ยามเช้ามาเยือน แสงตะวันสาดส่องแรงกล้า
หมิงเยว่สะลึมสะลือขยับร่างกายไปมา ฉับพลันนั้นกลับรู้สึกเมื่อยขบและปวดร้าวที่กลางลำตัว
หือ...
หญิงสาวมุ่นคิ้ว ขยับขาอีกที ความรู้สึกปวดหนึบตรงส่วนสงวนยิ่งเด่นชัด นางเบิกตาโพลง ลุกขึ้นนั่งทันใด
“โอ๊ย!”
ช่วงล่างยิ่งเจ็บแปลบจนหลุดอุทานเสียงแหบ ยังรู้สึกได้ถึงของเหลวกรุ่นคาว ไหลหยาดจากต้นขา
หมิงเยว่เปิดผ้าห่มออก เห็นร่างตนเองที่เปล่าเปลือยมีรอยจุมพิตเต็มไปหมดและหยดเลือดพรหมจรรย์แดงชาดบาดตาเปรอะเปื้อนผสานกับน้ำคาวสีขาวขุ่น
“หา?”
พอเหลือกตามองไปเบื้องหน้า ยังเห็นบุรุษร่างใหญ่นอนเปลือยเปล่าเคียงข้าง
“หยางเจี้ยน!”
เสียงพลั่กเกิดขึ้น ตามด้วยเสียงของหนักตกกระทบพื้นดังตุ้บ
ร่างใหญ่ถูกเท้าเล็กถีบกระเด็นจนตกเตียง
“อ่า...”
หยางเจี้ยนถึงกับสร่างเมาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
เขาลุกขึ้นนั่ง หันมองขวับ
เห็นฝ่าเท้าเปลือยเล็กน่ารักเต็มสองตาบนเตียงนอน
“เจ้า...เจ้ากล้าถีบข้า”
หยางเจี้ยนมองสตรีบนเตียงด้วยดวงตาพร้อมพ่นไฟ
หมิงเยว่ที่เพียรรักษาพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ยิ่งชีพเพื่อฝึกฝนเพลงดาบในชาติที่แล้วให้รู้สึกถึงการสูญเสียและสิ้นหวังครั้งใหญ่อย่างแท้จริงในชาตินี้
“ท่าน...ท่านขืนใจข้า...”
นางโอดครวญน่าสงสาร หอบผ้าห่มคลุมกายแน่น ร้องไห้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
หยางเจี้ยนลุกขึ้นยืนตระหง่านหว่างคิ้วขมวดเข้ม ใบหน้าบึ้งตึง เขาเอ่ยเสียงเครียด
“มิใช่เป็นเจ้าเองที่เรียกร้องทั้งคืนหรือไร?”
“ว่า...ว่าอะไรนะ?”
หมิงเยว่กัดปากเบิกตากว้าง หยางเจี้ยนเดินมานั่งลงบนขอบเตียงด้วยสีหน้าถมึงทึงดำคล้ำไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
เขากำลังรู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาตรงหน้ายิ่งกว่าสตรีผู้กำลังร่ำไห้เสียอีก
เมื่อคืนแม้เมามายแต่เขาก็จำได้ นางขึ้นนั่งบนตักเขา ขบกัดติ่งหู ซุกไซ้ซอกคอของเขาอย่างดุดันยั่วเย้ามอมเมา เขาเองที่เริ่มคิดได้ว่าไม่ควรเสียใจกับสตรีที่ตายไปแล้วผู้นั้น จึงตามใจและจัดให้สตรีตรงหน้าอย่างเต็มที่ เต็มอารมณ์
เพราะถึงอย่างไรนางก็คือภรรยาของเขา เป็นสตรีที่มองอย่างไรก็นุ่มนวลชวนถนอม และที่สำคัญนางยังตบแต่งให้เขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม
การที่เขาคิดถึงสตรีอื่นเป็นเรื่องไม่สมควรนัก
ทั้งๆ ที่นางครวญครางกรีดร้องอย่างสุขสมปานนั้น แต่นางกลับกล่าวหาเขา คำว่าขืนใจช่างบาดหูนัก!
หยางเจี้ยนรู้สึกโกรธมาก!
บุรุษผู้องอาจหยิ่งทะนง ยึดมั่นคุณธรรมสูงส่งยิ่งชีพ เคยถูกตราหน้าเยี่ยงนี้ที่ใด?
หยางเจี้ยนให้รู้สึกถึงการถูกหยามเกียรติอย่างที่สุด
บุรุษเช่นเขาเคยต้องงอนง้อขอขึ้นเตียงกับสตรีที่ใด? มิใช่ว่ามีหญิงงามมากมายหมายเสนอตัวให้เขาทุกวันหรือไร?
แม่ทัพหนุ่มให้รู้สึกร้อนรุ่มอย่างประหลาด
เขาหงุดหงิดอย่างมาก
รู้สึกคล้ายม้าศึกตัวโตผงาดกล้าที่ถูกหนูตัวเล็กๆ มองว่าเป็นแค่หมูโสโครกตัวหนึ่งที่หิวโหยหื่นกระหายกินไม่เลือก
สาเหตุที่หยางเจี้ยนรู้สึกต่อเรื่องนี้ค่อนข้างรุนแรง ล้วนเป็นเพราะเขาไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวมั่วราคะกับใคร
ความร้อนแรงที่มอบให้คือสิ่งหวงแหนอย่างยิ่ง
การที่ภรรยาไม่รู้ดินฟ้านางนี้ถีบเขาตกจากเตียง ทั้งยังชี้หน้าด่าทอว่าถูกเขาขืนใจ
นั่นจึงนับว่าเป็นการล่วงเกินกันอย่างที่สุด
สำหรับหยางเจี้ยน สิ่งหนึ่งที่ผู้คนล้วนกล่าวขานถึง คือผู้ใดก็ตามหากล่วงเกินคนอย่างเขาผู้นี้ ย่อมไม่มีจุดจบที่ดี
เตรียมตัวรับชะตากรรมจากมัจจุราชเถอะ!
ทว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงสตรี ทั้งยังเป็นภรรยาซึ่งได้มาจากสมรสพระราชทาน ร่างสูงจึงมองร่างเล็กปราดหนึ่งด้วยแววตาอำมหิต เพียงคาดโทษจดบัญชีแค้นไว้ในใจ ก่อนผุดลุกขึ้นอย่างปั้นปึ่งเย็นชา หยิบเสื้อผ้ามาสวมลวกๆ แล้วเดินออกจากห้องหอไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
ทิ้งร่างเล็กให้มองตามอย่างเหลอหลา เรียวคิ้วเหนือดวงตาขมวดแน่น ภายในใจกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา
เอ่อ...หรือว่า...
ในห้วงภวังค์ นางเสมือนเห็นร่างระหงของตนเองปีนขึ้นไปนั่งบนตักหนาแกร่งของหยางเจี้ยนอย่างทุลักทุเล
เรียวแขนกระหวัดโอบรอบลำคอเขาอย่างอาจหาญ โน้มใบหน้าคมคายเข้าหา แล้วบดจูบอย่างบ้าคลั่ง
“...”
นางเป็นฝ่ายบดขยี้กลีบปากเขาก่อนจริงๆ ด้วย
จากนั้นก็กัดติ่งหู ซุกไซ้ซอกคอ พลางปลอบประโลมพึมพึมอย่างขวัญกล้า ‘ท่านอย่าได้เสียใจไปเลยที่ต้องแต่งงานกับข้า มาเถิด สตรีเช่นข้าย่อมมีดีเหนือใคร’
หมิงเยว่สะดุ้งกับความทรงจำเฮือกหนึ่งแล้วคิดต่อ
ก่อนร่วมหอลงโลงนางยังไม่ลืมสั่งให้เขามองแค่นางก่อนกระชากเสื้อผ้าชุดเจ้าบ่าวของเขาออกจากร่างอย่างแรง สีแดงปลิวว่อนทั่วห้อง
เมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจกรุ่นร้อนและเสียงคำรามแหบต่ำจากเขา นางก็ยิ่งหื่นกระหาย เสื้อผ้าของนางและของเขาหลุดร่วงไปจนหมดสิ้นเมื่อใดไม่ทราบได้
ใครเป็นผู้ถอดชั้นในออกไปก็ไม่อาจรับรู้
นางจำได้ว่าแค่กระชากเสื้อเจ้าบ่าวตัวนอก
เมื่อคืน บนตักแข็งอุ่น นางรู้สึกได้ถึงตัวตนร้อนผ่าวของเขาสัมผัสตรงท้องน้อยของนางอย่างเร้าอารมณ์มาก
ไม่นานสองเราก็รวมร่างร่วมประสานขับลำนำ บรรยากาศในห้องหอเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ได้ยินเพียงเสียงเคลื่อนกายเสียดสีกับเสียงหอบครางสอดประสาน
เขากระชับเอวคอดขยับเอวสอบโยกบั้นท้ายชักนำ ส่วนนางก็ไม่นำพาอะไรแล้วทั้งนั้น เพียงแหงนหน้ากอดรัดบดเบียดอกอิ่มนุ่มนิ่มกับแผ่นอกแข็งแกร่งของเขาอย่างคนต้องการไออุ่นไม่รู้จักจบสิ้น
เขาจ้องหน้าแดงเรื่อของนาง มองลึกเข้ามาในแววตา นางจ้องมองโครงหน้าชัดเจนของเขา เห็นแค่ดวงตาร้อนแรงแสนเปี่ยมเสน่ห์ทรงพลังคู่นั้น มองสิ่งอื่นใดไม่เห็นแล้วทั้งสิ้น เขากอบกุมสะโพกกลมมนไว้แน่น ตรึงเต็มฝ่ามือร้อนกรุ่น เคล้นคลึงอย่างดุดันก่อนจับเอวคอดของนางแล้วยกขึ้นจากเก้าอี้ริมโต๊ะในท่วงท่าที่ยังผสานเป็นหนึ่ง จากนั้นก็จับนางกดลงบนเตียงนอน ปลายลิ้นร้อนลากไล้วนเวียนบนยอดถัน
เนินอกของนางชูชัน ในขณะที่บางส่วนของเขาก็เหยียดผงาดตั้งชันเช่นกัน
ท่ามกลางความมืดสลัวเลือนราง ท่อนขาของนางถูกเขาแยกออกจากกัน ท่วงท่าสองเรานั้นน่าอายอย่างที่สุด สองมือของนางจับท่อนแขนเปี่ยมกล้ามเนื้อทรงพลังของเขาไว้แน่น ส่วนเขาก็คุมจังหวะเร่าร้อนตอกตรึงอย่างยาวนาน
เพราะสุราเป็นเหตุโดยแท้ หมิงเยว่พึงสังเกตได้...
ตั้งแต่เช้าจนหมดวัน หยางเจี้ยนก็คล้ายอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย เขาหายตัวไปเลยอย่างไม่หวนกลับมาพิธียกน้ำชายังปล่อยภรรยาให้รับหน้าเพียงผู้เดียว การกระทำของหยางเจี้ยนส่งผลให้นายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหว ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยินใหญ่ และญาติผู้ใหญ่ รวมถึงพี่น้องสายรองล้วนมองไป๋หมิงเยว่ด้วยสายตาดูแคลนแม้เป็นสมรสพระราชทาน แต่ใครต่อใครต่างก็ดูออกถึงพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ การจำกัดอำนาจบารมีของตระกูลหยางเอาไว้ด้วยสตรีผู้นี้เป็นเรื่องที่จำต้องทำใจจริงๆ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีวันยอมรับสะใภ้ต่ำศักดิ์แน่นอนพิธียกน้ำชาเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเย็นชา แล้วก็ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายเงียบสงบดุจกำลังไหว้สุสานหมิงเยว่รู้สึกประหนึ่งว่ากำลังคำนับหลุมศพพวกพ้องที่ตายไปหลายชีวิตในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลของตนก็มิปานเฮ้อ! เกิดเป็นคุณหนูไป๋ผู้นี้คงต้องทำใจอย่างสุดซึ้ง ยังมีอันใดย่ำแย่กว่านี้อีกไหมเล่า?หมิงเยว่เดินกลับเรือนของตนอย่างหงุดหงิด โดยมีสาวใช้คนสนิทนามจิ่นซินเดินปาดน้ำตาด้วยความโมโหอยู่ด้านหลัง หญิงสาวหันหน้ามอง “เจ้าเป็นอะไร?”จิ่นซินสะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจพลางกล่าว“บ่าวไม่คิดเลยว
นางที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ไหนเลยจะทำสิ่งใดได้มากกว่าการร่ำไห้พร้อมเจ้านายแต่คุณหนูของนางยามนี้ นอกจากไม่แสดงด้านอ่อนแอตรอมตรมเหมือนก่อน ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แม้ดูวางเฉยต่อความเลวร้ายที่ถาโถม แต่กลับพร้อมพุ่งชนยิ่งจิ่นซินย่อมไม่รู้ว่าหมิงเยว่คือคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่ รอยยิ้มของนางล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะเหตุใดบุพเพวาสนาแห่งรักรอวันได้ประจักษ์ถึงจะแจ้งแก่ใจแต่สิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่ปรากฏชัดในห้วงความคิดก็คือการกลับมามีชีวิตใหม่ในครั้งนี้คงเป็นเพราะสวรรค์ให้นางได้แก้ตัวใหม่ชาติที่แล้วเพราะนางก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากโข พาพี่น้องล้มตายอย่างไร้ค่าก็หลายร้อยคน เช่นนั้นชาตินี้ นางที่สิงร่างคุณหนูใหญ่ไป๋ผู้อ่อนแอบอบบาง ไร้ใครใส่ใจ ปราศจากที่พึ่งพา คงเป็นเพราะว่าสวรรค์ต้องการให้นางได้เริ่มต้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดนั่นล่ะเห็นได้ชัดจากการให้นางกลายมาเป็นฮูหยินของบุรุษซึ่งยึดมั่นในคุณธรรมอย่างหยางเจี้ยนปะไรอธรรมต่ำช้าจึงจำต้องอยู่เคียงข้างธรรมะอันสูงส่งเฮ้อ!หมิงเยว่ถอนหายใจนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม ถามคำซ้ำๆ ว่าไม่จริงใช่ไหม? รอบท
บรรยากาศจวนสกุลหยางหลังผ่านพ้นงานมงคลกลับเต็มไปด้วยความอึมครึมแลดูอัปมงคลอย่างไม่น่าเชื่อภายในเรือนใหญ่ การคารวะน้ำชาเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะมืดครึ้ม ไร้การไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ปราศจากการพูดคุยอันเปี่ยมมิตรไมตรีตามประสาคนในครอบครัวดังที่ควรเมื่อการปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเย็นชานี้จบลง หมิงเยว่ก็ขอตัวกลับเรือนตนทันทีเฉกเช่นทุกวันนางมักจะพกพาความเย็นยะเยือกมาต่อกรกับความเย็นเยียบของเหล่าผู้อาวุโสสกุลหยางอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งบรรดาสาวใช้ที่แอบมองยังต้องรู้สึกเหน็บหนาวกันถ้วนหน้าคล้อยหลังสะใภ้จากสกุลไป๋ เหล่าผู้อาวุโสกำลังนั่งปรึกษาหารือถึงเรื่องของหยางเจี้ยนกับไป๋หมิงเยว่กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด“ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋แม้ต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นสตรีเรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตน ประพฤติตัวอยู่ในโอวาท กิริยามารยายิ่งอ่อนโยนค่อนไปทางอ่อนแอ หัวอ่อนคุมง่าย แล้วที่เจอหน้ากันทุกวันคือผู้ใดกัน?”ฮูหยินเอกสายรองเอ่ยปากบ่นขึ้นก่อนใคร นางแต่งเข้าจวนหยางตั้งแต่วัยแรกรุ่นกระทั่งกลายเป็นวัยรุ่นแรก ยังไม่เคยเห็นสตรีนางใดทำตัวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้มาก่อนเลย“ไป๋หมิงเยว่ผู้นี้ นอกจากต่ำศักดิ์ยังจ
เห็นได้ชัดว่านอกจากหยางเจี้ยนจะทรงอิทธิพลแล้ว บรรดาน้องสาวของเขาที่แต่งออกไปก็มีอำนาจใช่ย่อยกระทั่งจักรพรรดิยังเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้วหากแต่สกุลหยางกลับมีบุรุษน้อยมาแต่ไหนแต่ไร รุ่นของหยางจงเองยังเหลือแค่สองคนพี่น้องกับหยางเจ๋อ การเป็นแม่ทัพแม้ตำแหน่งสูงส่งแต่อย่างไรก็เสี่ยงอายุสั้น จำต้องมีทายาทสืบทอดไว้รองรับให้มากพอเท่านั้นหยางจงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รั้งรอมิได้อีกต่อไปหยางเจี้ยนควรมีบุตรชายด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะดี หากเขาไม่มีจริงๆ จะแย่ การยกบุตรชายของอนุหรือหลานชายสายรองขึ้นมาสืบทอดสกุลแทนหยางเจี้ยนคงเป็นที่ขบขันแน่“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เห็นสมควรรับอนุมาให้เจี้ยนเอ๋อร์” ว่าแล้วก็หันไปทางฮูหยินใหญ่มารดาของหยางเจี้ยน กำชับเสียงเครียด “ในเมื่อเจี้ยนเอ๋อร์ไม่ชอบภรรยาพระราชทาน โอกาสมีหลานชายคงมองไม่เห็น เช่นนั้นข้าก็รบกวนฮูหยินเฟ้นหาให้เจี้ยนเอ๋อร์สักคนเป็นไร ก่อนแต่งงานมิอาจกระทำ แต่แต่งงานแล้วหลายเดือนเช่นนี้ ทั้งสามีภรรยามิรักใคร่กันย่อมรับเข้ามาได้ ระมัดระวังเรื่องขั้วอำนาจเส้นสายสกุลด้วย อย่าพลั้งเผลอทำให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัยหรือนึกระแวงสกุลหยางของพวกเราจนหาความสงบส
ภายในห้องหนังสือของหยางเจี้ยนยังคงกลิ่นอายเคร่งขรึมเย็นชา มิได้แผ่ซ่านกลิ่นอายความมงคลอันใดออกมาสักครึ่งเสี้ยว แม้ว่าจะได้รับข่าวอันเป็นมงคลเรื่องการรับอนุคนงามเข้ามารออยู่เรือนหลังแล้วก็ตามบนโต๊ะตัวใหญ่ กระดาษถูกขึงจนตึง ภาพสตรีชุดดำปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งด้วยหน้ากากเผยเพียงดวงตาโฉบเฉี่ยวฉายแววคมกล้าเยี่ยงบุรุษปรากฏอยู่บนกระดาษนั้นในภาพ นางกำลังยืนตระหง่านอยู่บนเชิงเนินนิ้วเรียวยาวของหยางเจี้ยนค่อยๆ ไล้ผ่านภาพวาดของนาง ตั้งแต่ดวงตาจนไปถึงดาบดวงเดือนที่นางถืออยู่วันนั้นในครรลองสายตาของเขา ภาพของนางปรากฏเบื้องหน้ายามทิวา ตะวันแผดแสงแรงกล้าปานนั้น ทว่าในภาพวาดนี้ เขาบรรจงวาดขึ้นมาโดยมีฉากหลังเป็นจันทร์กระจ่างกลมโต ซึ่งกำลังลอยเด่นแขวนอยู่บนม่านนภาในรัตติกาลมืดดำแม้มองแล้วให้รู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด หากแต่มีเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่างดงามเพียงใดนางดูเร่าร้อนบนความเยือกเย็นชวนพิศวง ช่างทำให้คนอย่างเขาเกิดความรู้สึกหลงใหลรุมเร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักนามของนางด้วยซ้ำ จำได้เพียงสมญานามเงาดาบจันทราเจ้าของฝีมือฉกาจอันน่ายกย่องชั่วขณะที่นิ้วแกร่งไล้วนขึ้นมาที่ดวงตาดุด
หยางเจี้ยนคิดขึ้นมาคราใดก็ให้รู้สึกโกรธมากจริงๆห้องหอวันนั้นเดิมทีเป็นห้องนอนของหยางเจี้ยน เรือนที่ภรรยาพำนักอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเรือนหลักของเขาการที่ชายหนุ่มเลือกนอนในห้องหนังสือทุกคืนเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะไป๋หมิงเยว่! นางได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาอย่างสุดซึ้ง ยิ่งคิดหยางเจี้ยนก็ยิ่งอับอายและโกรธเกรี้ยวผสมปนเปจนหน้าดำคล้ำไปหมดความรังเกียจสายหนึ่งพุ่งปะทุเต็มทรวงอกทันที ภรรยาพระราชทานของเขานางนี้ทำอย่างไรก็ชอบไม่ลง!ครู่หนึ่งเสียงของจิ้นเหอพลันดังทุ้มต่ำจากนอกห้อง“ท่านแม่ทัพ สาวใช้เรือนฮูหยินใหญ่นำน้ำแกงบำรุงมาส่งให้ขอรับ”หยางเจี้ยนรับเสียงเฉยชา “เข้ามา”ประตูถูกเปิดออก จิ้นเหอรับน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยใหญ่จากสาวใช้มาวางลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเงียบๆหยางเจี้ยนยกน้ำแกงขึ้นดื่มอย่างไม่รู้รสชาติ ไม่นานต่อมาแม้รู้สึกร้อนผ่าวแปลกประหลาดก็มิสนใจสองเค่อ[1]ให้หลัง สาวใช้ของเรือนมารดาก็มาอีกครา จิ้นเหอส่งเสียงทุ้มต่ำอีกรอบ “ท่านแม่ทัพ ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาเข้าหอแล้วขอรับ”“อืม...” เสียงตอบรับของหยางเจี้ยนยังคงราบเรียบไร้ระลอกคลื่น ทว่ากายแกร่งกลับรู้สึกวูบวาบไปหมดประกายเพลิงรุมเร้าค่อยๆ ถูกจุดขึ้นในแ
แม้เป็นเพียงเรือนอนุแต่ขนาดของเรือนกลับไม่เล็ก แม้ไร้เกี้ยวแปดคนหาม แต่การตกแต่งจัดเตรียมห้องหอด้วยโคมไฟสีสดตระการตาอันบ่งบอกว่าให้เกียรติกันนั้นซู่หลินจึงยิ่งรู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเป็นอนุภรรยาสกุลหยาง และเมื่อคิดถึงใบหน้าคมคายหล่อเหลา ความสง่างามเป็นเอกของหยางเจี้ยน นางก็ยิ่งกระหยิ่มในใจสำหรับซู่หลินการทำให้บุรุษโปรดปรานมิใช่เรื่องยาก หากมิใช่เกิดมาในครอบครัวธรรมดา มีฐานะแค่สามัญชน เป็นเพียงหลานสาวของอนุขุนนางขั้นสี่ เกรงว่าคงได้มีโอกาสร่ายมารยาต่อพระพักตร์ ทำให้องค์จักรพรรดิหลงใหลจนได้เป็นพระสนมคนโปรดไปแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือซู่หลินเป็นหญิงงามอย่างแท้จริง มองมุมไหนก็น่าพิสมัยชวนสัมผัส แม้นิสัยภายในจะเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แต่เพราะนางมีใบหน้าอ่อนหวานหยาดเยิ้ม เวลาคลี่ยิ้มยิ่งหวานล้ำเป็นพิเศษจึงปกปิดนิสัยแท้จริงไปสิ้น เผยเพียงความงดงามเป็นเลิศให้ได้เห็นเท่านั้น ซู่หลินกวาดตามองเรือนหอหรูหราสมฐานะจวนอย่างพึงพอใจยิ่งให้สาวใช้คนสนิทไปสืบระหว่างรอเข้าหอถึงนิสัยใจคอของหยางเจี้ยนและได้รู้ถึงความสัมพันธ์อันห่างเหินระหว่างเขากับภรรยาเอกของเขา ซู่หลินก็ยิ่งยกยิ้มเย้ยหยันม
เนื่องจากเป็นร่างใหม่มิใช่ร่างเดิม พื้นฐานร่างกายอ่อนด้อยอย่างมากหลายเดือนที่ผ่านมาหมิงเยว่จึงไม่พลาดการฝึกหนักสักวัน ยามนี้ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น แม้ฝีมือยังไม่ก้าวหน้า ทว่าไม่นานย่อมสูงส่งเท่าเดิมอา...นางลืมไป ร่างเดิมฝึกฝนตั้งแต่จำความได้ แต่ร่างนี้เพิ่งฝึกไม่กี่เดือนเท่านั้น พรหมจรรย์ยังไม่เหลือแล้ว ย่อมมิอาจเก่งกาจเทียบร่างเดิมได้อีกพูดง่ายๆ ว่าห่างชั้นนั่นล่ะ! เฮ้อ...แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนางก็ได้ร่างใหม่เป็นคน มิใช่สัตว์เดรัจฉาน จุดสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่ความพยายามของคนทั้งสิ้น ชีวิตคือการแสวงหา ขอแค่หมั่นฝึกฝน ทบทวนวันละหลายหน ขยันพากเพียรเท่านั้นหมิงเยว่ยกกำปั้นขึ้นเบื้องหน้าทำสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ ระหว่างนอนแช่น้ำอุ่นหอมกรุ่นอย่างสบายอารมณ์เมื่ออาบน้ำจนพอใจ กลิ่นสาบเหงื่อไคลหายไปสิ้น นางก็ลุกขึ้นจากถังอาบน้ำ พาร่างอรชรขาวเนียนนุ่มลื่นไปแต่งกายที่หน้าชั้นไม้ ก่อนเดินหมุนกายอ้อนแอ้นมาที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง โดยไม่เรียกใช้ใครให้ความลับเรื่องแอบฝึกวรยุทธ์รั่วไหลหญิงสาวสวมชุดเบาสบาย สำรวจตนเองหน้ากระจกตามวิสัยของอิสตรี ต่อให้นิสัยไม่ดีแต่ก็ยังรักสวยรักงามยิ่งคุณหนูไป๋ผ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน