“เสือหนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา ก้อนหินหนักเฉียดกายเสือไปไม่ถึงช่วงแขน ร่างของทิวาล้มทับปอนด์ แต่สองมือยังคงกอดรั้งไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำร้ายเสือได้อีก
“ปล่อย! ไอ้ทิวาปล่อยกู ยังอีก พวกมึงรุมกระทืบมันเลย เร็ว!”
พลั่ก ๆๆ ผัวะ ๆๆ
ฝ่าเท้าเด็กผู้ชายหลายคู่ทั้งเหยียบทั้งย่ำทั้งเตะลงบนลำตัวของทิวา ทว่าไม่มีเสียงร้องแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ได้ยิน มีแต่เสียงตะโกนบอกให้เสือหนีไปเท่านั้น
“ทิวา! พวกมึงหยุดทำร้ายเพื่อนของกูเดี๋ยวนี้นะ!”
ด้วยความคับแค้นใจ หัวใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลทางใจ เมื่อชีวิตขาดแม่ โดนดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติมปม แต่หากถูกรังแกถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ถูกรังแกอีกต่อไป!
เสือกระโดดถีบและไล่เตะแต่ละคนด้วยความคับแค้นใจ จนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
บนพื้น ทิวายังคงกอดรัดปอนด์ไว้แน่น เสียงกำปั้นฟาดลงกลางหลังของทิวาไม่ยั้ง เสือเห็นดังนั้นจึงก้มลงจะหยิบท่อนไม้ข้างโรงอาหารขึ้นมา เพื่อจะทำสิ่งหนึ่งเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าภารโรงแก่ ๆ ดึงมือไว้ และบอกกับเสือเสียงเบาว่า
“ทิ้งมันไปเสีย เชื่อลุงไอ้หนู ให้ครูลงโทษพวกมันเอง”
“ครับลุง” เสือทำตามอย่างว่าง่าย...
ครูสอนพละและครูฝ่ายปกครองวิ่งมาพร้อมกับ เฟื่องฟ้า เพื่อนนักเรียนห้องเดียวกับทิวาและเสือ ทั้งสองถูกจับแยก ฝ่ายปอนด์ยังเงื้อหมัดจะชกทิวา และครั้งนี้เท้าของเสือถีบเข้าที่ท้องจัง ๆ ปอนด์ถึงกับจุก แต่กลับฟ้องครูให้ลงโทษทิวากับเสือ บอกว่าตนถูกหาเรื่องก่อน ลุงภารโรงกับเฟื่องฟ้าที่เห็นเหตุการณ์ตลอด จึงเล่าความจริงให้ครูฟัง อีกทั้งเมื่อมีการสืบสวนพยานแวดล้อมผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด บรรดาครูอาจารย์ต่างตกใจมาก เมื่อทราบว่าปอนด์ เด็กระดับประถมต้นมีนิสัยและพฤติกรรมเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
ทิวามีรอยฟกช้ำเต็มตัว ส่วนเสือมีเลือดออกแต่ไม่มาก ทั้งสองถูกนำไปตรวจร่างกายยังโรงพยาบาลปากเกร็ดทันที ผู้อำนวยการใหญ่ตัดสินใจเชิญผู้ปกครองของปอนด์มารับทราบถึงพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ชอบทำร้ายรังแกเพื่อน และที่น่ากลัวที่สุดคือคิดจะใช้ก้อนหินทุบเสือ เมื่อปี๊ด พ่อของปอนด์ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดในโรงอาหารก็ถึงกับพูดไม่ออก
ผู้อำนวยการโรงเรียนมีหนังสือแจ้งให้ผู้ปกครองนำตัวปอนด์ไปเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจโดยด่วน ณ โรงเรียนเด็กพิเศษแห่งหนึ่ง ปอนด์จึงต้องย้ายไปเรียนยังสถานที่แห่งนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนเด็กชายคนอื่น ๆ ที่ร่วมกันทำร้ายเสือกับทิวาก็ถูกให้ย้ายไปเรียนที่อื่น
เฟื่องฟ้ามีบทบาทเป็นรองหัวหน้าห้อง มีผลการเรียนที่ดีเหมือนกับทิวา ทั้งยังได้รับการกล่าวชมว่ากล้าหาญ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงเฟื่องฟ้าจึงเป็นเพื่อนสนิทกับทิวาและเสือ
เสือกับทิวาแทบจะกินอยู่ด้วยกัน เพราะเสือเป็นเด็กวัด อยู่กับหลวงตาตั้งแต่เล็ก ๆ เสือติดตามพ่อมาทำงานที่นนทบุรี พ่อของเสือเป็นคนงานรับเหมาก่อสร้างบ้านตามโครงการต่าง ๆ แต่โชคชะตากลับโหดร้ายกับเสือ เสือต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุสิบขวบ เมื่อผู้เป็นพ่อได้กู้เงินนอกระบบ เพราะลำพังค่าแรงจากงานก่อสร้างคงไม่สามารถเติมเต็มและส่งเสริมให้เสือมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ได้
เงินกู้นอกระบบมีอัตราดอกเบี้ยแพงแบบขูดเลือดขูดเนื้อ จนพ่อของเสื้อไม่สามารถจ่ายดอกได้ พ่อจึงคิดจะหนีไปตั้งหลักที่ต่างจังหวัด โดยฝากเสือไว้กับหลวงตาสักพัก แล้วจะกลับมารับโดยเร็วที่สุด แต่สุดท้ายพ่อของเสือก็ถูกดักยิงจนเสียชีวิต ตำรวจไม่สามารถตามจับตัวคนร้ายได้ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะคนที่ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยแพง ๆ ได้มักมีนายตำรวจยศใหญ่อยู่เบื้องหลัง
แม้เสือจะเป็นเด็กที่เข้มแข็งพอ ๆ กับทิวา แต่เขาก็ยังเป็นเด็ก วันที่พ่อถูกยิงเสียชีวิต เสือร้องไห้ไม่หยุด ทั้งวันไม่ยอมกินข้าว จนทิวาต้องตามไปปลอบตามประสาเด็ก ๆ ทิวาเห็นเด็กผู้ชายด้วยกันร้องไห้คร่ำครวญหาพ่อก็พลอยตกใจไปด้วย เสือเกิดปีขาล ยามโกรธและเสียใจดวงตาจะแดงก่ำ ในงานศพพ่อของเสือ ทิวากับเสือและเพื่อน ๆ เด็กวัดอีกสามคนเข้าพิธีโกนหัวบวชหน้าไฟให้พ่อของเสือ
เสืออยู่ในภาวะโศกเศร้าสะเทือนใจ ร้องไห้ไม่หยุดแม้จะบวชเป็นสามเณร สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้มาร่วมงานศพแทบทุกคน ที่น่าเวทนายิ่งก็คือ เสือไม่มีญาติมิตรที่ไหนมาช่วยงานศพเลย งานศพจัดอย่างเรียบง่าย ได้อาม่ากิมลั้งกับชาวบ้านละแวกนั้นที่สงสารเสือมาช่วยกันเป็นเจ้าภาพให้
ทิวารู้แต่เพียงว่าบ้านเกิดพ่อของเสืออยู่โคราช แต่เสือก็รู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อของเขาเป็นลูกที่ปู่เก็บมาเลี้ยงอีกที ไม่มีโอกาสใด ๆ ที่จะติดต่อหรือตามหาเพื่อเรียกร้องให้พวกเขามาดูแลและอุปการะเสือ ดังนั้นหลวงตามหามนตรีจึงรับอุปการะเสือไว้เป็นศิษย์ก้นกุฏิตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...
ต่อมาเมื่อทิวากับเสือและเพื่อนเด็กวัดต่างเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น ทิวาได้เป็นประธานนักเรียนในระดับมัธยมต้น ทิวากับเพื่อน ๆ ไม่อาจทนเห็นกลุ่มเพื่อนเยาวชนในชุมชนติดยาเสพติด ทั้งยาอี ยาไอซ์ และที่หนักสุดคือยาบ้าได้ ทิวา เสือ และพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในโรงเรียน รวมทั้งครูวิญญูผู้เป็นครูสอนพละ กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนที่ติดยาเสพติด และคณะครูฝ่ายปกครอง ได้รวมตัวกันประชุมลับ ๆ พร้อมกับกลุ่มนักเรียนที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนทั้งระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายทั้งหมด ว่าจะใช้กลยุทธ์ใดจึงจะสามารถดึงกลุ่มเยาวชนที่ติดยาเหล่านั้นกลับมาเรียนและเลิกยาได้เด็ดขาด
ต่อมาทุกคนรู้ถึงปัญหาที่เป็นจุดใหญ่ที่สุด คือการขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว วัยรุ่นและเยาวชนเหล่านั้นล้วนขาดที่พึ่งทางใจ ไม่ได้รับการเหลียวแลจากพ่อแม่ผู้ปกครองเท่าที่ควร สุดท้ายเมื่อเด็กถูกมองว่าหัวไม่ดี เรียนไม่เก่ง หรือมีความฝันที่จะเล่นดนตรี หรือกีฬาใด ๆ ก็ตาม กลับถูกมองว่าไม่สำคัญ และไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครอง
บางครอบครัวยิ่งเลวร้าย พ่อแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นบางครอบครัวแตกแยก เด็กต้องไปอยู่กับญาติ ต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ทางแม่หรือทางพ่อ เมื่อเด็กเริ่มมีปัญหาขาดความรักความอบอุ่น หรือปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แปลกออกไปไม่ได้ จนไม่เหลือใครที่เข้าใจพวกเขา สุดท้ายก็ถูกชักจูงจากกลุ่มเพื่อนที่มีปัญหาเหมือนกันให้หันไปพึ่งพายาเสพติด จนบางคนต้องพบกับจุดจบอันน่าเศร้าเพราะเสพยาเกินขนาด หรือถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต
ทิวากับเพื่อน ๆ และบรรดาอาจารย์ ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครองพยายามร่วมมือร่วมใจใช้วิธีรักษาเยียวยาจิตใจนักเรียนที่ติดยาเหล่านั้น บางส่วนที่ติดยาอย่างหนัก ทางโรงเรียนได้ส่งตัวไปบำบัดที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก ซึ่งเป็นสถานที่บำบัดผู้ติดยาเสพติด ตั้งอยู่ที่เทือกเขาโปร่งปราบ ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อกลับมาก็ใส่ใจดูแลจิตใจเพิ่มขึ้น วิธีนี้เริ่มใช้ได้ผล เด็กและเยาวชนย่านปากเกร็ดเริ่มหันมาเล่นดนตรีและกีฬา ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้งบสนับสนุนส่งเสริมเยาวชนไทยได้มีอุปกรณ์กีฬาทุกโรงเรียน และมีกิจกรรมกีฬาสีที่พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมาเล่นกับลูกหลาน แม้แต่ครอบครัวที่หย่าร้างกันก็ขอให้มาพบปะเจอบุตรหลานในงานกิจกรรมครอบครัวอบอุ่น
แม้ด้อยโอกาสและมีครอบครัวไม่ครบสมบูรณ์ แต่เด็กกำพร้าอย่างทิวาและเสือก็สุขใจที่ได้เห็นเพื่อน ๆ ที่เลิกยาเหล่านั้นมีความอบอุ่นในใจเพิ่มขึ้น สำหรับตัวเขาเองแม้จะเหน็บหนาวใจอยากเห็นหน้าพ่อและแม่ก็ตาม ภัยของยาเสพติดเป็นภัยร้ายที่คุกคามจนเป็นภัยใกล้ตัวเข้าถึงครอบครัวได้โดยง่าย นโยบายต้านภัยยาเสพติด และวิธีเยียวยาจิตใจเด็กและเยาวชนเริ่มได้ผล จนเป็นเหตุให้นักการเมืองที่ชื่อปี๊ด ลูกชายเถ้าแก่โจวเริ่มไม่พอใจที่ยอดขายยาบ้า ยาอี และยาไอซ์ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายที่เคยได้
หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัว
เพลิงแห่งความเกลียดชังทิวากับเพื่อน ๆ เริ่มปะทุขึ้นในใจของนักการเมืองอย่างปี๊ด ยิ่งได้พบหน้าทิวาที่สถานีตำรวจ ปี๊ดยิ่งตะลึง ด้วยดวงหน้าและบุคลิกของทิวาละม้ายคล้ายกับคนคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนามทิ่มแทงใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นยิ่งเหมือนไฟที่กำลังโหมแรงปี๊ดจึงได้คิดหาหนทางทำร้ายทิวากับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทิวา เสือ และเล้งได้รับการถ่ายทอดแม่ไม้มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธไทยโบราณทุกชนิดจากชายชุดขาวที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตไว้ ซึ่งชายชุดขาวก็คือครูช้างเผือก เจ้าของค่ายมวยไทยที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนั่นเอง ซึ่งหลวงตามหามนตรีจำได้ แม้ครูช้างเผือกจะปกปิดหน้าตาไว้ก็ตาม เนื่องจากคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในอดีตครูช้างเผือกเคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ภรรยาพร้อมลูกสาวเสียชีวิตเพราะกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านเพื่อตั้งใจมาฆ่าล้างแค้นครูช้างเผือก เพราะก่อนหน้านั้นครูช้างเผือกได้เคยช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งไม่ให้ถูกพวกคนร้ายข่มขืน และครูช้างเผือกจำเป็นต้องป้องกันตนเองจากพวกคนร้าย เลยพลั้งมือฆ่าลูกพี่ของพวกมันตาย เมื่อคนที่เหลือออกจากคุกมาก็เลยผูกใจเจ็บ และสืบจนรู้ว่าบ้านอดีตนั
ในคืนนั้นเอง ทิวาบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดของร่างกายจากการชกมวยคาดเชือกมีเพียงผิวเผิน ไม่บอบช้ำถึงข้างใน แต่คำพูดของหลวงตาที่ตอกย้ำว่า หากพลาดสมองกระทบกระเทือนถึงขั้นพิการขึ้นมา ใครจะดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิตชัยชนะของทิวาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที ทิวาได้เงินรางวัลหลายพัน เพียงพอที่จะนำไปตัดแว่นสายตาดี ๆ ให้อาม่าและหลวงตา และยังเหลือให้อาม่าเก็บไว้ ทิวาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าผู้ใหญ่ท่านใดที่เป็นศิษย์ของหลวงตาเอื้อเฟื้อให้ทำงานพิเศษอะไร ทิวาไม่เคยเกี่ยง ไม่เคยทำให้หลวงตากับอาม่าผิดหวัง เด็กหนุ่มทั้งขยันเรียนและทำงาน เพื่อหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากช่วยงานอาม่าที่ร้านขายของชำตลอดจนขายทั้งสมุนไพรแบบจีนและไทยการที่ทิวามีพรสวรรค์ในการทำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่มีทัศนคติไม่ดีเปลี่ยนมาคิดบวก เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ทิวา ที่ยอมรับและรักทิวาดุจลูกหลาน เพราะพวกเขาดีใจที่ลูก ๆ ของตนเปลี่ยนเป็นคนดีตั้งใจเรียนเพราะเอาแบบอย่างทิวา ลำพังเขากับภรรยาทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยลูกชายลูกสาว วัดได้รับการดูแลทำนุบำรุงพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ เพราะศรัทธา
ช่วงสายของวันหยุดก่อนเทศกาลวันเข้าพรรษาของไทย ภายในพระอุโบสถทรงไทยของวัด ทิวา เสือ เล้ง และเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดอีกห้าคน ต่างกระจายกันช่วยทำความสะอาดพื้นและหน้าต่าง บางส่วนช่วยกันแบกพรมไปตากแดดหน้าลานพระอุโบสถ ส่วนทิวาและเสือช่วยกันทำความสะอาดกระถางธูปและเชิงเทียนเล้งรวบน้ำตาเทียนที่จับตัวเป็นก้อนกับเถ้าธูปไปทิ้ง และกลับมาช่วยทิวาทำความสะอาดพระประธานและพระพุทธรูปต่อ ทิวาและเสือบิดผ้าพอหมาด แล้วบรรจงเช็ดทำความสะอาดจากฐานของพระประธานปางสมาธิสมัยสุโขทัย จนถึงหน้าพระพักตร์ พระอุโบสถนั้นมีหน้าบันปูนรูปกนกก้านขดช่อเทพนมอยู่กลางประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองประตู เสมาทำด้วยหินทรายแดงขนาดเล็ก เสมาหน้าอยู่ในซุ้มสี่เหลี่ยมมียอด เสมาอื่นเป็นแบบเสมานั่งแท่นใกล้กันเป็นหอระฆังสูง อันมีลักษณะทรงไทยดูอ่อนช้อยสวยงาม หลังจากทำความสะอาดในส่วนต่าง ๆ ในพระอุโบสถแล้ว เด็กทั้งหมดก็มาช่วยสามเณรล้างลานรอบพระอุโบสถ ถึงตอนนี้บรรดาเด็กวัดทั้งห้าคน หรือแม้แต่ทิวากับเสือต่างก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ทั้งล้างทั้งเล่นฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้สามเณรต้องร่นถอยไปยืนพิงผนังข้างพระอุโบสถ ด้วยเกรงว่าอันตรวาสกและอัง
“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื
บทนำ ฝูงวิหคราตรีแผดเสียงร้องก้องป่า ก่อนกระพือปีกบินหายลับไป ผืนน้ำเวิ้งว้างเบื้องล่างดูราบเรียบสงบ ทว่าหมอกกลับหนาขึ้น ไอน้ำค้างเคลื่อนผ่านผิวหน้าของชายหนุ่มเป็นระยะ แต่กายของเขายังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว ห่างไม่ถึงช่วงตัวของชายหนุ่ม หญิงสาวนอนซมด้วยพิษไข้ ริมฝีปากซีดเผือดตัวสั่นเทา เขานำกิ่งไม้มาสานเข้าด้วยกันเป็นซุ้มขนาดเล็ก พอช่วยบังไม่ให้เธอสัมผัสกับน้ำค้างโดยตรง ชายหนุ่มใช้เสื้อของตนซับน้ำจากลำธารเล็กข้างแม่น้ำมาเช็ดตัวให้หญิงสาวหลายครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งเสียงเพ้อด้วยพิษไข้แผ่วจางลง ไออุ่นจากมือของเขาส่งผ่านมือที่มีรอยฟกช้ำ หญิงสาวค่อย ๆ คลายออกและยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าที่มีเลือดเกรอะกรัง ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองแขนซ้ายของหญิงสาวลงแนบลำตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยแววตาอันหม่นเศร้า “คุณเหม่ยลี่นอนพักเอาแรงอีกนิดนะครับ ผมจะพาคุณกลับบ้านให้ได้ ผมสัญญา” “ทิวา...” เสียงเรียกบางเบา กระนั้นยังตามด้วยรอยยิ้ม ฟ้าใกล้สาง ทิวาใช้กิ่งไม้จำนวนหนึ่งมัดรวมกันให้หนา และใช้เถาวัลย์เส้นใหญ่รัดแน่นกับท่อนแขนซ้าย เขาเหลือบมองพุ่มไม้ข้างล
กิมลั้งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน นับถือศาสนาพุทธ ทำอาชีพค้าขาย นางมีร้านค้าของชำในตลาดสด รวมถึงทำร้านขายสมุนไพรจีนโบราณ ต่อมาการค้าของนางประสบปัญหา ส่งผลให้ ‘เฟย’ ลูกชายคนเดียวต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพื่อมาช่วยแม่ค้าขาย กิมลั้งเสียใจที่ไม่สามารถหาเงินค่าเทอมให้เฟยได้ทัน เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายปี ผลพวงจากการเมืองพลิกผันในปี พ.ศ. 2535 ที่เกิดเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ขึ้น การค้าขายแทบไม่ได้กำไร การร้องไห้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่กิมลั้งใช้ระบายความทุกข์ใจ ยิ่งดูรูปอาฟางผู้เป็นสามีของนาง กิมลั้งก็ยิ่งรวดร้าวในใจเรื่อยมา ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนในปีที่เฟยหยุดเรียน กิมลั้งตัดสินใจปิดร้านสองอาทิตย์ เพื่อพาเฟยไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าในหุบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีณ สถานปฏิบัติธรรม เฟยตั้งใจปฏิบัติธรรมและช่วยเหลือกิจของพระ เขาช่วยงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นกุศลผลบุญให้แก่มารดาและตัวเขาเอง วันต่อมา เฟยพบว่าแนวป่าดงดิบด้านหลังสถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีน้ำตกและลำธารน้ำหลากนั้น มีชายฉกรรจ์กำลังฝึกท่วงท่าแม่ไม้มวยไทยแบบโบราณดั้งเดิม โดยมีหลวงปู่ธุดงค์ท่านหนึ่
“อั๊วะบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าต้องน็อกไอ้เจ้าพระยาให้ได้ ชกยังไงได้แค่เสมอวะ ลื้อรู้ไหมว่าอั๊วะหมดเงินหมดทองกับลื้อตั้งเท่าไหร่ สูญไปเท่าไหร่ เป็นล้าน!” เสียงเกรี้ยวกราดของกำนันเอิบดังลั่น“ผมขอโทษครับเฮีย เจ้าพระยาเขาเป็นมวยเท้า เขาป้องกันรัดกุมดีเหลือเกินครับ” ผู้ถูกตบหน้ายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหดหู่ หากแต่ความหดหู่นั้นไม่ได้เกิดจากความพ่ายแพ้ แต่การไม่ได้รับชัยชนะนั่นหมายความว่าบ้านและสวนยางของเขาจะต้องสูญสิ้นเช่นกัน ด้วยติดจำนองไว้สองแสนกว่าบาท นักมวยอย่างเขามีหรือจะพึ่งพาใครได้ยามขัดสน“เฮ้ย! ลื้อเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปเลยนะไอ้เพลิง ขืนลื้ออยู่ต่อ ลื้อจะทำให้อั๊วะเจ๊ง ไป๊!” เจ้าของค่ายมวยวัยกลางคนไล่เสียงดังลั่นเฟยยังคงยืนชิดผนังอยู่ด้านนอก ขณะที่พลายเพลิงกำลังก้มลงกราบผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นหันหลังและเดินคอตกออกจากห้องไป“ขาดเหลือเท่าไหร่ เพลิง?” เสียงอันนุ่มนวลแฝงความเป็นมิตรดังมาจากกรอบประตูด้านนอก บนไหล่ของเพลิงมีมือซ้ายชุ่มเหงื่อแตะเบา ๆ“เจ้าพระยา!”“เรียกฉันว่าเฟยก็ได้ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยเพลิง นายมีพรสวรรค์และยังชกเก่งอยู่ อย่าลืมสิ...เป้าหมายนายคือแชมป์ลุมพ
“ให้นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้นะโยม โยมเฟยไปสบายแล้ว ที่เหลือก็ต้องประคับประคองกันไป แต่สิ่งที่ถือว่าประเสริฐก็คือทิวา เด็กที่มีพรสวรรค์ เรียนดี และมีวินัย หายากนะโยม หากดวงวิญญาณโยมเฟยรู้คงหมดห่วง เด็กที่กำพร้าพ่อกำพร้าแม่กลับตั้งใจเล่าเรียน ใช้ความขยันอุตสาหะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เมื่อเติบใหญ่ก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน อยู่ที่การเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยนะโยม”“ค่ะหลวงตา...จากนี้คงอีกนานกว่าหนูจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพราะว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าเรียนแล้วค่ะ แต่หนูจะส่งของมาให้เด็ก ๆ เป็นระยะนะคะ”“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ทางนี้จะดูแลให้เอง โยมแน่ใจแล้วนะที่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้โยมกิมลั้งรับรู้ไว้”“หนูรอให้ทิวาเรียนจบก่อนค่ะ หนูอยากให้ทิวากับอาม่ามีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ถ้าหนูบอกตอนนี้ หนูกลัวว่าอาม่าจะคิดมาก คงกลัวว่าหนูจะรับทิวาไปอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน ดีไม่ดีแกล้มป่วยอีก จริง ๆ ไม่เคยคิดพรากทิวาไปจากอาม่าเลยนะคะหลวงตา แม้ว่าหนูจะทรมานใจแค่ไหนก็ตาม แต่อาม่าแกเลี้ยงของแกมา หนูทำอย่างนี้ถูกแล้วค่ะ”หลวงตาหามนตรีพยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งจึงบอกให้นุชนภากับสาวใช้เข้ามาใกล้ ๆ เพื
ช่วงสายของวันหยุดก่อนเทศกาลวันเข้าพรรษาของไทย ภายในพระอุโบสถทรงไทยของวัด ทิวา เสือ เล้ง และเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดอีกห้าคน ต่างกระจายกันช่วยทำความสะอาดพื้นและหน้าต่าง บางส่วนช่วยกันแบกพรมไปตากแดดหน้าลานพระอุโบสถ ส่วนทิวาและเสือช่วยกันทำความสะอาดกระถางธูปและเชิงเทียนเล้งรวบน้ำตาเทียนที่จับตัวเป็นก้อนกับเถ้าธูปไปทิ้ง และกลับมาช่วยทิวาทำความสะอาดพระประธานและพระพุทธรูปต่อ ทิวาและเสือบิดผ้าพอหมาด แล้วบรรจงเช็ดทำความสะอาดจากฐานของพระประธานปางสมาธิสมัยสุโขทัย จนถึงหน้าพระพักตร์ พระอุโบสถนั้นมีหน้าบันปูนรูปกนกก้านขดช่อเทพนมอยู่กลางประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองประตู เสมาทำด้วยหินทรายแดงขนาดเล็ก เสมาหน้าอยู่ในซุ้มสี่เหลี่ยมมียอด เสมาอื่นเป็นแบบเสมานั่งแท่นใกล้กันเป็นหอระฆังสูง อันมีลักษณะทรงไทยดูอ่อนช้อยสวยงาม หลังจากทำความสะอาดในส่วนต่าง ๆ ในพระอุโบสถแล้ว เด็กทั้งหมดก็มาช่วยสามเณรล้างลานรอบพระอุโบสถ ถึงตอนนี้บรรดาเด็กวัดทั้งห้าคน หรือแม้แต่ทิวากับเสือต่างก็พลอยนึกสนุกไปด้วย ทั้งล้างทั้งเล่นฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ทำให้สามเณรต้องร่นถอยไปยืนพิงผนังข้างพระอุโบสถ ด้วยเกรงว่าอันตรวาสกและอัง
ในคืนนั้นเอง ทิวาบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดของร่างกายจากการชกมวยคาดเชือกมีเพียงผิวเผิน ไม่บอบช้ำถึงข้างใน แต่คำพูดของหลวงตาที่ตอกย้ำว่า หากพลาดสมองกระทบกระเทือนถึงขั้นพิการขึ้นมา ใครจะดูแลอาม่าในบั้นปลายชีวิตชัยชนะของทิวาจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที ทิวาได้เงินรางวัลหลายพัน เพียงพอที่จะนำไปตัดแว่นสายตาดี ๆ ให้อาม่าและหลวงตา และยังเหลือให้อาม่าเก็บไว้ ทิวาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าผู้ใหญ่ท่านใดที่เป็นศิษย์ของหลวงตาเอื้อเฟื้อให้ทำงานพิเศษอะไร ทิวาไม่เคยเกี่ยง ไม่เคยทำให้หลวงตากับอาม่าผิดหวัง เด็กหนุ่มทั้งขยันเรียนและทำงาน เพื่อหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากช่วยงานอาม่าที่ร้านขายของชำตลอดจนขายทั้งสมุนไพรแบบจีนและไทยการที่ทิวามีพรสวรรค์ในการทำให้เพื่อน ๆ หรือผู้อื่นที่มีทัศนคติไม่ดีเปลี่ยนมาคิดบวก เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ทิวา ที่ยอมรับและรักทิวาดุจลูกหลาน เพราะพวกเขาดีใจที่ลูก ๆ ของตนเปลี่ยนเป็นคนดีตั้งใจเรียนเพราะเอาแบบอย่างทิวา ลำพังเขากับภรรยาทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยลูกชายลูกสาว วัดได้รับการดูแลทำนุบำรุงพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ เพราะศรัทธา
เพลิงแห่งความเกลียดชังทิวากับเพื่อน ๆ เริ่มปะทุขึ้นในใจของนักการเมืองอย่างปี๊ด ยิ่งได้พบหน้าทิวาที่สถานีตำรวจ ปี๊ดยิ่งตะลึง ด้วยดวงหน้าและบุคลิกของทิวาละม้ายคล้ายกับคนคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนามทิ่มแทงใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นยิ่งเหมือนไฟที่กำลังโหมแรงปี๊ดจึงได้คิดหาหนทางทำร้ายทิวากับเพื่อนเรื่อยมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทิวา เสือ และเล้งได้รับการถ่ายทอดแม่ไม้มวยไทย รวมถึงการใช้อาวุธไทยโบราณทุกชนิดจากชายชุดขาวที่ได้เข้ามาช่วยชีวิตไว้ ซึ่งชายชุดขาวก็คือครูช้างเผือก เจ้าของค่ายมวยไทยที่เปิดอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนั่นเอง ซึ่งหลวงตามหามนตรีจำได้ แม้ครูช้างเผือกจะปกปิดหน้าตาไว้ก็ตาม เนื่องจากคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในอดีตครูช้างเผือกเคยมีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ภรรยาพร้อมลูกสาวเสียชีวิตเพราะกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านเพื่อตั้งใจมาฆ่าล้างแค้นครูช้างเผือก เพราะก่อนหน้านั้นครูช้างเผือกได้เคยช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งไม่ให้ถูกพวกคนร้ายข่มขืน และครูช้างเผือกจำเป็นต้องป้องกันตนเองจากพวกคนร้าย เลยพลั้งมือฆ่าลูกพี่ของพวกมันตาย เมื่อคนที่เหลือออกจากคุกมาก็เลยผูกใจเจ็บ และสืบจนรู้ว่าบ้านอดีตนั
หลังจากที่โครงการต้านภัยยาเสพติดเดินหน้า เด็กวัยรุ่นในหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มไม่อยากยุ่งกับยาเสพติด ปี๊ดเริ่มรู้ระแคะระคายว่า ทิวากับกลุ่มเพื่อน ๆ เด็กกำพร้าที่อยู่วัดริมน้ำนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายธุรกิจขายยาเสพติดของเขา จึงได้ส่งลูกน้องสามคนที่เป็นนักเลงคุมบ่อนไปขู่ทิวากับเพื่อน ๆ ถึงในวัด เพราะปี๊ดมั่นใจว่าอย่างไรเสียเด็กอย่างทิวากับเพื่อน ๆ คงกลัวและไม่กล้าทำโครงการนี้ต่อไป ขณะที่ทิวากับเพื่อน ๆ กำลังทำความสะอาดวิหารในช่วงวันหยุด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ปรากฏตัวขึ้นและตรงเข้ารุมทำร้าย“เดี๋ยวครับ ๆ พี่ทั้งสามเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมจู่ ๆ จะมาทำร้ายพวกเราล่ะ” ทิวาละล่ำละลักถาม“หึ ก็พวกเอ็งไปทำอะไรไว้ล่ะ เจ้านายพวกกูรู้ว่าพวกเอ็งไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของพวกกู ก็เลยให้มาสั่งสอนเสียหน่อย” หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกขึ้น“ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าพี่ ๆ มาด้วยเรื่องอะไร ฉันขอถามหน่อย ถ้าเป็นลูก ๆ ของพี่ติดยา พี่จะทำอย่างไร และพี่จะทำอย่างไรให้ลูกพี่เลิก คิดดูสิครับ” ทิวาพูดแย้ง“ทิวา เปล่าประโยชน์ว่ะ ท่าทางจะไม่เคยเข้าวัด” เสือพูดทำเอาเพื่อน ๆ ขำ“ปากดีเสียด้วย เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะได้รู้ว่า อาการเจ็บตัว
“เสือหนีไป!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามา ก้อนหินหนักเฉียดกายเสือไปไม่ถึงช่วงแขน ร่างของทิวาล้มทับปอนด์ แต่สองมือยังคงกอดรั้งไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำร้ายเสือได้อีก“ปล่อย! ไอ้ทิวาปล่อยกู ยังอีก พวกมึงรุมกระทืบมันเลย เร็ว!”พลั่ก ๆๆ ผัวะ ๆๆ ฝ่าเท้าเด็กผู้ชายหลายคู่ทั้งเหยียบทั้งย่ำทั้งเตะลงบนลำตัวของทิวา ทว่าไม่มีเสียงร้องแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ได้ยิน มีแต่เสียงตะโกนบอกให้เสือหนีไปเท่านั้น“ทิวา! พวกมึงหยุดทำร้ายเพื่อนของกูเดี๋ยวนี้นะ!”ด้วยความคับแค้นใจ หัวใจของเด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยมีบาดแผลทางใจ เมื่อชีวิตขาดแม่ โดนดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติมปม แต่หากถูกรังแกถึงที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ถูกรังแกอีกต่อไป!เสือกระโดดถีบและไล่เตะแต่ละคนด้วยความคับแค้นใจ จนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางบนพื้น ทิวายังคงกอดรัดปอนด์ไว้แน่น เสียงกำปั้นฟาดลงกลางหลังของทิวาไม่ยั้ง เสือเห็นดังนั้นจึงก้มลงจะหยิบท่อนไม้ข้างโรงอาหารขึ้นมา เพื่อจะทำสิ่งหนึ่งเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าภารโรงแก่ ๆ ดึงมือไว้ และบอกกับเสือเสียงเบาว่า“ทิ้งมันไปเสีย เชื่อลุงไอ้หนู ให้ครูลงโทษพวกม
กาลเวลาหมุนผ่านไป หลายชีวิตย่างเข้าสู่วัยชรา เกิดแก่เจ็บตาย ย่อมมิมีผู้ใดหลีกหนีพ้น คุณตาคุณยายแท้ ๆ ของทิวาที่อยู่ภาคเหนือเริ่มโรยราและตายจากไป ครอบครัวเล็ก ๆ จึงเหลือเพียงเนตรนภา ผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวแท้ ๆ ซึ่งตอนนี้ได้มาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ โดยนุชนภาส่งเงินมาช่วยเหลือเป็นระยะ ๆนุชนภาโชคดีที่มีน้องสาวเป็นคนขยันและตั้งใจเรียน กระทั่งสอบเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลทหารเรือได้ หลังจากเรียนจบทำงานก็ได้สมรสกับนายทหารเรือหนุ่มยศสัญญาบัตร ในงานแต่งงานของเนตรนภา กิมลั้งและทิวาได้รับเชิญให้มาร่วมงานด้วยเนตรนภารู้สึกถูกชะตากับทิวามาก เหมือนว่ากิมลั้งและทิวาเป็นคนในครอบครัวเธอ หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สิบกว่าปีมานี้ ทิวาและเพื่อนเด็กวัดคนอื่น ๆ ได้รับความอนุเคราะห์ทั้งจากเนตรนภาและนุชนภามาตลอด ทั้งเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ทุนการศึกษา และเงินรางวัลหากมีผลการเรียนดี สองพี่น้องช่วยกันเติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือให้กับเด็ก ๆ ทุกคนเรื่อยมาเมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับกันเกือบหมด เนตรนภาจึงมีโอกาสเข้ามาพูดคุยกับกิมลั้งและทิวา“ทิวา หากวันไหนเธอลำบากหรือขัดสน อย่าลืมว่ายังมีน้าเนตรอีกคนนะลูกนะ”“ขอบคุณครั
วันต่อมา หญิงสาวไปสืบเรื่องการตายของเฟยที่สถานีตำรวจ จึงทราบว่าตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าเรือน้ำนนท์ เธอจึงขอให้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งเช่าห้องใกล้กันกับเธอช่วยดูแลลูกให้ครึ่งวัน โดยเธอมีค่าตอบแทนให้นุชนภาบีบน้ำนมจากเต้าใส่ขวดและเก็บไว้ในช่องฟรีซ และได้กำชับให้คนช่วยดูแลลูกนำขวดนมมาอุ่นโดยใช้ที่นึ่งขวดนมทันทีหากลูกชายเริ่มร้อง จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังวัดแห่งนั้น เพื่อเข้าไปกราบศพของสามีเมื่อไปถึงวัดดังกล่าว เธอพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ร้องและมีน้ำตาเพราะเกรงว่าญาติของเฟยจะสงสัย ซึ่งที่นี่นุชนภาได้พบกิมลั้งเป็นครั้งแรก เธออยากเข้าไปกราบแทบเท้าอีกฝ่ายที่สุด แต่ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ทั้งยังเคยทำงานเป็นผู้หญิงกลางคืนมาก่อน แม้จะไม่ได้เป็นโสเภณีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะตอกย้ำว่า เธอไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นลูกสะใภ้ของกิมลั้งได้เลย!ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ทำให้ต้องเผชิญกับคำว่า ‘ตกเขียว!’ นุชนภาตั้งใจเก็บงำความลับนี้ให้มิดที่สุด จึงแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานเดียวกับเฟย“หนูเป็นเพื่อนของเฟยใช่ไหม มากินต้
ทุก ๆ วันเวลาที่ล่วงผ่าน นุชนภาคอยนับวันจะได้กลับเมืองไทย นอกจากจะตามมาดูงานในโรงงานของสามีที่บางพลี นุชนภายังจะได้มาพบลูกชายของเธอ แม้ไม่เจอที่วัดในวันธรรมดา แต่ก็ไปพบที่โรงเรียน หรือในช่วงหน้าหนาวที่โรงเรียนมีแข่งกีฬาสี ก็จะมีเงินรางวัลปริศนาใส่ซองฝากอาจารย์ไปให้ ยามที่ทิวาลงเล่นฟุตบอลและได้รางวัลชนะเลิศความสุขของการได้คอยส่งเสริมเกื้อหนุนมาหลายปี ทำให้เธอปลื้มปริ่มอิ่มเอมจนเอ่อล้นออกจากตาไม่ขาดสาย ยิ่งได้ทราบจากหลวงตาว่าจะบวชสามเณรฤดูร้อนให้แก่เด็ก ๆ ละแวกนี้กับกลุ่มเด็กวัด ซึ่งรวมถึงทิวาด้วย ประธานจัดการเรื่องการบวชสามเณรฤดูร้อนที่นุชนภายื่นขอต่อหลวงตาจึงได้รับความเห็นชอบจากวัด นุชนภากับกิมลั้งแสนจะดีใจ เธอไม่ลืมที่จะบอกเนตรนภาน้องสาวคนเดียวของเธอให้มาร่วมทำบุญในงานบวชสามเณรของทิวาด้วย...ภายในพระอุโบสถ ทิวาและเพื่อน ๆ ทั้งหมดห้าสิบคนได้โกนหัวเป็นนาค กำลังวันทาพระประธานอีกครั้งด้วยวิธีอย่างเดียวกันกับวันทาสีมา ก่อนจะกลับไปนั่งยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับนาค จากนั้นอาม่ากับนุชนภาร่วมกันมอบผ้าไตรให้นาค พร้อมกับครอบครัวของนาคคนอื่น ๆ“อาม่าคะ พี่นุช นี่ค่ะ” เนตรนภาเรียกกิมลั้งและพ