หลายวันผ่านไปในที่สุดไป๋หมิงเยว่ก็เริ่มคิดได้
นางเปิดประตูห้องออกด้วยใบหน้าซีดเซียว เรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงยิ่งกว่าเดิม
หลี่เฟยเทียนยังคงมาหานาง คลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ เหมือนไม่เคยทำเรื่องบัดสีอันใดมาก่อน
“เยว่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็หายป่วยแล้ว ข้ามาหาเจ้าหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบเลย กระนั้นข้าก็มาหาเจ้าทุกวัน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บไข้หรือไม่?”
ชายหนุ่มตรงเข้ามาจับมือเรียวเล็กอย่างห่วงใย แววตาสั่นไหว ประหนึ่งหากมิได้เจอกันอาจขาดใจตายได้
จิ่นซินที่ติดตามคุณหนูของตนทุกยามเวลา ได้เห็นความจริงทุกสิ่งมาโดยตลอดก็ลอบถอนหายใจเบื่อหน่าย
นางเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยจึงไม่สะดวกอะไรเท่าใด จึงได้แต่ทำตากะหลับกะเหลือกสีหน้าพิกลแล้วหลบเลี่ยงไป
ไป๋หมิงเยว่มองหน้าชายคนรักด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ
แม้เป็นคนอ่อนแอเป็นแค่คุณหนูในห้องหอที่แสนจะบอบบาง แต่นางไม่คิดจะกักเก็บความปวดร้าวให้กลัดหนอง นางไร้ซึ่งความคิดประคองความรักจอมปลอมอย่างคนโง่งม คำถามแทงใจจึงเกิดขึ้นต่อหน้าบุรุษ
“ท่านมาหาข้าหรือมาหาใครกันแน่ เฟยเทียน”
เพียงวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา บุรุษพลันเบิกตากว้าง
“เยว่เอ๋อร์....เจ้า...” เขาอึกอัก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ไป๋หมิงเยว่อยากหัวเราะทั้งน้ำตา “เรือนนี้มิใช่เรือนของน้องรอง เกรงว่าท่านคงเดินมาผิดทางแล้วกระมัง”
ม่านตาดำของหลี่เฟยเทียนหดแคบ “เจ้ารู้แล้ว?”
หญิงสาวพยักหน้า น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางสะอึกสะอื้นเสียงเครือ หายใจแทบไม่ออก
“หลี่เฟยเทียน ในเมื่อท่านมิได้รักข้าแล้วจงไปเสีย ท่านจะไปรักกับน้องสาวของข้าที่ใดก็ไป พวกเราสองคน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นอ้อมแขนอบอุ่น หลี่เฟยเทียนสวมกอดไป๋หมิงเยว่แนบแน่นรีบยื้อสุดใจ
“เยว่เอ๋อร์ หญิงที่ข้ารักอย่างแท้จริงย่อมเป็นเจ้า ทว่าฐานะของเจ้าในจวนไป๋ไม่เหมือนเดิมแล้ว การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหลี่ไป๋ยังคงต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ตัวข้าไม่อาจเลือกภรรยาเอกตามแต่ใจได้ เยว่เอ๋อร์ ข้ารักเพียงเจ้า ข้าไม่มีทางไม่แต่งกับเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
รักข้า แต่ไม่อาจมอบฐานะภรรยาเอกให้ข้าได้
ไป๋หมิงเยว่หลับตาลงอย่างปวดใจ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พลันเห็นไป๋ลี่ถิงยืนชะงักนิ่งอยู่เบื้องหน้า ในระยะสายตาตรงพุ่มไม้
ชั่วจังหวะที่เห็นน้องสาวแอบมอง มิรู้ว่าอะไรดลใจ นางจึงเอ่ยกับเจ้าของอ้อมแขน “หากท่านรักข้าคนเดียว พิสูจน์ได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มก้มหน้าซุกซอกคอขาว รัดแขนกับร่างนุ่ม “ข้ารักเพียงเจ้า จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ยอมทั้งนั้น”
ไป๋หมิงเยว่พลิกกายในอ้อมกอด เงยหน้าออดอ้อน “จูบข้าได้หรือไม่?”
เมื่อคำนี้หลุดออกมา ใบหน้านวลพลันแดงซ่าน นับแต่เด็กจนโตเต็มวัย นอกจากมองตาจับมือ นี่คือครั้งแรกที่แนบชิด ไป๋หมิงเยว่กลั้นใจรอคำตอบด้วยหัวใจเต้นแรงแทบทะลุอก
หลี่เฟยเทียนที่ก้มหน้าอยู่แล้วจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ลอบถอนหายใจโล่งอก พิสูจน์โดยการจูบเป็นเรื่องง่ายดาย ก่อนจรดริมฝีปากอุ่นชื้นกับกลีบปากนุ่มแดง
ค่อยๆ ละเลียดชิมคนงามอย่างรักใคร่ท่วมท้น
จังหวะนั้นเสียงตวาดพลันดัง “พี่เฟยเทียน!”
เจ้าของนามรีบผละออกจากสตรีตรงหน้า เขาเบิกตามองตามเสียงจึงเห็น ...ไป๋ลี่ถิง!
ไป๋หมิงเยว่กระตุกยิ้มสมใจ
“พี่เฟยเทียน!”เจ้าของนามรีบผละออกจากสตรีตรงหน้า เขาเบิกตามองตามเสียงจึงเห็น...ไป๋ลี่ถิง!ไป๋หมิงเยว่ลอบกระตุกยิ้มสาสมใจทันทีที่หลี่เฟยเทียนเห็นไป๋ลี่ถิง เขาก็ชะงักงันตัวเกร็ง อ้อมแขนอบอุ่นที่โอบกอดไป๋หมิงเยว่อย่างอ่อนโยนพลันแข็งค้างไปถนัดตา ไม่ช้ายังรีบผละจากอย่างตกใจแน่นอนว่าไป๋หมิงเยว่สัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเขา เรื่องนี้ยิ่งกว่ามีมีดนับหมื่นเล่มทิ่มแทงนางจนเลือดโชก หญิงสาวเจ็บร้าวเกินทานทนจนกระทั่งต้องปัดแขนเขาออก แล้วหันหลังวิ่งหนีอย่างคนไร้ทางสู้ไป๋หมิงเยว่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องร้องไห้อยู่คนเดียวก่อนจะเป็นลมสลบไปจิ่นซินเห็นเช่นนั้นก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วแม้คุณหนูจะไม่ให้นำเรื่องราวในจวนไปปรึกษาใคร แต่การเงียบหาใช่ทางออกที่ดีไม่มีความจริงอยู่หนึ่งประการ แม้จวนไป๋จะเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด ทว่ากลับมีพระสนมคนหนึ่งสนิทสนมกับมารดาของไป๋หมิงเยว่มาก เนื่องจากเคยมีบุญคุณต่อกันจิ่นซินจึงทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าพบพระสนมผู้นั้นทั้งลำบากและใช้เวลาเนิ่นนาน แต่สาวใช้ตัวน้อยกลับไม่ย่อท้อ ในที่สุดวันที่เฝ้ารอก็มาถึง จิ่นซินได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าถึงตำหนักพระสนมเว่ยโดยขันทีผู้หนึ่งเรื่องร
ไม่นานหลังจากนั้นการไว้ทุกข์ให้มารดาครบสามปีจบลงพร้อมกับเทียบเชิญเข้าร่วมฉลองชนะศึกและการประกาศราชโองการสมรสพระราชทานอันเป็นรางวัลแก่ผู้ทำความดีความชอบพลันเกิดขึ้นไป๋หมิงเยว่ยังไม่อาจตัดใจรักหลี่เฟยเทียนได้ด้วยซ้ำกลับต้องออกมายืนรับพระราชโองการกลางลานงานเลี้ยงหน้าที่ประทับอย่างกะทันหันชนิดไม่ทันตั้งตัวมิได้เตรียมใจข้างกายคือบุรุษผู้ได้รับสมรสพระราชทานกับนางแม่ทัพหนุ่มผู้แข็งกระด้างเย็นชา หยางเจี้ยน...อันที่จริง สมญานามเรื่องเย่อหยิ่งจองหองมองคนด้วยหางตาพิฆาต ยังมีท่าทีเย็นชาท่วงท่ากิริยาสุดแสนจะแข็งกระด้างกอปรกับใบหน้าไร้อารมณ์และนิสัยเข้าถึงยากของหยางเจี้ยน มิได้ทำให้ไป๋หมิงเยว่นึกกังวลเท่ากับการที่เขาคือบุรุษที่สหายของนางแอบพึงใจหมายปองเหยาฟู่หรง สหายเพียงหนึ่งเดียวของไป๋หมิงเยว่คุณหนูเหยามักจะร่วมดื่มชาเดินหมากกับไป๋หมิงเยว่เพื่อคลายเหงาและร่ายเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตตนเองให้ไป๋หมิงเยว่ฟังว่า‘ข้าจะบอกกับท่านแม่ให้ไปเลียบเคียงท่านผู้เฒ่าจวนหยางเรื่องหมั้นหมาย เขาสูงส่งปานนั้น ได้เป็นเพียงอนุของเขาก็ยังดี หวังว่าท่านแม่ทัพหยางผู้นั้นจะไม่รังเกียจข้า’คำพูดจาคล้ายฝันเฟื่องเช่นน
หอสูงตระหง่านอักษรสีทองประดับประดาโคมแดง ค่ำคืนยาวนาน บุรุษหาความสำราญ ยากข่มตาหลับได้ลงหยางเจี้ยนยังคงคิดคำนึงถึงใครบางคนที่ตายภายใต้คมกระบี่สุริยันของเขาแววตาเจิดจรัสแก่กล้าของนางทำให้เขาคล้ายรับรู้ได้ถึงคำขอบคุณกับการปลดปล่อย ซึ่งครุ่นคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ“เหตุใดทำหน้าอมทุกข์เช่นนั้นเล่า เจ้ากำลังจะมีงานมงคลมิใช่หรือไร? ไยไม่รู้สึกดีที่จะมีสตรีให้นอนกอด”องค์รัชทายาทแคว้นเยี่ยนที่คืนนี้ปลอมตัวมาร่ำสุราที่หอบุปผากับสหายอย่างแม่ทัพหยางยังคงหยอกเย้าอารมณ์ดี มิได้รับรู้ถึงความทุกข์ใจของอีกฝ่ายแต่อย่างใด“มาเถิด ยกจอก ไม่เมาไม่เลิกรา”หยางเจี้ยนจึงสลัดความคิดคำนึง ยกจอกเหล้าขึ้นเบื้องหน้าของตน แล้วดื่มรวดเดียวหมดจอก“อ่า...ต้องอย่างนี้ สหายข้า”รัชทายาทหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเช่นกัน ข้างกายสูงค่าของเขานั้นห้อมล้อมไปด้วยสตรีงดงามทั้งด้านซ้ายและด้านขวาหยางเจี้ยนยกมือปาดน้ำเมาออกจากริมฝีปากได้รูปอย่างเย็นชา ทว่าท่วงท่ากลับงามสง่าอย่างมาก แรงที่นิ้วแกร่งขยี้กลีบปากจนช้ำทำให้สีแดงสดนั้นคล้ายดอกกุหลบก็มิปาน ใบหน้าคมคายยังฉายเสน่ห์ลึกล้ำ ทำเอามวลผกาประจำหอบุปผาที่ได้ร
โม่หมิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ พร้อมความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย ทุกเรื่องราวไม่ว่าของชาตินี้หรือชาติไหน นางจดจำได้แม่นยำร่างระหงนอนทอดกายอ่อนล้าบนเตียงใหญ่ในห้องรโหฐานอย่างเดียวดายไป๋หมิงเยว่ คือนามเดิม แต่แซ่สกุลใหม่สวรรค์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออดีตหัวหน้าโจรถ่อยโม่หมิงเยว่ยามนี้ กำลังอยู่ในร่างของคุณหนูผู้อ่อนแอแห่งจวนไป๋มิใช่ว่ามีผู้ใดบังอาจเล่นเล่ห์ร่ายมนต์คาถาคมขลังกับดวงวิญญาณของนางหรอกกระมัง?บ้าไปแล้ว ใครจะทำเรื่องเยี่ยงนั้น!ครั้นนึกขึ้นมาก็คล้ายได้ยินเสียงหนึ่งจากดินแดนแสนไกล‘จิตวิญญาณเจ้าผสานหยดเลือดข้า ขอชาติหน้าได้ผูกวาสนา มิต้องเข่นฆ่าเฉกเช่นชาตินี้’สองตาของหมิงเยว่เหลือกไปเหลือกมาเลิ่กลั่กแน่นอนว่าหญิงสาวยามนี้มืดมิดทั้งแปดด้าน นางไม่รู้เรื่องวิชานอกรีตนั้น และยิ่งไม่รู้ว่าใครกัน นางได้ยินแค่เสียงอันแผ่วเบาจากดินแดนแสนไกลที่ติดวิญญาณของนางมาเจ้าผู้นั้นเป็นใครกัน? หลงรักข้าถึงเพียงนี้ ชั่วช้ายิ่ง!ขณะกำลังตัดพ้อด่าทอ ความทรงจำค่อยๆ ไหลเวียนเข้ามาในห้วงภวังค์หมิงเยว่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้สามวันหลังจากเจ้าของร่างเดิมตรอมตรมใจสลายจนสำลักโลหิตออกมาเป็นลิ่มๆ แล้ว
หมิงเยว่คิดในใจอย่างอดสู ไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องเข้าสิงร่างบุปผากลีบบางที่ต้องภรรยาของเขาจังหวะนั้นประตูห้องหอพลันถูกเปิดออกแล้วปิดลงอย่างไม่ใส่ใจเรือนร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปรากฏกายตรงเข้ามาหญิงสาวมองเห็นบุรุษสง่างามน่าเกรงขามผู้ซึ่งอยู่ในห้วงคำนึงแค่รำไรผ่านผ้าคลุมสีแดงที่ปิดใบหน้าแม้จะเห็นแค่เพียงรำไร ทว่ากลิ่นอายอำมหิตสังหารกลับเข้มข้นขุ่นคลั่กผสมผสานกลิ่นสุราคละคลุ้งทั่วทั้งตัวหยางเจี้ยนเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ริมโต๊ะข้างเตียง คันชั่งหรือสุรามงคลล้วนไม่ถูกแตะต้อง ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเจ้าสาวของตน ใบหน้าหล่อเหลายิ่งนานยิ่งเยือกเย็นดั่งมีน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลายเกาะกุมอย่างแน่นหนาหมิงเยว่จึงเปิดผ้าคลุมหน้าด้วยตัวเองเสียงดังพรึบ นางไม่จำเป็นต้องง้อบุรุษผู้นี้แต่อย่างใด ใส่ใจแค่ความเป็นอยู่ของร่างใหม่ก็พอกระมังหญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเขา หยิบอาหารมงคลกินอย่างไม่เกรงใจ ช่วยไม่ได้ที่นางหิ้วท้องจนปวดมาทั้งวัน จะอดทนหิวโหยต่อไปเพื่ออันใด?ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบเห็นหยางเจี้ยนมองมา โดยไม่พูดจา สีหน้าและสายตาเย็นชาที่สุดเขายกสุราขึ้นดื่มอึกๆดื่มเอาๆ ราวกับต้อ
ยามเช้ามาเยือน แสงตะวันสาดส่องแรงกล้าหมิงเยว่สะลึมสะลือขยับร่างกายไปมา ฉับพลันนั้นกลับรู้สึกเมื่อยขบและปวดร้าวที่กลางลำตัวหือ...หญิงสาวมุ่นคิ้ว ขยับขาอีกที ความรู้สึกปวดหนึบตรงส่วนสงวนยิ่งเด่นชัด นางเบิกตาโพลง ลุกขึ้นนั่งทันใด“โอ๊ย!”ช่วงล่างยิ่งเจ็บแปลบจนหลุดอุทานเสียงแหบ ยังรู้สึกได้ถึงของเหลวกรุ่นคาว ไหลหยาดจากต้นขาหมิงเยว่เปิดผ้าห่มออก เห็นร่างตนเองที่เปล่าเปลือยมีรอยจุมพิตเต็มไปหมดและหยดเลือดพรหมจรรย์แดงชาดบาดตาเปรอะเปื้อนผสานกับน้ำคาวสีขาวขุ่น“หา?”พอเหลือกตามองไปเบื้องหน้า ยังเห็นบุรุษร่างใหญ่นอนเปลือยเปล่าเคียงข้าง“หยางเจี้ยน!”เสียงพลั่กเกิดขึ้น ตามด้วยเสียงของหนักตกกระทบพื้นดังตุ้บร่างใหญ่ถูกเท้าเล็กถีบกระเด็นจนตกเตียง“อ่า...”หยางเจี้ยนถึงกับสร่างเมาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเขาลุกขึ้นนั่ง หันมองขวับเห็นฝ่าเท้าเปลือยเล็กน่ารักเต็มสองตาบนเตียงนอน“เจ้า...เจ้ากล้าถีบข้า”หยางเจี้ยนมองสตรีบนเตียงด้วยดวงตาพร้อมพ่นไฟหมิงเยว่ที่เพียรรักษาพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ยิ่งชีพเพื่อฝึกฝนเพลงดาบในชาติที่แล้วให้รู้สึกถึงการสูญเสียและสิ้นหวังครั้งใหญ่อย่างแท้จริงในชาตินี้“ท่าน...ท่านขืนใ
ตั้งแต่เช้าจนหมดวัน หยางเจี้ยนก็คล้ายอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย เขาหายตัวไปเลยอย่างไม่หวนกลับมาพิธียกน้ำชายังปล่อยภรรยาให้รับหน้าเพียงผู้เดียว การกระทำของหยางเจี้ยนส่งผลให้นายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหว ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยินใหญ่ และญาติผู้ใหญ่ รวมถึงพี่น้องสายรองล้วนมองไป๋หมิงเยว่ด้วยสายตาดูแคลนแม้เป็นสมรสพระราชทาน แต่ใครต่อใครต่างก็ดูออกถึงพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ การจำกัดอำนาจบารมีของตระกูลหยางเอาไว้ด้วยสตรีผู้นี้เป็นเรื่องที่จำต้องทำใจจริงๆ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีวันยอมรับสะใภ้ต่ำศักดิ์แน่นอนพิธียกน้ำชาเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเย็นชา แล้วก็ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายเงียบสงบดุจกำลังไหว้สุสานหมิงเยว่รู้สึกประหนึ่งว่ากำลังคำนับหลุมศพพวกพ้องที่ตายไปหลายชีวิตในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลของตนก็มิปานเฮ้อ! เกิดเป็นคุณหนูไป๋ผู้นี้คงต้องทำใจอย่างสุดซึ้ง ยังมีอันใดย่ำแย่กว่านี้อีกไหมเล่า?หมิงเยว่เดินกลับเรือนของตนอย่างหงุดหงิด โดยมีสาวใช้คนสนิทนามจิ่นซินเดินปาดน้ำตาด้วยความโมโหอยู่ด้านหลัง หญิงสาวหันหน้ามอง “เจ้าเป็นอะไร?”จิ่นซินสะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจพลางกล่าว“บ่าวไม่คิดเลยว
นางที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ไหนเลยจะทำสิ่งใดได้มากกว่าการร่ำไห้พร้อมเจ้านายแต่คุณหนูของนางยามนี้ นอกจากไม่แสดงด้านอ่อนแอตรอมตรมเหมือนก่อน ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แม้ดูวางเฉยต่อความเลวร้ายที่ถาโถม แต่กลับพร้อมพุ่งชนยิ่งจิ่นซินย่อมไม่รู้ว่าหมิงเยว่คือคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่ รอยยิ้มของนางล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะเหตุใดบุพเพวาสนาแห่งรักรอวันได้ประจักษ์ถึงจะแจ้งแก่ใจแต่สิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่ปรากฏชัดในห้วงความคิดก็คือการกลับมามีชีวิตใหม่ในครั้งนี้คงเป็นเพราะสวรรค์ให้นางได้แก้ตัวใหม่ชาติที่แล้วเพราะนางก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากโข พาพี่น้องล้มตายอย่างไร้ค่าก็หลายร้อยคน เช่นนั้นชาตินี้ นางที่สิงร่างคุณหนูใหญ่ไป๋ผู้อ่อนแอบอบบาง ไร้ใครใส่ใจ ปราศจากที่พึ่งพา คงเป็นเพราะว่าสวรรค์ต้องการให้นางได้เริ่มต้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดนั่นล่ะเห็นได้ชัดจากการให้นางกลายมาเป็นฮูหยินของบุรุษซึ่งยึดมั่นในคุณธรรมอย่างหยางเจี้ยนปะไรอธรรมต่ำช้าจึงจำต้องอยู่เคียงข้างธรรมะอันสูงส่งเฮ้อ!หมิงเยว่ถอนหายใจนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม ถามคำซ้ำๆ ว่าไม่จริงใช่ไหม? รอบท
“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?” “กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อยนอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่งหมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วยทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยาหมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกินจิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนักลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังหมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยางกระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก
ประตูห้องพระค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าแสงไฟสว่างจ้าจากคบเพลิงเบียดบังแสงตะเกียง ส่งผลให้ความสว่างไสวส่องเข้ามาในห้องพระจนคล้ายทิวา เสียงดีใจของจิ่นซินดังเล็ดลอดเข้ามาทำลายความเงียบสงบภายในห้องจนสิ้น“ฮูหยินน้อย...”หมิงเยว่กำลังวาดแขนกางขาออกกระบวนท่าอหังการอยู่จำต้องรีบเก็บกลับ แกะผ้ารัดแขนออกอย่างเร็ว ปลดชายกระโปรงออกจากสายรัดเอว ปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวกรุยกรายพลิ้วไหว จังหวะนั้นได้ยินเสียงสูดจมูกของจิ่นซิน คาดว่าคงกำลังปาดน้ำตาด้วยคราหนึ่ง“ท่านแม่ทัพให้บ่าวมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”ประโยคหลังของสาวใช้กล่าวขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดกรีดอากาศดุจเสียงเรียกของปีศาจที่มาพรากหมิงเยว่กลับไปยังอาณาเขตแห่งความเป็นจริงหญิงสาวตอบกลับเสียงเนือย “ข้าไม่อาจกลับไปได้ โทษทัณฑ์นี้ช่างสาหัสนัก”ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จนหมิงเยว่ต้องขมวดคิ้ว“จิ่นซิน...” หญิงสาวหันหน้าไปมองหาสาวใช้ผู้ซึ่งพูดมากแต่กลับเงียบเชียบด้วยความฉงน“เหตุใดไม่พร่ำบ่นเหมือนเคยเล่า?”ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมิใช่เสียงของแน่งน้อย หากแต่เป็นเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแฝงความเคร่งเครียดขั้นสุด“ไม่อาจกลับ
เจ้าของนามซึ่งขับไล่บ่าวไพรในหอพระธรรมไปจนสิ้นคล้ายได้ยินคนเรียกชื่อตน ทั้งๆ ที่แห่งนี้ไม่มีใคร“แค่กๆ”หมิงเยว่กระแอมไอ รู้สึกเลือดลมตีกลับสติแตกซ่าน จำต้องหุบแขนหุบขาในท่วงท่าน่าอายหยุดฝึกวรยุทธ์ทันทีฉับพลันนั้นนางย้อนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนตอนที่กำลังออกท่าทางพญาวานรตีลังกาวาดไม้ไผ่ต่างดาบ นางคล้ายเห็นชายผ้าของบุรุษรำไร ไม่แน่ใจว่าใช่หยางเจี้ยนหรือไม่หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่น่าใช่!ครู่หนึ่งถึงได้ขบคิดโดยละเอียด หรือว่าใช่!หมิงเยว่พลิกตัวจากท่านั่งห้อยหัวบนคานไม้กระโดดลงมายืนบนพื้นห้องทันใดต้องใช่แน่ๆ กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านขนาดนั้น! ยังทิ้งกลิ่นเฉพาะกายอบอวลกำจายเอาไว้อีกเขาจะเห็นการแอบฝึกวรยุทธ์ของนางหรือไม่นะ?อา...หากถูกจับได้ขึ้นมา สามีจอมเคร่งครัดผู้นั้นต้องสั่งเชือดนางแน่ ร่างใหม่คนนี้ไร้ความสามารถมากเกินไป ฝีมือของนางยังไม่ถึงไหนเลยนางจะเสี่ยงถูกเปิดโปงหรือถูกขับไล่ออกไปยามนี้มิได้เด็ดขาด ขืนอาศัยอยู่ข้างนอกต้องลำบากมากเป็นแน่ หนทางยิ่งใหญ่ย่อมมีแต่คำว่าพ่ายแพ้ยังมีจิ่นซินจอมขี้แยอีกคนที่ต้องดูแลไม่ได้ นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังแตกตื่น อีกฝ่ายก็กำ
ประตูถูกเปิดออก ร่างระหงวิ่งออกไปอย่างลนลาน จิ้นเหอมองตามอย่างงุนงงเมื่อไร้เงาร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวงชายหนุ่มถึงคิดออกอ้อ...จริงสิ! ท่านแม่ทัพเพิ่งให้เขาไปสืบเรื่องของนางช่วยไม่ได้ที่เขาทำงานได้ฉับไวเถรตรงยิ่ง!แท้ที่จริง หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจไยดีจนอยากรู้เรื่องของซู่หลิน หากแต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาที่เผยเรื่องราวให้บุตรชายลอบสืบดูเผื่อไว้ให้คอยระแวดระวังสตรีจอมมารยา! มิคาดว่าจะสืบจนล่วงรู้ว่านางเลวร้ายถึงขั้นนั้น แต่การจะส่งกลับก็ดูจะไม่เหมาะ เหตุเพราะเป็นมารดาของเขาเองที่นำนางเข้ามาถึงหลังเรือนที่ลึกสุดแห่งนี้ ผู้คนอาจครหาว่าจวนใหญ่รังแกคนด้อยกว่าขณะที่จิ้นเหอกำลังจะปิดประตูห้องให้หยางเจี้ยน จิ่นซินก็พุ่งพรวดเข้ามาดั่งธนูเพลิง“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ได้โปรดช่วยฮูหยินน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาดเช็ดถูพระพุทธองค์ ทั้งยังไล่บ่าวกลับตลอด นางคงตรอมใจแน่ๆ”ไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาด ไล่กราดบ่าวไพร่...กระนั้นหรือ? หึ!หยางเจี้ยนลอบสบถในใจเห็นได้ชัดว่านางต้องการอยู่เพียงลำพังแค่คนเดียวเพื่อทำเรื่องนอกกรอบอย่างอุกอาจ!จิ่นซินไ
หญิงสาวมองเขาด้วยสองตาทอประกายระริกไหว ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้สุดใจ ก่อนย่อกายนอบน้อม“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธี”หยางเจี้ยนมองซู่หลินด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง เนตรคมดำจัดดุจน้ำวนก้นทะเลลึกลับพินิจคนงามเงียบงันการสะกดอย่างตราตรึงนั้นแฝงความร้อนแรงในทีหญิงสาวย่อมรับรู้อารมณ์รุมเร้าจากแววตานั้นได้ หลายวันที่ห่างหายไปจากจวนเพราะสายงาน คงทำให้เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปด้วย ความรุ่มร้อนเก็บกดเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นางก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายค่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ หลินเอ๋อร์ตุ๋นน้ำแกงนี้ด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”สตรีงดงามช่างเอาอกเอาใจมีบุรุษใดไม่หลงใหลบ้างหยางเจี้ยนยกมุมปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือ? เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ไม่ลำบากด้วย”ซู่หลินประคองกล่องไม้ใส่น้ำแกงเอ่ยอย่างขัดเขิน หันกายอรชรเดินอย่างแช่มช้อยไปวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะขณะย่างเท้าเรียวเล็กยังจงใจโยกบั้นท้ายงามงอนอย่างเชิญชวนให้คนเกิดแรงปรารถนาบางอย่างเรียวนิ้วขาวเนียนดุจลำเทียนไล้ขอบถ้วยเบาๆ อย่างยั่วเย้า หมายเร้าอารมณ์บุรุษตามศาสตร์แห่งการยั่วยวนนางค
จังหวะเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องหนังสือหญิงสาวงดงามอ่อนหวานนางหนึ่งกำลังเดินเนิบช้า ทั้งโดดเด่นมีสง่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนรักใคร่ นางค่อยๆ ปรากฎกายเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปถึงหัวใจนางผู้นี้ช่างคล้ายคลึงภาพวาดอันงดงามไร้สิ่งใดในโลกาเทียบเคียงได้ ความพิลาสทั้งปวงเมื่อมาเจอกับนาง ล้วนต้องสงบสมยอมในทันทีนางผู้นี้คือซู่หลินสะคราญโฉมผู้พกพารอยยิ้มอ่อนหวานพิลาสล้ำแขวนไว้บนดวงหน้าอันงามเลิศเพริดพริ้งตลอดเวลาหญิงสาวย่างกรายอ่อนช้อยแช่มช้ามาแต่ไกลเหล่าบ่าวไพร่ที่เดินผ่านนางยังต้องหยุดเท้าก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อมเนื่องจากทุกคนต่างรู้ดี อนุผู้นี้เข้าเรือนท่านแม่ทัพแค่ราตรีเดียว ฮูหยินน้อยยังต้องถูกระเห็จไปตั้งไกล ไร้วี่แววจะได้กลับมา อนิจจา นางคงเป็นที่โปรดปรานหนึ่งเดียวแน่ๆ ใครอย่าพลั้งเผลอทำอนุซู่ไม่พอใจเชียว...ซู่หลินลอบยกยิ้มลำพองใจมีคนกล่าวไว้ว่าความใกล้ชิดนำไปสู่ความรัก หากได้อยู่ด้วยกันทุกวันยังต้องกลัวไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อีกหรือฮูหยินเอกต่ำชั้นอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่อยู่เป็นก้างชิ้นโต นางย่อมมีโอกาสเผยโฉมต่อหน้าท่านแม่ทัพเพียงผู้เดีย
เมื่อกลับถึงจวน แม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าเรือนหลักทันที ในใจครุ่นคิดถึงวิธีพูดจากับภรรยาพระราชทานดีๆ เพื่อมิให้เกิดปัญหาหลังเรือนอีกต่อไปทว่าเมื่อมาถึง สาวใช้รุ่นใหญ่พลันกล่าวรายงาน“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าสั่งลงโทษเจ้าค่ะ”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “ลงโทษ? เรื่องอะไร?”สาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ขณะรายงานตามจริงอย่างมิกล้าบิดเบือนเป็นอื่น“เรื่องที่ฮูหยินน้อยบุกไปพังห้องหอของอนุซู่เจ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ทัพออกจากจวนไปแล้ว อนุซู่ก็เข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินน้อยก็ถูกพาตัวไปยังหอพระธรรมประจำตระกูลเจ้าค่ะ หลายวันแล้วยังมิได้รับอนุญาตให้กลับเรือน”แววตาบุรุษเริ่มแข็งกร้าวเปี่ยมโทสะ เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้คืนนั้นเขาที่มีอำนาจหลังเรือนได้เลือกแล้วก็คือภรรยาเอก มิเลือกอนุ เหตุใดนางถึงมีความผิดกัน?หยางเจี้ยนสะบัดชายเสื้ออย่างไม่พอใจก่อนเดินไปทางเรือนของหยางฮูหยินทันที เรื่องเช่นนี้มารดาของเขาซึ่งมีฐานะเป็นแม่สามีของสะใภ้ไป๋ควรให้คำตอบที่ดีแก่เขาเมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงได้เห็นมารดาคล้ายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว การถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูพล
ทางเดินด้านหน้าท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างประสานหมัดคำนับทักทายกันเพื่อแยกย้ายฝ่ายหยางเจี้ยนเดินเคียงคู่มากับอัครเสนาบดีเฉียน ทั้งสองเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มักจะถกเถียงกันยามประชุมร่วมขุนนาง ทว่าวันนี้กลับเห็นพ้องอย่างหาได้ยากยิ่งช่วยมิได้จริงๆ ที่พวกเขามิได้มีใจชมชอบบุปผาหรือเห็นแก่ประโยชน์ของสาวงามเหมือนฮ่องเต้“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่เจ้าแต่งภรรยาเอกกับสตรีอื่น บุตรสาวของข้าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าทุกวัน นางช่างไม่เข้าใจว่าเราสองตระกูลใหญ่จะอย่างไรก็ไม่สมควรเกี่ยวดองกัน เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้เคืองฮ่องเต้เลยที่หาสตรีมิคู่ควรให้”เฉียนหลุนกล่าวจบก็ลูบเคราตนหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ชอบหยางเจี้ยนแต่บุตรสาวของเขากลับชื่นชมอีกฝ่าย กาลก่อนเขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงหมายทาบทามแบบกดดันให้หมั้นหมาย แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าช่างน่าโมโหจริงๆหยางเจี้ยนเองก็ไม่ชอบเฉียนหลุน จึงน้อมรับคำพูดแฝงนัยเยาะเย้ยถากถางนั้นยิ้มๆ ไม่กล่าวตอบสิ่งใดความเย่อหยิ่งถือตัวเยี่ยงนี้เขามอบให้บิดาของสตรีที่หมายตาตัวเขานางนั้นนับว่าสมควรอย่างยิ่ง มิได้เกี่ยวข้องเรื่องขั้วอำนาจไม่เหมาะสมอันใดสักนิด แค่เขาไม่คิดอะไรกับบุตรส
เนื่องจากเดินทางออกจากจวนทันทีตั้งแต่ฟ้าสาง ทั้งยังค้างแรมที่ค่ายทหาร เพื่อร่วมวางผังป้องกันเมืองกับองค์รัชทายาท หลายวันแล้วมิได้กลับจวนหยางระหว่างนั้นยังเข้าวัง ร่วมประชุมถกปัญหาบ้านเมืองกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ปัญหาหลังเรือนจึงยังไม่ถึงหูของหยางเจี้ยนแต่อย่างใดเบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มยามนี้ล้วนเป็นปัญหาเกี่ยวกับแว่นแคว้นทั้งสิ้น หนักสุดเห็นจะเป็นหัวข้อรอเห็นชอบจากทุกฝ่ายในเรื่องสร้างพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน หาความสำราญขององค์จักรพรรดิแห่งที่สิบสี่นั่นหมายความว่ามีสถานที่เริงรมย์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วถึงเก้าแห่ง ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลการใช้เงินจากคลังส่วนกลางมิใช่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะขุนนางเสียก่อนหยางเจี้ยนก้าวเท้าออกจากขุนนางฝ่ายบู๊ ค้อมศีรษะประสานหมัดก่อนกล่าวนอบน้อม“แม้กระหม่อมจะเป็นเพียงแม่ทัพ มิอาจเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ทว่าทุกการศึกยังต้องอาศัยงบหลวงเพื่อเคลื่อนทัพปกป้องดินแดน สงครามยึดครองพื้นที่ทางทะเลเพื่อขยายอาณาเขตการค้าแคว้นเยี่ยนที่ผ่านมาผลาญงบคลังหลวงไปไม่น้อย กระหม่อมจึงเห็นพ้องเสนาบดีกรมคลังที่กล่าวไว้ สงครา