หลังจากที่นุชนภาได้พบกับผู้กองสัจจา วันต่อมาเธอก็มาหาผู้กองหนุ่มที่สถานีตำรวจตามนัดหมาย เพื่อพูดคุยเรื่องงานของเธอและอนาคตของลูก หลังจากเมื่อคืนนี้หญิงสาวกลับมาคิดทบทวนว่าระหว่างงานเสมียนบนสถานีตำรวจกับงานโรงงาน เธอควรเลือกอย่างไหนดี ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในโรงงานทอผ้าของชาวจีนไต้หวันตามคำแนะนำของเจ้าของห้องเช่า เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานออกแบบผ้ามาก่อน โรงงานแห่งนี้ผลิตผ้าส่งออกเพื่อนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย โดยตัวโรงงานตั้งอยู่ในย่านบางพลี เธอจึงมาบอกให้ผู้กองสัจจาทราบ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง นุชนภาเข้าไปทำงานในส่วนของฝ่ายควบคุมเอกสารแผนกดีไซน์แบบเสื้อ จึงไม่ต้องทำงานเข้ากะเหมือนฝ่ายผลิต
นุชนภาพาลูกมาเช่าห้องแถวอยู่ใกล้โรงงาน ก่อนเริ่มทำงาน เธอได้จ้างผู้หญิงวัยกลางคนที่เช่าห้องใกล้กับเธอให้ดูแลลูกในตอนกลางวันช่วงที่เธอไปทำงาน เมื่อถึงช่วงพักเที่ยง หญิงสาวก็ขออนุญาตหัวหน้าออกมาให้นมลูก เธอโชคดีที่คนรับจ้างเลี้ยงลูกให้มีตู้เย็นในห้อง ตอนเช้านุชนภาจะบีบนมใส่ขวดและนำไปแช่ช่องฟรีซไว้ พร้อมทั้งกำชับให้พี่เลี้ยงนำขวดนมไปนึ่งก่อนป้อนให้ลูกกิน
ผู้กองสัจจากับพลายเพลิงได้แวะมาเยี่ยมเธอกับลูกเพียงครั้งเดียว พร้อมข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กทารก หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาหาอีกเลย นุชนภาเข้าใจดีถึงหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของสัจจา กับอาชีพนักมวยของพลายเพลิง ซึ่งแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวนัก จึงไม่ได้น้อยใจอะไร หญิงสาวยังคงก้มหน้าขยันทำงานต่อไป...
ความรู้เรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้าและความสามารถในการดูแพตเทิร์นต่าง ๆ ของผ้า ทำให้ ‘เหวินปัง’ กรรมการผู้จัดการหนุ่มชาวไต้หวัน และเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทสาขาในเมืองไทย ซึ่งอยู่เมืองไทยมาหกปีแล้วเห็นแววของเธอ จึงเลื่อนให้เธอมาทำในตำแหน่งผู้ช่วยดีไซน์แบบ ทำให้หญิงสาวมองเห็นอนาคตที่สดใสเพราะมีรายได้ที่จะใช้เลี้ยงดูลูกชาย
ความใกล้ชิดทำให้เหวินปังเกิดความรู้สึกดี ๆ กับนุชนภา กระทั่งตกหลุมรักเธอหมดหัวใจ ทว่านุชนภาได้บอกความจริงกับเหวินปังว่า เธอเพิ่งสูญเสียสามีและมีลูกติด หญิงสาวขอเวลาทำใจสักพัก ซึ่งเหวินปังก็เข้าใจและไม่เคยคิดรังเกียจอดีตที่ผ่านมาของเธอ เขาให้เกียรตินุชนภามาก ไม่คิดมีความสัมพันธ์เกินเลยโดยที่เธอยังไม่พร้อม
สามเดือนต่อมา ชายหนุ่มต้องกลับไปดูแลกิจการที่สาขาแม่ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงไทเป ประเทศไต้หวันโดยด่วน เนื่องจากคุณพ่อของเขาเป็นมะเร็งลำไส้และอาจอยู่ได้ไม่ถึงปี ท่านจึงอยากวางมือจากงานทั้งหมด เมื่อมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในครอบครัว เหวินปังก็ตัดสินใจชวนนุชนภาไปทำงานที่ไต้หวันด้วยกัน แต่นุชนภามีลูกติด และการตกลงใจไปไต้หวันกับเหวินปังเหมือนไปตายเอาดาบหน้า ครอบครัวคนจีนคงไม่ยอมรับแม่ม่ายลูกติดที่เป็นคนไทยเป็นแน่แท้ เหวินปังอ้อนวอนนุชนภาทุกวัน แม้เธอไม่อาจมีใจรักเหวินปังในตอนนี้ แต่หัวใจของเธอกลับไม่สามารถปฏิเสธความดี ความเป็นสุภาพบุรุษของเขาได้เลย
ด้วยวัยเพียงสิบเก้าปีของนุชนภา เธอครุ่นคิดอย่างหนักแทบไม่ได้นอน อนาคตข้างหน้าที่เธอมองเห็น คือพ่อแม่และน้องสาวได้ลืมตาอ้าปากได้ เพียงนุชนภาตัดสินใจก้าวไปข้างหน้า เธอกอดลูก น้ำตานองหน้า หญิงสาวสัญญากับลูกว่าจะดูแลไม่ทอดทิ้ง และจะกลับมาหาตลอด หากวันหนึ่งวันใดเธอพร้อม เธอจะมารับลูกที่เมืองไทยทันที แต่ใครจะใจบุญมีเมตตารับเลี้ยงลูกของเธอ หากไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง นั่นเป็นสิ่งที่สร้างความสะเทือนใจแก่เธอที่สุดที่เธอกำลังเผชิญ
การที่ต้องพรากจากลูก นุชนภารู้ดีว่าเหมือนสายฟ้าฟาดลงตรงกลางใจ ชีวิตเมื่อขาดเสาหลักไป กับความรู้อันน้อยนิดของหญิงสาว ไม่มีวันจะเกื้อหนุนให้ลูกของเธอกับพ่อแม่และน้องสาวลืมตาอ้าปากได้ นอกเสียจากเป็นภรรยาของผู้ที่มีฐานะร่ำรวย แม้หัวใจของเธอจะแตกสลายไปพร้อมกับการตายของเฟยแล้วก็ตาม...
หนึ่งสัปดาห์ก่อนเดินทางไปไต้หวัน
เหวินปังพานุชนภามากินอาหารทะเลที่บางปู หญิงสาวตัดสินใจถามเหวินปังเพื่อที่เธอจะได้คลายความกังวล ก่อนตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุด
“เหวินปัง คุณถามใจคุณเองหรือยังคะ ว่าจริง ๆ แล้วคุณรักนุชหรือเปล่า หรือแค่อยากได้นุชเป็นภรรยาของคุณ หากคุณรักนุชจริง ๆ คุณจะกล้าบอกครอบครัวคุณไหม ว่านุชไม่มีสมบัติพัสถานอะไรเลย ครอบครัวนุชยากจน พ่อแม่ทำไร่ทำนา และนุชเรียนจบแค่ระดับประถมเท่านั้น”
“ผมมั่นใจว่าผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าผมตอนนี้ คือคนที่ผมอยากใช้ชีวิตด้วยจริง ๆ และผมก็เชื่อว่าคุณจะเป็นแม่ที่ดีให้กับลูก ๆ ของผมในอนาคต แม้คุณจะเคยผ่านอะไรมา หรือฐานะแบบไหนก็ตาม...นุชนภา คุณรู้ไหมว่าคุณมีสิ่งที่ผู้หญิงไทยคนอื่นไม่มี”
“คะ?” นุชนภาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“ผมจะบอกคุณในวันที่ผมแต่งงานกับคุณ อย่าห่วงเรื่องครอบครัวผมจะรังเกียจคุณเลยนะ เมื่อก่อนคุณแม่ของผมก็สู้ชีวิตมาคล้าย ๆ คุณนั่นแหละ คุณแม่รู้ว่าคุณทำแบบเสื้อได้ ท่านคงปลื้มคุณ”
“เหวินปัง ถ้าวันหนึ่งคุณไม่รักนุชแล้ว นุชขอแค่ค่าตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยนะคะ นุชขอแค่นี้ รับปากนุชสิคะ”
“ผมไม่ทิ้งคุณหรอก อย่าคิดมากสิ ผมว่าผมเป็นคนจีนที่คิดมากแล้วนะ แต่ยังสู้คุณไม่ได้เลย ฮ่า ๆ ผมจะให้คุณมากกว่าค่าตั๋วเครื่องบินอีก ผมสัญญา คุณจะได้ไม่คิดมาก”
“ขอบคุณค่ะเหวินปัง กินข้าวกันเถอะค่ะ นุชตักต้มยำกุ้งที่คุณชอบให้นะคะ”
ในตอนนี้...เหวินปังอยากจะบอกนุชนภาเหลือเกินว่า ความอ่อนโยนอ่อนหวาน ความใสซื่อและจริงใจ ความเอาใจใส่คนรักของเธอแบบนี้แหละ ที่เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีพร้อมและต่างจากผู้หญิงไทยคนอื่น ๆ ที่มีความรู้ มีฐานะ แต่ขาดเสน่ห์อันน่าหลงใหล...
นุชนภาตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ในที่สุดหญิงสาวก็ตั้งใจจะมอบลูกชายของเธอให้กับกิมลั้ง แม่ของเฟย และเป็นย่าแท้ ๆ ของลูกชายก่อนเดินทางไปไต้หวัน เธอคิดทบทวนมาหลายวัน เพราะกิมลั้งเองก็คงอยู่ในอาการเศร้าหมองไม่แพ้เธอตั้งแต่เฟยจากไป คงดีไม่น้อยหากลูกของเธอมีคนอย่างกิมลั้งคอยเลี้ยงดู เพราะเด็กคนนี้คือหลานชายแท้ ๆ ของกิมลั้ง แม้นางจะไม่รู้ในตอนนี้ แต่เธอเชื่อว่าสักวันที่กิมลั้งรู้ความจริงว่าลูกของเธอคือสายเลือดแท้ ๆ ของนาง นางจะต้องดีใจ แม้ตัวเธอจะถูกประณามว่าทอดทิ้งลูก เห็นแก่ความสุขสบายของตัวเอง เธอขอน้อมรับคำตัดสินของสังคมไว้เพียงลำพัง
หญิงสาวสืบเสาะและถามผู้คนในย่านนั้น จึงได้รู้ว่าร้านขายของชำของกิมลั้งอยู่ในตลาดสดขนาดใหญ่ และมีบ้านอยู่ข้างวัดริมน้ำ ไม่ไกลจากท่าเรือนนทบุรี กิมลั้งกับเพื่อนบ้านหลายคนที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน มักรวมตัวกันมาทำวัตรเย็นที่วัดบ่อย ๆ เป็นกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนที่นับถือศาสนาพุทธ
วันนี้ขณะทำวัตร ฝนตกหนัก ลมแรง ฟ้าร้องครืน ๆ หลวงตากับพระในวัดทำวัตรเย็นเสร็จก็กลับกุฏิ ส่วนญาติโยมที่มาทำวัตรเย็น ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสูงอายุ กิมลั้งก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น คนอื่นตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับบ้านไปกันหมด เพราะบ้านพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไร
ไม่มีใครสังเกตเห็นตะกร้าหวายที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ ประตูทางเข้าโบสถ์ กิมลั้งซึ่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่หน้าโบสถ์ ได้ยินเสียงสุนัขที่นอนหมอบใต้โต๊ะเห่าเรียก นางจึงหันไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นเด็กทารกอยู่ในตะกร้า เป็นเด็กผู้ชายผิวขาวราวหยวกกล้วยนอนขดตัวในผ้าที่อุ่นหนา ไม่ร้องงอแงทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนักฟ้าร้องตลอดเวลา กิมลั้งจึงแจ้งหลวงตามหามนตรี เจ้าอาวาสวัดให้รับทราบ และเจ้าอาวาสได้ฝากให้กิมลั้งช่วยดูแลไปก่อนในคืนนี้ นางยินดีและดีใจที่ได้นำเด็กทารกชายไปดูแล แม้เพียงช่วงหนึ่งนางก็แทบอยากจะขอรับเลี้ยงไว้เป็นลูกเป็นหลานเสียเอง นางพิศดูลักษณะของเด็กน้อยไปมา“เด็กเกิดในปีนี้ เป็นปีมะโรงค่ะหลวงตา ดูสิ...ผิวขาว หน้าผากกว้าง หางตาเชิดขึ้น มีสันจมูก หลังเท้าอวบอิ่ม นิ้วเท้าเรียงชิดกัน โตขึ้นคงมีวาสนาค่ะ” กิมลั้งบอก“เป็นเด็กลักษณะดีนะเนี่ยเรา ต่อไปในภายภาคหน้าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะได้ดิบได้ดี อาจเป็นเจ้าคนนายคนคนหนึ่งเลยทีเดียว สันจมูกโด่งตั้งแต่ยังเล็ก คงเอาดีทางด้านบู๊และบุ๋น บ๊ะ! เจ้านี่ทั้งเรียนทั้งต่อยเลยนะ”หลวงตามหามนตรีอุ้มทารกน้อยกล่อมไปมา พลางดูลักษณะโหงวเฮ้งครบลักษณะทั้งหมด หลวงตาจึงบอกกิมลั้งว่าคว
บทนำ ฝูงวิหคราตรีแผดเสียงร้องก้องป่า ก่อนกระพือปีกบินหายลับไป ผืนน้ำเวิ้งว้างเบื้องล่างดูราบเรียบสงบ ทว่าหมอกกลับหนาขึ้น ไอน้ำค้างเคลื่อนผ่านผิวหน้าของชายหนุ่มเป็นระยะ แต่กายของเขายังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว ห่างไม่ถึงช่วงตัวของชายหนุ่ม หญิงสาวนอนซมด้วยพิษไข้ ริมฝีปากซีดเผือดตัวสั่นเทา เขานำกิ่งไม้มาสานเข้าด้วยกันเป็นซุ้มขนาดเล็ก พอช่วยบังไม่ให้เธอสัมผัสกับน้ำค้างโดยตรง ชายหนุ่มใช้เสื้อของตนซับน้ำจากลำธารเล็กข้างแม่น้ำมาเช็ดตัวให้หญิงสาวหลายครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งเสียงเพ้อด้วยพิษไข้แผ่วจางลง ไออุ่นจากมือของเขาส่งผ่านมือที่มีรอยฟกช้ำ หญิงสาวค่อย ๆ คลายออกและยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าที่มีเลือดเกรอะกรัง ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองแขนซ้ายของหญิงสาวลงแนบลำตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยแววตาอันหม่นเศร้า “คุณเหม่ยลี่นอนพักเอาแรงอีกนิดนะครับ ผมจะพาคุณกลับบ้านให้ได้ ผมสัญญา” “ทิวา...” เสียงเรียกบางเบา กระนั้นยังตามด้วยรอยยิ้ม ฟ้าใกล้สาง ทิวาใช้กิ่งไม้จำนวนหนึ่งมัดรวมกันให้หนา และใช้เถาวัลย์เส้นใหญ่รัดแน่นกับท่อนแขนซ้าย เขาเหลือบมองพุ่มไม้ข้างล
กิมลั้งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน นับถือศาสนาพุทธ ทำอาชีพค้าขาย นางมีร้านค้าของชำในตลาดสด รวมถึงทำร้านขายสมุนไพรจีนโบราณ ต่อมาการค้าของนางประสบปัญหา ส่งผลให้ ‘เฟย’ ลูกชายคนเดียวต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพื่อมาช่วยแม่ค้าขาย กิมลั้งเสียใจที่ไม่สามารถหาเงินค่าเทอมให้เฟยได้ทัน เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายปี ผลพวงจากการเมืองพลิกผันในปี พ.ศ. 2535 ที่เกิดเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ขึ้น การค้าขายแทบไม่ได้กำไร การร้องไห้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่กิมลั้งใช้ระบายความทุกข์ใจ ยิ่งดูรูปอาฟางผู้เป็นสามีของนาง กิมลั้งก็ยิ่งรวดร้าวในใจเรื่อยมา ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนในปีที่เฟยหยุดเรียน กิมลั้งตัดสินใจปิดร้านสองอาทิตย์ เพื่อพาเฟยไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าในหุบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีณ สถานปฏิบัติธรรม เฟยตั้งใจปฏิบัติธรรมและช่วยเหลือกิจของพระ เขาช่วยงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นกุศลผลบุญให้แก่มารดาและตัวเขาเอง วันต่อมา เฟยพบว่าแนวป่าดงดิบด้านหลังสถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีน้ำตกและลำธารน้ำหลากนั้น มีชายฉกรรจ์กำลังฝึกท่วงท่าแม่ไม้มวยไทยแบบโบราณดั้งเดิม โดยมีหลวงปู่ธุดงค์ท่านหนึ่
“อั๊วะบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าต้องน็อกไอ้เจ้าพระยาให้ได้ ชกยังไงได้แค่เสมอวะ ลื้อรู้ไหมว่าอั๊วะหมดเงินหมดทองกับลื้อตั้งเท่าไหร่ สูญไปเท่าไหร่ เป็นล้าน!” เสียงเกรี้ยวกราดของกำนันเอิบดังลั่น“ผมขอโทษครับเฮีย เจ้าพระยาเขาเป็นมวยเท้า เขาป้องกันรัดกุมดีเหลือเกินครับ” ผู้ถูกตบหน้ายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหดหู่ หากแต่ความหดหู่นั้นไม่ได้เกิดจากความพ่ายแพ้ แต่การไม่ได้รับชัยชนะนั่นหมายความว่าบ้านและสวนยางของเขาจะต้องสูญสิ้นเช่นกัน ด้วยติดจำนองไว้สองแสนกว่าบาท นักมวยอย่างเขามีหรือจะพึ่งพาใครได้ยามขัดสน“เฮ้ย! ลื้อเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปเลยนะไอ้เพลิง ขืนลื้ออยู่ต่อ ลื้อจะทำให้อั๊วะเจ๊ง ไป๊!” เจ้าของค่ายมวยวัยกลางคนไล่เสียงดังลั่นเฟยยังคงยืนชิดผนังอยู่ด้านนอก ขณะที่พลายเพลิงกำลังก้มลงกราบผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นหันหลังและเดินคอตกออกจากห้องไป“ขาดเหลือเท่าไหร่ เพลิง?” เสียงอันนุ่มนวลแฝงความเป็นมิตรดังมาจากกรอบประตูด้านนอก บนไหล่ของเพลิงมีมือซ้ายชุ่มเหงื่อแตะเบา ๆ“เจ้าพระยา!”“เรียกฉันว่าเฟยก็ได้ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยเพลิง นายมีพรสวรรค์และยังชกเก่งอยู่ อย่าลืมสิ...เป้าหมายนายคือแชมป์ลุม
สองมืออันหยาบกร้านกราบลงบนตักของกิมลั้ง ผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล กิมลั้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำลวดลายมังกรสีเหลือง นางอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงสด ใบหน้ายิ้มแย้ม กิมลั้งก้มลงลูบศีรษะของเฟยผู้เป็นลูกชายด้วยความนุ่มนวล ชายหนุ่มสวมเสื้อและกางเกงสีแดงสด เงยหน้าขึ้นมองแม่ของตนได้ชั่วครู่ เสียงประทัดก็ดังสนั่นลั่นประสานกันอยู่ด้านนอก เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ธนบัตรรัดด้วยยางวงอย่างดีจำนวนสองหมื่นกว่าบาทถูกวางลงอย่างบรรจงบนตักของนางกิมลั้ง ก่อนที่เฟยจะโผเข้าโอบกอดผู้เป็นแม่อย่างแนบแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้“ตรุษจีนปีนี้ ผมขอให้หม่าม้ามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กิจการร้านค้ารุ่งเรือง ๆ นะครับ”เฟยอวยพรแม่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ยังคุมความทุ้มต่ำหนักแน่นของเสียงไว้ได้กิมลั้งมองเข้าไปในตาของเฟย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสุกใสเหมือนอำพันแท้ที่ห้อยคอเฟยอยู่ ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยสัมผัสได้จากอาฟาง ผู้เป็นพ่อของเฟย“เฟย ม้าพอมีเงินอยู่ ลื้อเก็บไว้ใช้เถอะ...ไม่ได้กลับบ้านเกือบสี่เดือน ลื้อผอมไปหรือเปล่า ทำงานลำบากมากไหม” กิมลั้งพูด ในขณะที่ลูบศีรษะลูกชายด้วยความรักและเอ็นดู“หม่าม้า ผมขอโทษท
ชะตาชีวิตของคนบางครั้งกลับเลวร้ายขณะพยายามลดละจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ แม้จะเป็นมือขวาของเถ้าแก่โจว แต่การปกครองคนของเฟยนั้นแม้จะเด็ดขาดแต่ก็มีน้ำใจ ไม่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ลูกน้องและพนักงานระดับต่าง ๆ ในสถานเริงรมย์ของเถ้าแก่โจวเคารพยำเกรงในความเป็นนักเลงคุณธรรมของเฟย คุณลักษณะเช่นนี้ทำให้เฮียกู๋ ผู้เป็นมือซ้ายของเถ้าแก่โจวเกิดความริษยาในตัวเฟย จึงคิดวางแผนใส่ร้ายเฟยว่าเป็นคนทรยศหักหลังเถ้าแก่ โดยวางยานอนหลับในอาหารในงานกินเลี้ยงของแก๊ง เพื่อให้เฟยและลูกน้องคนสนิทกับเถ้าแก่หลับด้วยฤทธิ์ยา“ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างข้าโว้ย ไอ้เฟย! เมื่อเอ็งตื่นมาความผิดทุกอย่างก็จะเป็นของเอ็ง เอ็งรู้ใช่ไหม ความผิดที่ทรยศต่อแก๊งมันเป็นอย่างไร” เฮียกู๋หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เพราะเบื้องหน้าเฟยกับลูกน้องนอนสลบไสลไม่ได้สติ “พวกเอ็งลากไอ้เฟยและลูกน้องมันกับเถ้าแก่ไปแยกขังไว้ก่อน ก่อนที่ไอ้เฟยมันจะตื่นขึ้นมาจัดการกับพวกเอ็ง เร็ว!”“ครับเฮีย”“เดี๋ยว! พวกเอ็งอย่าลืมเอาผงขาวมาซ่อนไว้ในห้องพักของไอ้เฟยและลูกน้องมันทุกคนด้วยนะ แล้วใช้เลือดจากศพมาทาบนเสื้อของพวกมันทุกคนด้วย เข้าใจไหม”“เข้าใจแล้วครับเฮีย”ห
ท้องฟ้ายังขมุกขมัวไร้ซึ่งเงาแสงตะวันสายฝนยังคงพร่างพรมลงมาตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง ทางเดินแคบ ๆ ทำจากแผ่นไม้กระดานสามแผ่นวางเรียงกันยกสูงจากพื้นราว ๆ ช่วงขาได้ บัดนี้เปียกและลื่นจากสายฝนที่ตกหนักทั้งคืน บางช่วงของไม้ผุเป็นร่องและกร่อนเป็นรู เฟยประคองนุชนภาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีออกมาจากห้องเช่า และโบกเรียกแท็กซี่ให้มาส่งที่ตลาดน้ำแถวบางกรวยนุชนภาเห็นจี้อำพันแท้งดงามสุกใสที่คล้องคอเฟยก็อยากนำมาคล้องบ้าง ชายหนุ่มจึงถอดและนำมาคล้องคอให้หญิงสาว นุชนภายิ้มขอบคุณ และไม่ลืมเตือนเฟยให้หาซื้อของฝากไปให้แม่ของเขา เฟยรีบนำเงินจำนวนหนึ่งส่งให้นุชนภาเพื่อใช้ซื้อข้าวของ“เฟยช่วยนุชเลือกผลไม้ที่จะเอาไปฝากแม่เฟยหน่อยสิคะ นุชไม่ทราบว่าท่านชอบผลไม้อะไรบ้าง นะคะ...หือ? มีอะไรคะเฟย เหมือนระแวง มองโน่นมองนี่ตลอด ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้วนะคะ”“เปล่าจ้ะนุช ไม่มีอะไรหรอก นุชอยากซื้อผลไม้ใช่ไหม ได้สิ เดี๋ยวผมพานุชไปเลือกซื้อเอง...นุช ขอบคุณมากนะที่นึกถึงแม่ของผม” เขาพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นเฟยก็ประคองหญิงสาวเดินไปริมคลอง บนเรือพายของแม่ค้ามีผลไม้มากมายให้ซื้อหา ขณะที่นุชนภากำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่นั
ไม่มีใครสังเกตเห็นตะกร้าหวายที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ ประตูทางเข้าโบสถ์ กิมลั้งซึ่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่หน้าโบสถ์ ได้ยินเสียงสุนัขที่นอนหมอบใต้โต๊ะเห่าเรียก นางจึงหันไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นเด็กทารกอยู่ในตะกร้า เป็นเด็กผู้ชายผิวขาวราวหยวกกล้วยนอนขดตัวในผ้าที่อุ่นหนา ไม่ร้องงอแงทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนักฟ้าร้องตลอดเวลา กิมลั้งจึงแจ้งหลวงตามหามนตรี เจ้าอาวาสวัดให้รับทราบ และเจ้าอาวาสได้ฝากให้กิมลั้งช่วยดูแลไปก่อนในคืนนี้ นางยินดีและดีใจที่ได้นำเด็กทารกชายไปดูแล แม้เพียงช่วงหนึ่งนางก็แทบอยากจะขอรับเลี้ยงไว้เป็นลูกเป็นหลานเสียเอง นางพิศดูลักษณะของเด็กน้อยไปมา“เด็กเกิดในปีนี้ เป็นปีมะโรงค่ะหลวงตา ดูสิ...ผิวขาว หน้าผากกว้าง หางตาเชิดขึ้น มีสันจมูก หลังเท้าอวบอิ่ม นิ้วเท้าเรียงชิดกัน โตขึ้นคงมีวาสนาค่ะ” กิมลั้งบอก“เป็นเด็กลักษณะดีนะเนี่ยเรา ต่อไปในภายภาคหน้าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะได้ดิบได้ดี อาจเป็นเจ้าคนนายคนคนหนึ่งเลยทีเดียว สันจมูกโด่งตั้งแต่ยังเล็ก คงเอาดีทางด้านบู๊และบุ๋น บ๊ะ! เจ้านี่ทั้งเรียนทั้งต่อยเลยนะ”หลวงตามหามนตรีอุ้มทารกน้อยกล่อมไปมา พลางดูลักษณะโหงวเฮ้งครบลักษณะทั้งหมด หลวงตาจึงบอกกิมลั้งว่าคว
หลังจากที่นุชนภาได้พบกับผู้กองสัจจา วันต่อมาเธอก็มาหาผู้กองหนุ่มที่สถานีตำรวจตามนัดหมาย เพื่อพูดคุยเรื่องงานของเธอและอนาคตของลูก หลังจากเมื่อคืนนี้หญิงสาวกลับมาคิดทบทวนว่าระหว่างงานเสมียนบนสถานีตำรวจกับงานโรงงาน เธอควรเลือกอย่างไหนดี ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในโรงงานทอผ้าของชาวจีนไต้หวันตามคำแนะนำของเจ้าของห้องเช่า เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานออกแบบผ้ามาก่อน โรงงานแห่งนี้ผลิตผ้าส่งออกเพื่อนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย โดยตัวโรงงานตั้งอยู่ในย่านบางพลี เธอจึงมาบอกให้ผู้กองสัจจาทราบ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง นุชนภาเข้าไปทำงานในส่วนของฝ่ายควบคุมเอกสารแผนกดีไซน์แบบเสื้อ จึงไม่ต้องทำงานเข้ากะเหมือนฝ่ายผลิตนุชนภาพาลูกมาเช่าห้องแถวอยู่ใกล้โรงงาน ก่อนเริ่มทำงาน เธอได้จ้างผู้หญิงวัยกลางคนที่เช่าห้องใกล้กับเธอให้ดูแลลูกในตอนกลางวันช่วงที่เธอไปทำงาน เมื่อถึงช่วงพักเที่ยง หญิงสาวก็ขออนุญาตหัวหน้าออกมาให้นมลูก เธอโชคดีที่คนรับจ้างเลี้ยงลูกให้มีตู้เย็นในห้อง ตอนเช้านุชนภาจะบีบนมใส่ขวดและนำไปแช่ช่องฟรีซไว้ พร้อมทั้งกำชับให้พี่เลี้ยงนำขวดนมไปนึ่งก่อนป้อนให้ลูกกินผู้กองสัจจากับพลายเพลิงได
ท้องฟ้ายังขมุกขมัวไร้ซึ่งเงาแสงตะวันสายฝนยังคงพร่างพรมลงมาตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง ทางเดินแคบ ๆ ทำจากแผ่นไม้กระดานสามแผ่นวางเรียงกันยกสูงจากพื้นราว ๆ ช่วงขาได้ บัดนี้เปียกและลื่นจากสายฝนที่ตกหนักทั้งคืน บางช่วงของไม้ผุเป็นร่องและกร่อนเป็นรู เฟยประคองนุชนภาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีออกมาจากห้องเช่า และโบกเรียกแท็กซี่ให้มาส่งที่ตลาดน้ำแถวบางกรวยนุชนภาเห็นจี้อำพันแท้งดงามสุกใสที่คล้องคอเฟยก็อยากนำมาคล้องบ้าง ชายหนุ่มจึงถอดและนำมาคล้องคอให้หญิงสาว นุชนภายิ้มขอบคุณ และไม่ลืมเตือนเฟยให้หาซื้อของฝากไปให้แม่ของเขา เฟยรีบนำเงินจำนวนหนึ่งส่งให้นุชนภาเพื่อใช้ซื้อข้าวของ“เฟยช่วยนุชเลือกผลไม้ที่จะเอาไปฝากแม่เฟยหน่อยสิคะ นุชไม่ทราบว่าท่านชอบผลไม้อะไรบ้าง นะคะ...หือ? มีอะไรคะเฟย เหมือนระแวง มองโน่นมองนี่ตลอด ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้วนะคะ”“เปล่าจ้ะนุช ไม่มีอะไรหรอก นุชอยากซื้อผลไม้ใช่ไหม ได้สิ เดี๋ยวผมพานุชไปเลือกซื้อเอง...นุช ขอบคุณมากนะที่นึกถึงแม่ของผม” เขาพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นเฟยก็ประคองหญิงสาวเดินไปริมคลอง บนเรือพายของแม่ค้ามีผลไม้มากมายให้ซื้อหา ขณะที่นุชนภากำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่นั
ชะตาชีวิตของคนบางครั้งกลับเลวร้ายขณะพยายามลดละจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ แม้จะเป็นมือขวาของเถ้าแก่โจว แต่การปกครองคนของเฟยนั้นแม้จะเด็ดขาดแต่ก็มีน้ำใจ ไม่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ลูกน้องและพนักงานระดับต่าง ๆ ในสถานเริงรมย์ของเถ้าแก่โจวเคารพยำเกรงในความเป็นนักเลงคุณธรรมของเฟย คุณลักษณะเช่นนี้ทำให้เฮียกู๋ ผู้เป็นมือซ้ายของเถ้าแก่โจวเกิดความริษยาในตัวเฟย จึงคิดวางแผนใส่ร้ายเฟยว่าเป็นคนทรยศหักหลังเถ้าแก่ โดยวางยานอนหลับในอาหารในงานกินเลี้ยงของแก๊ง เพื่อให้เฟยและลูกน้องคนสนิทกับเถ้าแก่หลับด้วยฤทธิ์ยา“ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างข้าโว้ย ไอ้เฟย! เมื่อเอ็งตื่นมาความผิดทุกอย่างก็จะเป็นของเอ็ง เอ็งรู้ใช่ไหม ความผิดที่ทรยศต่อแก๊งมันเป็นอย่างไร” เฮียกู๋หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เพราะเบื้องหน้าเฟยกับลูกน้องนอนสลบไสลไม่ได้สติ “พวกเอ็งลากไอ้เฟยและลูกน้องมันกับเถ้าแก่ไปแยกขังไว้ก่อน ก่อนที่ไอ้เฟยมันจะตื่นขึ้นมาจัดการกับพวกเอ็ง เร็ว!”“ครับเฮีย”“เดี๋ยว! พวกเอ็งอย่าลืมเอาผงขาวมาซ่อนไว้ในห้องพักของไอ้เฟยและลูกน้องมันทุกคนด้วยนะ แล้วใช้เลือดจากศพมาทาบนเสื้อของพวกมันทุกคนด้วย เข้าใจไหม”“เข้าใจแล้วครับเฮีย”ห
สองมืออันหยาบกร้านกราบลงบนตักของกิมลั้ง ผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล กิมลั้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำลวดลายมังกรสีเหลือง นางอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงสด ใบหน้ายิ้มแย้ม กิมลั้งก้มลงลูบศีรษะของเฟยผู้เป็นลูกชายด้วยความนุ่มนวล ชายหนุ่มสวมเสื้อและกางเกงสีแดงสด เงยหน้าขึ้นมองแม่ของตนได้ชั่วครู่ เสียงประทัดก็ดังสนั่นลั่นประสานกันอยู่ด้านนอก เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ธนบัตรรัดด้วยยางวงอย่างดีจำนวนสองหมื่นกว่าบาทถูกวางลงอย่างบรรจงบนตักของนางกิมลั้ง ก่อนที่เฟยจะโผเข้าโอบกอดผู้เป็นแม่อย่างแนบแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้“ตรุษจีนปีนี้ ผมขอให้หม่าม้ามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กิจการร้านค้ารุ่งเรือง ๆ นะครับ”เฟยอวยพรแม่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ยังคุมความทุ้มต่ำหนักแน่นของเสียงไว้ได้กิมลั้งมองเข้าไปในตาของเฟย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสุกใสเหมือนอำพันแท้ที่ห้อยคอเฟยอยู่ ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยสัมผัสได้จากอาฟาง ผู้เป็นพ่อของเฟย“เฟย ม้าพอมีเงินอยู่ ลื้อเก็บไว้ใช้เถอะ...ไม่ได้กลับบ้านเกือบสี่เดือน ลื้อผอมไปหรือเปล่า ทำงานลำบากมากไหม” กิมลั้งพูด ในขณะที่ลูบศีรษะลูกชายด้วยความรักและเอ็นดู“หม่าม้า ผมขอโทษท
“อั๊วะบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าต้องน็อกไอ้เจ้าพระยาให้ได้ ชกยังไงได้แค่เสมอวะ ลื้อรู้ไหมว่าอั๊วะหมดเงินหมดทองกับลื้อตั้งเท่าไหร่ สูญไปเท่าไหร่ เป็นล้าน!” เสียงเกรี้ยวกราดของกำนันเอิบดังลั่น“ผมขอโทษครับเฮีย เจ้าพระยาเขาเป็นมวยเท้า เขาป้องกันรัดกุมดีเหลือเกินครับ” ผู้ถูกตบหน้ายกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหดหู่ หากแต่ความหดหู่นั้นไม่ได้เกิดจากความพ่ายแพ้ แต่การไม่ได้รับชัยชนะนั่นหมายความว่าบ้านและสวนยางของเขาจะต้องสูญสิ้นเช่นกัน ด้วยติดจำนองไว้สองแสนกว่าบาท นักมวยอย่างเขามีหรือจะพึ่งพาใครได้ยามขัดสน“เฮ้ย! ลื้อเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปเลยนะไอ้เพลิง ขืนลื้ออยู่ต่อ ลื้อจะทำให้อั๊วะเจ๊ง ไป๊!” เจ้าของค่ายมวยวัยกลางคนไล่เสียงดังลั่นเฟยยังคงยืนชิดผนังอยู่ด้านนอก ขณะที่พลายเพลิงกำลังก้มลงกราบผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นหันหลังและเดินคอตกออกจากห้องไป“ขาดเหลือเท่าไหร่ เพลิง?” เสียงอันนุ่มนวลแฝงความเป็นมิตรดังมาจากกรอบประตูด้านนอก บนไหล่ของเพลิงมีมือซ้ายชุ่มเหงื่อแตะเบา ๆ“เจ้าพระยา!”“เรียกฉันว่าเฟยก็ได้ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยเพลิง นายมีพรสวรรค์และยังชกเก่งอยู่ อย่าลืมสิ...เป้าหมายนายคือแชมป์ลุม
กิมลั้งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน นับถือศาสนาพุทธ ทำอาชีพค้าขาย นางมีร้านค้าของชำในตลาดสด รวมถึงทำร้านขายสมุนไพรจีนโบราณ ต่อมาการค้าของนางประสบปัญหา ส่งผลให้ ‘เฟย’ ลูกชายคนเดียวต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพื่อมาช่วยแม่ค้าขาย กิมลั้งเสียใจที่ไม่สามารถหาเงินค่าเทอมให้เฟยได้ทัน เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายปี ผลพวงจากการเมืองพลิกผันในปี พ.ศ. 2535 ที่เกิดเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ขึ้น การค้าขายแทบไม่ได้กำไร การร้องไห้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่กิมลั้งใช้ระบายความทุกข์ใจ ยิ่งดูรูปอาฟางผู้เป็นสามีของนาง กิมลั้งก็ยิ่งรวดร้าวในใจเรื่อยมา ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนในปีที่เฟยหยุดเรียน กิมลั้งตัดสินใจปิดร้านสองอาทิตย์ เพื่อพาเฟยไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าในหุบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีณ สถานปฏิบัติธรรม เฟยตั้งใจปฏิบัติธรรมและช่วยเหลือกิจของพระ เขาช่วยงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ เพื่อเป็นกุศลผลบุญให้แก่มารดาและตัวเขาเอง วันต่อมา เฟยพบว่าแนวป่าดงดิบด้านหลังสถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีน้ำตกและลำธารน้ำหลากนั้น มีชายฉกรรจ์กำลังฝึกท่วงท่าแม่ไม้มวยไทยแบบโบราณดั้งเดิม โดยมีหลวงปู่ธุดงค์ท่านหนึ่
บทนำ ฝูงวิหคราตรีแผดเสียงร้องก้องป่า ก่อนกระพือปีกบินหายลับไป ผืนน้ำเวิ้งว้างเบื้องล่างดูราบเรียบสงบ ทว่าหมอกกลับหนาขึ้น ไอน้ำค้างเคลื่อนผ่านผิวหน้าของชายหนุ่มเป็นระยะ แต่กายของเขายังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว ห่างไม่ถึงช่วงตัวของชายหนุ่ม หญิงสาวนอนซมด้วยพิษไข้ ริมฝีปากซีดเผือดตัวสั่นเทา เขานำกิ่งไม้มาสานเข้าด้วยกันเป็นซุ้มขนาดเล็ก พอช่วยบังไม่ให้เธอสัมผัสกับน้ำค้างโดยตรง ชายหนุ่มใช้เสื้อของตนซับน้ำจากลำธารเล็กข้างแม่น้ำมาเช็ดตัวให้หญิงสาวหลายครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งเสียงเพ้อด้วยพิษไข้แผ่วจางลง ไออุ่นจากมือของเขาส่งผ่านมือที่มีรอยฟกช้ำ หญิงสาวค่อย ๆ คลายออกและยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าที่มีเลือดเกรอะกรัง ชายหนุ่มค่อย ๆ ประคองแขนซ้ายของหญิงสาวลงแนบลำตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยแววตาอันหม่นเศร้า “คุณเหม่ยลี่นอนพักเอาแรงอีกนิดนะครับ ผมจะพาคุณกลับบ้านให้ได้ ผมสัญญา” “ทิวา...” เสียงเรียกบางเบา กระนั้นยังตามด้วยรอยยิ้ม ฟ้าใกล้สาง ทิวาใช้กิ่งไม้จำนวนหนึ่งมัดรวมกันให้หนา และใช้เถาวัลย์เส้นใหญ่รัดแน่นกับท่อนแขนซ้าย เขาเหลือบมองพุ่มไม้ข้างล