“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?”
“กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”
สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อย
นอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่ง
หมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วย
ทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยา
หมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...
ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกิน
จิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพราก
ทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนัก
ลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง
หมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยาง
กระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก สามีปิดประตูลั่นดาล ฝ่ายภรรยาก็คลี่ยิ้มหวาน เริ่มชี้นำอย่างสตรีใจกว้าง
“ดึกดื่นปานนี้ เหตุใดท่านแม่ทัพยังไม่พักผ่อนเล่า อนุซู่ของท่านมิใช่อยู่ที่เรือนหยกงามหรือ?”
ประกายตาของบุรุษผู้ถูกภรรยาเอกไล่ให้ไปหาอนุเผยแววเย็นชา หยางเจี้ยนไม่ต่อคำนาง เพียงเอ่ยเนิบช้า
“ราตรีมืดสลัวมิอาจพลิกผันประจันหน้าแสงตะวัน เจ้ารู้ความหมายของมันหรือไม่?”
หญิงสาวทำหน้าเหลอหลาโง่งม ได้ยินเขาเอ่ยอย่างเคร่งครัดอีกว่า “สตรีแต่งงานแล้วพึงรักษากิริยาดุจบุปผา วาจายังต้องใช้แค่สามี กระทำการใดพึงสังวรให้ดี ที่ไม่ดียิ่งไม่ควรทำ หวังว่าเจ้าจะจำใส่ใจ”
แต่ไหนแต่ไรหยางเจี้ยนมิใช่บุรุษช่างจำนรรจา แต่กับภรรยาผู้นี้เห็นทีจำต้องพูดให้มากเข้าไว้
หมิงเยว่ได้ยินเขาพร่ำบ่นจนงงก็กระพริบตาจ้องมอง ในครรลองสายตานางคล้ายกำลังเจอสิ่งอัศจรรย์
ใต้หล้านี้มีเรื่องอัศจรรย์ที่นางเคยเจอและเคยทำมากมายทั้งดีร้าย ทว่าตั้งแต่เกิดกระทั่งตายด้วยกระบี่สุริยัน นางเคยถูกใครเสียเวลามาสั่งสอนที่ใดกัน มีแต่พวกพ้องพาทำชั่วไม่เว้นวัน เมื่อเข้าร่างนี้ยิ่งถูกผู้คนละเลย ไม่เคยมีใครใส่ใจนางทั้งนั้น
แน่นอนว่าหมิงเยว่ไม่ต้องการให้ใครมาสนใจทั้งสิ้น! ไม่ต้องมาสอนด้วย...
แต่สามีผู้นี้ นางยืนฟังดีๆ ก็ได้!
คุณหนูไป๋ตัวเล็กนัก เมื่อหยางเจี้ยนยืนระยะประชิด หมิงเยว่ก็ให้รู้สึกคล้ายกลายร่างเป็นหนูตัวน้อยที่กำลังประจันหน้ากับม้าศึกตัวใหญ่ผู้หนึ่งคือผู้เยี่ยมยุทธ์แตกฉานการต่อสู้ทุกแขนง ไหวพริบยิ่งกว่าสิบผู้บัญชาการ นางยามนี้ไหนเลยจะสู้เขาได้หญิงสาวยืนนิ่งไม่ไหวติง อยากทำหูทวนลมก็ทำมิได้ เพียงยืนก้มหน้ามองพื้นห้อง ในขณะที่อีกฝ่ายก็กล่าวยืดยาว“อันตรายทั้งหลายปล่อยหน้าที่สามีแบกรับปกป้อง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอันใดให้เหน็ดเหนื่อยทั้งสิ้น เช่นนั้น อะไรที่เจ้าทำอยู่ จงหยุดและล้มเลิกที่จะทำมันเสีย”หมิงเยว่กลอกตายู่หน้า “มิใช่ท่านหรือไรที่เมินเฉยละเลยข้า ปล่อยให้ข้าถูกรังแก! แบกรับหรือ? ปกป้องหรือ? ท่านช่างพูดออกมาได้ หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”หยางเจี้ยนตะลึงวูบ ก่อนสืบเท้าเข้าหาแล้วก้มหน้าหยักยกมุมปากแค่นยิ้ม “แล้วใครกันที่ตั้งแง่รังเกียจข้า?”หญิงสาวเงยหน้าสู้สายตา “ข้ามิได้รังเกียจท่าน!”“แล้วที่ทำทุกครั้งบนเตียงยามเช้าคืออันใด?”ฉับพลันนั้นภาพแห่งการแนบชิดลึกซึ้งพลันปรากฏเต็มภวังค์ พาให้ร้อนรุ่มนัก ขัดเขินยิ่ง สตรียามเขินอายก็มักจะทำอันใดที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นได้ในบางครา การถีบบุรุษตกเตียงกับก
หญิงสาวยังมิทันได้เอื้อมมือไปสัมผัสอย่างสงสัยใคร่รู้ ฝ่ายชายหนุ่มกลับดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วรัดแน่น“อ๊ะ!”ไม่มีแล้วสามีเย็นชาเหมือนน้ำแข็งค้างผู้ชื่นชอบการพร่ำบ่นภรรยายามนี้หมิงเยว่เห็นปีศาจราคะผู้เร่าร้อนตนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่พูดไม่จา เขาจับนางขึ้นนั่งบนตักแกร่ง ไม่ถามสักคำว่ายินยอมหรือไม่? เพียงส่งสายตาร้อนแรงบ่งบอกความต้องการที่มีแรงปรารถนาคอยผลักดันนางตีไหล่เขาหนึ่งที “เหตุใดไม่ไปเรือนอนุเล่า?”เดิมทีนางก็หึงหวงหฤโหดอยู่หรอกนะ แต่เขาเปี่ยมกำลังวังชาเรี่ยวแรงเยอะยิ่งกว่าวัวตัวโต คึกคักเหนือม้าศึก ทำผู้อื่นแทบแหลกเหลวไม่เหลือดี เขาบดขยี้นางราวโกรธกัน “ยามนี้อนุนางนั้นคงประโคมแต่งกายงดงาม จุดโคมรอท่าน ชะเง้อหน้ามองจนลำคอยาวแล้ว”หมิงเยว่ย่อมไม่รู้ว่าซู่หลินถูกสามีตนเอาดาบจ่อคอ ห้ามมาให้เห็นหน้าอีกตลอดชีวิต“ไปหาอนุเถิด ปล่อยข้า”หยางเจี้ยนเลิกคิ้ว “เหตุใดต้องไปหาสตรีอื่นไม่ทราบ ในเมื่อภรรยาอยู่ตรงหน้า”“แต่นางผู้นั้นงดงามกว่าข้ามาก”“รู้ตัวด้วยหรือ?”หญิงสาวพลันชะงัก แววตาขึงตึง “ท่าน!”“เจ้าช่างขี้ริ้วนัก กิริยาแข็งกระด้าง มารยาทยังต้องฝึกฝนอีกมาก อย่าเสียเวลาเปรียบเทียบกับผู้อื่นให้
หมิงเยว่ครางเสียงหวาน ร้อนผ่าวไปทั้งร่าง น้ำในถังคล้ายไม่มีอยู่จริง ทุกการเคลื่อนไหวสอดประสานในจังหวะกร้าวแกร่งดุดัน จึงเสมือนไร้สิ่งใดกีดขวางโดยสิ้นเชิงเสียงครางผะแผ่วสอดประสานกับเสียงน้ำกระฉอกขึ้นลงตามจังหวะขยับกายลึกล้ำหมิงเยว่จับบ่ากว้างแน่น เล็บจิกแผ่นหลังแกร่งจนได้เลือดซึม รู้สึกลุ่มหลงในห้วงอารมณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อนนางจึงปลดปล่อยตัวเองตามใจสามี ยินยอมถูกความรู้สึกหวามไหวครอบงำเนิ่นนานในขณะที่หยางเจี้ยนยิ่งนานยิ่งกำซ่าน เพลิงอารมณ์ไม่มอดดับโดยง่าย จากถังไม้คับแคบคู่ยวนยางจึงมาเล่นน้ำต่อที่เตียงนอนกว้าง ท่วงท่ารัญจวนหลากหลายมากกว่าเดิม เพิ่มความร้อนแรงแห่งเพลิงพิศวาสปานเยี่ยมแดนสวรรค์หมิงเยว่ครวญเสียงหวิว “ท่านสร้างห้องอาบน้ำใหม่ ให้ใหญ่กว่าเดิมได้ไหม?”มีเพียงเรื่องนี้ที่หยางเจี้ยนยอมตามใจนาง “อืม...”สนทนาสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เหลือแค่เสียงกลิ้งตัวเสียดสีไปบนเตียง เคล้าเสียงหอบกระเส่าเกิดขึ้นตลอดราตรี ทั้งนางและเขามิได้พูดจาอันใดอีกเลยแม้ครึ่งคำแบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องถกเถียงกัน ถึงอย่างไรเราสองสามีภรรยาก็มิใช่คู่ที่ชอบสนทนาพาทีหรือร่วมอ่านหนังสือคัดอักษรขับกลอนโต้ตอบบทกวีเหม
หยาดน้ำค้างโปรยปราย กลิ่นอายวสันต์จางหาย กรุ่นร้อนแผ่ซ่านผ่อนคลาย เรือนกายสิ้นไร้เรี่ยวแรงหมิงเยว่ลำคอแห้งผาก นอนคว่ำหน้าเงียบงัน เผยแผ่นหลังนวลเนียนล้อสายตาในขณะที่หยางเจี้ยนลุกขึ้นนั่งเผยแผงอกตึงแน่น เตรียมตั้งหลักรอรับมือกับปัญหาบนเตียงกับภรรยาหญิงสาวรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งร่าง ปวดหนึบไปหมด คลับคล้ายใกล้แตกสลายอยู่รอมร่อ ไหนเลยจะมีแรงโวยวาย ทำได้แค่บ่นตัดพ้อเบาๆ“ไยท่านไม่ใช้ลิ้นอย่างเดียวเล่า? เนื้อตัวของข้าหาใช่ขนมหวานที่ต้องใช้ฟันขบกัดหรือเคี้ยวเล่นก่อนกลืนกินไม่!”ยามเอ่ยยังเห็นภาพผิวเนื้ออ่อนนุ่มของตนถูกฟันคมครูดเป็นทางอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทั่งผิวนวลเนียนของนางมีรอยแดงเต็มไปหมด ทว่าตัวนางยามนั้นกลับกรีดร้องอย่างสุขสมแทบขาดใจนี่มันเรื่องราวใดกัน?หมิงเยว่ยังคงบ่นอย่างไม่ไว้หน้าทั้งไม่รับความจริง ทว่าหยางเจี้ยนที่เตรียมรับมืออยู่แล้วเพียงแค่นเสียงเย็นชา “มิใช่ว่าเจ้าก็ใช้กรงเล็บนางพญาทำหลังข้าเป็นรอย”ชายหนุ่มพบว่าตนเองเริ่มเก่งกาจในการโต้แย้งเรื่องบนเตียงกับภรรยาแล้ว หากเป็นก่อนนี้เขาคงทำได้แค่ลุกหนีแล้วจากไปอย่างเดือดดาล ต่อมาก็ทำได้แค่ขบคิดเพียงลำพัง ราตรีแล้วราตรีเล่
หลังจากถูกเคี่ยวเข็ญให้ปรนนิบัติสามีตามหน้าที่ภรรยาเอกทุกประการตั้งแต่ช่วยเขาแต่งกายคาดสายรัดเอว ดูแลยกน้ำชา คีบอาหารใส่ถ้วยให้ หมิงเยว่ยังถูกหยางเจี้ยนพาเดินไปคารวะน้ำชาต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสพร้อมกับเขาทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแน่นอน ตั้งแต่แต่งงานกันมา ก็มีแค่กิจกรรมสร้างสัมพันธ์บนเตียงโดยไร้ซึ่งวาจาตลอดคืน ยามเช้าก็โต้แย้งอย่างรุนแรง หลังทะเลาะเบาะแว้งก็ต่างแยกย้ายไปคนละทาง แต่ละครั้งก็ต้องห่างกันร่วมเดือน ทว่าครั้งนี้หมิงเยว่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ให้แยกจากสามีแม้ครึ่งก้าวใจร้ายเกินไปแล้ว...ยามนี้ท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เคร่งขรึมแต่มักเกรี้ยวกราดกำลังปฏิบัติต่อฮูหยินของเขาในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงจากที่ไม่เคยตื่นนอนพร้อมกัน ไม่เคยรับอาหารเช้าร่วมกัน ยิ่งไม่เคยจับประคองยามคารวะผู้เฒ่าอย่างเอาใจใส่ หรือชวนพูดคุยเสวนาช่วยสร้างสัมพันธ์อันดีต่อหน้าผู้อาวุโส บัดนี้หยางเจี้ยนกลับทำทุกอย่างเหล่าผู้อาวุโสทุกคนในสกุลหยางรวมถึงบ่าวรับใช้ต่างพากันมองสะใภ้สกุลไป๋ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากดูแคลนแปรผันเป็นชื่นชม บรรยากาศรื่นรมย์ยิ่งมีเพียงหมิงเยว่ที่รู้สึกว่าคืนวันแสนสุขเปลี่ยนไปแล้ว กล
ครั้นไม่อาจอยู่อย่างสงบในเรือนตน หมิงเยว่จึงจำต้องออกมาเดินเล่นและเลือกพักผ่อนในศาลาแทน“ฮูหยินน้อย...”สาวใช้ตัวน้อยของหมิงเยว่ส่งเสียงอ่อนหวานอยู่นอกศาลา นางเปลี่ยนสรรพนามจากคุณหนูใหญ่ทันทีหลังจากแม่ทัพหยางเปลี่ยนไป“จิ่นซินขอตัวไปรับขนมในห้องครัวชั่วครู่เจ้าค่ะ”นางเดินมาวางตะกร้าไผ่สานที่บรรจุถ้วยชาไว้บนโต๊ะ แล้ววิ่งจากไปอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเปี่ยมสุขกว่าทุกวันหมิงเยว่มองตามพลางถอนหายใจ สาวใช้ผู้นี้จะรู้บ้างไหมว่านางต้องเปลืองตัวไปกับสามีผู้กล้าแกร่งเพียงใดถึงแลกความสงบสุขได้แต่เอาเถิด ได้เห็นจิ่นซินยิ้มแป้นก็นับว่าคุ้มแล้ว...หญิงสาวให้รู้สึกเอ็นดูบ่าวคนสนิทจริงๆช่วยมิได้ที่หมิงเยว่จักซาบซึ้งจิ่นซินถึงขั้นนี้ เนื่องจากยามลำบากเพียงลำพัง มองไปทางใดล้วนไม่เคยเห็นใคร ไป๋หมิงเยว่ผู้ถูกทิ้งขว้างก็มีเพียงจิ่นซินเท่านั้น แม้นางจะเป็นวิญญาณมาสวมร่าง หากแต่ความรู้สึกซาบซึ้งมิเคยเจือจางหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล สหายรู้ใจหาได้ยากยิ่ง เมื่อมีโอกาสพบเจอย่อมต้องรักษาให้มั่นระหว่างคิดเช่นนั้น สายตาของหมิงเยว่พลันเหลือบเห็นชายอาภรณ์ของสตรีผู้หนึ่ง ชั่วครู่ก็หายไปทางหลังพุ่มไม้ ท่าทางลับๆ
แม้ก่อนหน้านี้หมิงเยว่มักจะผลักไสหยางเจี้ยนให้ไปหาอนุซู่เพื่อแบ่งเบาภาระอันแสนสาหัสทว่าเมื่อถึงเวลาที่คิดว่าเขาต้องไปทำเรื่องเช่นนั้นกับสตรีอื่นจริงๆ หญิงสาวกลับไร้ความคิดที่จะยินยอมหรือยินดี ไม่มีแม้แต่น้อยซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าทำไม...เส้นทางลับตาแห่งเดิม ซู่หลินเดินกลับเรือนตนอย่างระมัดระวัง ทว่าอึดใจลำคอระหงพลันถูกรวบกำแล้วฉุดดึงไปหลังพุ่มไม้อย่างไร้สุ้มเสียงซู่หลินเบิกตากว้างอย่างตกใจ พริบตาพลันได้ยินเสียงเย็นเยียบที่ข้างหู “คิดปีนเตียงของสามีข้าด้วยยาชั่ว ถามมารดาเยี่ยงข้าก่อนเถอะ!”สะคราญโฉมผู้หนึ่งคล้ายถูกสูบวิญญาณออกจากร่าง กระทั่งดวงหน้าบิดเบี้ยวหมดความงามเพราะฉาบทับด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงแทบสิ้นสติ“ป่ะ...ไป๋หมิงเยว่”เจ้าของนามแสยะยิ้มเหี้ยมให้ในระยะประชิด“ข้าเอง...”ซู่หลินละล่ำละลักถาม “เจ้าได้ยินทุกอย่าง?”หมิงเยว่หัวเราะเสียงต่ำ “อยากให้ข้าเปิดโปงประจานหรือไม่เล่า?”อันที่จริง ทักษะมารยาสาไถยของหมิงเยว่ที่ห่างชั้นกับซู่หลินและเจียวหั่วนั้น นางมิได้มั่นใจเลยว่าจะมีผู้ใดเชื่อ หมิงเยว่ย่อมต้องใช้ไม้แข็งป้องกันไว้ก่อน นางกดร่างนุ่มนิ่มอ่อนแรงลงบนพื้นดินที่มีหญ้าปก
หลังจากประชุมหารือประจำวันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี หยางเจี้ยนจึงโบกมือเบาๆ ให้ลูกน้องแยกย้ายทำตัวตามสบายค่ายทหารประจำการขุนศึกตระกูลหยางค่อนข้างเข้มงวดชัดเจนในกฎระเบียบ ยามกินจึงมิได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยวตามเหลาอาหารภายในเรือนบัญชาการ หยางเจี้ยนรับมื้ออาหารพร้อมลูกน้องสนิทหลายคน อาหารจากพ่อครัวประจำค่ายของตระกูลนับว่ามีฝีมือไม่น้อย รสชาติไม่ด้อย ดีกว่ากินดินกินทรายกลางสมรภูมิรบหลายขุมจังหวะคีบเนื้อใส่ปาก หยางเจี้ยนเหลือบตาไปเห็นแม่ทัพขั้นสามผู้มีนัยน์ตาสีเลือดท่าทางดุดันกิริยาแข็งกร้าวและหยาบกระด้างกำลังยกกล่องอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างทะนุถนอม ก่อนเปิดอาหารออกมากินอย่างมีความสุข รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นอายละมุนนุ่มนวลผิดกับรูปร่างหน้าตา แม่ทัพน้อยผู้นี้เพิ่งแต่งงานในเวลาไม่ห่างหยางเจี้ยน ทว่าความสัมพันธ์กลับดีกว่า ฮูหยินของอีกฝ่ายใส่ใจอย่างยิ่งหยางเจี้ยนเก็บความรู้สึกสายหนึ่งที่วาบผ่านอกตน พยายามไม่เก็บมาคิดอย่างไม่เข้าใจเหมือนที่ผ่านมา ก้มหน้าก้มตาคีบเนื้อกินต่อ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นจิ้นเหออีกฝ่ายกำลังเปิดกล่องอาหารส่วนตัวเช่นกัน“ใครทำให้เจ้า?”น้ำเสียงขุ่นเข้มท
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย