หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย
“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม
“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น
“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง
“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ
“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัวปางตายมันเป็นอย่างไร เอ้า...พวกเรา ซ้อมพวกมันให้น่วมเลย ส่วนเจ้าเด็กปากดีคนนี้ ข้าขอซ้อมมันด้วยตัวข้าเอง” สิ้นเสียงกร้าวของชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกพี่ ที่เหลืออีกสองคนก็ตรงเข้าไปหาทิวาและเพื่อน ๆ
แต่ทิวาและเสือต่างก็ไม่ยอมโดนรังแกง่าย ๆ เสือกับเพื่อน ๆ เด็กวัดทั้งหมดแม้จะเสียเปรียบเรื่องรูปร่างและกำลังแต่ก็สู้ตาย ทิวาซึ่งสูงใหญ่กว่าเพื่อนในวัยเดียวกันจึงพอจะปัดป้องเอาตัวรอดจากการถูกจับซ้อมได้ แต่เด็กทั้งหมดก็สู้แรงชายฉกรรจ์ทั้งสามไม่ได้ สุดท้ายทิวากับเพื่อน ๆ โดนชกเข้าที่ท้องจนจุก หมดแรงลงไปกองกับพื้น ในขณะที่ชายฉกรรจ์ทั้งสามกำลังแสดงความโหดเหี้ยม โดยชักมีดออกมาหวังจะแทงพวกเด็กให้เจ็บปางตาย ก็ปรากฏชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่สมส่วนในชุดขาวปฏิบัติธรรมแต่ปิดหน้าอย่างมิดชิดเข้ามาขวาง
“เฮ้ย เอ็งเป็นใครวะ จะแส่หาเรื่องหรือวะ”
ทันใดนั้น เชือกเส้นใหญ่ก็กระทบอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายชายฉกรรจ์ทั้งสาม เชือกคล้องช้างที่ถูกใช้เป็นอาวุธฟาดไปที่แขนและขาของพวกคนร้ายอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดกำลังแขนขา ร่างของชายฉกรรจ์ทั้งสามร่วงลงไปกองกับพื้น ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทิวา เสือ และเด็กวัดได้แต่อึ้งตะลึงงันกับภาพท่วงท่าแม่ไม้มวยไทยที่เห็นกับตา
“พวกเอ็งทั้งหมดจงพูดออกมา ใครสั่งให้พวกเอ็งบุกเข้ามาทำร้ายเด็ก ๆ เหล่านี้ถึงในวัด พูด!” ชายชุดขาวถามเสียงกร้าว
“รู้ไปก็เท่านั้น แกจะทำอะไรพวกข้าได้ ถึงจะจับพวกข้าส่งตำรวจ เดี๋ยวนายก็ไปเอาพวกข้าออกอยู่ดีนั่นแหละ ฮ่า ๆๆ” ชายฉกรรจ์โต้เถียงขณะยังนอนเจ็บอยู่ที่พื้น
“ข้าพอจะรู้แล้วว่าพวกเอ็งสามตัวนี่เป็นสุนัขรับใช้นักการเมืองคนไหน พอขายยาอียาบ้าไม่ได้ก็มาลงที่เด็ก เด็กมันทำให้ชุมชนปลอดยาเสพติด พวกเอ็งนี่มันจัญไร เป็นคนบาป ขุดไม่ขึ้น ไม่เกรงพระเกรงเจ้า ข้าจะสั่งสอนพวกเอ็งแทนพระเสียเลยวันนี้ มา! เข้ามา!” กล่าวจบชายชุดขาวก็ฟาดเชือกเข้าไปที่หน้าของชายฉกรรจ์ทั้งสามจนแก้มแตก เลือดไหลอาบแก้ม
เมื่อเห็นว่าพวกคนร้ายหมดพิษสง ทิวากับเพื่อน ๆ ก็พร้อมใจกันยกมือไหว้ขอบคุณชายในชุดขาว หลังจากที่หลวงตามหามนตรีมาพบเหตุการณ์เข้า จึงให้คนขับรถของวัดโทร.เรียกตำรวจให้มานำตัวพวกมันไปลงโทษตามกฎหมายต่อไป หลวงตามหามนตรีได้กล่าวขอบใจชายชุดขาวที่ได้ช่วยชีวิตลูกศิษย์ทั้งสามเอาไว้
ทว่าวันต่อมา ปี๊ดก็ได้ประกันตัวลูกน้องทั้งสามของตนออกไป
เพลิงแห่งความเกลียดชังทิวากับเพื่อน ๆ เริ่มปะทุขึ้นในใจของนักการเมืองอย่างปี๊ด ยิ่งได้พบหน้าทิวาที่สถานีตำรวจ ปี๊ดยิ่งตะลึง ด้วยดวงหน้าและบุคลิกของทิวาละม้ายคล้ายกับคนคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนามทิ่มแทงใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นยิ่งเหมือนไฟที่กำลังโหมแรงปี๊ดจึงได้คิดหาหนทางทำร้ายทิวากับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทิวา เสือ และเล้งได้รับการถ่ายทอดแม่ไม้มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธไทยโบราณทุกชนิดจากชายชุดขาวที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตไว้ ซึ่งชายชุดขาวก็คือครูช้างเผือก เจ้าของค่ายมวยไทยที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนั่นเอง ซึ่งหลวงตามหามนตรีจำได้ แม้ครูช้างเผือกจะปกปิดหน้าตาไว้ก็ตาม เนื่องจากคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในอดีตครูช้างเผือกเคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ภรรยาพร้อมลูกสาวเสียชีวิตเพราะกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านเพื่อตั้งใจมาฆ่าล้างแค้นครูช้างเผือก เพราะก่อนหน้านั้นครูช้างเผือกได้เคยช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งไม่ให้ถูกพวกคนร้ายข่มขืน และครูช้างเผือกจำเป็นต้องป้องกันตนเองจากพวกคนร้าย เลยพลั้งมือฆ่าลูกพี่ของพวกมันตาย เมื่อคนที่เหลือออกจากคุกมาก็เลยผูกใจเจ็บ และสืบจนรู้ว่าบ้านอดีตนั
ในคืนนั้นเอง ทิวาบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดของร่างกายจากการชกมวยคาดเชือกมีเพียงผิวเผิน ไม่บอบช้ำถึงข้างใน แต่คำพูดของหลวงตาที่ตอกย้ำว่า หากพลาดสมองกระทบกระเทือนถึงขั้นพิการขึ้นมา ใครจะดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิตชัยชนะของทิวาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที ทิวาได้เงินรางวัลหลายพัน เพียงพอที่จะนำไปตัดแว่นสายตาดี ๆ ให้อาม่าและหลวงตา และยังเหลือให้อาม่าเก็บไว้ ทิวาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าผู้ใหญ่ท่านใดที่เป็นศิษย์ของหลวงตาเอื้อเฟื้อให้ทำงานพิเศษอะไร ทิวาไม่เคยเกี่ยง ไม่เคยทำให้หลวงตากับอาม่าผิดหวัง เด็กหนุ่มทั้งขยันเรียนและทำงาน เพื่อหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากช่วยงานอาม่าที่ร้านขายของชำตลอดจนขายทั้งสมุนไพรแบบจีนและไทยการที่ทิวามีพรสวรรค์ในการทำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่มีทัศนคติไม่ดีเปลี่ยนมาคิดบวก เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ทิวา ที่ยอมรับและรักทิวาดุจลูกหลาน เพราะพวกเขาดีใจที่ลูก ๆ ของตนเปลี่ยนเป็นคนดีตั้งใจเรียนเพราะเอาแบบอย่างทิวา ลำพังเขากับภรรยาทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยลูกชายลูกสาว วัดได้รับการดูแลทำนุบำรุงพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ เพราะศรัทธา
ช่วงสายของวันหยุดก่อนเทศกาลวันเข้าพรรษาของไทย ภายในพระอุโบสถทรงไทยของวัด ทิวา เสือ เล้ง และเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดอีกห้าคน ต่างกระจายกันช่วยทำความสะอาดพื้นและหน้าต่าง บางส่วนช่วยกันแบกพรมไปตากแดดหน้าลานพระอุโบสถ ส่วนทิวาและเสือช่วยกันทำความสะอาดกระถางธูปและเชิงเทียนเล้งรวบน้ำตาเทียนที่จับตัวเป็นก้อนกับเถ้าธูปไปทิ้ง และกลับมาช่วยทิวาทำความสะอาดพระประธานและพระพุทธรูปต่อ ทิวาและเสือบิดผ้าพอหมาด แล้วบรรจงเช็ดทำความสะอาดจากฐานของพระประธานปางสมาธิสมัยสุโขทัย จนถึงหน้าพระพักตร์ พระอุโบสถนั้นมีหน้าบันปูนรูปกนกก้านขดช่อเทพนมอยู่กลางประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองประตู เสมาทำด้วยหินทรายแดงขนาดเล็ก เสมาหน้าอยู่ในซุ้มสี่เหลี่ยมมียอด เสมาอื่นเป็นแบบเสมานั่งแท่นใกล้กันเป็นหอระฆังสูง อันมีลักษณะทรงไทยดูอ่อนช้อยสวยงาม หลังจากทำความสะอาดในส่วนต่าง ๆ ในพระอุโบสถแล้ว เด็กทั้งหมดก็มาช่วยสามเณรล้างลานรอบพระอุโบสถ ถึงตอนนี้บรรดาเด็กวัดทั้งห้าคน หรือแม้แต่ทิวากับเสือต่างก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ทั้งล้างทั้งเล่นฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้สามเณรต้องร่นถอยไปยืนพิงผนังข้างพระอุโบสถ ด้วยเกรงว่าอันตรวาสกและอัง
“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื
บทนำ ฝูงวิหคราตรีแผดเสียงร้องก้องป่า ก่อนกระพือปีกบินหายลับไป ผืนน้ำเวิ้งว้างเบื้องล่างดูราบเรียบสงบ ทว่าหมอกกลับหนาขึ้น ไอน้ำค้างเคลื่อนผ่านผิวหน้าของชายหนุ่มเป็นระยะ แต่กายของเขายังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว ห่างไม่ถึงช่วงตัวของชายหนุ่ม หญิงสาวนอนซมด้วยพิษไข้ ริมฝีปากซีดเผือดตัวสั่นเทา เขานำกิ่งไม้มาสานเข้าด้วยกันเป็นซุ้มขนาดเล็ก พอช่วยบังไม่ให้เธอสัมผัสกับน้ำค้างโดยตรง ชายหนุ่มใช้เสื้อของตนซับน้ำจากลำธารเล็กข้างแม่น้ำมาเช็ดตัวให้หญิงสาวหลายครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งเสียงเพ้อด้วยพิษไข้แผ่วจางลง ไออุ่นจากมือของเขาส่งผ่านมือที่มีรอยฟกช้ำ หญิงสาวค่อย ๆ คลายออกและยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าที่มีเลือดเกรอะกรัง ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองแขนซ้ายของหญิงสาวลงแนบลำตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยแววตาอันหม่นเศร้า “คุณเหม่ยลี่นอนพักเอาแรงอีกนิดนะครับ ผมจะพาคุณกลับบ้านให้ได้ ผมสัญญา” “ทิวา...” เสียงเรียกบางเบา กระนั้นยังตามด้วยรอยยิ้ม ฟ้าใกล้สาง ทิวาใช้กิ่งไม้จำนวนหนึ่งมัดรวมกันให้หนา และใช้เถาวัลย์เส้นใหญ่รัดแน่นกับท่อนแขนซ้าย เขาเหลือบมองพุ่มไม้ข้างล
กิมลั้งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน นับถือศาสนาพุทธ ทำอาชีพค้าขาย นางมีร้านค้าของชำในตลาดสด รวมถึงทำร้านขายสมุนไพรจีนโบราณ ต่อมาการค้าของนางประสบปัญหา ส่งผลให้ ‘เฟย’ ลูกชายคนเดียวต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพื่อมาช่วยแม่ค้าขาย กิมลั้งเสียใจที่ไม่สามารถหาเงินค่าเทอมให้เฟยได้ทัน เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายปี ผลพวงจากการเมืองพลิกผันในปี พ.ศ. 2535 ที่เกิดเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ขึ้น การค้าขายแทบไม่ได้กำไร การร้องไห้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่กิมลั้งใช้ระบายความทุกข์ใจ ยิ่งดูรูปอาฟางผู้เป็นสามีของนาง กิมลั้งก็ยิ่งรวดร้าวในใจเรื่อยมา ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนในปีที่เฟยหยุดเรียน กิมลั้งตัดสินใจปิดร้านสองอาทิตย์ เพื่อพาเฟยไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าในหุบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีณ สถานปฏิบัติธรรม เฟยตั้งใจปฏิบัติธรรมและช่วยเหลือกิจของพระ เขาช่วยงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นกุศลผลบุญให้แก่มารดาและตัวเขาเอง วันต่อมา เฟยพบว่าแนวป่าดงดิบด้านหลังสถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีน้ำตกและลำธารน้ำหลากนั้น มีชายฉกรรจ์กำลังฝึกท่วงท่าแม่ไม้มวยไทยแบบโบราณดั้งเดิม โดยมีหลวงปู่ธุดงค์ท่านหนึ่
“อั๊วะบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าต้องน็อกไอ้เจ้าพระยาให้ได้ ชกยังไงได้แค่เสมอวะ ลื้อรู้ไหมว่าอั๊วะหมดเงินหมดทองกับลื้อตั้งเท่าไหร่ สูญไปเท่าไหร่ เป็นล้าน!” เสียงเกรี้ยวกราดของกำนันเอิบดังลั่น“ผมขอโทษครับเฮีย เจ้าพระยาเขาเป็นมวยเท้า เขาป้องกันรัดกุมดีเหลือเกินครับ” ผู้ถูกตบหน้ายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหดหู่ หากแต่ความหดหู่นั้นไม่ได้เกิดจากความพ่ายแพ้ แต่การไม่ได้รับชัยชนะนั่นหมายความว่าบ้านและสวนยางของเขาจะต้องสูญสิ้นเช่นกัน ด้วยติดจำนองไว้สองแสนกว่าบาท นักมวยอย่างเขามีหรือจะพึ่งพาใครได้ยามขัดสน“เฮ้ย! ลื้อเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปเลยนะไอ้เพลิง ขืนลื้ออยู่ต่อ ลื้อจะทำให้อั๊วะเจ๊ง ไป๊!” เจ้าของค่ายมวยวัยกลางคนไล่เสียงดังลั่นเฟยยังคงยืนชิดผนังอยู่ด้านนอก ขณะที่พลายเพลิงกำลังก้มลงกราบผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นหันหลังและเดินคอตกออกจากห้องไป“ขาดเหลือเท่าไหร่ เพลิง?” เสียงอันนุ่มนวลแฝงความเป็นมิตรดังมาจากกรอบประตูด้านนอก บนไหล่ของเพลิงมีมือซ้ายชุ่มเหงื่อแตะเบา ๆ“เจ้าพระยา!”“เรียกฉันว่าเฟยก็ได้ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยเพลิง นายมีพรสวรรค์และยังชกเก่งอยู่ อย่าลืมสิ...เป้าหมายนายคือแชมป์ลุมพ
สองมืออันหยาบกร้านกราบลงบนตักของกิมลั้ง ผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล กิมลั้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำลวดลายมังกรสีเหลือง นางอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงสด ใบหน้ายิ้มแย้ม กิมลั้งก้มลงลูบศีรษะของเฟยผู้เป็นลูกชายด้วยความนุ่มนวล ชายหนุ่มสวมเสื้อและกางเกงสีแดงสด เงยหน้าขึ้นมองแม่ของตนได้ชั่วครู่ เสียงประทัดก็ดังสนั่นลั่นประสานกันอยู่ด้านนอก เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ธนบัตรรัดด้วยยางวงอย่างดีจำนวนสองหมื่นกว่าบาทถูกวางลงอย่างบรรจงบนตักของนางกิมลั้ง ก่อนที่เฟยจะโผเข้าโอบกอดผู้เป็นแม่อย่างแนบแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้“ตรุษจีนปีนี้ ผมขอให้หม่าม้ามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กิจการร้านค้ารุ่งเรือง ๆ นะครับ”เฟยอวยพรแม่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ยังคุมความทุ้มต่ำหนักแน่นของเสียงไว้ได้กิมลั้งมองเข้าไปในตาของเฟย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสุกใสเหมือนอำพันแท้ที่ห้อยคอเฟยอยู่ ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยสัมผัสได้จากอาฟาง ผู้เป็นพ่อของเฟย“เฟย ม้าพอมีเงินอยู่ ลื้อเก็บไว้ใช้เถอะ...ไม่ได้กลับบ้านเกือบสี่เดือน ลื้อผอมไปหรือเปล่า ทำงานลำบากมากไหม” กิมลั้งพูด ในขณะที่ลูบศีรษะลูกชายด้วยความรักและเอ็นดู“หม่าม้า ผมขอโทษที
“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื
ช่วงสายของวันหยุดก่อนเทศกาลวันเข้าพรรษาของไทย ภายในพระอุโบสถทรงไทยของวัด ทิวา เสือ เล้ง และเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดอีกห้าคน ต่างกระจายกันช่วยทำความสะอาดพื้นและหน้าต่าง บางส่วนช่วยกันแบกพรมไปตากแดดหน้าลานพระอุโบสถ ส่วนทิวาและเสือช่วยกันทำความสะอาดกระถางธูปและเชิงเทียนเล้งรวบน้ำตาเทียนที่จับตัวเป็นก้อนกับเถ้าธูปไปทิ้ง และกลับมาช่วยทิวาทำความสะอาดพระประธานและพระพุทธรูปต่อ ทิวาและเสือบิดผ้าพอหมาด แล้วบรรจงเช็ดทำความสะอาดจากฐานของพระประธานปางสมาธิสมัยสุโขทัย จนถึงหน้าพระพักตร์ พระอุโบสถนั้นมีหน้าบันปูนรูปกนกก้านขดช่อเทพนมอยู่กลางประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองประตู เสมาทำด้วยหินทรายแดงขนาดเล็ก เสมาหน้าอยู่ในซุ้มสี่เหลี่ยมมียอด เสมาอื่นเป็นแบบเสมานั่งแท่นใกล้กันเป็นหอระฆังสูง อันมีลักษณะทรงไทยดูอ่อนช้อยสวยงาม หลังจากทำความสะอาดในส่วนต่าง ๆ ในพระอุโบสถแล้ว เด็กทั้งหมดก็มาช่วยสามเณรล้างลานรอบพระอุโบสถ ถึงตอนนี้บรรดาเด็กวัดทั้งห้าคน หรือแม้แต่ทิวากับเสือต่างก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ทั้งล้างทั้งเล่นฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้สามเณรต้องร่นถอยไปยืนพิงผนังข้างพระอุโบสถ ด้วยเกรงว่าอันตรวาสกและอัง
ในคืนนั้นเอง ทิวาบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดของร่างกายจากการชกมวยคาดเชือกมีเพียงผิวเผิน ไม่บอบช้ำถึงข้างใน แต่คำพูดของหลวงตาที่ตอกย้ำว่า หากพลาดสมองกระทบกระเทือนถึงขั้นพิการขึ้นมา ใครจะดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิตชัยชนะของทิวาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที ทิวาได้เงินรางวัลหลายพัน เพียงพอที่จะนำไปตัดแว่นสายตาดี ๆ ให้อาม่าและหลวงตา และยังเหลือให้อาม่าเก็บไว้ ทิวาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าผู้ใหญ่ท่านใดที่เป็นศิษย์ของหลวงตาเอื้อเฟื้อให้ทำงานพิเศษอะไร ทิวาไม่เคยเกี่ยง ไม่เคยทำให้หลวงตากับอาม่าผิดหวัง เด็กหนุ่มทั้งขยันเรียนและทำงาน เพื่อหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากช่วยงานอาม่าที่ร้านขายของชำตลอดจนขายทั้งสมุนไพรแบบจีนและไทยการที่ทิวามีพรสวรรค์ในการทำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่มีทัศนคติไม่ดีเปลี่ยนมาคิดบวก เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ทิวา ที่ยอมรับและรักทิวาดุจลูกหลาน เพราะพวกเขาดีใจที่ลูก ๆ ของตนเปลี่ยนเป็นคนดีตั้งใจเรียนเพราะเอาแบบอย่างทิวา ลำพังเขากับภรรยาทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยลูกชายลูกสาว วัดได้รับการดูแลทำนุบำรุงพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ เพราะศรัทธา
เพลิงแห่งความเกลียดชังทิวากับเพื่อน ๆ เริ่มปะทุขึ้นในใจของนักการเมืองอย่างปี๊ด ยิ่งได้พบหน้าทิวาที่สถานีตำรวจ ปี๊ดยิ่งตะลึง ด้วยดวงหน้าและบุคลิกของทิวาละม้ายคล้ายกับคนคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนามทิ่มแทงใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นยิ่งเหมือนไฟที่กำลังโหมแรงปี๊ดจึงได้คิดหาหนทางทำร้ายทิวากับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทิวา เสือ และเล้งได้รับการถ่ายทอดแม่ไม้มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธไทยโบราณทุกชนิดจากชายชุดขาวที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตไว้ ซึ่งชายชุดขาวก็คือครูช้างเผือก เจ้าของค่ายมวยไทยที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนั่นเอง ซึ่งหลวงตามหามนตรีจำได้ แม้ครูช้างเผือกจะปกปิดหน้าตาไว้ก็ตาม เนื่องจากคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในอดีตครูช้างเผือกเคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ภรรยาพร้อมลูกสาวเสียชีวิตเพราะกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านเพื่อตั้งใจมาฆ่าล้างแค้นครูช้างเผือก เพราะก่อนหน้านั้นครูช้างเผือกได้เคยช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งไม่ให้ถูกพวกคนร้ายข่มขืน และครูช้างเผือกจำเป็นต้องป้องกันตนเองจากพวกคนร้าย เลยพลั้งมือฆ่าลูกพี่ของพวกมันตาย เมื่อคนที่เหลือออกจากคุกมาก็เลยผูกใจเจ็บ และสืบจนรู้ว่าบ้านอดีตนั
หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัว
“เสือหนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา ก้อนหินหนักเฉียดกายเสือไปไม่ถึงช่วงแขน ร่างของทิวาล้มทับปอนด์ แต่สองมือยังคงกอดรั้งไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำร้ายเสือได้อีก“ปล่อย! ไอ้ทิวาปล่อยกู ยังอีก พวกมึงรุมกระทืบมันเลย เร็ว!”พลั่ก ๆๆ ผัวะ ๆๆ ฝ่าเท้าเด็กผู้ชายหลายคู่ทั้งเหยียบทั้งย่ำทั้งเตะลงบนลำตัวของทิวา ทว่าไม่มีเสียงร้องแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ได้ยิน มีแต่เสียงตะโกนบอกให้เสือหนีไปเท่านั้น“ทิวา! พวกมึงหยุดทำร้ายเพื่อนของกูเดี๋ยวนี้นะ!”ด้วยความคับแค้นใจ หัวใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลทางใจ เมื่อชีวิตขาดแม่ โดนดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติมปม แต่หากถูกรังแกถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ถูกรังแกอีกต่อไป!เสือกระโดดถีบและไล่เตะแต่ละคนด้วยความคับแค้นใจ จนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางบนพื้น ทิวายังคงกอดรัดปอนด์ไว้แน่น เสียงกำปั้นฟาดลงกลางหลังของทิวาไม่ยั้ง เสือเห็นดังนั้นจึงก้มลงจะหยิบท่อนไม้ข้างโรงอาหารขึ้นมา เพื่อจะทำสิ่งหนึ่งเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าภารโรงแก่ ๆ ดึงมือไว้ และบอกกับเสือเสียงเบาว่า“ทิ้งมันไปเสีย เชื่อลุงไอ้หนู ให้ครูลงโทษพวกม
กาลเวลาหมุนผ่านไป หลายชีวิตย่างเข้าสู่วัยชรา เกิดแก่เจ็บตาย ย่อมมิมีผู้ใดหลีกหนีพ้น คุณตาคุณยายแท้ ๆ ของทิวาที่อยู่ภาคเหนือเริ่มโรยราและตายจากไป ครอบครัวเล็ก ๆ จึงเหลือเพียงเนตรนภา ผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวแท้ ๆ ซึ่งตอนนี้ได้มาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ โดยนุชนภาส่งเงินมาช่วยเหลือเป็นระยะ ๆนุชนภาโชคดีที่มีน้องสาวเป็นคนขยันและตั้งใจเรียน กระทั่งสอบเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลทหารเรือได้ หลังจากเรียนจบทำงานก็ได้สมรสกับนายทหารเรือหนุ่มยศสัญญาบัตร ในงานแต่งงานของเนตรนภา กิมลั้งและทิวาได้รับเชิญให้มาร่วมงานด้วยเนตรนภารู้สึกถูกชะตากับทิวามาก เหมือนว่ากิมลั้งและทิวาเป็นคนในครอบครัวเธอ หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สิบกว่าปีมานี้ ทิวาและเพื่อนเด็กวัดคนอื่น ๆ ได้รับความอนุเคราะห์ทั้งจากเนตรนภาและนุชนภามาตลอด ทั้งเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ทุนการศึกษา และเงินรางวัลหากมีผลการเรียนดี สองพี่น้องช่วยกันเติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือให้กับเด็ก ๆ ทุกคนเรื่อยมาเมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับกันเกือบหมด เนตรนภาจึงมีโอกาสเข้ามาพูดคุยกับกิมลั้งและทิวา“ทิวา หากวันไหนเธอลำบากหรือขัดสน อย่าลืมว่ายังมีน้าเนตรอีกคนนะลูกนะ”“ขอบคุณครั
วันต่อมา หญิงสาวไปสืบเรื่องการตายของเฟยที่สถานีตำรวจ จึงทราบว่าตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำนนท์ เธอจึงขอให้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งเช่าห้องใกล้กันกับเธอช่วยดูแลลูกให้ครึ่งวัน โดยเธอมีค่าตอบแทนให้นุชนภาบีบน้ำนมจากเต้าใส่ขวดและเก็บไว้ในช่องฟรีซ และได้กำชับให้คนช่วยดูแลลูกนำขวดนมมาอุ่นโดยใช้ที่นึ่งขวดนมทันทีหากลูกชายเริ่มร้อง จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังวัดแห่งนั้น เพื่อเข้าไปกราบศพของสามีเมื่อไปถึงวัดดังกล่าว เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ร้องและมีน้ำตาเพราะเกรงว่าญาติของเฟยจะสงสัย ซึ่งที่นี่นุชนภาได้พบกิมลั้งเป็นครั้งแรก เธออยากเข้าไปกราบแทบเท้าอีกฝ่ายที่สุด แต่ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ทั้งยังเคยทำงานเป็นผู้หญิงกลางคืนมาก่อน แม้จะไม่ได้เป็นโสเภณีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะตอกย้ำว่า เธอไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นลูกสะใภ้ของกิมลั้งได้เลย!ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ทำให้ต้องเผชิญกับคำว่า ‘ตกเขียว!’ นุชนภาตั้งใจเก็บงำความลับนี้ให้มิดที่สุด จึงแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานเดียวกับเฟย“หนูเป็นเพื่อนของเฟยใช่ไหม มากินต้
ทุก ๆ วันเวลาที่ล่วงผ่าน นุชนภาคอยนับวันจะได้กลับเมืองไทย นอกจากจะตามมาดูงานในโรงงานของสามีที่บางพลี นุชนภายังจะได้มาพบลูกชายของเธอ แม้ไม่เจอที่วัดในวันธรรมดา แต่ก็ไปพบที่โรงเรียน หรือในช่วงหน้าหนาวที่โรงเรียนมีแข่งกีฬาสี ก็จะมีเงินรางวัลปริศนาใส่ซองฝากอาจารย์ไปให้ ยามที่ทิวาลงเล่นฟุตบอลและได้รางวัลชนะเลิศความสุขของการได้คอยส่งเสริมเกื้อหนุนมาหลายปี ทำให้เธอปลื้มปริ่มอิ่มเอมจนเอ่อล้นออกจากตาไม่ขาดสาย ยิ่งได้ทราบจากหลวงตาว่าจะบวชสามเณรฤดูร้อนให้แก่เด็ก ๆ ละแวกนี้กับกลุ่มเด็กวัด ซึ่งรวมถึงทิวาด้วย ประธานจัดการเรื่องการบวชสามเณรฤดูร้อนที่นุชนภายื่นขอต่อหลวงตาจึงได้รับความเห็นชอบจากวัด นุชนภากับกิมลั้งแสนจะดีใจ เธอไม่ลืมที่จะบอกเนตรนภาน้องสาวคนเดียวของเธอให้มาร่วมทำบุญในงานบวชสามเณรของทิวาด้วย...ภายในพระอุโบสถ ทิวาและเพื่อน ๆ ทั้งหมดห้าสิบคนได้โกนหัวเป็นนาค กำลังวันทาพระประธานอีกครั้งด้วยวิธีอย่างเดียวกันกับวันทาสีมา ก่อนจะกลับไปนั่งยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับนาค จากนั้นอาม่ากับนุชนภาร่วมกันมอบผ้าไตรให้นาค พร้อมกับครอบครัวของนาคคนอื่น ๆ“อาม่าคะ พี่นุช นี่ค่ะ” เนตรนภาเรียกกิมลั้งและพ