เห็นได้ชัดว่านอกจากหยางเจี้ยนจะทรงอิทธิพลแล้ว บรรดาน้องสาวของเขาที่แต่งออกไปก็มีอำนาจใช่ย่อย
กระทั่งจักรพรรดิยังเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้ว
หากแต่สกุลหยางกลับมีบุรุษน้อยมาแต่ไหนแต่ไร รุ่นของหยางจงเองยังเหลือแค่สองคนพี่น้องกับหยางเจ๋อ การเป็นแม่ทัพแม้ตำแหน่งสูงส่งแต่อย่างไรก็เสี่ยงอายุสั้น จำต้องมีทายาทสืบทอดไว้รองรับให้มากพอเท่านั้น
หยางจงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รั้งรอมิได้อีกต่อไป
หยางเจี้ยนควรมีบุตรชายด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะดี หากเขาไม่มีจริงๆ จะแย่ การยกบุตรชายของอนุหรือหลานชายสายรองขึ้นมาสืบทอดสกุลแทนหยางเจี้ยนคงเป็นที่ขบขันแน่
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เห็นสมควรรับอนุมาให้เจี้ยนเอ๋อร์”
ว่าแล้วก็หันไปทางฮูหยินใหญ่มารดาของหยางเจี้ยน กำชับเสียงเครียด
“ในเมื่อเจี้ยนเอ๋อร์ไม่ชอบภรรยาพระราชทาน โอกาสมีหลานชายคงมองไม่เห็น เช่นนั้นข้าก็รบกวนฮูหยินเฟ้นหาให้เจี้ยนเอ๋อร์สักคนเป็นไร ก่อนแต่งงานมิอาจกระทำ แต่แต่งงานแล้วหลายเดือนเช่นนี้ ทั้งสามีภรรยามิรักใคร่กันย่อมรับเข้ามาได้ ระมัดระวังเรื่องขั้วอำนาจเส้นสายสกุลด้วย อย่าพลั้งเผลอทำให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัยหรือนึกระแวงสกุลหยางของพวกเราจนหาความสงบสุขมิได้เป็นพอ ขอแค่ได้หลานชายเป็นสำคัญ”
ฮูหยินใหญ่พยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านพี่”
เจียวหั่วรีบเอ่ยเสริม “หากอนุคนแรกยังไม่มีหลานชายให้บ้านใหญ่ พี่เขยก็เพิ่มอนุให้อาเจี้ยนเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จนะเจ้าคะ”
อย่ามายุ่งกับนายท่านรองของข้าเชียว!
นายท่านรองหยางเจ๋อ ลอบมองฮูหยินของตนก็ให้รู้สึกอึดอัดเหลือเกิน เขาเป็นบัณฑิต ไหนเลยจะห้าวหาญเฉกเช่นบิดากับพี่ใหญ่และหลานชาย
เมื่อครั้งบิดายังหนุ่มแน่นก็มีอนุหลายคน แม้จะตายไปบางส่วนแล้วก็ยังเหลืออีกหลายคนถือว่ากร้าวแกร่งไม่เบา
ส่วนพี่ใหญ่ที่แม้ยามนี้จะเดินเหินไม่สะดวกคล้ายพิการกว่าครึ่ง สุขภาพทรุดโทรมไปมาก หากแต่อนุของเขาก็ยังเดินนวยนาดเต็มหลังเรือน
มีเพียงเขาที่มิกล้าขัดใจภรรยา
การรับอนุสักคนจึงไม่เคยเกิดขึ้นสักครา
เจียวหั่วนั้น นางเป็นบุตรหลานของขุนนางขั้นสาม รอบรู้กว้างขวาง หูตากว้างไกล ทั้งยังกระตือรือร้นเรื่องผู้อื่นอยู่แล้ว จึงร่วมด้วยช่วยกันเฟ้นหาหญิงงามกับฮูหยินใหญ่อย่างขะมักเขม้น
ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน สาวน้อยวัยสะพรั่งก็ปรากฏกาย
นางผู้นี้มีสกุลพอเหมาะพอควรกำลังดี ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป เป็นหลานสาวอนุสายหลักของขุนนางขั้นสี่สกุลซู่ กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามอย่างที่สุด มองมุมใดก็ให้รู้สึกเจริญหูเจริญตายิ่งยวด
สัดส่วนระหงอรชรแลดูบอบบางอ้อนแอ้นแต่กลับอวบอิ่มซ่อนโนมเนื้ออันสมบูรณ์ไว้ภายใต้ชุดสีชมพู
อันบ่งบอกได้ว่าเหมาะแก่การให้กำเนิดบุตรเพียงใด
นางมีนามว่าซู่หลิน
ดวงหน้าคิ้วตาหวานละมุนชวนพิศ มองแล้วให้รู้สึกรักใคร่เอ็นดู ยิ่งพินิจยิ่งควรค่าแก่การทะนุถนอมอย่างมาก
เพราะต้องเข้ามาเป็นเพียงอนุภรรยา เหล่าผู้อาวุโสสกุลหยางจึงมองสตรีสกุลซู่ด้วยสายตาเปี่ยมเมตตาปรานีต่างจากมองสตรีสกุลไป๋โดยสิ้นเชิง โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าในสายตาของซู่หลินมองพวกเขาอย่างหมายมาดเช่นใด
เดิมทีสตรีสกุลซู่ที่ถูกเลือกมิใช่นาง หากแต่เป็นพี่สาวนามว่าซู่เหยาต่างหาก
ซู่หลินเพียงทำให้พี่สาวคนงามเจ็บป่วยปางตายกระทั่งนอนซมลุกไม่ขึ้น จากนั้นนางก็เสนอตัวเองเต็มที่
ราตรีนั้นพลันวุ่นวายอย่างมาก ทว่ากลับสงบลงอย่างรวดเร็วเรียบง่าย เพราะสกุลซู่ย่อมไม่มีทางบ่ายเบี่ยงโอกาสอันดีในการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้ทรงอิทธิพลที่สุดเช่นสกุลหยาง จึงไม่คิดรั้งรอให้ซู่เหยาหายป่วย
การส่งซู่หลินมาแทนล้วนมิใช่เรื่องเกินคาด
เป็นเพียงอนุแล้วอย่างไร? ผู้ใดให้บุรุษผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพหยางผู้หล่อเหลาเกรียงไกรเล่า ทั้งชาติตระกูลของเขาที่สูงศักดิ์อีก ใครจะไม่ตื่นเต้น
หากนางเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานแล้วให้กำเนิดบุตรชายได้ ภรรยาพระราชทานอย่างสะใภ้สกุลไป๋ ยังจะมีค่าให้เอ่ยถึงกระนั้นหรือ?
ภายในห้องหนังสือของหยางเจี้ยนยังคงกลิ่นอายเคร่งขรึมเย็นชา มิได้แผ่ซ่านกลิ่นอายความมงคลอันใดออกมาสักครึ่งเสี้ยว แม้ว่าจะได้รับข่าวอันเป็นมงคลเรื่องการรับอนุคนงามเข้ามารออยู่เรือนหลังแล้วก็ตามบนโต๊ะตัวใหญ่ กระดาษถูกขึงจนตึง ภาพสตรีชุดดำปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งด้วยหน้ากากเผยเพียงดวงตาโฉบเฉี่ยวฉายแววคมกล้าเยี่ยงบุรุษปรากฏอยู่บนกระดาษนั้นในภาพ นางกำลังยืนตระหง่านอยู่บนเชิงเนินนิ้วเรียวยาวของหยางเจี้ยนค่อยๆ ไล้ผ่านภาพวาดของนาง ตั้งแต่ดวงตาจนไปถึงดาบดวงเดือนที่นางถืออยู่วันนั้นในครรลองสายตาของเขา ภาพของนางปรากฏเบื้องหน้ายามทิวา ตะวันแผดแสงแรงกล้าปานนั้น ทว่าในภาพวาดนี้ เขาบรรจงวาดขึ้นมาโดยมีฉากหลังเป็นจันทร์กระจ่างกลมโต ซึ่งกำลังลอยเด่นแขวนอยู่บนม่านนภาในรัตติกาลมืดดำแม้มองแล้วให้รู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด หากแต่มีเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่างดงามเพียงใดนางดูเร่าร้อนบนความเยือกเย็นชวนพิศวง ช่างทำให้คนอย่างเขาเกิดความรู้สึกหลงใหลรุมเร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักนามของนางด้วยซ้ำ จำได้เพียงสมญานามเงาดาบจันทราเจ้าของฝีมือฉกาจอันน่ายกย่องชั่วขณะที่นิ้วแกร่งไล้วนขึ้นมาที่ดวงตาดุด
หยางเจี้ยนคิดขึ้นมาคราใดก็ให้รู้สึกโกรธมากจริงๆห้องหอวันนั้นเดิมทีเป็นห้องนอนของหยางเจี้ยน เรือนที่ภรรยาพำนักอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเรือนหลักของเขาการที่ชายหนุ่มเลือกนอนในห้องหนังสือทุกคืนเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะไป๋หมิงเยว่! นางได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาอย่างสุดซึ้ง ยิ่งคิดหยางเจี้ยนก็ยิ่งอับอายและโกรธเกรี้ยวผสมปนเปจนหน้าดำคล้ำไปหมดความรังเกียจสายหนึ่งพุ่งปะทุเต็มทรวงอกทันที ภรรยาพระราชทานของเขานางนี้ทำอย่างไรก็ชอบไม่ลง!ครู่หนึ่งเสียงของจิ้นเหอพลันดังทุ้มต่ำจากนอกห้อง“ท่านแม่ทัพ สาวใช้เรือนฮูหยินใหญ่นำน้ำแกงบำรุงมาส่งให้ขอรับ”หยางเจี้ยนรับเสียงเฉยชา “เข้ามา”ประตูถูกเปิดออก จิ้นเหอรับน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยใหญ่จากสาวใช้มาวางลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเงียบๆหยางเจี้ยนยกน้ำแกงขึ้นดื่มอย่างไม่รู้รสชาติ ไม่นานต่อมาแม้รู้สึกร้อนผ่าวแปลกประหลาดก็มิสนใจสองเค่อ[1]ให้หลัง สาวใช้ของเรือนมารดาก็มาอีกครา จิ้นเหอส่งเสียงทุ้มต่ำอีกรอบ “ท่านแม่ทัพ ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาเข้าหอแล้วขอรับ”“อืม...” เสียงตอบรับของหยางเจี้ยนยังคงราบเรียบไร้ระลอกคลื่น ทว่ากายแกร่งกลับรู้สึกวูบวาบไปหมดประกายเพลิงรุมเร้าค่อยๆ ถูกจุดขึ้นในแ
แม้เป็นเพียงเรือนอนุแต่ขนาดของเรือนกลับไม่เล็ก แม้ไร้เกี้ยวแปดคนหาม แต่การตกแต่งจัดเตรียมห้องหอด้วยโคมไฟสีสดตระการตาอันบ่งบอกว่าให้เกียรติกันนั้นซู่หลินจึงยิ่งรู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเป็นอนุภรรยาสกุลหยาง และเมื่อคิดถึงใบหน้าคมคายหล่อเหลา ความสง่างามเป็นเอกของหยางเจี้ยน นางก็ยิ่งกระหยิ่มในใจสำหรับซู่หลินการทำให้บุรุษโปรดปรานมิใช่เรื่องยาก หากมิใช่เกิดมาในครอบครัวธรรมดา มีฐานะแค่สามัญชน เป็นเพียงหลานสาวของอนุขุนนางขั้นสี่ เกรงว่าคงได้มีโอกาสร่ายมารยาต่อพระพักตร์ ทำให้องค์จักรพรรดิหลงใหลจนได้เป็นพระสนมคนโปรดไปแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือซู่หลินเป็นหญิงงามอย่างแท้จริง มองมุมไหนก็น่าพิสมัยชวนสัมผัส แม้นิสัยภายในจะเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แต่เพราะนางมีใบหน้าอ่อนหวานหยาดเยิ้ม เวลาคลี่ยิ้มยิ่งหวานล้ำเป็นพิเศษจึงปกปิดนิสัยแท้จริงไปสิ้น เผยเพียงความงดงามเป็นเลิศให้ได้เห็นเท่านั้น ซู่หลินกวาดตามองเรือนหอหรูหราสมฐานะจวนอย่างพึงพอใจยิ่งให้สาวใช้คนสนิทไปสืบระหว่างรอเข้าหอถึงนิสัยใจคอของหยางเจี้ยนและได้รู้ถึงความสัมพันธ์อันห่างเหินระหว่างเขากับภรรยาเอกของเขา ซู่หลินก็ยิ่งยกยิ้มเย้ยหยันม
เนื่องจากเป็นร่างใหม่มิใช่ร่างเดิม พื้นฐานร่างกายอ่อนด้อยอย่างมากหลายเดือนที่ผ่านมาหมิงเยว่จึงไม่พลาดการฝึกหนักสักวัน ยามนี้ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น แม้ฝีมือยังไม่ก้าวหน้า ทว่าไม่นานย่อมสูงส่งเท่าเดิมอา...นางลืมไป ร่างเดิมฝึกฝนตั้งแต่จำความได้ แต่ร่างนี้เพิ่งฝึกไม่กี่เดือนเท่านั้น พรหมจรรย์ยังไม่เหลือแล้ว ย่อมมิอาจเก่งกาจเทียบร่างเดิมได้อีกพูดง่ายๆ ว่าห่างชั้นนั่นล่ะ! เฮ้อ...แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนางก็ได้ร่างใหม่เป็นคน มิใช่สัตว์เดรัจฉาน จุดสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่ความพยายามของคนทั้งสิ้น ชีวิตคือการแสวงหา ขอแค่หมั่นฝึกฝน ทบทวนวันละหลายหน ขยันพากเพียรเท่านั้นหมิงเยว่ยกกำปั้นขึ้นเบื้องหน้าทำสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ ระหว่างนอนแช่น้ำอุ่นหอมกรุ่นอย่างสบายอารมณ์เมื่ออาบน้ำจนพอใจ กลิ่นสาบเหงื่อไคลหายไปสิ้น นางก็ลุกขึ้นจากถังอาบน้ำ พาร่างอรชรขาวเนียนนุ่มลื่นไปแต่งกายที่หน้าชั้นไม้ ก่อนเดินหมุนกายอ้อนแอ้นมาที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง โดยไม่เรียกใช้ใครให้ความลับเรื่องแอบฝึกวรยุทธ์รั่วไหลหญิงสาวสวมชุดเบาสบาย สำรวจตนเองหน้ากระจกตามวิสัยของอิสตรี ต่อให้นิสัยไม่ดีแต่ก็ยังรักสวยรักงามยิ่งคุณหนูไป๋ผ
หมิงเยว่หรี่ตามองสาวใช้คนสนิทอย่างงุนงง “อะไร”จริงอยู่ว่าหญิงสาวมิได้แยแสผู้คนจวนหยางเท่าใด แต่หนทางกลับไปยิ่งใหญ่ดุจเดิมจะมองอย่างไรก็ยังริบหรี่ ดีไม่ดีอาจไม่ง่าย เพราะค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสลายไปแล้ว มีเพียงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนเท่านั้น อาจจะสามปีห้าปีหรือสิบปี แม่ทัพหยางก็เป็นบุรุษไม่เลวเลยสักนิด ออกจะดีงามด้วยซ้ำ ได้เขาเป็นสามีก็นับว่าไม่เสียชาติที่ได้เกิดใหม่แล้วขณะคิดเรื่อยเปื่อย ฝ่ามือกลมป้อมของจิ่นซินก็ขยับจากขอบเตียงมาเขย่าไหล่ของหมิงเยว่จนหัวสั่นหัวคลอน“คุณหนู... ท่านยังจะยิ้มกริ่มอันใดเจ้าคะ? ข้าศึกตัวฉกาจเข้าเมืองมาแล้ว กำลังจะยึดฐานทัพแล้วเจ้าค่ะ”เพราะเป็นสาวใช้ของฮูหยินแม่ทัพ จิ่นซินจึงแอบศึกษาเรื่องแนวนี้มาบ้างเล็กน้อยเพื่อจะได้ทันสถานการณ์ เผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน จะได้คุยกันรู้เรื่อง“ลุกขึ้นเจ้าค่ะ อย่ามัวนอน”จิ่นซินจับแขนเรียวบางของนายสาวให้ลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน นางลืมหมดแล้วเรื่องกิริยาใดควรไม่ควร ศีลธรรมจารีตประเพณีอันใดก็ไม่ใส่ใจแล้วทั้งสิ้น“คุณหนู ท่านต้องไปทวงสิทธิ์ของท่าน แม้บารมีของภรรยาต้องได้สามีส่งเสริม ทว่าตำแหน่งฮูหยินเอกมิใช่จะให้ผู้ใดมาหยามหมิ่นข้
ประตูห้องในเรือนอนุซู่ถูกถีบดังโครม เป็นการเปิดประตูอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จวนหยางเคยเจอมาด้านหลังของหมิงเยว่คือเหล่าสาวใช้ที่กำลังกรีดร้องอย่างตกใจเสียขวัญกับการมาเยือนไม่คาดฝันของฮูหยินเอก ส่วนด้านหน้าคือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังตระกองกอดกันใบหน้าหล่อเหลากับใบหน้างดงามใกล้กันปานนั้นฝ่ายหญิงมีเสื้อผ้าเปิดเปลือยหลุดลุ่ยเผยเนินอกอวบส่วนฝ่ายชายเสื้อผ้ายังอยู่ครบ ปลดแค่สายคาดเอว แต่เขากำลังก้มหน้าประชิด อีกไม่ถึงชุ่น ริมฝีปากก็แนบสนิทจุมพิตอย่างร้อนแรงหมิงเยว่ลอบแค่นเสียงหยัน เตียงนอนมีเหตุใดไม่ใช้ มายืนเล่นท่ายากอันใดตรงนี้? รีบร้อนจริงเชียว!เมื่อมีคนเข้ามาขัดจังหวะเริงสวรรค์ ซู่หลินก็กรีดร้องอย่างตระหนกตกใจเป็นที่สุด“อ๊าย!”นางรีบยกมือปิดบังทรวงอกสล้าง เบียดกายนุ่มแนบชิดร่างแข็งแรงของหยางเจี้ยนอย่างต้องการให้ปกป้องใบหน้าหวานบิดเบี้ยวไม่น่ามอง ประหนึ่งถูกทำร้ายแสนสาหัส ทว่ากลับมีปราดหนึ่งที่แววตาคล้ายยิ้มเยาะแวบนั้นหมิงเยว่ย่อมมองทัน แต่นางไม่สนใจซู่หลิน เพียงเดินเข้ามากระชากสตรีจอมมารยาออกไปอย่างรำคาญ ให้อีกฝ่ายไปเสแสร้งไกลๆ ก่อนหันมาจับกระชากสาบเสื้อของหยางเจี้ยนเข้าใกล้อย่างไร้
ดวงจันทร์ยังสุกสกาว ดวงดาวพร่างพราวดุจเดิม ส่องแสงเย็นเยียบภายใต้บรรยากาศราบเรียบเช่นเดิมทว่าหยางเจี้ยนกลับร้อนรุ่มอย่างมาก รู้สึกคล้ายตื่นเต้นอย่างประหลาด มิคาดว่าแค่ถูกภรรยาที่มองมุมไหนก็ไม่น่าพิศมัยออกมาตาม ตัวเขากลับใจเต้นแรงเกินควบคุมชายหนุ่มเดินอาดๆ ก้าวขายาวราวกำลังเกรี้ยวกราดน้ำแกงถ้วยนั้นไยฤทธิ์เดชฉกาจล้ำ“ในเมื่อเจ้าขอโทษ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ไถ่โทษ”กล่าวพลางก้าวเท้าหนักแน่นแต่ว่องไวปราดเปรียวไปทางเรือนหลัก ไม่คิดวกกลับเรือนหนังสือที่เคยพำนักหมิงเยว่เดินตามแทบไม่ทัน มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างโง่งมเต็มขั้น“แม้ข้าจะมีนิสัยไม่ดีกิริยาย่ำแย่ แต่ความรับผิดชอบไม่น้อยแน่ บอกมาเถอะอยากให้ไถ่โทษอะไร”คำพูดคำจาห้าวหาญเยี่ยงบุรุษเช่นนั้น หยางเจี้ยนให้รู้สึกสะดุดหูยิ่งนัก ทว่าอาการขมวดเกร็งของร่างกายคล้ายกับเกิดคลื่นโหมระลอกใหญ่ทำให้เขามิได้เก็บมาใส่ใจอันใดชายหนุ่มก้าวเท้าไม่กี่ครั้งก็เข้าด้านในเรือนหลัก โดยมีหญิงสาวผู้เป็นภรรยาเดินตามเข้ามาด้วยกันเขาหันหน้ามา กล่าวเสียงขรึม “มีลูกให้ข้า”“หา!?”ประตูถูกปิดลง มีคนเฝ้าเอาไว้อย่างแข็งขัน คนผู้นั้นคือจิ่นซิน สาวใช้แน่งน้อยพร้อมกางปีก
ด้านในห้องนอนหรูหราของเรือนหลักแม่ทัพหยาง บัดนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งเพลิงปรารถนา จนร้อนระอุประดุจอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟภาพฝัน สองมือหญิงชายสอดประสานและกอบกุม ต่างให้ความอุ่นแก่กันและกัน ลำแขนแข็งแรงของบุรุษคล้องประคองร่างบางอย่างอ่อนโยน ครอบครองอย่างต้องการให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยบทเพลงรักไหลลื่นทั้งรัญจวนชวนคลั่งใคล้ไปตามจังหวะสวรรค์บทเพลงดุจดังลงมาจากชั้นฟ้าที่ยังคงบรรเลงอยู่นั้น ทำคนคล้ายดั่งตกบ่วงนิมิตรแสนหวาน นิทราที่ยังไม่ลุกตื่นทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปตามอารมณ์แห่งรักใคร่ ทั้งโหยหาเฝ้าถวิลมิเจือจาง ทุกอารมณ์ที่อุบัติล้วนเกิดจากใจ หาใช่จากสติอันเสียเวลาพินิจกลั่นกรองอันใดให้มากความทว่านั่น! คือห้วงมโนตามจินตนาการอันเหลวไหลเพราะความเป็นจริงนั้น ช่างแตกต่างห่างไกลจากฝันในนิทราหวานชั่วยามนี้!เสื้อผ้าหนาแน่นของหยางเจี้ยนที่เดิมทีอนุญาตให้ปลดเพียงสายคาดเอว ยามนี้ถูกหมิงเยว่จับถอดจนเกลี้ยง กระทั่งชุดด้านในยังไม่เหลือ สัดส่วนกำยำอันสมบูรณ์แบบจึงถูกเปลือยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สง่างามหาใดเทียมฝ่ายหมิงเยว่เองก็ไม่น้อยหน้า นางถูกหยางเจี้ยนจับถอดผ้าจนสิ้นทุกชิ้นเช่นกันหลังจากนั
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย
ในห้องอีกฝั่ง หมิงเยว่ยืนเบิกตามองซิงเยว่นิ่งค้าง“เจ้ามิได้ความจำเสื่อมแล้วหรือ?”หมิงเยว่เอ่ยปากถามออกมาในที่สุด ยิ่งเห็นท่วงท่าสุขุมนุ่มลึกทั้งสงบเยือกเย็นของซิงเยว่ที่แตกต่างจากวันที่นางแบกออกมาจากคฤหาสน์หลิวก็ยิ่งมั่นใจ“เจ้าจำเรื่องของตัวเองได้แล้วใช่หรือไม่?”ซิงเยว่ยืนตรงริมหน้าต่างค่อยๆ หันมาผลิยิ้มหวานชวนเหน็บหนาวออกมา “ต้องขอบคุณฝ่ามือนั้นของท่าน ที่ซัดข้าจนกระอักเลือด”หมิงเยว่ได้ฟังพลันหัวเราะ “หากข้ารู้ว่าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะหายจากอาการความจำเสื่อมคงซัดเจ้าให้กระอักเลือดตั้งนานแล้ว”หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบบ่าน้องสาว“เจ้าจำตัวตนที่แท้จริงได้แล้วก็ดี จากนี้จงเลิกยุ่งกับนายน้อยหลิวเสียเถิด กลับไปปกครองเหมืองแร่แดนใต้ซะ”ซิงเยว่ส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้”หมิงเยว่มุ่นคิ้ว “เหตุใดจะทำไม่ได้ เจ้าบ้าไปแล้ว”ซิงเยว่ยิ้มขื่น “เป็นเพราะหายดี ข้ายิ่งไม่อาจตัดใจ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดพลันเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ น้องสาวผู้เย่อหยิ่งทะนงตนของนาง เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนถึงเพียงนี้ ทุกสิ่งเป็นเพราะความผิดของนางใช่ไหม? เพราะนางไม่ดูแลน้องสาวให้ดี“ซิงเยว่ เกิดอันใดขึ้น
“ท่านแม่ทัพ นายน้อยหลิว” จิ้นเหอทักทายทั้งสอง จากนั้นก็ดูแลจัดเตรียมสุราและกับแกล้มด้วยความรวดเร็วเพียงครู่ บนโต๊ะในศาลาพลันมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ บุรุษทั้งสองนั่งลงดื่มกินเงียบๆ สายตาพวกเขาล่องลอยไปตามสายลมที่โชยไล้แสงตะวัน ปล่อยความคิดอยู่เนิ่นนาน ไกลแสนไกล...กระทั่งหยางเจี้ยนหันกลับมาสนใจหลิวไท่หยางและเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน“สตรียุทธภพมิเหมือนสตรีในห้องหอของเมืองหลวง เรื่องนี้ท่านน่าจะทราบดีกระมัง?”หลิวไท่หยางมุ่นคิ้วพลางถามกลับเสียงเคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพคงมิได้กำลังหมายถึงซิงเอ๋อร์ของข้า?”มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่คนอย่างหยางเจี้ยนจะสามารถสืบจนล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของซิงเยว่ นายน้อยหลิวจึงระมัดระวังตัวขึ้นมาหยางเจี้ยนยังคงมีรอยยิ้มในหน้าแม้แววตาจะเย็นชา“ท่านอย่าได้ห่วง ฐานะที่แท้จริงของซิงเยว่มีเพียงเป็นคหบดีหญิงแดนใต้ผู้ร่ำรวยมหาศาล”แม่ทัพหนุ่มจำต้องโกหกว่าเขารู้แค่นั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่เมื่อเห็นหลิวไท่หยางรับฟังนิ่งๆ หยางเจี้ยนจึงหรี่ตา “ท่านคงรู้อยู่แล้วกระมัง”หลิวไท่หยางไม่ตอบ หยางเจี้ยนจึงยกสุราขึ้นดื่มก่อนเอ่ยเสียงเนิบ “สิ่งที่ข้าต้องการบอกท่านก็คือ ฮ