ชะตาชีวิตของคน
บางครั้งกลับเลวร้ายขณะพยายามลดละจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ แม้จะเป็นมือขวาของเถ้าแก่โจว แต่การปกครองคนของเฟยนั้นแม้จะเด็ดขาดแต่ก็มีน้ำใจ ไม่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ลูกน้องและพนักงานระดับต่าง ๆ ในสถานเริงรมย์ของเถ้าแก่โจวเคารพยำเกรงในความเป็นนักเลงคุณธรรมของเฟย คุณลักษณะเช่นนี้ทำให้เฮียกู๋ ผู้เป็นมือซ้ายของเถ้าแก่โจวเกิดความริษยาในตัวเฟย จึงคิดวางแผนใส่ร้ายเฟยว่าเป็นคนทรยศหักหลังเถ้าแก่ โดยวางยานอนหลับในอาหารในงานกินเลี้ยงของแก๊ง เพื่อให้เฟยและลูกน้องคนสนิทกับเถ้าแก่หลับด้วยฤทธิ์ยา
“ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างข้าโว้ย ไอ้เฟย! เมื่อเอ็งตื่นมาความผิดทุกอย่างก็จะเป็นของเอ็ง เอ็งรู้ใช่ไหม ความผิดที่ทรยศต่อแก๊งมันเป็นอย่างไร” เฮียกู๋หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เพราะเบื้องหน้าเฟยกับลูกน้องนอนสลบไสลไม่ได้สติ “พวกเอ็งลากไอ้เฟยและลูกน้องมันกับเถ้าแก่ไปแยกขังไว้ก่อน ก่อนที่ไอ้เฟยมันจะตื่นขึ้นมาจัดการกับพวกเอ็ง เร็ว!”
“ครับเฮีย”
“เดี๋ยว! พวกเอ็งอย่าลืมเอาผงขาวมาซ่อนไว้ในห้องพักของไอ้เฟยและลูกน้องมันทุกคนด้วยนะ แล้วใช้เลือดจากศพมาทาบนเสื้อของพวกมันทุกคนด้วย เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับเฮีย”
หลังจากทุกคนหลับใหลไม่ได้สติ เฮียกู๋ก็รีบสั่งการให้ลูกน้องพาตัวทั้งหมดไปแยกขังไว้ โดยเฟยและลูกน้องถูกนำตัวมาขังไว้ห้องเก่าท้ายโกดัง จากนั้นเฮียกู๋ก็พาลูกน้องของตนและลูกน้องบางส่วนของเฟยที่เฮียกู๋ใช้เงินซื้อเพื่อให้หักหลัง บุกไปปล้นและฆ่าลูกน้องของเฟยที่เฝ้าโกดังเก็บเหล้าหนีภาษีและยาเสพติด
เฮียกู๋ได้นำเฮโรอีนบางส่วนจากเฮโรอีนลอตใหญ่ที่จะส่งลงเรือไปต่างประเทศ มาซุกไว้ในห้องพักของเฟยและลูกน้องคนสนิทของเฟยทุกคน จากนั้นก็ใช้เลือดจากศพของลูกน้องเฟยที่เฝ้าโกดังมาทาบนเสื้อของเฟยและลูกน้องทุกคนด้วย
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ เฮียกู๋ก็รอให้ยานอนหลับหมดฤทธิ์ ซึ่งใช้เวลาราวสองชั่วโมง พอได้เวลาก็ทำทีเป็นบุกมาช่วยเถ้าแก่ที่เริ่มรู้สึกตัว และบอกเล่าเรื่องเท็จให้เถ้าแก่ทราบ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเฟย แม้คราแรกเถ้าแก่จะยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไรนัก แต่การที่ลูกน้องของเฟยยืนยันหนักแน่นก็ทำให้เถ้าแก่เริ่มคล้อยตาม
ในเวลาเดียวกัน เฟยกับลูกน้องเมื่อรู้สึกตัวก็รีบวิ่งตามกันออกมาจากห้องร้าง แล้วก็พบลูกน้องตนเองเป็นศพไปแล้ว เฟยทั้งโกรธทั้งแค้นคนที่ฆ่าลูกน้องของเขา แต่เมื่อพบทั้งเถ้าแก่และเฮียกู๋ ชายหนุ่มยิ่งสับสนและแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินว่าทั้งหมดเป็นแผนการของเขา
ด้วยนิสัยของเฟยเป็นคนไม่มุทะลุ เขาค่อย ๆ อธิบายให้เถ้าแก่ฟังถึงความเป็นไปได้ที่เขาและลูกน้องโดนใส่ร้าย และให้เถ้าแก่นึกถึงตอนที่โดนวางยา เพราะหากเขาเป็นคนทำ เขาคงไม่มีวันทิ้งหลักฐานอย่างยาเสพติดและเลือดบนเสื้อผ้าเด็ดขาด อีกอย่างหากเขาลงมือฆ่าลูกน้อง สู้ลงมือกำจัดเถ้าแก่ก่อนไม่ดีกว่าหรือ แต่เขาไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่นอนเพราะเถ้าแก่โจวมีบุญคุณกับเขา
เถ้าแก่โจวคิดตาม ด้วยพอรู้นิสัยของเฟยว่าอีกฝ่ายไม่ทำเรื่องไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้เด็ดขาด แต่เถ้าแก่ไม่กล้าคิดต่อว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือใคร
ในขณะที่แผนการของเฮียกู๋เกือบจะบรรลุตามแผนที่วางไว้ นั่นคือกำจัดคนอย่างเฟยให้พ้นทาง แล้วค่อยกำจัดเถ้าแก่ จากนั้นตั้งตนขึ้นเป็นเถ้าแก่เสียเอง ก็มีเสียงแหบ ๆ ดังแผ่วเบามาจากคนที่นอนอยู่บนพื้น เฟยจำเสียงของลูกน้องตนเองได้ เขาดีใจแทบร่ำไห้รีบเข้าไปประคองลูกน้องที่บาดเจ็บสาหัส แต่แล้วทุกคนก็ได้เห็นว่าบนพื้นมีตัวหนังสือสีแดงเขียนด้วยเลือดว่า ‘เฮียกู๋เป็นคนทำ’ และไม่กี่นาทีลูกน้องของเฟยก็สิ้นใจตาย
เมื่อความจริงปรากฏ และเถ้าแก่โจวได้รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของเฟย จึงโกรธเลือดขึ้นหน้า ล้วงปืนพกที่เหน็บเอวไว้ออกมา
“เถ้าแก่ อย่า! ผมผิดไปแล้ว” เฮียกู๋ร้องเสียงหลง พยายามวิ่งหนี แต่สุดท้าย...
ปังๆๆๆ!
เสียงปืนขนาด จุด 38 ดังสนั่นปานอสนีบาตฟาดติดต่อกันหกครั้งจนกระสุนหมดรังเพลิง ร่างท้วมของนักเลงคุมบ่อนพนันอย่างเฮียกู๋ ผู้เป็นมือซ้ายของเถ้าแก่โจวล้มตึงนอนจมกองเลือดอย่างน่าอเนจอนาถ จากนั้นมืออันหยาบกร้านของเถ้าแก่โจวก็หยิบปืนสั้นขนาด จุด 22 อีกกระบอกส่งให้เฟยผู้เป็นมือขวา
“เฟย...จัดการลูกน้องของเอ็งที่ทรยศเสีย อย่าใจอ่อน กฎคือกฎรู้ใช่ไหม!” เถ่าแก่โจวย้ำให้เฟยรีบลงมือ
ในนาทีนั้นเฟยต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากยิ่ง ทั้งที่ไม่อยากฆ่าลูกน้องที่เคยทำงานอย่างยากลำบากร่วมกันมา เพียงเพราะขัดสนเงินทองถึงทำให้ลูกน้องที่อายุยังน้อยถูกเฮียกู๋คนเลวกล่อมให้คิดคดทรยศต่อแก๊ง แม้เฟยจะคิดว่าความผิดนี้ไม่ต้องถึงกับฆ่าให้ตาย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เขาจำเป็นต้องยิง
เฟยพยายามยิงให้ห่างจากตำแหน่งหัวใจมากที่สุด เพราะต่อให้บาดเจ็บก็แค่สาหัสไม่ถึงกับตาย ถึงตอนนั้นคงขึ้นอยู่กับโชคชะตาของลูกน้องเขา ปืนสั้นขนาด จุด 22 ลูกกระสุนหัวเล็กกว่า จุด 45 และ แม็กนัม 357
ฉะนั้นหากยิงบริเวณหัวไหล่ซึ่งห่างหัวใจและปอดโอกาสรอดคงมี เพราะกระสุนคงไม่ระเบิดเปิดแผลกว้างมากนัก เฟยหลุบตาลง ในใจยิ่งทรมาน แต่จำใจต้องเหนี่ยวไก
“พี่เฟย! อย่ายิงผม! ผมผิดไปแล้ว ผมร้อนเงินครับ ผมไม่มีทางเลือก ผมจะเอาเงินไปให้แม่ไถ่ถอนบ้านซึ่งติดจำนองไว้กับเถ้าแก่ค้าที่ดินแถวบ้าน บ้านผมกำลังจะถูกยึด พี่อย่า...” ร่างผอมบางเอ่ยละล่ำละลักด้วยความสำนึกผิด และโผเข้ากอดขาของเฟยตัวสั่นเทา
เฟยเข้าใจลูกน้องดี คนที่รู้ตัวว่าจะตายด้วยปืนนั้นแสนจะหวาดกลัวเพียงใด ร่างที่สั่นเทิ้มนั้นตาลีตาเหลือกยกมือไหว้ ทั้งกราบและกอดขาเฟยอย่างน่าเวทนา เฟยพยักหน้าให้กับลูกน้องที่ทรยศ
“หลับตาสิหิน...เจ็บไม่มากหรอก เชื่อฉัน เรื่องหนี้ฉันรับปากว่าจะช่วยเหลือครอบครัวแกเอง...” เฟยบอกเสียงเบา
หินจับมือลูกพี่ของตนมาวางบนศีรษะ พลางพร่ำบอกกับเฟยและเถ้าแก่ว่า หากชาติหน้ามีจริง ขอเกิดเป็นลูกน้องทั้งสองคนอีก และขอร้องให้เฟยเอาเงินเดือนเดือนสุดท้ายให้แม่ของตนด้วย
เถ้าแก่โจวหลับตาลงเพื่อข่มความใจอ่อน มิทันจะห้ามการลั่นกระสุนของเฟย แต่สุดท้ายเฟยก็ย่อมอยู่ใต้กฎ เฟยบอกเด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขาให้หลับตาลงอีกครั้ง...
ปัง!
เสียงปืนแผดลั่นก้องไปทั่วโกดังคอนกรีต ร่างผอมล้มฟุบแน่นิ่งลงบนพื้นหลังจากสิ้นเสียงปืน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้กองสัจจานำกำลังตำรวจกองปราบบุกเข้ามาจับกุมเถ้าแก่โจว พร้อมยึดของกลางจำนวนมาก เถ้าแก่โจวอาศัยจังหวะชุลมุนยิงต่อสู้กับตำรวจ และหนีออกไปทางด้านหลังโกดัง ซึ่งได้ทำทางหนีฉุกเฉินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เถ้าแก่โจวหนีการจับกุมไปด้วยความคั่งแค้นอย่างที่สุด ความโกรธเหมือนเพลิงลุกโหมท่วมอก เพราะนอกจากเห็นภาพลูกน้องตายเกลื่อนไม่มีเหลือแล้ว เขายังได้รู้ความจริงอีกอย่างที่คาดไม่ถึง นั่นคือแท้จริงแล้วคนที่ทรยศหักหลังเป็นสายให้ตำรวจคือเฟย ลูกน้องที่เขาไว้ใจมากที่สุดนั่นเอง
หนี้แค้นนี้ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!
เฟยร้องขอผู้กองสัจจาให้ช่วยนำตัวหิน ลูกน้องที่บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลโดยด่วนเพราะอีกฝ่ายยังหายใจอยู่ กระสุนไม่ได้โดนจุดสำคัญ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล หินก็ได้รับการผ่าตัดเอากระสุนที่ฝังอยู่ออกจนพ้นขีดอันตราย
และนอนรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล เฟยแอบรวบรวมเงินผิดกฎหมายของเถ้าแก่โจวบางส่วนไปใส่ไว้ในไหดินเผา และขุดหลุมฝังกลบไว้ในที่ดินหลังบ้านของหินตามที่เขาให้สัญญา ส่วนที่เหลือเฟยมอบให้ตำรวจยึดเป็นของกลาง จากนั้นเฟยก็เขียนจดหมายใส่ซองปิดผนึกและฝากไว้กับพยาบาลประจำห้องไอซียู ขอให้มอบถึงมือลูกน้องของเขาทันทีที่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา
ใจความในจดหมายนั้นได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งนอกจากจำนวนเงินที่สามารถนำไปไถ่ถอนบ้านได้แล้ว ยังมีเหลืออีกจำนวนหนึ่ง ให้เอาไว้เป็นทุนประกอบสัมมาอาชีพสุจริต ทั้งยังกำชับว่าอย่าหันกลับมาในเส้นทางผิดกฎหมายอีก
เมื่อหินฟื้นจากอาการบาดเจ็บและได้อ่านจดหมายฉบับนั้น เขาถึงกับปล่อยโฮอย่างไม่อายใคร ในชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ตนอยู่รอด ถึงกับต้องหักหลังลูกพี่ผู้มีจิตใจหนักแน่นดั่งขุนเขา น้ำใจกว้างใหญ่ดุจแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ตัวเขาและครอบครัวคงก็ไม่มีวันทดแทนพระคุณของชายหนุ่มผู้มีจิตใจสูงส่งนามว่าเฟยได้เป็นแน่แท้...
เมื่อตัวการสำคัญยังคงลอยนวล และสามารถหนีรอดการไล่ล่าจับกุมของตำรวจไปได้ เฟยก็ยิ่งห่วงนุชนภาและลูกที่ใกล้คลอดเต็มที จึงบอกกับผู้กองว่าเขาจะวางมือ และตั้งใจจะพานุชนภากับลูกไปหางานทำเลี้ยงชีพที่ชลบุรี โดยจะฝากนุชนภาไว้กับแม่ของตนก่อน
ส่วนตัวเขาจะไปทำงานในโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมในชลบุรีสักปี รอให้เรื่องเงียบค่อยกลับมารับลูกและเมีย เพราะเถ้าแก่โจวคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่ อีกฝ่ายต้องหวนกลับมาล้างแค้นเขาแน่นอน เมื่อรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นสายให้กับตำรวจ...
ท้องฟ้ายังขมุกขมัวไร้ซึ่งเงาแสงตะวันสายฝนยังคงพร่างพรมลงมาตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง ทางเดินแคบ ๆ ทำจากแผ่นไม้กระดานสามแผ่นวางเรียงกันยกสูงจากพื้นราว ๆ ช่วงขาได้ บัดนี้เปียกและลื่นจากสายฝนที่ตกหนักทั้งคืน บางช่วงของไม้ผุเป็นร่องและกร่อนเป็นรู เฟยประคองนุชนภาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีออกมาจากห้องเช่า และโบกเรียกแท็กซี่ให้มาส่งที่ตลาดน้ำแถวบางกรวยนุชนภาเห็นจี้อำพันแท้งดงามสุกใสที่คล้องคอเฟยก็อยากนำมาคล้องบ้าง ชายหนุ่มจึงถอดและนำมาคล้องคอให้หญิงสาว นุชนภายิ้มขอบคุณ และไม่ลืมเตือนเฟยให้หาซื้อของฝากไปให้แม่ของเขา เฟยรีบนำเงินจำนวนหนึ่งส่งให้นุชนภาเพื่อใช้ซื้อข้าวของ“เฟยช่วยนุชเลือกผลไม้ที่จะเอาไปฝากแม่เฟยหน่อยสิคะ นุชไม่ทราบว่าท่านชอบผลไม้อะไรบ้าง นะคะ...หือ? มีอะไรคะเฟย เหมือนระแวง มองโน่นมองนี่ตลอด ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้วนะคะ”“เปล่าจ้ะนุช ไม่มีอะไรหรอก นุชอยากซื้อผลไม้ใช่ไหม ได้สิ เดี๋ยวผมพานุชไปเลือกซื้อเอง...นุช ขอบคุณมากนะที่นึกถึงแม่ของผม” เขาพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นเฟยก็ประคองหญิงสาวเดินไปริมคลอง บนเรือพายของแม่ค้ามีผลไม้มากมายให้ซื้อหา ขณะที่นุชนภากำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่นั
หลังจากที่นุชนภาได้พบกับผู้กองสัจจา วันต่อมาเธอก็มาหาผู้กองหนุ่มที่สถานีตำรวจตามนัดหมาย เพื่อพูดคุยเรื่องงานของเธอและอนาคตของลูก หลังจากเมื่อคืนนี้หญิงสาวกลับมาคิดทบทวนว่าระหว่างงานเสมียนบนสถานีตำรวจกับงานโรงงาน เธอควรเลือกอย่างไหนดี ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในโรงงานทอผ้าของชาวจีนไต้หวันตามคำแนะนำของเจ้าของห้องเช่า เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานออกแบบผ้ามาก่อน โรงงานแห่งนี้ผลิตผ้าส่งออกเพื่อนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย โดยตัวโรงงานตั้งอยู่ในย่านบางพลี เธอจึงมาบอกให้ผู้กองสัจจาทราบ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง นุชนภาเข้าไปทำงานในส่วนของฝ่ายควบคุมเอกสารแผนกดีไซน์แบบเสื้อ จึงไม่ต้องทำงานเข้ากะเหมือนฝ่ายผลิตนุชนภาพาลูกมาเช่าห้องแถวอยู่ใกล้โรงงาน ก่อนเริ่มทำงาน เธอได้จ้างผู้หญิงวัยกลางคนที่เช่าห้องใกล้กับเธอให้ดูแลลูกในตอนกลางวันช่วงที่เธอไปทำงาน เมื่อถึงช่วงพักเที่ยง หญิงสาวก็ขออนุญาตหัวหน้าออกมาให้นมลูก เธอโชคดีที่คนรับจ้างเลี้ยงลูกให้มีตู้เย็นในห้อง ตอนเช้านุชนภาจะบีบนมใส่ขวดและนำไปแช่ช่องฟรีซไว้ พร้อมทั้งกำชับให้พี่เลี้ยงนำขวดนมไปนึ่งก่อนป้อนให้ลูกกินผู้กองสัจจากับพลายเพลิงได
ไม่มีใครสังเกตเห็นตะกร้าหวายที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ ประตูทางเข้าโบสถ์ กิมลั้งซึ่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่หน้าโบสถ์ ได้ยินเสียงสุนัขที่นอนหมอบใต้โต๊ะเห่าเรียก นางจึงหันไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นเด็กทารกอยู่ในตะกร้า เป็นเด็กผู้ชายผิวขาวราวหยวกกล้วยนอนขดตัวในผ้าที่อุ่นหนา ไม่ร้องงอแงทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนักฟ้าร้องตลอดเวลา กิมลั้งจึงแจ้งหลวงตามหามนตรี เจ้าอาวาสวัดให้รับทราบ และเจ้าอาวาสได้ฝากให้กิมลั้งช่วยดูแลไปก่อนในคืนนี้ นางยินดีและดีใจที่ได้นำเด็กทารกชายไปดูแล แม้เพียงช่วงหนึ่งนางก็แทบอยากจะขอรับเลี้ยงไว้เป็นลูกเป็นหลานเสียเอง นางพิศดูลักษณะของเด็กน้อยไปมา“เด็กเกิดในปีนี้ เป็นปีมะโรงค่ะหลวงตา ดูสิ...ผิวขาว หน้าผากกว้าง หางตาเชิดขึ้น มีสันจมูก หลังเท้าอวบอิ่ม นิ้วเท้าเรียงชิดกัน โตขึ้นคงมีวาสนาค่ะ” กิมลั้งบอก“เป็นเด็กลักษณะดีนะเนี่ยเรา ต่อไปในภายภาคหน้าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะได้ดิบได้ดี อาจเป็นเจ้าคนนายคนคนหนึ่งเลยทีเดียว สันจมูกโด่งตั้งแต่ยังเล็ก คงเอาดีทางด้านบู๊และบุ๋น บ๊ะ! เจ้านี่ทั้งเรียนทั้งต่อยเลยนะ”หลวงตามหามนตรีอุ้มทารกน้อยกล่อมไปมา พลางดูลักษณะโหงวเฮ้งครบลักษณะทั้งหมด หลวงตาจึงบอกกิมลั้งว่าควร
ทุก ๆ วันเวลาที่ล่วงผ่าน นุชนภาคอยนับวันจะได้กลับเมืองไทย นอกจากจะตามมาดูงานในโรงงานของสามีที่บางพลี นุชนภายังจะได้มาพบลูกชายของเธอ แม้ไม่เจอที่วัดในวันธรรมดา แต่ก็ไปพบที่โรงเรียน หรือในช่วงหน้าหนาวที่โรงเรียนมีแข่งกีฬาสี ก็จะมีเงินรางวัลปริศนาใส่ซองฝากอาจารย์ไปให้ ยามที่ทิวาลงเล่นฟุตบอลและได้รางวัลชนะเลิศความสุขของการได้คอยส่งเสริมเกื้อหนุนมาหลายปี ทำให้เธอปลื้มปริ่มอิ่มเอมจนเอ่อล้นออกจากตาไม่ขาดสาย ยิ่งได้ทราบจากหลวงตาว่าจะบวชสามเณรฤดูร้อนให้แก่เด็ก ๆ ละแวกนี้กับกลุ่มเด็กวัด ซึ่งรวมถึงทิวาด้วย ประธานจัดการเรื่องการบวชสามเณรฤดูร้อนที่นุชนภายื่นขอต่อหลวงตาจึงได้รับความเห็นชอบจากวัด นุชนภากับกิมลั้งแสนจะดีใจ เธอไม่ลืมที่จะบอกเนตรนภาน้องสาวคนเดียวของเธอให้มาร่วมทำบุญในงานบวชสามเณรของทิวาด้วย...ภายในพระอุโบสถ ทิวาและเพื่อน ๆ ทั้งหมดห้าสิบคนได้โกนหัวเป็นนาค กำลังวันทาพระประธานอีกครั้งด้วยวิธีอย่างเดียวกันกับวันทาสีมา ก่อนจะกลับไปนั่งยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับนาค จากนั้นอาม่ากับนุชนภาร่วมกันมอบผ้าไตรให้นาค พร้อมกับครอบครัวของนาคคนอื่น ๆ“อาม่าคะ พี่นุช นี่ค่ะ” เนตรนภาเรียกกิมลั้งและพ
วันต่อมา หญิงสาวไปสืบเรื่องการตายของเฟยที่สถานีตำรวจ จึงทราบว่าตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำนนท์ เธอจึงขอให้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งเช่าห้องใกล้กันกับเธอช่วยดูแลลูกให้ครึ่งวัน โดยเธอมีค่าตอบแทนให้นุชนภาบีบน้ำนมจากเต้าใส่ขวดและเก็บไว้ในช่องฟรีซ และได้กำชับให้คนช่วยดูแลลูกนำขวดนมมาอุ่นโดยใช้ที่นึ่งขวดนมทันทีหากลูกชายเริ่มร้อง จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังวัดแห่งนั้น เพื่อเข้าไปกราบศพของสามีเมื่อไปถึงวัดดังกล่าว เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ร้องและมีน้ำตาเพราะเกรงว่าญาติของเฟยจะสงสัย ซึ่งที่นี่นุชนภาได้พบกิมลั้งเป็นครั้งแรก เธออยากเข้าไปกราบแทบเท้าอีกฝ่ายที่สุด แต่ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ทั้งยังเคยทำงานเป็นผู้หญิงกลางคืนมาก่อน แม้จะไม่ได้เป็นโสเภณีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะตอกย้ำว่า เธอไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นลูกสะใภ้ของกิมลั้งได้เลย!ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ทำให้ต้องเผชิญกับคำว่า ‘ตกเขียว!’ นุชนภาตั้งใจเก็บงำความลับนี้ให้มิดที่สุด จึงแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานเดียวกับเฟย“หนูเป็นเพื่อนของเฟยใช่ไหม มากินต้
กาลเวลาหมุนผ่านไป หลายชีวิตย่างเข้าสู่วัยชรา เกิดแก่เจ็บตาย ย่อมมิมีผู้ใดหลีกหนีพ้น คุณตาคุณยายแท้ ๆ ของทิวาที่อยู่ภาคเหนือเริ่มโรยราและตายจากไป ครอบครัวเล็ก ๆ จึงเหลือเพียงเนตรนภา ผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวแท้ ๆ ซึ่งตอนนี้ได้มาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ โดยนุชนภาส่งเงินมาช่วยเหลือเป็นระยะ ๆนุชนภาโชคดีที่มีน้องสาวเป็นคนขยันและตั้งใจเรียน กระทั่งสอบเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลทหารเรือได้ หลังจากเรียนจบทำงานก็ได้สมรสกับนายทหารเรือหนุ่มยศสัญญาบัตร ในงานแต่งงานของเนตรนภา กิมลั้งและทิวาได้รับเชิญให้มาร่วมงานด้วยเนตรนภารู้สึกถูกชะตากับทิวามาก เหมือนว่ากิมลั้งและทิวาเป็นคนในครอบครัวเธอ หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สิบกว่าปีมานี้ ทิวาและเพื่อนเด็กวัดคนอื่น ๆ ได้รับความอนุเคราะห์ทั้งจากเนตรนภาและนุชนภามาตลอด ทั้งเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ทุนการศึกษา และเงินรางวัลหากมีผลการเรียนดี สองพี่น้องช่วยกันเติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือให้กับเด็ก ๆ ทุกคนเรื่อยมาเมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับกันเกือบหมด เนตรนภาจึงมีโอกาสเข้ามาพูดคุยกับกิมลั้งและทิวา“ทิวา หากวันไหนเธอลำบากหรือขัดสน อย่าลืมว่ายังมีน้าเนตรอีกคนนะลูกนะ”“ขอบคุณครั
“เสือหนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา ก้อนหินหนักเฉียดกายเสือไปไม่ถึงช่วงแขน ร่างของทิวาล้มทับปอนด์ แต่สองมือยังคงกอดรั้งไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำร้ายเสือได้อีก“ปล่อย! ไอ้ทิวาปล่อยกู ยังอีก พวกมึงรุมกระทืบมันเลย เร็ว!”พลั่ก ๆๆ ผัวะ ๆๆ ฝ่าเท้าเด็กผู้ชายหลายคู่ทั้งเหยียบทั้งย่ำทั้งเตะลงบนลำตัวของทิวา ทว่าไม่มีเสียงร้องแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ได้ยิน มีแต่เสียงตะโกนบอกให้เสือหนีไปเท่านั้น“ทิวา! พวกมึงหยุดทำร้ายเพื่อนของกูเดี๋ยวนี้นะ!”ด้วยความคับแค้นใจ หัวใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลทางใจ เมื่อชีวิตขาดแม่ โดนดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติมปม แต่หากถูกรังแกถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ถูกรังแกอีกต่อไป!เสือกระโดดถีบและไล่เตะแต่ละคนด้วยความคับแค้นใจ จนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางบนพื้น ทิวายังคงกอดรัดปอนด์ไว้แน่น เสียงกำปั้นฟาดลงกลางหลังของทิวาไม่ยั้ง เสือเห็นดังนั้นจึงก้มลงจะหยิบท่อนไม้ข้างโรงอาหารขึ้นมา เพื่อจะทำสิ่งหนึ่งเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าภารโรงแก่ ๆ ดึงมือไว้ และบอกกับเสือเสียงเบาว่า“ทิ้งมันไปเสีย เชื่อลุงไอ้หนู ให้ครูลงโทษพวกม
หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัว
“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื
ช่วงสายของวันหยุดก่อนเทศกาลวันเข้าพรรษาของไทย ภายในพระอุโบสถทรงไทยของวัด ทิวา เสือ เล้ง และเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดอีกห้าคน ต่างกระจายกันช่วยทำความสะอาดพื้นและหน้าต่าง บางส่วนช่วยกันแบกพรมไปตากแดดหน้าลานพระอุโบสถ ส่วนทิวาและเสือช่วยกันทำความสะอาดกระถางธูปและเชิงเทียนเล้งรวบน้ำตาเทียนที่จับตัวเป็นก้อนกับเถ้าธูปไปทิ้ง และกลับมาช่วยทิวาทำความสะอาดพระประธานและพระพุทธรูปต่อ ทิวาและเสือบิดผ้าพอหมาด แล้วบรรจงเช็ดทำความสะอาดจากฐานของพระประธานปางสมาธิสมัยสุโขทัย จนถึงหน้าพระพักตร์ พระอุโบสถนั้นมีหน้าบันปูนรูปกนกก้านขดช่อเทพนมอยู่กลางประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองประตู เสมาทำด้วยหินทรายแดงขนาดเล็ก เสมาหน้าอยู่ในซุ้มสี่เหลี่ยมมียอด เสมาอื่นเป็นแบบเสมานั่งแท่นใกล้กันเป็นหอระฆังสูง อันมีลักษณะทรงไทยดูอ่อนช้อยสวยงาม หลังจากทำความสะอาดในส่วนต่าง ๆ ในพระอุโบสถแล้ว เด็กทั้งหมดก็มาช่วยสามเณรล้างลานรอบพระอุโบสถ ถึงตอนนี้บรรดาเด็กวัดทั้งห้าคน หรือแม้แต่ทิวากับเสือต่างก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ทั้งล้างทั้งเล่นฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้สามเณรต้องร่นถอยไปยืนพิงผนังข้างพระอุโบสถ ด้วยเกรงว่าอันตรวาสกและอัง
ในคืนนั้นเอง ทิวาบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดของร่างกายจากการชกมวยคาดเชือกมีเพียงผิวเผิน ไม่บอบช้ำถึงข้างใน แต่คำพูดของหลวงตาที่ตอกย้ำว่า หากพลาดสมองกระทบกระเทือนถึงขั้นพิการขึ้นมา ใครจะดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิตชัยชนะของทิวาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที ทิวาได้เงินรางวัลหลายพัน เพียงพอที่จะนำไปตัดแว่นสายตาดี ๆ ให้อาม่าและหลวงตา และยังเหลือให้อาม่าเก็บไว้ ทิวาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าผู้ใหญ่ท่านใดที่เป็นศิษย์ของหลวงตาเอื้อเฟื้อให้ทำงานพิเศษอะไร ทิวาไม่เคยเกี่ยง ไม่เคยทำให้หลวงตากับอาม่าผิดหวัง เด็กหนุ่มทั้งขยันเรียนและทำงาน เพื่อหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากช่วยงานอาม่าที่ร้านขายของชำตลอดจนขายทั้งสมุนไพรแบบจีนและไทยการที่ทิวามีพรสวรรค์ในการทำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่มีทัศนคติไม่ดีเปลี่ยนมาคิดบวก เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ทิวา ที่ยอมรับและรักทิวาดุจลูกหลาน เพราะพวกเขาดีใจที่ลูก ๆ ของตนเปลี่ยนเป็นคนดีตั้งใจเรียนเพราะเอาแบบอย่างทิวา ลำพังเขากับภรรยาทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยลูกชายลูกสาว วัดได้รับการดูแลทำนุบำรุงพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ เพราะศรัทธา
เพลิงแห่งความเกลียดชังทิวากับเพื่อน ๆ เริ่มปะทุขึ้นในใจของนักการเมืองอย่างปี๊ด ยิ่งได้พบหน้าทิวาที่สถานีตำรวจ ปี๊ดยิ่งตะลึง ด้วยดวงหน้าและบุคลิกของทิวาละม้ายคล้ายกับคนคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนามทิ่มแทงใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นยิ่งเหมือนไฟที่กำลังโหมแรงปี๊ดจึงได้คิดหาหนทางทำร้ายทิวากับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทิวา เสือ และเล้งได้รับการถ่ายทอดแม่ไม้มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธไทยโบราณทุกชนิดจากชายชุดขาวที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตไว้ ซึ่งชายชุดขาวก็คือครูช้างเผือก เจ้าของค่ายมวยไทยที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนั่นเอง ซึ่งหลวงตามหามนตรีจำได้ แม้ครูช้างเผือกจะปกปิดหน้าตาไว้ก็ตาม เนื่องจากคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในอดีตครูช้างเผือกเคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ภรรยาพร้อมลูกสาวเสียชีวิตเพราะกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านเพื่อตั้งใจมาฆ่าล้างแค้นครูช้างเผือก เพราะก่อนหน้านั้นครูช้างเผือกได้เคยช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งไม่ให้ถูกพวกคนร้ายข่มขืน และครูช้างเผือกจำเป็นต้องป้องกันตนเองจากพวกคนร้าย เลยพลั้งมือฆ่าลูกพี่ของพวกมันตาย เมื่อคนที่เหลือออกจากคุกมาก็เลยผูกใจเจ็บ และสืบจนรู้ว่าบ้านอดีตนั
หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัว
“เสือหนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา ก้อนหินหนักเฉียดกายเสือไปไม่ถึงช่วงแขน ร่างของทิวาล้มทับปอนด์ แต่สองมือยังคงกอดรั้งไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำร้ายเสือได้อีก“ปล่อย! ไอ้ทิวาปล่อยกู ยังอีก พวกมึงรุมกระทืบมันเลย เร็ว!”พลั่ก ๆๆ ผัวะ ๆๆ ฝ่าเท้าเด็กผู้ชายหลายคู่ทั้งเหยียบทั้งย่ำทั้งเตะลงบนลำตัวของทิวา ทว่าไม่มีเสียงร้องแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ได้ยิน มีแต่เสียงตะโกนบอกให้เสือหนีไปเท่านั้น“ทิวา! พวกมึงหยุดทำร้ายเพื่อนของกูเดี๋ยวนี้นะ!”ด้วยความคับแค้นใจ หัวใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลทางใจ เมื่อชีวิตขาดแม่ โดนดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติมปม แต่หากถูกรังแกถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ถูกรังแกอีกต่อไป!เสือกระโดดถีบและไล่เตะแต่ละคนด้วยความคับแค้นใจ จนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางบนพื้น ทิวายังคงกอดรัดปอนด์ไว้แน่น เสียงกำปั้นฟาดลงกลางหลังของทิวาไม่ยั้ง เสือเห็นดังนั้นจึงก้มลงจะหยิบท่อนไม้ข้างโรงอาหารขึ้นมา เพื่อจะทำสิ่งหนึ่งเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าภารโรงแก่ ๆ ดึงมือไว้ และบอกกับเสือเสียงเบาว่า“ทิ้งมันไปเสีย เชื่อลุงไอ้หนู ให้ครูลงโทษพวกม
กาลเวลาหมุนผ่านไป หลายชีวิตย่างเข้าสู่วัยชรา เกิดแก่เจ็บตาย ย่อมมิมีผู้ใดหลีกหนีพ้น คุณตาคุณยายแท้ ๆ ของทิวาที่อยู่ภาคเหนือเริ่มโรยราและตายจากไป ครอบครัวเล็ก ๆ จึงเหลือเพียงเนตรนภา ผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวแท้ ๆ ซึ่งตอนนี้ได้มาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ โดยนุชนภาส่งเงินมาช่วยเหลือเป็นระยะ ๆนุชนภาโชคดีที่มีน้องสาวเป็นคนขยันและตั้งใจเรียน กระทั่งสอบเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลทหารเรือได้ หลังจากเรียนจบทำงานก็ได้สมรสกับนายทหารเรือหนุ่มยศสัญญาบัตร ในงานแต่งงานของเนตรนภา กิมลั้งและทิวาได้รับเชิญให้มาร่วมงานด้วยเนตรนภารู้สึกถูกชะตากับทิวามาก เหมือนว่ากิมลั้งและทิวาเป็นคนในครอบครัวเธอ หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สิบกว่าปีมานี้ ทิวาและเพื่อนเด็กวัดคนอื่น ๆ ได้รับความอนุเคราะห์ทั้งจากเนตรนภาและนุชนภามาตลอด ทั้งเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ทุนการศึกษา และเงินรางวัลหากมีผลการเรียนดี สองพี่น้องช่วยกันเติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือให้กับเด็ก ๆ ทุกคนเรื่อยมาเมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับกันเกือบหมด เนตรนภาจึงมีโอกาสเข้ามาพูดคุยกับกิมลั้งและทิวา“ทิวา หากวันไหนเธอลำบากหรือขัดสน อย่าลืมว่ายังมีน้าเนตรอีกคนนะลูกนะ”“ขอบคุณครั
วันต่อมา หญิงสาวไปสืบเรื่องการตายของเฟยที่สถานีตำรวจ จึงทราบว่าตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำนนท์ เธอจึงขอให้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งเช่าห้องใกล้กันกับเธอช่วยดูแลลูกให้ครึ่งวัน โดยเธอมีค่าตอบแทนให้นุชนภาบีบน้ำนมจากเต้าใส่ขวดและเก็บไว้ในช่องฟรีซ และได้กำชับให้คนช่วยดูแลลูกนำขวดนมมาอุ่นโดยใช้ที่นึ่งขวดนมทันทีหากลูกชายเริ่มร้อง จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังวัดแห่งนั้น เพื่อเข้าไปกราบศพของสามีเมื่อไปถึงวัดดังกล่าว เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ร้องและมีน้ำตาเพราะเกรงว่าญาติของเฟยจะสงสัย ซึ่งที่นี่นุชนภาได้พบกิมลั้งเป็นครั้งแรก เธออยากเข้าไปกราบแทบเท้าอีกฝ่ายที่สุด แต่ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ทั้งยังเคยทำงานเป็นผู้หญิงกลางคืนมาก่อน แม้จะไม่ได้เป็นโสเภณีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะตอกย้ำว่า เธอไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นลูกสะใภ้ของกิมลั้งได้เลย!ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ทำให้ต้องเผชิญกับคำว่า ‘ตกเขียว!’ นุชนภาตั้งใจเก็บงำความลับนี้ให้มิดที่สุด จึงแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานเดียวกับเฟย“หนูเป็นเพื่อนของเฟยใช่ไหม มากินต้
ทุก ๆ วันเวลาที่ล่วงผ่าน นุชนภาคอยนับวันจะได้กลับเมืองไทย นอกจากจะตามมาดูงานในโรงงานของสามีที่บางพลี นุชนภายังจะได้มาพบลูกชายของเธอ แม้ไม่เจอที่วัดในวันธรรมดา แต่ก็ไปพบที่โรงเรียน หรือในช่วงหน้าหนาวที่โรงเรียนมีแข่งกีฬาสี ก็จะมีเงินรางวัลปริศนาใส่ซองฝากอาจารย์ไปให้ ยามที่ทิวาลงเล่นฟุตบอลและได้รางวัลชนะเลิศความสุขของการได้คอยส่งเสริมเกื้อหนุนมาหลายปี ทำให้เธอปลื้มปริ่มอิ่มเอมจนเอ่อล้นออกจากตาไม่ขาดสาย ยิ่งได้ทราบจากหลวงตาว่าจะบวชสามเณรฤดูร้อนให้แก่เด็ก ๆ ละแวกนี้กับกลุ่มเด็กวัด ซึ่งรวมถึงทิวาด้วย ประธานจัดการเรื่องการบวชสามเณรฤดูร้อนที่นุชนภายื่นขอต่อหลวงตาจึงได้รับความเห็นชอบจากวัด นุชนภากับกิมลั้งแสนจะดีใจ เธอไม่ลืมที่จะบอกเนตรนภาน้องสาวคนเดียวของเธอให้มาร่วมทำบุญในงานบวชสามเณรของทิวาด้วย...ภายในพระอุโบสถ ทิวาและเพื่อน ๆ ทั้งหมดห้าสิบคนได้โกนหัวเป็นนาค กำลังวันทาพระประธานอีกครั้งด้วยวิธีอย่างเดียวกันกับวันทาสีมา ก่อนจะกลับไปนั่งยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับนาค จากนั้นอาม่ากับนุชนภาร่วมกันมอบผ้าไตรให้นาค พร้อมกับครอบครัวของนาคคนอื่น ๆ“อาม่าคะ พี่นุช นี่ค่ะ” เนตรนภาเรียกกิมลั้งและพ