ประตูถูกเปิดออก ร่างระหงวิ่งออกไปอย่างลนลาน จิ้นเหอมองตามอย่างงุนงง
เมื่อไร้เงาร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวงชายหนุ่มถึงคิดออก
อ้อ...จริงสิ! ท่านแม่ทัพเพิ่งให้เขาไปสืบเรื่องของนาง
ช่วยไม่ได้ที่เขาทำงานได้ฉับไวเถรตรงยิ่ง!
แท้ที่จริง หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจไยดีจนอยากรู้เรื่องของซู่หลิน หากแต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาที่เผยเรื่องราวให้บุตรชายลอบสืบดู
เผื่อไว้ให้คอยระแวดระวังสตรีจอมมารยา!
มิคาดว่าจะสืบจนล่วงรู้ว่านางเลวร้ายถึงขั้นนั้น
แต่การจะส่งกลับก็ดูจะไม่เหมาะ เหตุเพราะเป็นมารดาของเขาเองที่นำนางเข้ามาถึงหลังเรือนที่ลึกสุดแห่งนี้ ผู้คนอาจครหาว่าจวนใหญ่รังแกคนด้อยกว่า
ขณะที่จิ้นเหอกำลังจะปิดประตูห้องให้หยางเจี้ยน จิ่นซินก็พุ่งพรวดเข้ามาดั่งธนูเพลิง
“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ได้โปรดช่วยฮูหยินน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาดเช็ดถูพระพุทธองค์ ทั้งยังไล่บ่าวกลับตลอด นางคงตรอมใจแน่ๆ”
ไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาด ไล่กราดบ่าวไพร่...กระนั้นหรือ? หึ!
หยางเจี้ยนลอบสบถในใจ
เห็นได้ชัดว่านางต้องการอยู่เพียงลำพังแค่คนเดียวเพื่อทำเรื่องนอกกรอบอย่างอุกอาจ!
จิ่นซินไหนเลยจะล่วงรู้อารมณ์ของแม่ทัพหนุ่ม
นางพูดพล่ามยืดยาวพลางคุกเข่าโขกศีรษะดังปึกๆ จนหน้าผากช้ำหนัก ใบหน้ากลมแป้นแดงเถือกไปหมด สาวใช้ตัวน้อยต้องการออกมายอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวว่าเป็นคนยุยงส่งเสริมเจ้านายให้ทำเรื่องไม่ยั้งคิด ทว่าอีกฝ่ายกลับสั่งอย่างเฉียบขาดมิให้ยุ่งเกี่ยว เพราะแม้โทษเดียวกันแต่หากคนแบกรับเป็นเพียงบ่าวไพร่คนหนึ่ง ย่อมถูกโบยหรือถูกขาย หาใช่แค่สวดมนต์ไม่ หมิงเยว่จึงไล่จิ่นซินออกมา
เช่นนี้จิ่นซินย่อมทำได้แค่รอแม่ทัพหยางกลับมา
“หากปล่อยเอาไว้แบบนี้ บ่าวเกรงว่าฮูหยินน้อยจะหลับไม่ตื่นอีกเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพได้โปรดช่วยนางด้วย”
หยางเจี้ยนมุ่นคิ้ว พินิจอย่างสงสัย
หลับไม่ตื่นแต่ก็ฟื้นขึ้นมาแต่งงานกับเขาปะไร!
เบื้องหน้าแม่ทัพหนุ่ม สาวใช้โขกศีรษะร่ำไห้เสียงดังไม่หยุดหย่อน เขาจึงโบกมือสั่งให้จิ้นเหอเข้ามาพาตัวแม่นางผู้ช่ำชองการคร่ำครวญออกไปอย่างต้องการตัดรำคาญ
จากนั้นยังใช้เวลาครุ่นคิดถึงภรรยาน่าชังของตน
นางแอบฝึกยุทธ์ขัดกับธรรมเนียมของสตรีหลังเรือน
แล้วยังจะแอบทำสิ่งใดขัดต่อกฎเกณฑ์อีกหรือไม่?
ทันใดนั้นภาพของสตรีอีกคนพลันซ้อนทับ
นางคือเจ้าของดวงตาสุกสกาว ท่วงท่าห้าวหาญ งามสง่ายิ่งกว่าบุรุษ ผู้ซึ่งเลือกอิสระเสรีมากกว่าความถูกต้อง ไม่คิดครองตนอยู่ในกรอบศีลธรรม
หยางเจี้ยนที่เคยรู้สึกชื่นชอบสตรีเช่นนั้น กลับรู้สึกไม่พึงใจขึ้นมาแล้ว
หากภรรยาของเขาทำตัวเยี่ยงนางแล้วเลือกจากไปอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ยอมทำตัวอยู่ในกรอบประเพณี ปราศจากความคิดของกุลสตรีดีงาม ไร้ความอ่อนช้อยว่าง่าย ไม่คิดอยู่เหย้าเฝ้าเรือนรอปรนนิบัติสามีอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เลี้ยงดูบุตรจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี
ไม่มอบบุตรหัวปีท้ายปีและไม่คิดซบอกเขาดีๆ ล่ะ?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้น หยางเจี้ยนถึงขั้นเปิดลิ้นชัก หยิบภาพวาดของอดีตหัวหน้าค่ายโจรจันทราออกมาแล้วโยนเข้าห้องลับเก็บไว้ในซอกที่ลึกที่สุด ลึกจนยากค้นหา เนื่องจากยามนี้เขากำลังมีตัวตายตัวแทนไม่พึงประสงค์
ใครคนนั้นที่มีความผิดแผกจากสตรีทั่วไปเหลือเกิน
ไป๋หมิงเยว่!
เจ้าของนามซึ่งขับไล่บ่าวไพรในหอพระธรรมไปจนสิ้นคล้ายได้ยินคนเรียกชื่อตน ทั้งๆ ที่แห่งนี้ไม่มีใคร“แค่กๆ”หมิงเยว่กระแอมไอ รู้สึกเลือดลมตีกลับสติแตกซ่าน จำต้องหุบแขนหุบขาในท่วงท่าน่าอายหยุดฝึกวรยุทธ์ทันทีฉับพลันนั้นนางย้อนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนตอนที่กำลังออกท่าทางพญาวานรตีลังกาวาดไม้ไผ่ต่างดาบ นางคล้ายเห็นชายผ้าของบุรุษรำไร ไม่แน่ใจว่าใช่หยางเจี้ยนหรือไม่หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่น่าใช่!ครู่หนึ่งถึงได้ขบคิดโดยละเอียด หรือว่าใช่!หมิงเยว่พลิกตัวจากท่านั่งห้อยหัวบนคานไม้กระโดดลงมายืนบนพื้นห้องทันใดต้องใช่แน่ๆ กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านขนาดนั้น! ยังทิ้งกลิ่นเฉพาะกายอบอวลกำจายเอาไว้อีกเขาจะเห็นการแอบฝึกวรยุทธ์ของนางหรือไม่นะ?อา...หากถูกจับได้ขึ้นมา สามีจอมเคร่งครัดผู้นั้นต้องสั่งเชือดนางแน่ ร่างใหม่คนนี้ไร้ความสามารถมากเกินไป ฝีมือของนางยังไม่ถึงไหนเลยนางจะเสี่ยงถูกเปิดโปงหรือถูกขับไล่ออกไปยามนี้มิได้เด็ดขาด ขืนอาศัยอยู่ข้างนอกต้องลำบากมากเป็นแน่ หนทางยิ่งใหญ่ย่อมมีแต่คำว่าพ่ายแพ้ยังมีจิ่นซินจอมขี้แยอีกคนที่ต้องดูแลไม่ได้ นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังแตกตื่น อีกฝ่ายก็กำล
ประตูห้องพระค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าแสงไฟสว่างจ้าจากคบเพลิงเบียดบังแสงตะเกียง ส่งผลให้ความสว่างไสวส่องเข้ามาในห้องพระจนคล้ายทิวา เสียงดีใจของจิ่นซินดังเล็ดลอดเข้ามาทำลายความเงียบสงบภายในห้องจนสิ้น“ฮูหยินน้อย...”หมิงเยว่กำลังวาดแขนกางขาออกกระบวนท่าอหังการอยู่จำต้องรีบเก็บกลับ แกะผ้ารัดแขนออกอย่างเร็ว ปลดชายกระโปรงออกจากสายรัดเอว ปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวกรุยกรายพลิ้วไหว จังหวะนั้นได้ยินเสียงสูดจมูกของจิ่นซิน คาดว่าคงกำลังปาดน้ำตาด้วยคราหนึ่ง“ท่านแม่ทัพให้บ่าวมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”ประโยคหลังของสาวใช้กล่าวขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดกรีดอากาศดุจเสียงเรียกของปีศาจที่มาพรากหมิงเยว่กลับไปยังอาณาเขตแห่งความเป็นจริงหญิงสาวตอบกลับเสียงเนือย “ข้าไม่อาจกลับไปได้ โทษทัณฑ์นี้ช่างสาหัสนัก”ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จนหมิงเยว่ต้องขมวดคิ้ว“จิ่นซิน...” หญิงสาวหันหน้าไปมองหาสาวใช้ผู้ซึ่งพูดมากแต่กลับเงียบเชียบด้วยความฉงน“เหตุใดไม่พร่ำบ่นเหมือนเคยเล่า?”ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมิใช่เสียงของแน่งน้อย หากแต่เป็นเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแฝงความเคร่งเครียดขั้นสุด“ไม่อาจกลับไ
“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?” “กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อยนอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่งหมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วยทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยาหมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกินจิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนักลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังหมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยางกระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก ส
คุณหนูไป๋ตัวเล็กนัก เมื่อหยางเจี้ยนยืนระยะประชิด หมิงเยว่ก็ให้รู้สึกคล้ายกลายร่างเป็นหนูตัวน้อยที่กำลังประจันหน้ากับม้าศึกตัวใหญ่ผู้หนึ่งคือผู้เยี่ยมยุทธ์แตกฉานการต่อสู้ทุกแขนง ไหวพริบยิ่งกว่าสิบผู้บัญชาการ นางยามนี้ไหนเลยจะสู้เขาได้หญิงสาวยืนนิ่งไม่ไหวติง อยากทำหูทวนลมก็ทำมิได้ เพียงยืนก้มหน้ามองพื้นห้อง ในขณะที่อีกฝ่ายก็กล่าวยืดยาว“อันตรายทั้งหลายปล่อยหน้าที่สามีแบกรับปกป้อง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอันใดให้เหน็ดเหนื่อยทั้งสิ้น เช่นนั้น อะไรที่เจ้าทำอยู่ จงหยุดและล้มเลิกที่จะทำมันเสีย”หมิงเยว่กลอกตายู่หน้า “มิใช่ท่านหรือไรที่เมินเฉยละเลยข้า ปล่อยให้ข้าถูกรังแก! แบกรับหรือ? ปกป้องหรือ? ท่านช่างพูดออกมาได้ หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”หยางเจี้ยนตะลึงวูบ ก่อนสืบเท้าเข้าหาแล้วก้มหน้าหยักยกมุมปากแค่นยิ้ม “แล้วใครกันที่ตั้งแง่รังเกียจข้า?”หญิงสาวเงยหน้าสู้สายตา “ข้ามิได้รังเกียจท่าน!”“แล้วที่ทำทุกครั้งบนเตียงยามเช้าคืออันใด?”ฉับพลันนั้นภาพแห่งการแนบชิดลึกซึ้งพลันปรากฏเต็มภวังค์ พาให้ร้อนรุ่มนัก ขัดเขินยิ่ง สตรียามเขินอายก็มักจะทำอันใดที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นได้ในบางครา การถีบบุรุษตกเตียงกับก
หญิงสาวยังมิทันได้เอื้อมมือไปสัมผัสอย่างสงสัยใคร่รู้ ฝ่ายชายหนุ่มกลับดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วรัดแน่น“อ๊ะ!”ไม่มีแล้วสามีเย็นชาเหมือนน้ำแข็งค้างผู้ชื่นชอบการพร่ำบ่นภรรยายามนี้หมิงเยว่เห็นปีศาจราคะผู้เร่าร้อนตนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่พูดไม่จา เขาจับนางขึ้นนั่งบนตักแกร่ง ไม่ถามสักคำว่ายินยอมหรือไม่? เพียงส่งสายตาร้อนแรงบ่งบอกความต้องการที่มีแรงปรารถนาคอยผลักดันนางตีไหล่เขาหนึ่งที “เหตุใดไม่ไปเรือนอนุเล่า?”เดิมทีนางก็หึงหวงหฤโหดอยู่หรอกนะ แต่เขาเปี่ยมกำลังวังชาเรี่ยวแรงเยอะยิ่งกว่าวัวตัวโต คึกคักเหนือม้าศึก ทำผู้อื่นแทบแหลกเหลวไม่เหลือดี เขาบดขยี้นางราวโกรธกัน “ยามนี้อนุนางนั้นคงประโคมแต่งกายงดงาม จุดโคมรอท่าน ชะเง้อหน้ามองจนลำคอยาวแล้ว”หมิงเยว่ย่อมไม่รู้ว่าซู่หลินถูกสามีตนเอาดาบจ่อคอ ห้ามมาให้เห็นหน้าอีกตลอดชีวิต“ไปหาอนุเถิด ปล่อยข้า”หยางเจี้ยนเลิกคิ้ว “เหตุใดต้องไปหาสตรีอื่นไม่ทราบ ในเมื่อภรรยาอยู่ตรงหน้า”“แต่นางผู้นั้นงดงามกว่าข้ามาก”“รู้ตัวด้วยหรือ?”หญิงสาวพลันชะงัก แววตาขึงตึง “ท่าน!”“เจ้าช่างขี้ริ้วนัก กิริยาแข็งกระด้าง มารยาทยังต้องฝึกฝนอีกมาก อย่าเสียเวลาเปรียบเทียบกับผู้อื่นให้
หมิงเยว่ครางเสียงหวาน ร้อนผ่าวไปทั้งร่าง น้ำในถังคล้ายไม่มีอยู่จริง ทุกการเคลื่อนไหวสอดประสานในจังหวะกร้าวแกร่งดุดัน จึงเสมือนไร้สิ่งใดกีดขวางโดยสิ้นเชิงเสียงครางผะแผ่วสอดประสานกับเสียงน้ำกระฉอกขึ้นลงตามจังหวะขยับกายลึกล้ำหมิงเยว่จับบ่ากว้างแน่น เล็บจิกแผ่นหลังแกร่งจนได้เลือดซึม รู้สึกลุ่มหลงในห้วงอารมณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อนนางจึงปลดปล่อยตัวเองตามใจสามี ยินยอมถูกความรู้สึกหวามไหวครอบงำเนิ่นนานในขณะที่หยางเจี้ยนยิ่งนานยิ่งกำซ่าน เพลิงอารมณ์ไม่มอดดับโดยง่าย จากถังไม้คับแคบคู่ยวนยางจึงมาเล่นน้ำต่อที่เตียงนอนกว้าง ท่วงท่ารัญจวนหลากหลายมากกว่าเดิม เพิ่มความร้อนแรงแห่งเพลิงพิศวาสปานเยี่ยมแดนสวรรค์หมิงเยว่ครวญเสียงหวิว “ท่านสร้างห้องอาบน้ำใหม่ ให้ใหญ่กว่าเดิมได้ไหม?”มีเพียงเรื่องนี้ที่หยางเจี้ยนยอมตามใจนาง “อืม...”สนทนาสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เหลือแค่เสียงกลิ้งตัวเสียดสีไปบนเตียง เคล้าเสียงหอบกระเส่าเกิดขึ้นตลอดราตรี ทั้งนางและเขามิได้พูดจาอันใดอีกเลยแม้ครึ่งคำแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องถกเถียงกัน ถึงอย่างไรเราสองสามีภรรยาก็มิใช่คู่ที่ชอบสนทนาพาทีหรือร่วมอ่านหนังสือคัดอักษรขับกลอนโต้ตอบบทกวีเหม
หยาดน้ำค้างโปรยปราย กลิ่นอายวสันต์จางหาย กรุ่นร้อนแผ่ซ่านผ่อนคลาย เรือนกายสิ้นไร้เรี่ยวแรงหมิงเยว่ลำคอแห้งผาก นอนคว่ำหน้าเงียบงัน เผยแผ่นหลังนวลเนียนล้อสายตาในขณะที่หยางเจี้ยนลุกขึ้นนั่งเผยแผงอกตึงแน่น เตรียมตั้งหลักรอรับมือกับปัญหาบนเตียงกับภรรยาหญิงสาวรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งร่าง ปวดหนึบไปหมด คลับคล้ายใกล้แตกสลายอยู่รอมร่อ ไหนเลยจะมีแรงโวยวาย ทำได้แค่บ่นตัดพ้อเบาๆ“ไยท่านไม่ใช้ลิ้นอย่างเดียวเล่า? เนื้อตัวของข้าหาใช่ขนมหวานที่ต้องใช้ฟันขบกัดหรือเคี้ยวเล่นก่อนกลืนกินไม่!”ยามเอ่ยยังเห็นภาพผิวเนื้ออ่อนนุ่มของตนถูกฟันคมครูดเป็นทางอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทั่งผิวนวลเนียนของนางมีรอยแดงเต็มไปหมด ทว่าตัวนางยามนั้นกลับกรีดร้องอย่างสุขสมแทบขาดใจนี่มันเรื่องราวใดกัน?หมิงเยว่ยังคงบ่นอย่างไม่ไว้หน้าทั้งไม่รับความจริง ทว่าหยางเจี้ยนที่เตรียมรับมืออยู่แล้วเพียงแค่นเสียงเย็นชา “มิใช่ว่าเจ้าก็ใช้กรงเล็บนางพญาทำหลังข้าเป็นรอย”ชายหนุ่มพบว่าตนเองเริ่มเก่งกาจในการโต้แย้งเรื่องบนเตียงกับภรรยาแล้ว หากเป็นก่อนนี้เขาคงทำได้แค่ลุกหนีแล้วจากไปอย่างเดือดดาล ต่อมาก็ทำได้แค่ขบคิดเพียงลำพัง ราตรีแล้วราตรีเล่
หลังจากถูกเคี่ยวเข็ญให้ปรนนิบัติสามีตามหน้าที่ภรรยาเอกทุกประการตั้งแต่ช่วยเขาแต่งกายคาดสายรัดเอว ดูแลยกน้ำชา คีบอาหารใส่ถ้วยให้ หมิงเยว่ยังถูกหยางเจี้ยนพาเดินไปคารวะน้ำชาต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสพร้อมกับเขาทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแน่นอน ตั้งแต่แต่งงานกันมา ก็มีแค่กิจกรรมสร้างสัมพันธ์บนเตียงโดยไร้ซึ่งวาจาตลอดคืน ยามเช้าก็โต้แย้งอย่างรุนแรง หลังทะเลาะเบาะแว้งก็ต่างแยกย้ายไปคนละทาง แต่ละครั้งก็ต้องห่างกันร่วมเดือน ทว่าครั้งนี้หมิงเยว่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ให้แยกจากสามีแม้ครึ่งก้าวใจร้ายเกินไปแล้ว...ยามนี้ท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เคร่งขรึมแต่มักเกรี้ยวกราดกำลังปฏิบัติต่อฮูหยินของเขาในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงจากที่ไม่เคยตื่นนอนพร้อมกัน ไม่เคยรับอาหารเช้าร่วมกัน ยิ่งไม่เคยจับประคองยามคารวะผู้เฒ่าอย่างเอาใจใส่ หรือชวนพูดคุยเสวนาช่วยสร้างสัมพันธ์อันดีต่อหน้าผู้อาวุโส บัดนี้หยางเจี้ยนกลับทำทุกอย่างเหล่าผู้อาวุโสทุกคนในสกุลหยางรวมถึงบ่าวรับใช้ต่างพากันมองสะใภ้สกุลไป๋ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากดูแคลนแปรผันเป็นชื่นชม บรรยากาศรื่นรมย์ยิ่งมีเพียงหมิงเยว่ที่รู้สึกว่าคืนวันแสนสุขเปลี่ยนไปแล้ว กล
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย