รุ่งสางมาเยือน
เสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องสิ้นสุดลงนานแล้ว เงาร่างสองสายที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวก็คลายออกแล้วเช่นกัน ทว่ากลับไร้วี่แววว่าเจ้านายจะเรียกหา
สาวใช้รอบเรือนพากันเมียงมองตามเสียงเปี่ยมสุขของท่านแม่ทัพกับฮูหยินอย่างริษยา
จิ่นซินให้รู้สึกยินดีขึ้นมาไม่น้อย
ในฐานะสาวใช้ หากเจ้านายได้ดี บ่าวย่อมสบายใจ ชีวิตน้อยๆ ในจวนใหญ่จะได้มีวันคืนสดใส ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา ก้มหน้ามิกล้าเงยอีก
เรื่องระหว่างคุณหนูของนางกับท่านแม่ทัพหยาง ต่อให้มิใช่ความรัก ขอแค่มีความใคร่ก็นับว่าดีมากแล้ว
จังหวะที่จิ่นซินคิดอย่างมีความสุขหลุดหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว จิ้นเหอเดินกลับมาหลังจากที่หายไปครู่หนึ่ง
“พี่เหอไปที่ใดมาหรือ?”
เนื่องจากได้คุยกันปลอบกันทั้งคืนยามยืนเฝ้าหน้าห้องเจ้านาย สาวใช้แน่งน้อยจึงได้รับคำอนุญาตให้เรียกขานท่านรองแม่ทัพหนุ่มอย่างสนิทสนมเช่นนี้
“ข้าไปสั่งคนต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายอย่างไรเล่า เจ้าไยมิใช่ปรารถนาให้ท่านแม่ทัพมีบุตรกับฮูหยินรึ?”
จิ่นซินได้ยินพลันตาโต
แน่นอนว่านางปรารถนาเช่นนั้น หากแต่ก่อนหน้านี้เจ้านายของนางถูกท่านแม่ทัพละเลยถึงขนาดไม่มาเยือน หายหน้าหายตาไปหลายเดือน
การไปสั่งคนให้ต้มยาจึงยังเกินความสามารถอยู่บ้าง
ด้วยเกรงว่าจากยาบำรุงจะได้เป็นยาพิษบั่นทอนสุขภาพแทน
ประสบการณ์จากจวนสกุลไป๋ทำให้จิ่นซินฉลาดขึ้นมาไม่น้อย แรกเริ่มก็เพียงคิดว่าสุขภาพของคุณหนูไม่ดีเพราะตรอมใจ ทว่าเมื่อคุณหนูได้แต่งงานออกมาจากจวนไป๋ นางได้เห็นคุณหนูแข็งแรงออกปานนี้ ที่บ้านเดิมต้องมีสิ่งผิดปกติแน่ๆ
แต่มัวคิดวิเคราะห์ยามนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว มิสู้อยู่ที่ใหม่ด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิม
จิ้นเหอเห็นสาวใช้ตัวน้อยทำตาโตค้างเติ่งก็ยกนิ้วขึ้นมาดีดหน้าผากนางอย่างอดใจมิได้
“โอ๊ะ!” จิ่นซินยกมือกุมขมับโอดครวญ “พี่ชาย...”
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าที่กล่าวไว้เมื่อคืน ท่านแม่ทัพสมควรมีบุตรคนแรกกับฮูหยินเอกเท่านั้น”
หญิงสาวชูนิ้วยกย่อง “พี่เหอยอดเยี่ยมที่สุดเจ้าค่ะ”
จิ้นเหอยกมือลูบจมูกแล้วยืดตัวกอดอกรับคำชมอย่างผึ่งผาย
ตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มมิใคร่เคยได้รับคำชมสักเท่าใด เพราะกาลก่อนเขาเป็นอันธพาล ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน ชอบหาเรื่องชกต่อยไปทั่ว มั่วสตรีไม่น้อย และนอนเฝ้าบ่อนไปวันๆ เท่านั้น
แม้ยามนี้เป็นถึงรองแม่ทัพก็จริง แต่ไม่คิดกลับจวนของตน สาเหตุล้วนเป็นเพราะบิดาหลงใหลอนุจนละเลยมารดาของเขาผู้เป็นภรรยาเอก กระทั่งตัวเขาต้องมีพี่ชายและพี่สาวซึ่งล้วนเป็นบุตรของอนุทั้งสิ้น
น้ำหนักในใจบิดายังเอนเอียงอย่างร้ายกาจ ท้ายที่สุดเมื่อมารดาของเขาตายไป บิดาแม้ไม่อาจยกย่องอนุขึ้นแทน เนื่องจากถูกทัดทานจากเหล่าผู้เฒ่าต้นตระกูล แต่กลับผลักดันพี่ชายขึ้นเป็นทายาทผู้สืบทอดอย่างแข็งขันดึงดัน ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นเพียงน้องชาย ทั้งยังเกเรไม่เอาไหน ผู้นำตระกูลคนต่อไปสมควรเป็นพี่ใหญ่จึงจะเหมาะสมกว่า
จากนั้นบิดายังยกฐานะให้พี่ใหญ่ขึ้นเป็นบุตรชายของภรรยาเอกผู้ล่วงลับ ทำทุกสิ่งอย่างถูกต้องต่อป้ายวิญญาณ ไร้ผู้อาวุโสทัดทาน โดยไม่มองสีหน้าไร้ความยินยอมของเขา
สถานที่ซึ่งมีคนใจหยาบอาศัยอยู่ ตัวเขาไม่เผาจวนจนสิ้นซากก็นับว่าทำบุญครั้งใหญ่ในชีวิตแล้ว
ภายใต้ความคิดนั้น จิ้นเหอเลิกคิ้ว ยกยิ้มเปี่ยมมิตรให้จิ่นซินอย่างจริงใจ
“ข้าย่อมเห็นด้วยกับเจ้าทุกประการ”
จิ่นซินไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตนเองผูกมิตรถูกคนเข้าแล้ว
ภายในห้องที่ยังคงกรุ่นกลิ่นอายวสันต์ไม่เจือจาง
แม่นางผู้หนึ่งนอนทอดกายอันเปลือยเปล่า ปล่อยผมดำขลับยาวสลวยจนถึงเอวคอด ตลอดเรือนร่างไร้สิ่งปกปิด เผยแผ่นหลังอันนวลเนียนขาวผ่องชวนมองมิอาจละสายตา
นางคว่ำหน้าร่ำไห้กระซิกๆ โดยมีชายหนุ่มผู้เป็นสามีนอนหันหน้าไปอีกทาง เผยแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยรอยเล็บ ชนกับแผ่นหลังบอบบางที่กำลังสั่นระริกของนาง
“เรื่องแบบนี้ระหว่างเรามิใช่ครั้งแรก เจ้าทำเหมือนข้าบังคับขืนใจให้ได้อะไรไม่ทราบ!”
หยางเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชาอย่างหมดความอดทน กล้ามเนื้อแกร่งเผยเส้นเลือดเดือดพล่าน คิ้วคมขมวดกลุ้ม
ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ดำคล้ำไปหมด รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ภรรยาผู้นี้ไยชอบทำผู้อื่นรู้สึกแย่! หลังจากร่วมรัก มิใช่ต้องรู้สึกดีหรือไร?
หมิงเยว่หันมองสามีพร้อมน้ำตาไหลพราก
“แล้วที่ทำกับข้าเมื่อคืนต่างจากบังคับขืนใจที่ใด? ข้าบอกว่าพอแล้วๆ แต่ท่านกลับทำไม่หยุด ทำซ้ำๆ เน้นย้ำตั้งหลายรอบ แขนหนึ่งโอบข้าทั้งตัว อีกมือยังกุมหัวกดตัวของข้าไว้ สั่งให้ขยับเร็วๆ เอวข้าแทบหักแล้วรู้หรือไม่?”
ช่างเป็นสตรีที่พร่ำบ่นได้เปิดเผยยิ่งนัก!
มีภรรยาบ้านใดเป็นเช่นนางหรือไร?
หยางเจี้ยนลุกขึ้นนั่งอย่างหงุดหงิด “ร่างระทดระทวยของเจ้าไยมิใช่เรียกร้องทั้งคืน ตอดรัดข้าขนาดนั้น ทั้งแขนที่โอบบ่าไม่ปล่อย ทั้งขาที่เกี่ยวเอวของข้าไว้แน่น”
เมื่อภรรยาเปิดเผยมา สามีจึงเถรตรงกลับไปไม่ยั้ง เขาคำรามเสียงทุ้มพร่า “ใครกันแน่ที่เอาแต่ใจ!”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าลวกๆ แล้วเดินจากไปอย่างโกรธเกรี้ยวทันที ทิ้งไว้เพียงสตรีต้องนอนกัดปากแน่น ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างบ้าคลั่งว่าไม่จริงๆ
ห้องโถงหลักในเรือนใหญ่วันนี้มีบรรยากาศคุกรุ่นมากกว่าทุกวัน เหล่าผู้อาวุโสล้วนมีสีหน้าเครียดตึงยิ่งนักเบื้องหน้าของพวกเขาคือซู่หลิน นางกำลังคุกเข่าอ้อนวอนฟ้องร้องขอความเป็นธรรมด้วยน้ำเสียงสั่นเทา“ฮูหยินท่านแม่ทัพช่างมีจิตใจคับแคบเหลือเกิน หลินเอ๋อร์เกิดมายังไม่เคยเจอสตรีใดเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”คนงามยามร่ำไห้กล่าววาจาเสียงหวานช่างเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนทรมานใจ นางยกชายผ้าซับน้ำตาอย่างอ่อนช้อย กล่าวเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นอีกว่า “กฎระเบียบธรรมเนียม ศีลธรรมจรรยาที่ผู้คนยึดถือปฏิบัติมาช้านาน หลินเอ๋อร์ล้วนท่องจำได้ขึ้นใจ มิคาดว่าฮูหยินน้อยสกุลไป๋จะ....”ซู่หลินจงใจกล่าวไม่จบไปเช่นนั้น คงไว้เพียงประโยคที่กล่าวถึงตน ให้ผู้คนตีความได้เองว่านางใส่ใจกฎธรรมเนียม สมเป็นกุลสตรี อันแตกต่างจากสตรีอีกคนที่ทำตัวหยาบช้า ไม่รักษากฎระเบียบอันพึงปฏิบัติ ช่างผิดแผกยิ่งนักแม้ซู่หลินจะเข้าจวนหยางมาแค่ฐานะอนุภรรยา การเข้าถึงโถงหลักของเรือนใหญ่ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนับว่าหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆการที่ฮูหยินเอกบุกห้องหอของอนุแล้วพาสามีกลับออกไปอย่างอุกอาจเยี่ยงนั้น เคยมีที่ใด?นายท่านใหญ
วาจายาวเหยียดของเจียวหั่ว หมิงเยว่เพียงรับฟังด้วยท่าทางนิ่งสงบ สตรีนางนี้ไม่เห็นน่ากลัว...หมิงเยว่แค่นเสียงหยันในใจ เจียวหั่วมิได้รับสิทธิ์ให้อยู่ในสายตานางอยู่แล้วแต่เมื่อคืนนางรับปากสามีไปแล้วว่าจะให้เกียรติเขา จำต้องสงบเสงี่ยมสักหน่อย โทษหนักจะได้เป็นเบา “หากเป็นเรื่องเมื่อคืนวาน หลานสะใภ้สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปหลานสะใภ้จะทำตัวดีๆ มีจิตใจกว้างขวาง ยินยอมให้สามีรับอนุไม่จำกัด จะยกท่านอาสะใภ้เป็นแบบอย่างนะเจ้าคะ”หมิงเยว่มิได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับคนในครอบครัวหยาง นางแค่กล่าวคำอย่างคนกลิ้งกลอกเท่านั้นทว่ากับคล้ายเป็นการตบหน้าเจียวหั่วอย่างแรง สาเหตุเพราะอีกฝ่ายจิตใจคับแคบอย่างที่สุด ไม่เคยอนุญาตให้สามีรับอนุสักคนนางมักจะกล่าวอ้างว่าจวนสกุลหยางเปี่ยมอำนาจมากบารมีพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมให้โดดเด่นมากกว่านี้ อาจทำคนทั้งตระกูลเป็นที่เพ็งเล็ง และผู้เฒ่าล้วนเห็นด้วยกับเหตุผลเหล่านี้ของเจียวหั่วเมื่อหมิงเยว่กล่าวคำเสมือนชี้ช่องทางชั่วให้คนไม่ดี[1] ทำเอานายท่านรองหยางเจ๋อให้รู้สึกพอใจนัก“หลานสะใภ้กล่าวได้ดี หึหึ!”เจียวหั่วหันมาขึงตา “ท่านพี่!”บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งรู้สึกกริ่ง
เรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นนี้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นายท่านใหญ่กับฮูหยินใหญ่ยังมิได้เอ่ยปากสักคำ กลับเป็นผู้อื่นที่เป็นธุระจัดการให้จนสิ้นทั้งหยางจงและฟางเหนียงจึงใช้เวลาจิบชานั่งคุยกันเรื่องบุตรชายอย่างเคร่งเครียดอยู่ภายในเรือนของตนหยางจงเอ่ยเสียงขรึม “เราสองคนเป็นบิดามารดาของเจี้ยนเอ๋อร์แท้ๆ แต่กลับพูดสิ่งใดมิได้สักคำ”ฟางเหนียงวางถ้วยชาลงเบาๆ ท่วงท่ากิริยาเนิบนาบเชื่องช้าแต่มั่นคงสง่างามสมเป็นกุลสตรีจากสกุลสูงศักดิ์ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยทว่านุ่มนวลชวนยำเกรง“สะใภ้ทำผิดจริงจะพูดจาแก้ต่างหรือเข้าข้างก็ไม่ได้ ทว่าการพูดจาส่งเสริมให้ท้ายอนุ ข้าไม่คิดทำแน่นอน”“เจ้ากับข้าไม่อาจทำได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงได้เป็นการยกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง เรื่องรับอนุให้เจี้ยนเอ๋อร์แรกเริ่มก็เป็นความคิดข้า ส่วนการเฟ้นหานางเข้ามายังเป็นเจ้า ลูกสะใภ้ไป๋ไม่รู้ล่วงหน้า การตื่นตระหนกจนอาละวาด กระทั่งละเลยมารยาทกฎเกณฑ์ก็พอเข้าใจได้ ทุกฝ่ายล้วนเป็นคนของเรา ไม่อาจเอ่ยปากคาดโทษใครได้ทั้งสิ้น”ฟางเหนียงพยักหน้า ถอนหายใจหนักอก“มิคาดว่าสะใภ้จากสกุลต่ำศักดิ์จักใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ไร้การอบรมสิ้นดี เห็นทีข้าต้อ
เนื่องจากเดินทางออกจากจวนทันทีตั้งแต่ฟ้าสาง ทั้งยังค้างแรมที่ค่ายทหาร เพื่อร่วมวางผังป้องกันเมืองกับองค์รัชทายาท หลายวันแล้วมิได้กลับจวนหยางระหว่างนั้นยังเข้าวัง ร่วมประชุมถกปัญหาบ้านเมืองกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ปัญหาหลังเรือนจึงยังไม่ถึงหูของหยางเจี้ยนแต่อย่างใดเบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มยามนี้ล้วนเป็นปัญหาเกี่ยวกับแว่นแคว้นทั้งสิ้น หนักสุดเห็นจะเป็นหัวข้อรอเห็นชอบจากทุกฝ่ายในเรื่องสร้างพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน หาความสำราญขององค์จักรพรรดิแห่งที่สิบสี่นั่นหมายความว่ามีสถานที่เริงรมย์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วถึงเก้าแห่ง ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลการใช้เงินจากคลังส่วนกลางมิใช่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะขุนนางเสียก่อนหยางเจี้ยนก้าวเท้าออกจากขุนนางฝ่ายบู๊ ค้อมศีรษะประสานหมัดก่อนกล่าวนอบน้อม“แม้กระหม่อมจะเป็นเพียงแม่ทัพ มิอาจเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ทว่าทุกการศึกยังต้องอาศัยงบหลวงเพื่อเคลื่อนทัพปกป้องดินแดน สงครามยึดครองพื้นที่ทางทะเลเพื่อขยายอาณาเขตการค้าแคว้นเยี่ยนที่ผ่านมาผลาญงบคลังหลวงไปไม่น้อย กระหม่อมจึงเห็นพ้องเสนาบดีกรมคลังที่กล่าวไว้ สงครา
ทางเดินด้านหน้าท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างประสานหมัดคำนับทักทายกันเพื่อแยกย้ายฝ่ายหยางเจี้ยนเดินเคียงคู่มากับอัครเสนาบดีเฉียน ทั้งสองเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มักจะถกเถียงกันยามประชุมร่วมขุนนาง ทว่าวันนี้กลับเห็นพ้องอย่างหาได้ยากยิ่งช่วยมิได้จริงๆ ที่พวกเขามิได้มีใจชมชอบบุปผาหรือเห็นแก่ประโยชน์ของสาวงามเหมือนฮ่องเต้“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่เจ้าแต่งภรรยาเอกกับสตรีอื่น บุตรสาวของข้าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าทุกวัน นางช่างไม่เข้าใจว่าเราสองตระกูลใหญ่จะอย่างไรก็ไม่สมควรเกี่ยวดองกัน เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้เคืองฮ่องเต้เลยที่หาสตรีมิคู่ควรให้”เฉียนหลุนกล่าวจบก็ลูบเคราตนหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ชอบหยางเจี้ยนแต่บุตรสาวของเขากลับชื่นชมอีกฝ่าย กาลก่อนเขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงหมายทาบทามแบบกดดันให้หมั้นหมาย แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าช่างน่าโมโหจริงๆหยางเจี้ยนเองก็ไม่ชอบเฉียนหลุน จึงน้อมรับคำพูดแฝงนัยเยาะเย้ยถากถางนั้นยิ้มๆ ไม่กล่าวตอบสิ่งใดความเย่อหยิ่งถือตัวเยี่ยงนี้เขามอบให้บิดาของสตรีที่หมายตาตัวเขานางนั้นนับว่าสมควรอย่างยิ่ง มิได้เกี่ยวข้องเรื่องขั้วอำนาจไม่เหมาะสมอันใดสักนิด แค่เขาไม่คิดอะไรกับบุตรส
เมื่อกลับถึงจวน แม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าเรือนหลักทันที ในใจครุ่นคิดถึงวิธีพูดจากับภรรยาพระราชทานดีๆ เพื่อมิให้เกิดปัญหาหลังเรือนอีกต่อไปทว่าเมื่อมาถึง สาวใช้รุ่นใหญ่พลันกล่าวรายงาน“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าสั่งลงโทษเจ้าค่ะ”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “ลงโทษ? เรื่องอะไร?”สาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ขณะรายงานตามจริงอย่างมิกล้าบิดเบือนเป็นอื่น“เรื่องที่ฮูหยินน้อยบุกไปพังห้องหอของอนุซู่เจ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ทัพออกจากจวนไปแล้ว อนุซู่ก็เข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินน้อยก็ถูกพาตัวไปยังหอพระธรรมประจำตระกูลเจ้าค่ะ หลายวันแล้วยังมิได้รับอนุญาตให้กลับเรือน”แววตาบุรุษเริ่มแข็งกร้าวเปี่ยมโทสะ เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้คืนนั้นเขาที่มีอำนาจหลังเรือนได้เลือกแล้วก็คือภรรยาเอก มิเลือกอนุ เหตุใดนางถึงมีความผิดกัน?หยางเจี้ยนสะบัดชายเสื้ออย่างไม่พอใจก่อนเดินไปทางเรือนของหยางฮูหยินทันที เรื่องเช่นนี้มารดาของเขาซึ่งมีฐานะเป็นแม่สามีของสะใภ้ไป๋ควรให้คำตอบที่ดีแก่เขาเมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงได้เห็นมารดาคล้ายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว การถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูพล
จังหวะเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องหนังสือหญิงสาวงดงามอ่อนหวานนางหนึ่งกำลังเดินเนิบช้า ทั้งโดดเด่นมีสง่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนรักใคร่ นางค่อยๆ ปรากฎกายเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปถึงหัวใจนางผู้นี้ช่างคล้ายคลึงภาพวาดอันงดงามไร้สิ่งใดในโลกาเทียบเคียงได้ ความพิลาสทั้งปวงเมื่อมาเจอกับนาง ล้วนต้องสงบสมยอมในทันทีนางผู้นี้คือซู่หลินสะคราญโฉมผู้พกพารอยยิ้มอ่อนหวานพิลาสล้ำแขวนไว้บนดวงหน้าอันงามเลิศเพริดพริ้งตลอดเวลาหญิงสาวย่างกรายอ่อนช้อยแช่มช้ามาแต่ไกลเหล่าบ่าวไพร่ที่เดินผ่านนางยังต้องหยุดเท้าก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อมเนื่องจากทุกคนต่างรู้ดี อนุผู้นี้เข้าเรือนท่านแม่ทัพแค่ราตรีเดียว ฮูหยินน้อยยังต้องถูกระเห็จไปตั้งไกล ไร้วี่แววจะได้กลับมา อนิจจา นางคงเป็นที่โปรดปรานหนึ่งเดียวแน่ๆ ใครอย่าพลั้งเผลอทำอนุซู่ไม่พอใจเชียว...ซู่หลินลอบยกยิ้มลำพองใจมีคนกล่าวไว้ว่าความใกล้ชิดนำไปสู่ความรัก หากได้อยู่ด้วยกันทุกวันยังต้องกลัวไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อีกหรือฮูหยินเอกต่ำชั้นอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่อยู่เป็นก้างชิ้นโต นางย่อมมีโอกาสเผยโฉมต่อหน้าท่านแม่ทัพเพียงผู้เดีย
หญิงสาวมองเขาด้วยสองตาทอประกายระริกไหว ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้สุดใจ ก่อนย่อกายนอบน้อม“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธี”หยางเจี้ยนมองซู่หลินด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง เนตรคมดำจัดดุจน้ำวนก้นทะเลลึกลับพินิจคนงามเงียบงันการสะกดอย่างตราตรึงนั้นแฝงความร้อนแรงในทีหญิงสาวย่อมรับรู้อารมณ์รุมเร้าจากแววตานั้นได้ หลายวันที่ห่างหายไปจากจวนเพราะสายงาน คงทำให้เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปด้วย ความรุ่มร้อนเก็บกดเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นางก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายค่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ หลินเอ๋อร์ตุ๋นน้ำแกงนี้ด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”สตรีงดงามช่างเอาอกเอาใจมีบุรุษใดไม่หลงใหลบ้างหยางเจี้ยนยกมุมปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือ? เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ไม่ลำบากด้วย”ซู่หลินประคองกล่องไม้ใส่น้ำแกงเอ่ยอย่างขัดเขิน หันกายอรชรเดินอย่างแช่มช้อยไปวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะขณะย่างเท้าเรียวเล็กยังจงใจโยกบั้นท้ายงามงอนอย่างเชิญชวนให้คนเกิดแรงปรารถนาบางอย่างเรียวนิ้วขาวเนียนดุจลำเทียนไล้ขอบถ้วยเบาๆ อย่างยั่วเย้า หมายเร้าอารมณ์บุรุษตามศาสตร์แห่งการยั่วยวนนางค
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย