เนื่องจากเป็นร่างใหม่มิใช่ร่างเดิม พื้นฐานร่างกายอ่อนด้อยอย่างมาก
หลายเดือนที่ผ่านมาหมิงเยว่จึงไม่พลาดการฝึกหนักสักวัน ยามนี้ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น แม้ฝีมือยังไม่ก้าวหน้า ทว่าไม่นานย่อมสูงส่งเท่าเดิม
อา...นางลืมไป ร่างเดิมฝึกฝนตั้งแต่จำความได้ แต่ร่างนี้เพิ่งฝึกไม่กี่เดือนเท่านั้น พรหมจรรย์ยังไม่เหลือแล้ว ย่อมมิอาจเก่งกาจเทียบร่างเดิมได้อีก
พูดง่ายๆ ว่าห่างชั้นนั่นล่ะ! เฮ้อ...
แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนางก็ได้ร่างใหม่เป็นคน มิใช่สัตว์เดรัจฉาน จุดสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่ความพยายามของคนทั้งสิ้น ชีวิตคือการแสวงหา ขอแค่หมั่นฝึกฝน ทบทวนวันละหลายหน ขยันพากเพียรเท่านั้น
หมิงเยว่ยกกำปั้นขึ้นเบื้องหน้าทำสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ ระหว่างนอนแช่น้ำอุ่นหอมกรุ่นอย่างสบายอารมณ์
เมื่ออาบน้ำจนพอใจ กลิ่นสาบเหงื่อไคลหายไปสิ้น นางก็ลุกขึ้นจากถังอาบน้ำ พาร่างอรชรขาวเนียนนุ่มลื่นไปแต่งกายที่หน้าชั้นไม้ ก่อนเดินหมุนกายอ้อนแอ้นมาที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง โดยไม่เรียกใช้ใครให้ความลับเรื่องแอบฝึกวรยุทธ์รั่วไหล
หญิงสาวสวมชุดเบาสบาย สำรวจตนเองหน้ากระจกตามวิสัยของอิสตรี ต่อให้นิสัยไม่ดีแต่ก็ยังรักสวยรักงามยิ่ง
คุณหนูไป๋ผู้นี้สะคราญโฉมไม่เบา สัดส่วนงดงามกำลังดี เอวคอดกิ่ว สะโพกผายกลมกลึง เนินอกอิ่มเต่งตึง ผิวพรรณหรือยังขาวเนียนละเอียดลออ ยามสัมผัสให้รู้สึกสบายมือมาก นุ่มลื่นดุจแพรไหมชั้นยอด บีบจับตรงไหนก็คล้ายบุปผาฉ่ำน้ำไปหมด
หมิงเยว่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าคุณหนูไป๋ผู้นี้พิลาสล้ำกว่านางมากโข ตัวนางเองในร่างเดิม สิ่งใดควรมีกลับไม่มี หน้าอกยังต้องคลำหา เอวก็มิได้คอดกิ่ว สะโพกยิ่งไม่ผาย สัดส่วนดุจไม้กระดานก็มิปาน ไร้ความกลมกลึงยิ่ง
มีดีอย่างเดียวแค่ดวงตา
อืม...แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูไป๋ผู้นี้นอกจากมีนามเดียวกันยังมีดวงตาเหมือนกับนางในร่างเดิมอยู่มากเลยนะ
หญิงสาวลองยกฝ่ามือขึ้นปิดใบหน้าครึ่งล่างเหลือเพียงดวงตาทอประกายคมเฉี่ยว
อืม...เหมือนจริงด้วย
เมื่อพินิจพิเคราะห์จนพอใจ หมิงเยว่ก็หันไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มแล้วห่มผ้า
นางเป็นคนรักษาสุขภาพอย่างมาก
หญิงสาวถอนหายใจลึกยาวผ่อนคลายเปี่ยมสุขยิ่ง ก่อนจะหลับใหลในชั่วเวลาต่อมา
ทว่ายังไม่ทันปิดเปลือกตา จิ่นซินก็วิ่งตึงตังเข้ามา
สาวใช้คุกเข่าเกาะขอบเตียงอย่างไม่สนใจมารยาท นางร้องไห้โหยหวนเหมือนหมูตัวน้อยถูกเชือดมา
“คุณหนู ท่านยังจะนอนหลับตาลงได้อย่างไร?”
หมิงเยว่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ได้เวลานอนก็ต้องนอน แล้วยามนอนก็ต้องหลับตาปะไร เจ้าพูดอย่างกับการทำสิ่งนี้คือความผิดมหันต์กระนั้น”
จิ่นซินโอดครวญน้ำตาไหลพราก เขย่าขอบเตียง
“โธ่! คุณหนู ท่านไม่ควรเพิกเฉยต่อท่านแม่ทัพเลย บ่าวผิดเองที่ไม่เตือนคุณหนู แล้วแบบนี้ต่อไปคุณหนูจะอยู่อย่างไร? จะใช้ชีวิตในจวนหยางได้หรือไม่?”
นางสะอึกสะอื้นกล่าวไม่หยุด
“แม้สมรสพระราชทานมิอาจหย่าร้างตามอำเภอใจ แต่ภายหน้าหากท่านมิได้รับความโปรดปราน แล้วอนุได้รับความรักใคร่ไปเต็มเปี่ยม ได้สิทธิ์มีทายาทสืบสกุลให้แม่ทัพเพียงผู้เดียว พวกคนไร้เมตตาเหล่านั้นของจวนมิส่งท่านไปเฝ้าสุสานบรรพชนจนตายอย่างโดดเดี่ยวไร้ค่าหรอกหรือ?”
หมิงเยว่หรี่ตามองสาวใช้คนสนิทอย่างงุนงง “อะไร”จริงอยู่ว่าหญิงสาวมิได้แยแสผู้คนจวนหยางเท่าใด แต่หนทางกลับไปยิ่งใหญ่ดุจเดิมจะมองอย่างไรก็ยังริบหรี่ ดีไม่ดีอาจไม่ง่าย เพราะค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสลายไปแล้ว มีเพียงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนเท่านั้น อาจจะสามปีห้าปีหรือสิบปี แม่ทัพหยางก็เป็นบุรุษไม่เลวเลยสักนิด ออกจะดีงามด้วยซ้ำ ได้เขาเป็นสามีก็นับว่าไม่เสียชาติที่ได้เกิดใหม่แล้วขณะคิดเรื่อยเปื่อย ฝ่ามือกลมป้อมของจิ่นซินก็ขยับจากขอบเตียงมาเขย่าไหล่ของหมิงเยว่จนหัวสั่นหัวคลอน“คุณหนู... ท่านยังจะยิ้มกริ่มอันใดเจ้าคะ? ข้าศึกตัวฉกาจเข้าเมืองมาแล้ว กำลังจะยึดฐานทัพแล้วเจ้าค่ะ”เพราะเป็นสาวใช้ของฮูหยินแม่ทัพ จิ่นซินจึงแอบศึกษาเรื่องแนวนี้มาบ้างเล็กน้อยเพื่อจะได้ทันสถานการณ์ เผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน จะได้คุยกันรู้เรื่อง“ลุกขึ้นเจ้าค่ะ อย่ามัวนอน”จิ่นซินจับแขนเรียวบางของนายสาวให้ลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน นางลืมหมดแล้วเรื่องกิริยาใดควรไม่ควร ศีลธรรมจารีตประเพณีอันใดก็ไม่ใส่ใจแล้วทั้งสิ้น“คุณหนู ท่านต้องไปทวงสิทธิ์ของท่าน แม้บารมีของภรรยาต้องได้สามีส่งเสริม ทว่าตำแหน่งฮูหยินเอกมิใช่จะให้ผู้ใดมาหยามหมิ่นข้
ประตูห้องในเรือนอนุซู่ถูกถีบดังโครม เป็นการเปิดประตูอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จวนหยางเคยเจอมาด้านหลังของหมิงเยว่คือเหล่าสาวใช้ที่กำลังกรีดร้องอย่างตกใจเสียขวัญกับการมาเยือนไม่คาดฝันของฮูหยินเอก ส่วนด้านหน้าคือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังตระกองกอดกันใบหน้าหล่อเหลากับใบหน้างดงามใกล้กันปานนั้นฝ่ายหญิงมีเสื้อผ้าเปิดเปลือยหลุดลุ่ยเผยเนินอกอวบส่วนฝ่ายชายเสื้อผ้ายังอยู่ครบ ปลดแค่สายคาดเอว แต่เขากำลังก้มหน้าประชิด อีกไม่ถึงชุ่น ริมฝีปากก็แนบสนิทจุมพิตอย่างร้อนแรงหมิงเยว่ลอบแค่นเสียงหยัน เตียงนอนมีเหตุใดไม่ใช้ มายืนเล่นท่ายากอันใดตรงนี้? รีบร้อนจริงเชียว!เมื่อมีคนเข้ามาขัดจังหวะเริงสวรรค์ ซู่หลินก็กรีดร้องอย่างตระหนกตกใจเป็นที่สุด“อ๊าย!”นางรีบยกมือปิดบังทรวงอกสล้าง เบียดกายนุ่มแนบชิดร่างแข็งแรงของหยางเจี้ยนอย่างต้องการให้ปกป้องใบหน้าหวานบิดเบี้ยวไม่น่ามอง ประหนึ่งถูกทำร้ายแสนสาหัส ทว่ากลับมีปราดหนึ่งที่แววตาคล้ายยิ้มเยาะแวบนั้นหมิงเยว่ย่อมมองทัน แต่นางไม่สนใจซู่หลิน เพียงเดินเข้ามากระชากสตรีจอมมารยาออกไปอย่างรำคาญ ให้อีกฝ่ายไปเสแสร้งไกลๆ ก่อนหันมาจับกระชากสาบเสื้อของหยางเจี้ยนเข้าใกล้อย่างไร้
ดวงจันทร์ยังสุกสกาว ดวงดาวพร่างพราวดุจเดิม ส่องแสงเย็นเยียบภายใต้บรรยากาศราบเรียบเช่นเดิมทว่าหยางเจี้ยนกลับร้อนรุ่มอย่างมาก รู้สึกคล้ายตื่นเต้นอย่างประหลาด มิคาดว่าแค่ถูกภรรยาที่มองมุมไหนก็ไม่น่าพิศมัยออกมาตาม ตัวเขากลับใจเต้นแรงเกินควบคุมชายหนุ่มเดินอาดๆ ก้าวขายาวราวกำลังเกรี้ยวกราดน้ำแกงถ้วยนั้นไยฤทธิ์เดชฉกาจล้ำ“ในเมื่อเจ้าขอโทษ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ไถ่โทษ”กล่าวพลางก้าวเท้าหนักแน่นแต่ว่องไวปราดเปรียวไปทางเรือนหลัก ไม่คิดวกกลับเรือนหนังสือที่เคยพำนักหมิงเยว่เดินตามแทบไม่ทัน มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างโง่งมเต็มขั้น“แม้ข้าจะมีนิสัยไม่ดีกิริยาย่ำแย่ แต่ความรับผิดชอบไม่น้อยแน่ บอกมาเถอะอยากให้ไถ่โทษอะไร”คำพูดคำจาห้าวหาญเยี่ยงบุรุษเช่นนั้น หยางเจี้ยนให้รู้สึกสะดุดหูยิ่งนัก ทว่าอาการขมวดเกร็งของร่างกายคล้ายกับเกิดคลื่นโหมระลอกใหญ่ทำให้เขามิได้เก็บมาใส่ใจอันใดชายหนุ่มก้าวเท้าไม่กี่ครั้งก็เข้าด้านในเรือนหลัก โดยมีหญิงสาวผู้เป็นภรรยาเดินตามเข้ามาด้วยกันเขาหันหน้ามา กล่าวเสียงขรึม “มีลูกให้ข้า”“หา!?”ประตูถูกปิดลง มีคนเฝ้าเอาไว้อย่างแข็งขัน คนผู้นั้นคือจิ่นซิน สาวใช้แน่งน้อยพร้อมกางปีก
ด้านในห้องนอนหรูหราของเรือนหลักแม่ทัพหยาง บัดนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งเพลิงปรารถนา จนร้อนระอุประดุจอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟภาพฝัน สองมือหญิงชายสอดประสานและกอบกุม ต่างให้ความอุ่นแก่กันและกัน ลำแขนแข็งแรงของบุรุษคล้องประคองร่างบางอย่างอ่อนโยน ครอบครองอย่างต้องการให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยบทเพลงรักไหลลื่นทั้งรัญจวนชวนคลั่งใคล้ไปตามจังหวะสวรรค์บทเพลงดุจดังลงมาจากชั้นฟ้าที่ยังคงบรรเลงอยู่นั้น ทำคนคล้ายดั่งตกบ่วงนิมิตรแสนหวาน นิทราที่ยังไม่ลุกตื่นทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปตามอารมณ์แห่งรักใคร่ ทั้งโหยหาเฝ้าถวิลมิเจือจาง ทุกอารมณ์ที่อุบัติล้วนเกิดจากใจ หาใช่จากสติอันเสียเวลาพินิจกลั่นกรองอันใดให้มากความทว่านั่น! คือห้วงมโนตามจินตนาการอันเหลวไหลเพราะความเป็นจริงนั้น ช่างแตกต่างห่างไกลจากฝันในนิทราหวานชั่วยามนี้!เสื้อผ้าหนาแน่นของหยางเจี้ยนที่เดิมทีอนุญาตให้ปลดเพียงสายคาดเอว ยามนี้ถูกหมิงเยว่จับถอดจนเกลี้ยง กระทั่งชุดด้านในยังไม่เหลือ สัดส่วนกำยำอันสมบูรณ์แบบจึงถูกเปลือยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สง่างามหาใดเทียมฝ่ายหมิงเยว่เองก็ไม่น้อยหน้า นางถูกหยางเจี้ยนจับถอดผ้าจนสิ้นทุกชิ้นเช่นกันหลังจากนั
รุ่งสางมาเยือนเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องสิ้นสุดลงนานแล้ว เงาร่างสองสายที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวก็คลายออกแล้วเช่นกัน ทว่ากลับไร้วี่แววว่าเจ้านายจะเรียกหาสาวใช้รอบเรือนพากันเมียงมองตามเสียงเปี่ยมสุขของท่านแม่ทัพกับฮูหยินอย่างริษยาจิ่นซินให้รู้สึกยินดีขึ้นมาไม่น้อยในฐานะสาวใช้ หากเจ้านายได้ดี บ่าวย่อมสบายใจ ชีวิตน้อยๆ ในจวนใหญ่จะได้มีวันคืนสดใส ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา ก้มหน้ามิกล้าเงยอีกเรื่องระหว่างคุณหนูของนางกับท่านแม่ทัพหยาง ต่อให้มิใช่ความรัก ขอแค่มีความใคร่ก็นับว่าดีมากแล้วจังหวะที่จิ่นซินคิดอย่างมีความสุขหลุดหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว จิ้นเหอเดินกลับมาหลังจากที่หายไปครู่หนึ่ง“พี่เหอไปที่ใดมาหรือ?”เนื่องจากได้คุยกันปลอบกันทั้งคืนยามยืนเฝ้าหน้าห้องเจ้านาย สาวใช้แน่งน้อยจึงได้รับคำอนุญาตให้เรียกขานท่านรองแม่ทัพหนุ่มอย่างสนิทสนมเช่นนี้“ข้าไปสั่งคนต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายอย่างไรเล่า เจ้าไยมิใช่ปรารถนาให้ท่านแม่ทัพมีบุตรกับฮูหยินรึ?”จิ่นซินได้ยินพลันตาโตแน่นอนว่านางปรารถนาเช่นนั้น หากแต่ก่อนหน้านี้เจ้านายของนางถูกท่านแม่ทัพละเลยถึงขนาดไม่มาเยือน หายหน้าหายตาไปหลายเดือนการไปสั่งคนใ
ห้องโถงหลักในเรือนใหญ่วันนี้มีบรรยากาศคุกรุ่นมากกว่าทุกวัน เหล่าผู้อาวุโสล้วนมีสีหน้าเครียดตึงยิ่งนักเบื้องหน้าของพวกเขาคือซู่หลิน นางกำลังคุกเข่าอ้อนวอนฟ้องร้องขอความเป็นธรรมด้วยน้ำเสียงสั่นเทา“ฮูหยินท่านแม่ทัพช่างมีจิตใจคับแคบเหลือเกิน หลินเอ๋อร์เกิดมายังไม่เคยเจอสตรีใดเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”คนงามยามร่ำไห้กล่าววาจาเสียงหวานช่างเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนทรมานใจ นางยกชายผ้าซับน้ำตาอย่างอ่อนช้อย กล่าวเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นอีกว่า “กฎระเบียบธรรมเนียม ศีลธรรมจรรยาที่ผู้คนยึดถือปฏิบัติมาช้านาน หลินเอ๋อร์ล้วนท่องจำได้ขึ้นใจ มิคาดว่าฮูหยินน้อยสกุลไป๋จะ....”ซู่หลินจงใจกล่าวไม่จบไปเช่นนั้น คงไว้เพียงประโยคที่กล่าวถึงตน ให้ผู้คนตีความได้เองว่านางใส่ใจกฎธรรมเนียม สมเป็นกุลสตรี อันแตกต่างจากสตรีอีกคนที่ทำตัวหยาบช้า ไม่รักษากฎระเบียบอันพึงปฏิบัติ ช่างผิดแผกยิ่งนักแม้ซู่หลินจะเข้าจวนหยางมาแค่ฐานะอนุภรรยา การเข้าถึงโถงหลักของเรือนใหญ่ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนับว่าหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆการที่ฮูหยินเอกบุกห้องหอของอนุแล้วพาสามีกลับออกไปอย่างอุกอาจเยี่ยงนั้น เคยมีที่ใด?นายท่านใหญ
วาจายาวเหยียดของเจียวหั่ว หมิงเยว่เพียงรับฟังด้วยท่าทางนิ่งสงบ สตรีนางนี้ไม่เห็นน่ากลัว...หมิงเยว่แค่นเสียงหยันในใจ เจียวหั่วมิได้รับสิทธิ์ให้อยู่ในสายตานางอยู่แล้วแต่เมื่อคืนนางรับปากสามีไปแล้วว่าจะให้เกียรติเขา จำต้องสงบเสงี่ยมสักหน่อย โทษหนักจะได้เป็นเบา “หากเป็นเรื่องเมื่อคืนวาน หลานสะใภ้สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปหลานสะใภ้จะทำตัวดีๆ มีจิตใจกว้างขวาง ยินยอมให้สามีรับอนุไม่จำกัด จะยกท่านอาสะใภ้เป็นแบบอย่างนะเจ้าคะ”หมิงเยว่มิได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับคนในครอบครัวหยาง นางแค่กล่าวคำอย่างคนกลิ้งกลอกเท่านั้นทว่ากับคล้ายเป็นการตบหน้าเจียวหั่วอย่างแรง สาเหตุเพราะอีกฝ่ายจิตใจคับแคบอย่างที่สุด ไม่เคยอนุญาตให้สามีรับอนุสักคนนางมักจะกล่าวอ้างว่าจวนสกุลหยางเปี่ยมอำนาจมากบารมีพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมให้โดดเด่นมากกว่านี้ อาจทำคนทั้งตระกูลเป็นที่เพ็งเล็ง และผู้เฒ่าล้วนเห็นด้วยกับเหตุผลเหล่านี้ของเจียวหั่วเมื่อหมิงเยว่กล่าวคำเสมือนชี้ช่องทางชั่วให้คนไม่ดี[1] ทำเอานายท่านรองหยางเจ๋อให้รู้สึกพอใจนัก“หลานสะใภ้กล่าวได้ดี หึหึ!”เจียวหั่วหันมาขึงตา “ท่านพี่!”บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งรู้สึกกริ่ง
เรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นนี้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นายท่านใหญ่กับฮูหยินใหญ่ยังมิได้เอ่ยปากสักคำ กลับเป็นผู้อื่นที่เป็นธุระจัดการให้จนสิ้นทั้งหยางจงและฟางเหนียงจึงใช้เวลาจิบชานั่งคุยกันเรื่องบุตรชายอย่างเคร่งเครียดอยู่ภายในเรือนของตนหยางจงเอ่ยเสียงขรึม “เราสองคนเป็นบิดามารดาของเจี้ยนเอ๋อร์แท้ๆ แต่กลับพูดสิ่งใดมิได้สักคำ”ฟางเหนียงวางถ้วยชาลงเบาๆ ท่วงท่ากิริยาเนิบนาบเชื่องช้าแต่มั่นคงสง่างามสมเป็นกุลสตรีจากสกุลสูงศักดิ์ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยทว่านุ่มนวลชวนยำเกรง“สะใภ้ทำผิดจริงจะพูดจาแก้ต่างหรือเข้าข้างก็ไม่ได้ ทว่าการพูดจาส่งเสริมให้ท้ายอนุ ข้าไม่คิดทำแน่นอน”“เจ้ากับข้าไม่อาจทำได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงได้เป็นการยกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง เรื่องรับอนุให้เจี้ยนเอ๋อร์แรกเริ่มก็เป็นความคิดข้า ส่วนการเฟ้นหานางเข้ามายังเป็นเจ้า ลูกสะใภ้ไป๋ไม่รู้ล่วงหน้า การตื่นตระหนกจนอาละวาด กระทั่งละเลยมารยาทกฎเกณฑ์ก็พอเข้าใจได้ ทุกฝ่ายล้วนเป็นคนของเรา ไม่อาจเอ่ยปากคาดโทษใครได้ทั้งสิ้น”ฟางเหนียงพยักหน้า ถอนหายใจหนักอก“มิคาดว่าสะใภ้จากสกุลต่ำศักดิ์จักใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ไร้การอบรมสิ้นดี เห็นทีข้าต้อ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน