี ๆ ให้อาม่าและหลวงตา และยังเหลือให้อาม่าเก็บไว้ ทิวาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าผู้ใหญ่ท่านใดที่เป็นศิษย์ของหลวงตาเอื้อเฟื้อให้ทำงานพิเศษอะไร ทิวาไม่เคยเกี่ยง ไม่เคยทำให้หลวงตากับอาม่าผิดหวัง เด็กหนุ่มทั้งขยันเรียนและทำงาน เพื่อหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากช่วยงานอาม่าที่ร้านขายของชำตลอดจนขายทั้งสมุนไพรแบบจีนและไทยการที่ทิวามีพรสวรรค์ในการทำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่มีทัศนคติไม่ดีเปลี่ยนมาคิดบวก เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ทิวา ที่ยอมรับและรักทิวาดุจลูกหลาน เพราะพวกเขาดีใจที่ลูก ๆ ของตนเปลี่ยนเป็นคนดีตั้งใจเรียนเพราะเอาแบบอย่างทิวา ลำพังเขากับภรรยาทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยลูกชายลูกสาว วัดได้รับการดูแลทำนุบำรุงพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ เพราะศรัทธา
เพลิงแห่งความเกลียดชังทิวากับเพื่อน ๆ เริ่มปะทุขึ้นในใจของนักการเมืองอย่างปี๊ด ยิ่งได้พบหน้าทิวาที่สถานีตำรวจ ปี๊ดยิ่งตะลึง ด้วยดวงหน้าและบุคลิกของทิวาละม้ายคล้ายกับคนคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนามทิ่มแทงใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นยิ่งเหมือนไฟที่กำลังโหมแรงปี๊ดจึงได้คิดหาหนทางทำร้ายทิวากับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทิวา เสือ และเล้งได้รับการถ่ายทอดแม่ไม้มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธไทยโบราณทุกชนิดจากชายชุดขาวที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตไว้ ซึ่งชายชุดขาวก็คือครูช้างเผือก เจ้าของค่ายมวยไทยที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนั่นเอง ซึ่งหลวงตามหามนตรีจำได้ แม้ครูช้างเผือกจะปกปิดหน้าตาไว้ก็ตาม เนื่องจากคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในอดีตครูช้างเผือกเคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ภรรยาพร้อมลูกสาวเสียชีวิตเพราะกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านเพื่อตั้งใจมาฆ่าล้างแค้นครูช้างเผือก เพราะก่อนหน้านั้นครูช้างเผือกได้เคยช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งไม่ให้ถูกพวกคนร้ายข่มขืน และครูช้างเผือกจำเป็นต้องป้องกันตนเองจากพวกคนร้าย เลยพลั้งมือฆ่าลูกพี่ของพวกมันตาย เมื่อคนที่เหลือออกจากคุกมาก็เลยผูกใจเจ็บ และสืบจนรู้ว่าบ้านอดีตนั
หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัว
“เสือหนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา ก้อนหินหนักเฉียดกายเสือไปไม่ถึงช่วงแขน ร่างของทิวาล้มทับปอนด์ แต่สองมือยังคงกอดรั้งไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำร้ายเสือได้อีก“ปล่อย! ไอ้ทิวาปล่อยกู ยังอีก พวกมึงรุมกระทืบมันเลย เร็ว!”พลั่ก ๆๆ ผัวะ ๆๆ ฝ่าเท้าเด็กผู้ชายหลายคู่ทั้งเหยียบทั้งย่ำทั้งเตะลงบนลำตัวของทิวา ทว่าไม่มีเสียงร้องแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ได้ยิน มีแต่เสียงตะโกนบอกให้เสือหนีไปเท่านั้น“ทิวา! พวกมึงหยุดทำร้ายเพื่อนของกูเดี๋ยวนี้นะ!”ด้วยความคับแค้นใจ หัวใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลทางใจ เมื่อชีวิตขาดแม่ โดนดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติมปม แต่หากถูกรังแกถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ถูกรังแกอีกต่อไป!เสือกระโดดถีบและไล่เตะแต่ละคนด้วยความคับแค้นใจ จนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางบนพื้น ทิวายังคงกอดรัดปอนด์ไว้แน่น เสียงกำปั้นฟาดลงกลางหลังของทิวาไม่ยั้ง เสือเห็นดังนั้นจึงก้มลงจะหยิบท่อนไม้ข้างโรงอาหารขึ้นมา เพื่อจะทำสิ่งหนึ่งเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าภารโรงแก่ ๆ ดึงมือไว้ และบอกกับเสือเสียงเบาว่า“ทิ้งมันไปเสีย เชื่อลุงไอ้หนู ให้ครูลงโทษพวกม
กาลเวลาหมุนผ่านไป หลายชีวิตย่างเข้าสู่วัยชรา เกิดแก่เจ็บตาย ย่อมมิมีผู้ใดหลีกหนีพ้น คุณตาคุณยายแท้ ๆ ของทิวาที่อยู่ภาคเหนือเริ่มโรยราและตายจากไป ครอบครัวเล็ก ๆ จึงเหลือเพียงเนตรนภา ผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวแท้ ๆ ซึ่งตอนนี้ได้มาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ โดยนุชนภาส่งเงินมาช่วยเหลือเป็นระยะ ๆนุชนภาโชคดีที่มีน้องสาวเป็นคนขยันและตั้งใจเรียน กระทั่งสอบเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลทหารเรือได้ หลังจากเรียนจบทำงานก็ได้สมรสกับนายทหารเรือหนุ่มยศสัญญาบัตร ในงานแต่งงานของเนตรนภา กิมลั้งและทิวาได้รับเชิญให้มาร่วมงานด้วยเนตรนภารู้สึกถูกชะตากับทิวามาก เหมือนว่ากิมลั้งและทิวาเป็นคนในครอบครัวเธอ หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สิบกว่าปีมานี้ ทิวาและเพื่อนเด็กวัดคนอื่น ๆ ได้รับความอนุเคราะห์ทั้งจากเนตรนภาและนุชนภามาตลอด ทั้งเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ทุนการศึกษา และเงินรางวัลหากมีผลการเรียนดี สองพี่น้องช่วยกันเติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือให้กับเด็ก ๆ ทุกคนเรื่อยมาเมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับกันเกือบหมด เนตรนภาจึงมีโอกาสเข้ามาพูดคุยกับกิมลั้งและทิวา“ทิวา หากวันไหนเธอลำบากหรือขัดสน อย่าลืมว่ายังมีน้าเนตรอีกคนนะลูกนะ”“ขอบคุณครั
วันต่อมา หญิงสาวไปสืบเรื่องการตายของเฟยที่สถานีตำรวจ จึงทราบว่าตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำนนท์ เธอจึงขอให้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งเช่าห้องใกล้กันกับเธอช่วยดูแลลูกให้ครึ่งวัน โดยเธอมีค่าตอบแทนให้นุชนภาบีบน้ำนมจากเต้าใส่ขวดและเก็บไว้ในช่องฟรีซ และได้กำชับให้คนช่วยดูแลลูกนำขวดนมมาอุ่นโดยใช้ที่นึ่งขวดนมทันทีหากลูกชายเริ่มร้อง จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังวัดแห่งนั้น เพื่อเข้าไปกราบศพของสามีเมื่อไปถึงวัดดังกล่าว เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ร้องและมีน้ำตาเพราะเกรงว่าญาติของเฟยจะสงสัย ซึ่งที่นี่นุชนภาได้พบกิมลั้งเป็นครั้งแรก เธออยากเข้าไปกราบแทบเท้าอีกฝ่ายที่สุด แต่ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ทั้งยังเคยทำงานเป็นผู้หญิงกลางคืนมาก่อน แม้จะไม่ได้เป็นโสเภณีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะตอกย้ำว่า เธอไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นลูกสะใภ้ของกิมลั้งได้เลย!ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ทำให้ต้องเผชิญกับคำว่า ‘ตกเขียว!’ นุชนภาตั้งใจเก็บงำความลับนี้ให้มิดที่สุด จึงแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานเดียวกับเฟย“หนูเป็นเพื่อนของเฟยใช่ไหม มากินต้
ทุก ๆ วันเวลาที่ล่วงผ่าน นุชนภาคอยนับวันจะได้กลับเมืองไทย นอกจากจะตามมาดูงานในโรงงานของสามีที่บางพลี นุชนภายังจะได้มาพบลูกชายของเธอ แม้ไม่เจอที่วัดในวันธรรมดา แต่ก็ไปพบที่โรงเรียน หรือในช่วงหน้าหนาวที่โรงเรียนมีแข่งกีฬาสี ก็จะมีเงินรางวัลปริศนาใส่ซองฝากอาจารย์ไปให้ ยามที่ทิวาลงเล่นฟุตบอลและได้รางวัลชนะเลิศความสุขของการได้คอยส่งเสริมเกื้อหนุนมาหลายปี ทำให้เธอปลื้มปริ่มอิ่มเอมจนเอ่อล้นออกจากตาไม่ขาดสาย ยิ่งได้ทราบจากหลวงตาว่าจะบวชสามเณรฤดูร้อนให้แก่เด็ก ๆ ละแวกนี้กับกลุ่มเด็กวัด ซึ่งรวมถึงทิวาด้วย ประธานจัดการเรื่องการบวชสามเณรฤดูร้อนที่นุชนภายื่นขอต่อหลวงตาจึงได้รับความเห็นชอบจากวัด นุชนภากับกิมลั้งแสนจะดีใจ เธอไม่ลืมที่จะบอกเนตรนภาน้องสาวคนเดียวของเธอให้มาร่วมทำบุญในงานบวชสามเณรของทิวาด้วย...ภายในพระอุโบสถ ทิวาและเพื่อน ๆ ทั้งหมดห้าสิบคนได้โกนหัวเป็นนาค กำลังวันทาพระประธานอีกครั้งด้วยวิธีอย่างเดียวกันกับวันทาสีมา ก่อนจะกลับไปนั่งยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับนาค จากนั้นอาม่ากับนุชนภาร่วมกันมอบผ้าไตรให้นาค พร้อมกับครอบครัวของนาคคนอื่น ๆ“อาม่าคะ พี่นุช นี่ค่ะ” เนตรนภาเรียกกิมลั้งและพ