ทางเดินด้านหน้าท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างประสานหมัดคำนับทักทายกันเพื่อแยกย้าย
ฝ่ายหยางเจี้ยนเดินเคียงคู่มากับอัครเสนาบดีเฉียน ทั้งสองเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มักจะถกเถียงกันยามประชุมร่วมขุนนาง ทว่าวันนี้กลับเห็นพ้องอย่างหาได้ยากยิ่ง
ช่วยมิได้จริงๆ ที่พวกเขามิได้มีใจชมชอบบุปผาหรือเห็นแก่ประโยชน์ของสาวงามเหมือนฮ่องเต้
“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่เจ้าแต่งภรรยาเอกกับสตรีอื่น บุตรสาวของข้าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าทุกวัน นางช่างไม่เข้าใจว่าเราสองตระกูลใหญ่จะอย่างไรก็ไม่สมควรเกี่ยวดองกัน เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้เคืองฮ่องเต้เลยที่หาสตรีมิคู่ควรให้”
เฉียนหลุนกล่าวจบก็ลูบเคราตนหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ชอบหยางเจี้ยนแต่บุตรสาวของเขากลับชื่นชมอีกฝ่าย กาลก่อนเขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงหมายทาบทามแบบกดดันให้หมั้นหมาย แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้า
ช่างน่าโมโหจริงๆ
หยางเจี้ยนเองก็ไม่ชอบเฉียนหลุน จึงน้อมรับคำพูดแฝงนัยเยาะเย้ยถากถางนั้นยิ้มๆ ไม่กล่าวตอบสิ่งใด
ความเย่อหยิ่งถือตัวเยี่ยงนี้เขามอบให้บิดาของสตรีที่หมายตาตัวเขานางนั้นนับว่าสมควรอย่างยิ่ง มิได้เกี่ยวข้องเรื่องขั้วอำนาจไม่เหมาะสมอันใดสักนิด แค่เขาไม่คิดอะไรกับบุตรสาวของอีกฝ่ายก็เท่านั้น
ถึงอย่างไร ใต้หล้านี้ยังมีบุรุษอีกมากมายหลายคน คุณหนูเฉียนผู้สูงส่งคงได้พบพานบุรุษที่คู่ควรสักวัน
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ต่างฝ่ายก็แยกย้าย วังหลวงกว้างใหญ่หรูหรา ทางเดินเต็มไปด้วยสิ่งวิจิตร ตกแต่งไว้อย่างประณีตงามตา มวลบุปผาบานสะพรั่ง ระหว่างทางหยางเจี้ยนจึงได้พบกับองค์หญิงเจ็ดที่กำลังเดินชื่นชมความรุ่งเรืองตระการตา
องค์หญิงผู้นี้เป็นสตรีใจกล้า อาศัยว่าถือกำเนิดจากพระสนมรูปงามปานล่มแคว้นซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ จึงมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ อยากได้สิ่งใดก็แสดงออกมาตรงๆ
“แม่ทัพหยาง...”
องค์หญิงเจ็ดเดินมาขวางหน้าหยางเจี้ยนเอาไว้เหมือนที่ชอบทำ “ในที่สุดก็ได้เจอกันเสียที”
เมื่อมิอาจหลบเลี่ยง หยางเจี้ยนจึงน้อมทักทาย “คารวะองค์หญิงเจ็ด”
สาวน้อยสูงศักดิ์เดินขึ้นหน้าเอื้อมมือจับชายแขนเสื้อของเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ “ไม่ต้องมากพิธี”
หยางเจี้ยนดึงแขนเสื้อออกห่างอย่างถือตัว สีหน้าเย็นชายิ่ง “ชายหญิงแตกต่าง องค์หญิงโปรดระวังพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหนุ่มยังคงไว้ซึ่งความเย่อหยิ่ง ทิ้งระยะห่างอย่างสิ้นเชิง ทว่าองค์หญิงเจ็ดหาได้สะทกสะท้านไม่
กำแพงปราการแกร่งอันสูงลับนั้นเป็นสิ่งที่น่าค้นหา เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่หามนต์มารที่แสนจะดึงดูดบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง
พวกนางต่างคาดเดากันไปอย่างคึกคักต่างๆ นานา ว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาที่ฉาบทับด้วยน้ำแข็งค้างนั้น หากได้ล่วงล้ำเข้าไปจนถึงเนื้อถึงตัว เขาจะร้อนแรงปานใด
องค์หญิงเจ็ดที่แม้จะเป็นถึงสตรีสูงศักดิ์ปานนั้นก็ยังคิดเฉกเช่นเดียวกันกับสตรีทั่วไป
“เหตุใดต้องระวัง ใครๆ ต่างก็รับรู้ว่าข้าชื่นชมท่าน หากมิใช่เพราะสมรสพระราชทาน ท่านย่อมได้ตบแต่งข้า”
ช่างเถรตรงยิ่งนัก หยางเจี้ยนถึงขั้นไร้ซึ่งวาจา
บรรดาสตรี ไม่สมควรสนทนาด้วยอย่างแท้จริง แค่มีโอกาสคุยกันไม่กี่คำหรือพลั้งสบตาเพียงปราดเดียว อาจทำให้บุรุษผู้หนึ่งหมดอิสรภาพโดยง่าย
เริ่มตั้งแต่คุณหนูเฉียนที่หยางเจี้ยนบังเอิญได้พบเจอแล้วกล่าวทักทายแค่คำเดียว จากนั้นอีกฝ่ายก็ขอร้องให้บิดาผู้ยิ่งใหญ่มาหยั่งเชิงหมั้นหมาย
ต่อมาก็องค์หญิงเจ็ดผู้นี้ที่บังเอิญติดตามรัชทายาทมาเจอเขาที่เหลาอาหาร จากนั้นก็ตามติดจนกระอักกระอ่วนบ่อยครั้ง
ระหว่างเงียบงัน หยางเจี้ยนยังได้ยินองค์หญิงเจ็ดกล่าววาจาไม่อายฟ้า “กาย่อมเป็นกามิอาจกลายเป็นหงส์เคียงคู่พยัคฆ์สูงศักดิ์ ข้าจะรอท่านหย่าขาดกับสตรีนางนั้น เชื่อเถอะ! สักวันหนึ่งเสด็จพ่อย่อมถอนพระราชโองการให้ท่านได้แต่งงานใหม่กับสตรีที่เหมาะสมคู่ควรเช่นข้า”
องค์หญิงเจ็ดมั่นใจอย่างมาก เพราะอำนาจบารมีของอีกฝ่ายต้องรักษาไว้ให้รัชทายาทสืบบัลลังก์อย่างไรเล่า นางแค่เฝ้ารออย่างสบายใจให้ภรรยาต่ำศักดิ์ของหยางเจี้ยน ถูกเด็ดปีกตกลงกระแทกพื้นดินจนกระอักเลือดตายไปเอง
“แล้วเจอกันวันที่ฟ้าสว่างสดใสไร้สตรีใดข้างกายนะ ท่านแม่ทัพของข้า”
องค์หญิงกล่าวจบก็ผลิยิ้มยั่วยวนก่อนเดินจากไปพร้อมขบวนนางกำนัล
หยางเจี้ยนถอนสายตาจากสตรีงดงามอย่างสงบ หมุนตัวเดินต่อเอื่อยเฉื่อย เริ่มขบคิด เมื่อได้เจอเฉียนหลุนและได้ฟังวาจาขององค์หญิง จากไม่เคยใส่ใจต่อสตรีนางใด กลับเริ่มใส่ใจต่อใครบางคนขึ้นมาบ้างแล้ว
หากการสมรสของเขาไม่ราบรื่นถึงขั้นร้ายแรงเป็นเหตุให้หย่าร้าง สงครามสาวงามชวนปวดหัวไร้ความสงบสุข คงยากหลีกเลี่ยงเป็นแน่แท้
ดังนั้น หลังจากที่มิได้กลับจวนหลายวัน ห่างเหินกับใครคนนั้นเนิ่นนาน แม่ทัพหนุ่มจึงสั่งเสียงขรึมกับจิ้นเหอ
“กลับจวน...”
เมื่อกลับถึงจวน แม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าเรือนหลักทันที ในใจครุ่นคิดถึงวิธีพูดจากับภรรยาพระราชทานดีๆ เพื่อมิให้เกิดปัญหาหลังเรือนอีกต่อไปทว่าเมื่อมาถึง สาวใช้รุ่นใหญ่พลันกล่าวรายงาน“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าสั่งลงโทษเจ้าค่ะ”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “ลงโทษ? เรื่องอะไร?”สาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ขณะรายงานตามจริงอย่างมิกล้าบิดเบือนเป็นอื่น“เรื่องที่ฮูหยินน้อยบุกไปพังห้องหอของอนุซู่เจ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ทัพออกจากจวนไปแล้ว อนุซู่ก็เข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินน้อยก็ถูกพาตัวไปยังหอพระธรรมประจำตระกูลเจ้าค่ะ หลายวันแล้วยังมิได้รับอนุญาตให้กลับเรือน”แววตาบุรุษเริ่มแข็งกร้าวเปี่ยมโทสะ เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้คืนนั้นเขาที่มีอำนาจหลังเรือนได้เลือกแล้วก็คือภรรยาเอก มิเลือกอนุ เหตุใดนางถึงมีความผิดกัน?หยางเจี้ยนสะบัดชายเสื้ออย่างไม่พอใจก่อนเดินไปทางเรือนของหยางฮูหยินทันที เรื่องเช่นนี้มารดาของเขาซึ่งมีฐานะเป็นแม่สามีของสะใภ้ไป๋ควรให้คำตอบที่ดีแก่เขาเมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงได้เห็นมารดาคล้ายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว การถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูพล
จังหวะเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องหนังสือหญิงสาวงดงามอ่อนหวานนางหนึ่งกำลังเดินเนิบช้า ทั้งโดดเด่นมีสง่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนรักใคร่ นางค่อยๆ ปรากฎกายเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปถึงหัวใจนางผู้นี้ช่างคล้ายคลึงภาพวาดอันงดงามไร้สิ่งใดในโลกาเทียบเคียงได้ ความพิลาสทั้งปวงเมื่อมาเจอกับนาง ล้วนต้องสงบสมยอมในทันทีนางผู้นี้คือซู่หลินสะคราญโฉมผู้พกพารอยยิ้มอ่อนหวานพิลาสล้ำแขวนไว้บนดวงหน้าอันงามเลิศเพริดพริ้งตลอดเวลาหญิงสาวย่างกรายอ่อนช้อยแช่มช้ามาแต่ไกลเหล่าบ่าวไพร่ที่เดินผ่านนางยังต้องหยุดเท้าก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อมเนื่องจากทุกคนต่างรู้ดี อนุผู้นี้เข้าเรือนท่านแม่ทัพแค่ราตรีเดียว ฮูหยินน้อยยังต้องถูกระเห็จไปตั้งไกล ไร้วี่แววจะได้กลับมา อนิจจา นางคงเป็นที่โปรดปรานหนึ่งเดียวแน่ๆ ใครอย่าพลั้งเผลอทำอนุซู่ไม่พอใจเชียว...ซู่หลินลอบยกยิ้มลำพองใจมีคนกล่าวไว้ว่าความใกล้ชิดนำไปสู่ความรัก หากได้อยู่ด้วยกันทุกวันยังต้องกลัวไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อีกหรือฮูหยินเอกต่ำชั้นอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่อยู่เป็นก้างชิ้นโต นางย่อมมีโอกาสเผยโฉมต่อหน้าท่านแม่ทัพเพียงผู้เดีย
หญิงสาวมองเขาด้วยสองตาทอประกายระริกไหว ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้สุดใจ ก่อนย่อกายนอบน้อม“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธี”หยางเจี้ยนมองซู่หลินด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง เนตรคมดำจัดดุจน้ำวนก้นทะเลลึกลับพินิจคนงามเงียบงันการสะกดอย่างตราตรึงนั้นแฝงความร้อนแรงในทีหญิงสาวย่อมรับรู้อารมณ์รุมเร้าจากแววตานั้นได้ หลายวันที่ห่างหายไปจากจวนเพราะสายงาน คงทำให้เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปด้วย ความรุ่มร้อนเก็บกดเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นางก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายค่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ หลินเอ๋อร์ตุ๋นน้ำแกงนี้ด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”สตรีงดงามช่างเอาอกเอาใจมีบุรุษใดไม่หลงใหลบ้างหยางเจี้ยนยกมุมปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือ? เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ไม่ลำบากด้วย”ซู่หลินประคองกล่องไม้ใส่น้ำแกงเอ่ยอย่างขัดเขิน หันกายอรชรเดินอย่างแช่มช้อยไปวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะขณะย่างเท้าเรียวเล็กยังจงใจโยกบั้นท้ายงามงอนอย่างเชิญชวนให้คนเกิดแรงปรารถนาบางอย่างเรียวนิ้วขาวเนียนดุจลำเทียนไล้ขอบถ้วยเบาๆ อย่างยั่วเย้า หมายเร้าอารมณ์บุรุษตามศาสตร์แห่งการยั่วยวนนางค
ประตูถูกเปิดออก ร่างระหงวิ่งออกไปอย่างลนลาน จิ้นเหอมองตามอย่างงุนงงเมื่อไร้เงาร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวงชายหนุ่มถึงคิดออกอ้อ...จริงสิ! ท่านแม่ทัพเพิ่งให้เขาไปสืบเรื่องของนางช่วยไม่ได้ที่เขาทำงานได้ฉับไวเถรตรงยิ่ง!แท้ที่จริง หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจไยดีจนอยากรู้เรื่องของซู่หลิน หากแต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาที่เผยเรื่องราวให้บุตรชายลอบสืบดูเผื่อไว้ให้คอยระแวดระวังสตรีจอมมารยา! มิคาดว่าจะสืบจนล่วงรู้ว่านางเลวร้ายถึงขั้นนั้น แต่การจะส่งกลับก็ดูจะไม่เหมาะ เหตุเพราะเป็นมารดาของเขาเองที่นำนางเข้ามาถึงหลังเรือนที่ลึกสุดแห่งนี้ ผู้คนอาจครหาว่าจวนใหญ่รังแกคนด้อยกว่าขณะที่จิ้นเหอกำลังจะปิดประตูห้องให้หยางเจี้ยน จิ่นซินก็พุ่งพรวดเข้ามาดั่งธนูเพลิง“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ได้โปรดช่วยฮูหยินน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาดเช็ดถูพระพุทธองค์ ทั้งยังไล่บ่าวกลับตลอด นางคงตรอมใจแน่ๆ”ไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาด ไล่กราดบ่าวไพร่...กระนั้นหรือ? หึ!หยางเจี้ยนลอบสบถในใจเห็นได้ชัดว่านางต้องการอยู่เพียงลำพังแค่คนเดียวเพื่อทำเรื่องนอกกรอบอย่างอุกอาจ!จิ่นซินไ
เจ้าของนามซึ่งขับไล่บ่าวไพรในหอพระธรรมไปจนสิ้นคล้ายได้ยินคนเรียกชื่อตน ทั้งๆ ที่แห่งนี้ไม่มีใคร“แค่กๆ”หมิงเยว่กระแอมไอ รู้สึกเลือดลมตีกลับสติแตกซ่าน จำต้องหุบแขนหุบขาในท่วงท่าน่าอายหยุดฝึกวรยุทธ์ทันทีฉับพลันนั้นนางย้อนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนตอนที่กำลังออกท่าทางพญาวานรตีลังกาวาดไม้ไผ่ต่างดาบ นางคล้ายเห็นชายผ้าของบุรุษรำไร ไม่แน่ใจว่าใช่หยางเจี้ยนหรือไม่หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่น่าใช่!ครู่หนึ่งถึงได้ขบคิดโดยละเอียด หรือว่าใช่!หมิงเยว่พลิกตัวจากท่านั่งห้อยหัวบนคานไม้กระโดดลงมายืนบนพื้นห้องทันใดต้องใช่แน่ๆ กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านขนาดนั้น! ยังทิ้งกลิ่นเฉพาะกายอบอวลกำจายเอาไว้อีกเขาจะเห็นการแอบฝึกวรยุทธ์ของนางหรือไม่นะ?อา...หากถูกจับได้ขึ้นมา สามีจอมเคร่งครัดผู้นั้นต้องสั่งเชือดนางแน่ ร่างใหม่คนนี้ไร้ความสามารถมากเกินไป ฝีมือของนางยังไม่ถึงไหนเลยนางจะเสี่ยงถูกเปิดโปงหรือถูกขับไล่ออกไปยามนี้มิได้เด็ดขาด ขืนอาศัยอยู่ข้างนอกต้องลำบากมากเป็นแน่ หนทางยิ่งใหญ่ย่อมมีแต่คำว่าพ่ายแพ้ยังมีจิ่นซินจอมขี้แยอีกคนที่ต้องดูแลไม่ได้ นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังแตกตื่น อีกฝ่ายก็กำ
ประตูห้องพระค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าแสงไฟสว่างจ้าจากคบเพลิงเบียดบังแสงตะเกียง ส่งผลให้ความสว่างไสวส่องเข้ามาในห้องพระจนคล้ายทิวา เสียงดีใจของจิ่นซินดังเล็ดลอดเข้ามาทำลายความเงียบสงบภายในห้องจนสิ้น“ฮูหยินน้อย...”หมิงเยว่กำลังวาดแขนกางขาออกกระบวนท่าอหังการอยู่จำต้องรีบเก็บกลับ แกะผ้ารัดแขนออกอย่างเร็ว ปลดชายกระโปรงออกจากสายรัดเอว ปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวกรุยกรายพลิ้วไหว จังหวะนั้นได้ยินเสียงสูดจมูกของจิ่นซิน คาดว่าคงกำลังปาดน้ำตาด้วยคราหนึ่ง“ท่านแม่ทัพให้บ่าวมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”ประโยคหลังของสาวใช้กล่าวขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดกรีดอากาศดุจเสียงเรียกของปีศาจที่มาพรากหมิงเยว่กลับไปยังอาณาเขตแห่งความเป็นจริงหญิงสาวตอบกลับเสียงเนือย “ข้าไม่อาจกลับไปได้ โทษทัณฑ์นี้ช่างสาหัสนัก”ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จนหมิงเยว่ต้องขมวดคิ้ว“จิ่นซิน...” หญิงสาวหันหน้าไปมองหาสาวใช้ผู้ซึ่งพูดมากแต่กลับเงียบเชียบด้วยความฉงน“เหตุใดไม่พร่ำบ่นเหมือนเคยเล่า?”ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมิใช่เสียงของแน่งน้อย หากแต่เป็นเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแฝงความเคร่งเครียดขั้นสุด“ไม่อาจกลับ
“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?” “กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อยนอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่งหมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วยทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยาหมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกินจิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนักลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังหมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยางกระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก
ข้าคือหมิงเยว่ นางโจรสาวผู้ชั่วช้าจ้าวแห่งหุบเขาบนเกาะมรณะอันลึกลับกลางทะเล จอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้าถึงขั้นถูกขนานนามว่า เงาดาบแห่งจันทราแต่กลับตายภายใต้คมกระบี่ของเขาแล้วอย่างไรเล่า?ข้าได้แต่คิดอย่างปลดปลงเพราะเขาคือหยางเจี้ยน แม่ทัพพยัคฆ์ร้าย ชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมสูงส่งผดุงความยุติธรรมให้แก่ใต้หล้ามาช้านาน แต่ไม่เคยระรานนางสักคราวาจาหนักแน่นดุจขุนเขา สัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แม้ไม่เคยคบหาแต่กลับรู้ได้ไม่ยากชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเขามิใช่แค่ตำแหน่งแม่ทัพทว่าหมายถึงนิสัยใจคอ ต่อให้อยู่คนละฝ่ายกลับรู้สึกเลื่อมใสเจ้าของฉายาจอมกระบี่สุริยันการตายด้วยน้ำมือเขานั้นนับว่าไม่เสียชาติเกิดเท่าใด ทว่า...การกลับชาติมาเกิดใหม่ กลายเป็นภรรยาของเขา ต้องคลอดลูกให้เขาคืออันใด?ไม่จริงใช่ไหม?***จากใจนักเขียน‘บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน’ เป็นเรื่องราวของแม่ทัพหนุ่มจอมเคร่งขรึมเย็นชาและยึดมั่นกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน แต่กลับต้องแต่งงานกับคุณหนูต่ำศักดิ์ผู้หนึ่ง ซึ่งนางผู้นี้แท้จริงคือร่างที่ถูกสวมวิญญาณของนางโจรจอมกลิ้งกลอกไม่ต่างจากจิ้งจอกสาว เมื่อถึงคราวที่ชายหญิงผู้ต่างกันสุดขั้วต้องอยู่ในรั้วเรือนเดี
“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?” “กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อยนอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่งหมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วยทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยาหมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกินจิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนักลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังหมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยางกระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก
ประตูห้องพระค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าแสงไฟสว่างจ้าจากคบเพลิงเบียดบังแสงตะเกียง ส่งผลให้ความสว่างไสวส่องเข้ามาในห้องพระจนคล้ายทิวา เสียงดีใจของจิ่นซินดังเล็ดลอดเข้ามาทำลายความเงียบสงบภายในห้องจนสิ้น“ฮูหยินน้อย...”หมิงเยว่กำลังวาดแขนกางขาออกกระบวนท่าอหังการอยู่จำต้องรีบเก็บกลับ แกะผ้ารัดแขนออกอย่างเร็ว ปลดชายกระโปรงออกจากสายรัดเอว ปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวกรุยกรายพลิ้วไหว จังหวะนั้นได้ยินเสียงสูดจมูกของจิ่นซิน คาดว่าคงกำลังปาดน้ำตาด้วยคราหนึ่ง“ท่านแม่ทัพให้บ่าวมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”ประโยคหลังของสาวใช้กล่าวขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดกรีดอากาศดุจเสียงเรียกของปีศาจที่มาพรากหมิงเยว่กลับไปยังอาณาเขตแห่งความเป็นจริงหญิงสาวตอบกลับเสียงเนือย “ข้าไม่อาจกลับไปได้ โทษทัณฑ์นี้ช่างสาหัสนัก”ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จนหมิงเยว่ต้องขมวดคิ้ว“จิ่นซิน...” หญิงสาวหันหน้าไปมองหาสาวใช้ผู้ซึ่งพูดมากแต่กลับเงียบเชียบด้วยความฉงน“เหตุใดไม่พร่ำบ่นเหมือนเคยเล่า?”ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมิใช่เสียงของแน่งน้อย หากแต่เป็นเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแฝงความเคร่งเครียดขั้นสุด“ไม่อาจกลับ
เจ้าของนามซึ่งขับไล่บ่าวไพรในหอพระธรรมไปจนสิ้นคล้ายได้ยินคนเรียกชื่อตน ทั้งๆ ที่แห่งนี้ไม่มีใคร“แค่กๆ”หมิงเยว่กระแอมไอ รู้สึกเลือดลมตีกลับสติแตกซ่าน จำต้องหุบแขนหุบขาในท่วงท่าน่าอายหยุดฝึกวรยุทธ์ทันทีฉับพลันนั้นนางย้อนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนตอนที่กำลังออกท่าทางพญาวานรตีลังกาวาดไม้ไผ่ต่างดาบ นางคล้ายเห็นชายผ้าของบุรุษรำไร ไม่แน่ใจว่าใช่หยางเจี้ยนหรือไม่หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่น่าใช่!ครู่หนึ่งถึงได้ขบคิดโดยละเอียด หรือว่าใช่!หมิงเยว่พลิกตัวจากท่านั่งห้อยหัวบนคานไม้กระโดดลงมายืนบนพื้นห้องทันใดต้องใช่แน่ๆ กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านขนาดนั้น! ยังทิ้งกลิ่นเฉพาะกายอบอวลกำจายเอาไว้อีกเขาจะเห็นการแอบฝึกวรยุทธ์ของนางหรือไม่นะ?อา...หากถูกจับได้ขึ้นมา สามีจอมเคร่งครัดผู้นั้นต้องสั่งเชือดนางแน่ ร่างใหม่คนนี้ไร้ความสามารถมากเกินไป ฝีมือของนางยังไม่ถึงไหนเลยนางจะเสี่ยงถูกเปิดโปงหรือถูกขับไล่ออกไปยามนี้มิได้เด็ดขาด ขืนอาศัยอยู่ข้างนอกต้องลำบากมากเป็นแน่ หนทางยิ่งใหญ่ย่อมมีแต่คำว่าพ่ายแพ้ยังมีจิ่นซินจอมขี้แยอีกคนที่ต้องดูแลไม่ได้ นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังแตกตื่น อีกฝ่ายก็กำ
ประตูถูกเปิดออก ร่างระหงวิ่งออกไปอย่างลนลาน จิ้นเหอมองตามอย่างงุนงงเมื่อไร้เงาร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวงชายหนุ่มถึงคิดออกอ้อ...จริงสิ! ท่านแม่ทัพเพิ่งให้เขาไปสืบเรื่องของนางช่วยไม่ได้ที่เขาทำงานได้ฉับไวเถรตรงยิ่ง!แท้ที่จริง หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจไยดีจนอยากรู้เรื่องของซู่หลิน หากแต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาที่เผยเรื่องราวให้บุตรชายลอบสืบดูเผื่อไว้ให้คอยระแวดระวังสตรีจอมมารยา! มิคาดว่าจะสืบจนล่วงรู้ว่านางเลวร้ายถึงขั้นนั้น แต่การจะส่งกลับก็ดูจะไม่เหมาะ เหตุเพราะเป็นมารดาของเขาเองที่นำนางเข้ามาถึงหลังเรือนที่ลึกสุดแห่งนี้ ผู้คนอาจครหาว่าจวนใหญ่รังแกคนด้อยกว่าขณะที่จิ้นเหอกำลังจะปิดประตูห้องให้หยางเจี้ยน จิ่นซินก็พุ่งพรวดเข้ามาดั่งธนูเพลิง“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ได้โปรดช่วยฮูหยินน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาดเช็ดถูพระพุทธองค์ ทั้งยังไล่บ่าวกลับตลอด นางคงตรอมใจแน่ๆ”ไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาด ไล่กราดบ่าวไพร่...กระนั้นหรือ? หึ!หยางเจี้ยนลอบสบถในใจเห็นได้ชัดว่านางต้องการอยู่เพียงลำพังแค่คนเดียวเพื่อทำเรื่องนอกกรอบอย่างอุกอาจ!จิ่นซินไ
หญิงสาวมองเขาด้วยสองตาทอประกายระริกไหว ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้สุดใจ ก่อนย่อกายนอบน้อม“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธี”หยางเจี้ยนมองซู่หลินด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง เนตรคมดำจัดดุจน้ำวนก้นทะเลลึกลับพินิจคนงามเงียบงันการสะกดอย่างตราตรึงนั้นแฝงความร้อนแรงในทีหญิงสาวย่อมรับรู้อารมณ์รุมเร้าจากแววตานั้นได้ หลายวันที่ห่างหายไปจากจวนเพราะสายงาน คงทำให้เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปด้วย ความรุ่มร้อนเก็บกดเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นางก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายค่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ หลินเอ๋อร์ตุ๋นน้ำแกงนี้ด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”สตรีงดงามช่างเอาอกเอาใจมีบุรุษใดไม่หลงใหลบ้างหยางเจี้ยนยกมุมปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือ? เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ไม่ลำบากด้วย”ซู่หลินประคองกล่องไม้ใส่น้ำแกงเอ่ยอย่างขัดเขิน หันกายอรชรเดินอย่างแช่มช้อยไปวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะขณะย่างเท้าเรียวเล็กยังจงใจโยกบั้นท้ายงามงอนอย่างเชิญชวนให้คนเกิดแรงปรารถนาบางอย่างเรียวนิ้วขาวเนียนดุจลำเทียนไล้ขอบถ้วยเบาๆ อย่างยั่วเย้า หมายเร้าอารมณ์บุรุษตามศาสตร์แห่งการยั่วยวนนางค
จังหวะเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องหนังสือหญิงสาวงดงามอ่อนหวานนางหนึ่งกำลังเดินเนิบช้า ทั้งโดดเด่นมีสง่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนรักใคร่ นางค่อยๆ ปรากฎกายเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปถึงหัวใจนางผู้นี้ช่างคล้ายคลึงภาพวาดอันงดงามไร้สิ่งใดในโลกาเทียบเคียงได้ ความพิลาสทั้งปวงเมื่อมาเจอกับนาง ล้วนต้องสงบสมยอมในทันทีนางผู้นี้คือซู่หลินสะคราญโฉมผู้พกพารอยยิ้มอ่อนหวานพิลาสล้ำแขวนไว้บนดวงหน้าอันงามเลิศเพริดพริ้งตลอดเวลาหญิงสาวย่างกรายอ่อนช้อยแช่มช้ามาแต่ไกลเหล่าบ่าวไพร่ที่เดินผ่านนางยังต้องหยุดเท้าก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อมเนื่องจากทุกคนต่างรู้ดี อนุผู้นี้เข้าเรือนท่านแม่ทัพแค่ราตรีเดียว ฮูหยินน้อยยังต้องถูกระเห็จไปตั้งไกล ไร้วี่แววจะได้กลับมา อนิจจา นางคงเป็นที่โปรดปรานหนึ่งเดียวแน่ๆ ใครอย่าพลั้งเผลอทำอนุซู่ไม่พอใจเชียว...ซู่หลินลอบยกยิ้มลำพองใจมีคนกล่าวไว้ว่าความใกล้ชิดนำไปสู่ความรัก หากได้อยู่ด้วยกันทุกวันยังต้องกลัวไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อีกหรือฮูหยินเอกต่ำชั้นอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่อยู่เป็นก้างชิ้นโต นางย่อมมีโอกาสเผยโฉมต่อหน้าท่านแม่ทัพเพียงผู้เดีย
เมื่อกลับถึงจวน แม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าเรือนหลักทันที ในใจครุ่นคิดถึงวิธีพูดจากับภรรยาพระราชทานดีๆ เพื่อมิให้เกิดปัญหาหลังเรือนอีกต่อไปทว่าเมื่อมาถึง สาวใช้รุ่นใหญ่พลันกล่าวรายงาน“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าสั่งลงโทษเจ้าค่ะ”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “ลงโทษ? เรื่องอะไร?”สาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ขณะรายงานตามจริงอย่างมิกล้าบิดเบือนเป็นอื่น“เรื่องที่ฮูหยินน้อยบุกไปพังห้องหอของอนุซู่เจ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ทัพออกจากจวนไปแล้ว อนุซู่ก็เข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินน้อยก็ถูกพาตัวไปยังหอพระธรรมประจำตระกูลเจ้าค่ะ หลายวันแล้วยังมิได้รับอนุญาตให้กลับเรือน”แววตาบุรุษเริ่มแข็งกร้าวเปี่ยมโทสะ เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้คืนนั้นเขาที่มีอำนาจหลังเรือนได้เลือกแล้วก็คือภรรยาเอก มิเลือกอนุ เหตุใดนางถึงมีความผิดกัน?หยางเจี้ยนสะบัดชายเสื้ออย่างไม่พอใจก่อนเดินไปทางเรือนของหยางฮูหยินทันที เรื่องเช่นนี้มารดาของเขาซึ่งมีฐานะเป็นแม่สามีของสะใภ้ไป๋ควรให้คำตอบที่ดีแก่เขาเมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงได้เห็นมารดาคล้ายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว การถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูพล
ทางเดินด้านหน้าท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างประสานหมัดคำนับทักทายกันเพื่อแยกย้ายฝ่ายหยางเจี้ยนเดินเคียงคู่มากับอัครเสนาบดีเฉียน ทั้งสองเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มักจะถกเถียงกันยามประชุมร่วมขุนนาง ทว่าวันนี้กลับเห็นพ้องอย่างหาได้ยากยิ่งช่วยมิได้จริงๆ ที่พวกเขามิได้มีใจชมชอบบุปผาหรือเห็นแก่ประโยชน์ของสาวงามเหมือนฮ่องเต้“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่เจ้าแต่งภรรยาเอกกับสตรีอื่น บุตรสาวของข้าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าทุกวัน นางช่างไม่เข้าใจว่าเราสองตระกูลใหญ่จะอย่างไรก็ไม่สมควรเกี่ยวดองกัน เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้เคืองฮ่องเต้เลยที่หาสตรีมิคู่ควรให้”เฉียนหลุนกล่าวจบก็ลูบเคราตนหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ชอบหยางเจี้ยนแต่บุตรสาวของเขากลับชื่นชมอีกฝ่าย กาลก่อนเขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงหมายทาบทามแบบกดดันให้หมั้นหมาย แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าช่างน่าโมโหจริงๆหยางเจี้ยนเองก็ไม่ชอบเฉียนหลุน จึงน้อมรับคำพูดแฝงนัยเยาะเย้ยถากถางนั้นยิ้มๆ ไม่กล่าวตอบสิ่งใดความเย่อหยิ่งถือตัวเยี่ยงนี้เขามอบให้บิดาของสตรีที่หมายตาตัวเขานางนั้นนับว่าสมควรอย่างยิ่ง มิได้เกี่ยวข้องเรื่องขั้วอำนาจไม่เหมาะสมอันใดสักนิด แค่เขาไม่คิดอะไรกับบุตรส
เนื่องจากเดินทางออกจากจวนทันทีตั้งแต่ฟ้าสาง ทั้งยังค้างแรมที่ค่ายทหาร เพื่อร่วมวางผังป้องกันเมืองกับองค์รัชทายาท หลายวันแล้วมิได้กลับจวนหยางระหว่างนั้นยังเข้าวัง ร่วมประชุมถกปัญหาบ้านเมืองกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ปัญหาหลังเรือนจึงยังไม่ถึงหูของหยางเจี้ยนแต่อย่างใดเบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มยามนี้ล้วนเป็นปัญหาเกี่ยวกับแว่นแคว้นทั้งสิ้น หนักสุดเห็นจะเป็นหัวข้อรอเห็นชอบจากทุกฝ่ายในเรื่องสร้างพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน หาความสำราญขององค์จักรพรรดิแห่งที่สิบสี่นั่นหมายความว่ามีสถานที่เริงรมย์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วถึงเก้าแห่ง ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลการใช้เงินจากคลังส่วนกลางมิใช่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะขุนนางเสียก่อนหยางเจี้ยนก้าวเท้าออกจากขุนนางฝ่ายบู๊ ค้อมศีรษะประสานหมัดก่อนกล่าวนอบน้อม“แม้กระหม่อมจะเป็นเพียงแม่ทัพ มิอาจเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ทว่าทุกการศึกยังต้องอาศัยงบหลวงเพื่อเคลื่อนทัพปกป้องดินแดน สงครามยึดครองพื้นที่ทางทะเลเพื่อขยายอาณาเขตการค้าแคว้นเยี่ยนที่ผ่านมาผลาญงบคลังหลวงไปไม่น้อย กระหม่อมจึงเห็นพ้องเสนาบดีกรมคลังที่กล่าวไว้ สงครา