หมิงเยว่หรี่ตามองสาวใช้คนสนิทอย่างงุนงง “อะไร”
จริงอยู่ว่าหญิงสาวมิได้แยแสผู้คนจวนหยางเท่าใด แต่หนทางกลับไปยิ่งใหญ่ดุจเดิมจะมองอย่างไรก็ยังริบหรี่ ดีไม่ดีอาจไม่ง่าย เพราะค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสลายไปแล้ว มีเพียงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนเท่านั้น อาจจะสามปีห้าปีหรือสิบปี แม่ทัพหยางก็เป็นบุรุษไม่เลวเลยสักนิด ออกจะดีงามด้วยซ้ำ ได้เขาเป็นสามีก็นับว่าไม่เสียชาติที่ได้เกิดใหม่แล้ว
ขณะคิดเรื่อยเปื่อย ฝ่ามือกลมป้อมของจิ่นซินก็ขยับจากขอบเตียงมาเขย่าไหล่ของหมิงเยว่จนหัวสั่นหัวคลอน
“คุณหนู... ท่านยังจะยิ้มกริ่มอันใดเจ้าคะ? ข้าศึกตัวฉกาจเข้าเมืองมาแล้ว กำลังจะยึดฐานทัพแล้วเจ้าค่ะ”
เพราะเป็นสาวใช้ของฮูหยินแม่ทัพ จิ่นซินจึงแอบศึกษาเรื่องแนวนี้มาบ้างเล็กน้อยเพื่อจะได้ทันสถานการณ์ เผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน จะได้คุยกันรู้เรื่อง
“ลุกขึ้นเจ้าค่ะ อย่ามัวนอน”
จิ่นซินจับแขนเรียวบางของนายสาวให้ลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน นางลืมหมดแล้วเรื่องกิริยาใดควรไม่ควร ศีลธรรมจารีตประเพณีอันใดก็ไม่ใส่ใจแล้วทั้งสิ้น
“คุณหนู ท่านต้องไปทวงสิทธิ์ของท่าน แม้บารมีของภรรยาต้องได้สามีส่งเสริม ทว่าตำแหน่งฮูหยินเอกมิใช่จะให้ผู้ใดมาหยามหมิ่นข้ามหน้ากันได้ง่ายๆ เร็วเข้า นังอนุผู้นั้นกล้าเข้ามาหลังเรือนใต้จมูกท่าน โดยที่ท่านไม่ทันได้เห็นชอบ มิยินยอมพร้อมใจ ต่อให้เป็นความคิดของเหล่าผู้อาวุโส เป็นฝีมือของฮูหยินใหญ่แล้วอย่างไร? อย่ายอมเจ้าค่ะ!”
เอาล่ะ! หากยังไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่คนแล้ว
หมิงเยว่พลันเข้าใจแจ่มแจ้งจากวาจาตัดพ้อกึ่งด่าทอยาวเหยียดของจิ่นซิน
สาวใช้ผู้ภักดีคนนี้ไม่เคยทำให้นางผิดหวังจริงๆ นิสัยออกจะชั่วร้ายและไม่ยอมคน ใช้ได้เลยเชียว
หมิงเยว่ลุกขึ้นจากเตียงนอน ยืนหันไปมองกระจก เห็นเงาสะท้อนของตนเป็นสตรีนางน้อยท่าทางไร้เดียงสาปรากฎอยู่ในนั้น ดวงหน้าหวานละมุน ดวงตากระจ่างใส ทุกสิ่งทุกอย่างรวมเป็นนางบอกได้คำเดียวว่าไร้พิษภัย เหมาะแก่การถูกผู้อื่นรังแกยิ่ง
เหตุใดเจ้าถึงอาภัพอย่างนี้ มีชายคนรักก็ถูกเขากับน้องสาวหักหลัง มีสหายยังถูกนางวางยาพิษจนตายเงียบงัน วันนี้ยังเลวร้ายถึงขั้นสามีรับอนุโดยไม่ถามสักคำ
บ่นตัวเองเสร็จก็หันไปทางจิ่นซินที่ยามนี้ใบหน้ากลมเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาจนน่าเกลียดไปหมด
หมิงเยว่แพ้น้ำตาของจิ่นซินจริงๆ ให้ตายเถอะ!
“เอาล่ะ! หยุดร้องไห้เสีย นายของเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”
นี่คือวิธีเดียวที่จะปลอบใจสาวใช้คนสนิทได้
หมิงเยว่หยิบชุดคลุมมาสวมร่างระหงเสียงดังพรึบ จากนั้นก็เดินออกจากเรือนของตนด้วยท่าทางอาจหาญ เส้นผมยาวสยายเคลียไหล่มน แววตาทอประกายดุดันมุ่งมั่น
จิ่นซินโขกศีรษะขอบคุณฟ้าดินจนหน้าผากแดง ก่อนรีบตามไปอย่างโล่งใจ
หากเป็นกาลก่อน ต่อให้นางขอร้องแทบตาย คุณหนูก็คงแค่ปิดประตูร้องไห้คร่ำครวญ ต้องขอบคุณสวรรค์จริงๆ
สาวใช้ต้อยต่ำเช่นนางที่ทำได้แค่หมั่นเพียรสวดมนต์ขอพรให้คุณหนูกลายเป็นคนใหม่ไม่เสียแรงเปล่าเลยสักนิด
จิ่นซินถือโคมสับเท้าวิ่งไว “ทางนี้เจ้าค่ะ คุณหนู”
“อืม...” นายสาวเดินขึ้นหน้าด้วยท่วงท่านางพญา
สำหรับหมิงเยว่ แม้ไม่คิดสวามิภักดิ์ต่อแม่ทัพหยาง แต่การได้บารมีของเขาส่งเสริมในวันนี้ การใหญ่ในวันหน้าย่อมมีหนทางได้ไม่ยากเย็น
หยางเจี้ยน ท่านโชคร้ายเองนะที่ได้เป็นสามีข้า...
ประตูห้องในเรือนอนุซู่ถูกถีบดังโครม เป็นการเปิดประตูอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จวนหยางเคยเจอมาด้านหลังของหมิงเยว่คือเหล่าสาวใช้ที่กำลังกรีดร้องอย่างตกใจเสียขวัญกับการมาเยือนไม่คาดฝันของฮูหยินเอก ส่วนด้านหน้าคือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังตระกองกอดกันใบหน้าหล่อเหลากับใบหน้างดงามใกล้กันปานนั้นฝ่ายหญิงมีเสื้อผ้าเปิดเปลือยหลุดลุ่ยเผยเนินอกอวบส่วนฝ่ายชายเสื้อผ้ายังอยู่ครบ ปลดแค่สายคาดเอว แต่เขากำลังก้มหน้าประชิด อีกไม่ถึงชุ่น ริมฝีปากก็แนบสนิทจุมพิตอย่างร้อนแรงหมิงเยว่ลอบแค่นเสียงหยัน เตียงนอนมีเหตุใดไม่ใช้ มายืนเล่นท่ายากอันใดตรงนี้? รีบร้อนจริงเชียว!เมื่อมีคนเข้ามาขัดจังหวะเริงสวรรค์ ซู่หลินก็กรีดร้องอย่างตระหนกตกใจเป็นที่สุด“อ๊าย!”นางรีบยกมือปิดบังทรวงอกสล้าง เบียดกายนุ่มแนบชิดร่างแข็งแรงของหยางเจี้ยนอย่างต้องการให้ปกป้องใบหน้าหวานบิดเบี้ยวไม่น่ามอง ประหนึ่งถูกทำร้ายแสนสาหัส ทว่ากลับมีปราดหนึ่งที่แววตาคล้ายยิ้มเยาะแวบนั้นหมิงเยว่ย่อมมองทัน แต่นางไม่สนใจซู่หลิน เพียงเดินเข้ามากระชากสตรีจอมมารยาออกไปอย่างรำคาญ ให้อีกฝ่ายไปเสแสร้งไกลๆ ก่อนหันมาจับกระชากสาบเสื้อของหยางเจี้ยนเข้าใกล้อย่างไร้
ดวงจันทร์ยังสุกสกาว ดวงดาวพร่างพราวดุจเดิม ส่องแสงเย็นเยียบภายใต้บรรยากาศราบเรียบเช่นเดิมทว่าหยางเจี้ยนกลับร้อนรุ่มอย่างมาก รู้สึกคล้ายตื่นเต้นอย่างประหลาด มิคาดว่าแค่ถูกภรรยาที่มองมุมไหนก็ไม่น่าพิศมัยออกมาตาม ตัวเขากลับใจเต้นแรงเกินควบคุมชายหนุ่มเดินอาดๆ ก้าวขายาวราวกำลังเกรี้ยวกราดน้ำแกงถ้วยนั้นไยฤทธิ์เดชฉกาจล้ำ“ในเมื่อเจ้าขอโทษ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ไถ่โทษ”กล่าวพลางก้าวเท้าหนักแน่นแต่ว่องไวปราดเปรียวไปทางเรือนหลัก ไม่คิดวกกลับเรือนหนังสือที่เคยพำนักหมิงเยว่เดินตามแทบไม่ทัน มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างโง่งมเต็มขั้น“แม้ข้าจะมีนิสัยไม่ดีกิริยาย่ำแย่ แต่ความรับผิดชอบไม่น้อยแน่ บอกมาเถอะอยากให้ไถ่โทษอะไร”คำพูดคำจาห้าวหาญเยี่ยงบุรุษเช่นนั้น หยางเจี้ยนให้รู้สึกสะดุดหูยิ่งนัก ทว่าอาการขมวดเกร็งของร่างกายคล้ายกับเกิดคลื่นโหมระลอกใหญ่ทำให้เขามิได้เก็บมาใส่ใจอันใดชายหนุ่มก้าวเท้าไม่กี่ครั้งก็เข้าด้านในเรือนหลัก โดยมีหญิงสาวผู้เป็นภรรยาเดินตามเข้ามาด้วยกันเขาหันหน้ามา กล่าวเสียงขรึม “มีลูกให้ข้า”“หา!?”ประตูถูกปิดลง มีคนเฝ้าเอาไว้อย่างแข็งขัน คนผู้นั้นคือจิ่นซิน สาวใช้แน่งน้อยพร้อมกางปีก
ด้านในห้องนอนหรูหราของเรือนหลักแม่ทัพหยาง บัดนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งเพลิงปรารถนา จนร้อนระอุประดุจอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟภาพฝัน สองมือหญิงชายสอดประสานและกอบกุม ต่างให้ความอุ่นแก่กันและกัน ลำแขนแข็งแรงของบุรุษคล้องประคองร่างบางอย่างอ่อนโยน ครอบครองอย่างต้องการให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยบทเพลงรักไหลลื่นทั้งรัญจวนชวนคลั่งใคล้ไปตามจังหวะสวรรค์บทเพลงดุจดังลงมาจากชั้นฟ้าที่ยังคงบรรเลงอยู่นั้น ทำคนคล้ายดั่งตกบ่วงนิมิตรแสนหวาน นิทราที่ยังไม่ลุกตื่นทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปตามอารมณ์แห่งรักใคร่ ทั้งโหยหาเฝ้าถวิลมิเจือจาง ทุกอารมณ์ที่อุบัติล้วนเกิดจากใจ หาใช่จากสติอันเสียเวลาพินิจกลั่นกรองอันใดให้มากความทว่านั่น! คือห้วงมโนตามจินตนาการอันเหลวไหลเพราะความเป็นจริงนั้น ช่างแตกต่างห่างไกลจากฝันในนิทราหวานชั่วยามนี้!เสื้อผ้าหนาแน่นของหยางเจี้ยนที่เดิมทีอนุญาตให้ปลดเพียงสายคาดเอว ยามนี้ถูกหมิงเยว่จับถอดจนเกลี้ยง กระทั่งชุดด้านในยังไม่เหลือ สัดส่วนกำยำอันสมบูรณ์แบบจึงถูกเปลือยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สง่างามหาใดเทียมฝ่ายหมิงเยว่เองก็ไม่น้อยหน้า นางถูกหยางเจี้ยนจับถอดผ้าจนสิ้นทุกชิ้นเช่นกันหลังจากนั
รุ่งสางมาเยือนเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องสิ้นสุดลงนานแล้ว เงาร่างสองสายที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวก็คลายออกแล้วเช่นกัน ทว่ากลับไร้วี่แววว่าเจ้านายจะเรียกหาสาวใช้รอบเรือนพากันเมียงมองตามเสียงเปี่ยมสุขของท่านแม่ทัพกับฮูหยินอย่างริษยาจิ่นซินให้รู้สึกยินดีขึ้นมาไม่น้อยในฐานะสาวใช้ หากเจ้านายได้ดี บ่าวย่อมสบายใจ ชีวิตน้อยๆ ในจวนใหญ่จะได้มีวันคืนสดใส ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา ก้มหน้ามิกล้าเงยอีกเรื่องระหว่างคุณหนูของนางกับท่านแม่ทัพหยาง ต่อให้มิใช่ความรัก ขอแค่มีความใคร่ก็นับว่าดีมากแล้วจังหวะที่จิ่นซินคิดอย่างมีความสุขหลุดหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว จิ้นเหอเดินกลับมาหลังจากที่หายไปครู่หนึ่ง“พี่เหอไปที่ใดมาหรือ?”เนื่องจากได้คุยกันปลอบกันทั้งคืนยามยืนเฝ้าหน้าห้องเจ้านาย สาวใช้แน่งน้อยจึงได้รับคำอนุญาตให้เรียกขานท่านรองแม่ทัพหนุ่มอย่างสนิทสนมเช่นนี้“ข้าไปสั่งคนต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายอย่างไรเล่า เจ้าไยมิใช่ปรารถนาให้ท่านแม่ทัพมีบุตรกับฮูหยินรึ?”จิ่นซินได้ยินพลันตาโตแน่นอนว่านางปรารถนาเช่นนั้น หากแต่ก่อนหน้านี้เจ้านายของนางถูกท่านแม่ทัพละเลยถึงขนาดไม่มาเยือน หายหน้าหายตาไปหลายเดือนการไปสั่งคนใ
ห้องโถงหลักในเรือนใหญ่วันนี้มีบรรยากาศคุกรุ่นมากกว่าทุกวัน เหล่าผู้อาวุโสล้วนมีสีหน้าเครียดตึงยิ่งนักเบื้องหน้าของพวกเขาคือซู่หลิน นางกำลังคุกเข่าอ้อนวอนฟ้องร้องขอความเป็นธรรมด้วยน้ำเสียงสั่นเทา“ฮูหยินท่านแม่ทัพช่างมีจิตใจคับแคบเหลือเกิน หลินเอ๋อร์เกิดมายังไม่เคยเจอสตรีใดเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”คนงามยามร่ำไห้กล่าววาจาเสียงหวานช่างเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนทรมานใจ นางยกชายผ้าซับน้ำตาอย่างอ่อนช้อย กล่าวเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นอีกว่า “กฎระเบียบธรรมเนียม ศีลธรรมจรรยาที่ผู้คนยึดถือปฏิบัติมาช้านาน หลินเอ๋อร์ล้วนท่องจำได้ขึ้นใจ มิคาดว่าฮูหยินน้อยสกุลไป๋จะ....”ซู่หลินจงใจกล่าวไม่จบไปเช่นนั้น คงไว้เพียงประโยคที่กล่าวถึงตน ให้ผู้คนตีความได้เองว่านางใส่ใจกฎธรรมเนียม สมเป็นกุลสตรี อันแตกต่างจากสตรีอีกคนที่ทำตัวหยาบช้า ไม่รักษากฎระเบียบอันพึงปฏิบัติ ช่างผิดแผกยิ่งนักแม้ซู่หลินจะเข้าจวนหยางมาแค่ฐานะอนุภรรยา การเข้าถึงโถงหลักของเรือนใหญ่ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนับว่าหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆการที่ฮูหยินเอกบุกห้องหอของอนุแล้วพาสามีกลับออกไปอย่างอุกอาจเยี่ยงนั้น เคยมีที่ใด?นายท่านใหญ
วาจายาวเหยียดของเจียวหั่ว หมิงเยว่เพียงรับฟังด้วยท่าทางนิ่งสงบ สตรีนางนี้ไม่เห็นน่ากลัว...หมิงเยว่แค่นเสียงหยันในใจ เจียวหั่วมิได้รับสิทธิ์ให้อยู่ในสายตานางอยู่แล้วแต่เมื่อคืนนางรับปากสามีไปแล้วว่าจะให้เกียรติเขา จำต้องสงบเสงี่ยมสักหน่อย โทษหนักจะได้เป็นเบา “หากเป็นเรื่องเมื่อคืนวาน หลานสะใภ้สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปหลานสะใภ้จะทำตัวดีๆ มีจิตใจกว้างขวาง ยินยอมให้สามีรับอนุไม่จำกัด จะยกท่านอาสะใภ้เป็นแบบอย่างนะเจ้าคะ”หมิงเยว่มิได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับคนในครอบครัวหยาง นางแค่กล่าวคำอย่างคนกลิ้งกลอกเท่านั้นทว่ากับคล้ายเป็นการตบหน้าเจียวหั่วอย่างแรง สาเหตุเพราะอีกฝ่ายจิตใจคับแคบอย่างที่สุด ไม่เคยอนุญาตให้สามีรับอนุสักคนนางมักจะกล่าวอ้างว่าจวนสกุลหยางเปี่ยมอำนาจมากบารมีพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมให้โดดเด่นมากกว่านี้ อาจทำคนทั้งตระกูลเป็นที่เพ็งเล็ง และผู้เฒ่าล้วนเห็นด้วยกับเหตุผลเหล่านี้ของเจียวหั่วเมื่อหมิงเยว่กล่าวคำเสมือนชี้ช่องทางชั่วให้คนไม่ดี[1] ทำเอานายท่านรองหยางเจ๋อให้รู้สึกพอใจนัก“หลานสะใภ้กล่าวได้ดี หึหึ!”เจียวหั่วหันมาขึงตา “ท่านพี่!”บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งรู้สึกกริ่ง
เรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นนี้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นายท่านใหญ่กับฮูหยินใหญ่ยังมิได้เอ่ยปากสักคำ กลับเป็นผู้อื่นที่เป็นธุระจัดการให้จนสิ้นทั้งหยางจงและฟางเหนียงจึงใช้เวลาจิบชานั่งคุยกันเรื่องบุตรชายอย่างเคร่งเครียดอยู่ภายในเรือนของตนหยางจงเอ่ยเสียงขรึม “เราสองคนเป็นบิดามารดาของเจี้ยนเอ๋อร์แท้ๆ แต่กลับพูดสิ่งใดมิได้สักคำ”ฟางเหนียงวางถ้วยชาลงเบาๆ ท่วงท่ากิริยาเนิบนาบเชื่องช้าแต่มั่นคงสง่างามสมเป็นกุลสตรีจากสกุลสูงศักดิ์ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยทว่านุ่มนวลชวนยำเกรง“สะใภ้ทำผิดจริงจะพูดจาแก้ต่างหรือเข้าข้างก็ไม่ได้ ทว่าการพูดจาส่งเสริมให้ท้ายอนุ ข้าไม่คิดทำแน่นอน”“เจ้ากับข้าไม่อาจทำได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงได้เป็นการยกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง เรื่องรับอนุให้เจี้ยนเอ๋อร์แรกเริ่มก็เป็นความคิดข้า ส่วนการเฟ้นหานางเข้ามายังเป็นเจ้า ลูกสะใภ้ไป๋ไม่รู้ล่วงหน้า การตื่นตระหนกจนอาละวาด กระทั่งละเลยมารยาทกฎเกณฑ์ก็พอเข้าใจได้ ทุกฝ่ายล้วนเป็นคนของเรา ไม่อาจเอ่ยปากคาดโทษใครได้ทั้งสิ้น”ฟางเหนียงพยักหน้า ถอนหายใจหนักอก“มิคาดว่าสะใภ้จากสกุลต่ำศักดิ์จักใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ไร้การอบรมสิ้นดี เห็นทีข้าต้อ
เนื่องจากเดินทางออกจากจวนทันทีตั้งแต่ฟ้าสาง ทั้งยังค้างแรมที่ค่ายทหาร เพื่อร่วมวางผังป้องกันเมืองกับองค์รัชทายาท หลายวันแล้วมิได้กลับจวนหยางระหว่างนั้นยังเข้าวัง ร่วมประชุมถกปัญหาบ้านเมืองกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ปัญหาหลังเรือนจึงยังไม่ถึงหูของหยางเจี้ยนแต่อย่างใดเบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มยามนี้ล้วนเป็นปัญหาเกี่ยวกับแว่นแคว้นทั้งสิ้น หนักสุดเห็นจะเป็นหัวข้อรอเห็นชอบจากทุกฝ่ายในเรื่องสร้างพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน หาความสำราญขององค์จักรพรรดิแห่งที่สิบสี่นั่นหมายความว่ามีสถานที่เริงรมย์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วถึงเก้าแห่ง ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลการใช้เงินจากคลังส่วนกลางมิใช่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะขุนนางเสียก่อนหยางเจี้ยนก้าวเท้าออกจากขุนนางฝ่ายบู๊ ค้อมศีรษะประสานหมัดก่อนกล่าวนอบน้อม“แม้กระหม่อมจะเป็นเพียงแม่ทัพ มิอาจเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ทว่าทุกการศึกยังต้องอาศัยงบหลวงเพื่อเคลื่อนทัพปกป้องดินแดน สงครามยึดครองพื้นที่ทางทะเลเพื่อขยายอาณาเขตการค้าแคว้นเยี่ยนที่ผ่านมาผลาญงบคลังหลวงไปไม่น้อย กระหม่อมจึงเห็นพ้องเสนาบดีกรมคลังที่กล่าวไว้ สงครา
“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?” “กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อยนอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่งหมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วยทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยาหมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกินจิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนักลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังหมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยางกระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก
ประตูห้องพระค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าแสงไฟสว่างจ้าจากคบเพลิงเบียดบังแสงตะเกียง ส่งผลให้ความสว่างไสวส่องเข้ามาในห้องพระจนคล้ายทิวา เสียงดีใจของจิ่นซินดังเล็ดลอดเข้ามาทำลายความเงียบสงบภายในห้องจนสิ้น“ฮูหยินน้อย...”หมิงเยว่กำลังวาดแขนกางขาออกกระบวนท่าอหังการอยู่จำต้องรีบเก็บกลับ แกะผ้ารัดแขนออกอย่างเร็ว ปลดชายกระโปรงออกจากสายรัดเอว ปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวกรุยกรายพลิ้วไหว จังหวะนั้นได้ยินเสียงสูดจมูกของจิ่นซิน คาดว่าคงกำลังปาดน้ำตาด้วยคราหนึ่ง“ท่านแม่ทัพให้บ่าวมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”ประโยคหลังของสาวใช้กล่าวขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดกรีดอากาศดุจเสียงเรียกของปีศาจที่มาพรากหมิงเยว่กลับไปยังอาณาเขตแห่งความเป็นจริงหญิงสาวตอบกลับเสียงเนือย “ข้าไม่อาจกลับไปได้ โทษทัณฑ์นี้ช่างสาหัสนัก”ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จนหมิงเยว่ต้องขมวดคิ้ว“จิ่นซิน...” หญิงสาวหันหน้าไปมองหาสาวใช้ผู้ซึ่งพูดมากแต่กลับเงียบเชียบด้วยความฉงน“เหตุใดไม่พร่ำบ่นเหมือนเคยเล่า?”ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมิใช่เสียงของแน่งน้อย หากแต่เป็นเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแฝงความเคร่งเครียดขั้นสุด“ไม่อาจกลับ
เจ้าของนามซึ่งขับไล่บ่าวไพรในหอพระธรรมไปจนสิ้นคล้ายได้ยินคนเรียกชื่อตน ทั้งๆ ที่แห่งนี้ไม่มีใคร“แค่กๆ”หมิงเยว่กระแอมไอ รู้สึกเลือดลมตีกลับสติแตกซ่าน จำต้องหุบแขนหุบขาในท่วงท่าน่าอายหยุดฝึกวรยุทธ์ทันทีฉับพลันนั้นนางย้อนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนตอนที่กำลังออกท่าทางพญาวานรตีลังกาวาดไม้ไผ่ต่างดาบ นางคล้ายเห็นชายผ้าของบุรุษรำไร ไม่แน่ใจว่าใช่หยางเจี้ยนหรือไม่หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่น่าใช่!ครู่หนึ่งถึงได้ขบคิดโดยละเอียด หรือว่าใช่!หมิงเยว่พลิกตัวจากท่านั่งห้อยหัวบนคานไม้กระโดดลงมายืนบนพื้นห้องทันใดต้องใช่แน่ๆ กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านขนาดนั้น! ยังทิ้งกลิ่นเฉพาะกายอบอวลกำจายเอาไว้อีกเขาจะเห็นการแอบฝึกวรยุทธ์ของนางหรือไม่นะ?อา...หากถูกจับได้ขึ้นมา สามีจอมเคร่งครัดผู้นั้นต้องสั่งเชือดนางแน่ ร่างใหม่คนนี้ไร้ความสามารถมากเกินไป ฝีมือของนางยังไม่ถึงไหนเลยนางจะเสี่ยงถูกเปิดโปงหรือถูกขับไล่ออกไปยามนี้มิได้เด็ดขาด ขืนอาศัยอยู่ข้างนอกต้องลำบากมากเป็นแน่ หนทางยิ่งใหญ่ย่อมมีแต่คำว่าพ่ายแพ้ยังมีจิ่นซินจอมขี้แยอีกคนที่ต้องดูแลไม่ได้ นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังแตกตื่น อีกฝ่ายก็กำ
ประตูถูกเปิดออก ร่างระหงวิ่งออกไปอย่างลนลาน จิ้นเหอมองตามอย่างงุนงงเมื่อไร้เงาร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวงชายหนุ่มถึงคิดออกอ้อ...จริงสิ! ท่านแม่ทัพเพิ่งให้เขาไปสืบเรื่องของนางช่วยไม่ได้ที่เขาทำงานได้ฉับไวเถรตรงยิ่ง!แท้ที่จริง หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจไยดีจนอยากรู้เรื่องของซู่หลิน หากแต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาที่เผยเรื่องราวให้บุตรชายลอบสืบดูเผื่อไว้ให้คอยระแวดระวังสตรีจอมมารยา! มิคาดว่าจะสืบจนล่วงรู้ว่านางเลวร้ายถึงขั้นนั้น แต่การจะส่งกลับก็ดูจะไม่เหมาะ เหตุเพราะเป็นมารดาของเขาเองที่นำนางเข้ามาถึงหลังเรือนที่ลึกสุดแห่งนี้ ผู้คนอาจครหาว่าจวนใหญ่รังแกคนด้อยกว่าขณะที่จิ้นเหอกำลังจะปิดประตูห้องให้หยางเจี้ยน จิ่นซินก็พุ่งพรวดเข้ามาดั่งธนูเพลิง“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ได้โปรดช่วยฮูหยินน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาดเช็ดถูพระพุทธองค์ ทั้งยังไล่บ่าวกลับตลอด นางคงตรอมใจแน่ๆ”ไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาด ไล่กราดบ่าวไพร่...กระนั้นหรือ? หึ!หยางเจี้ยนลอบสบถในใจเห็นได้ชัดว่านางต้องการอยู่เพียงลำพังแค่คนเดียวเพื่อทำเรื่องนอกกรอบอย่างอุกอาจ!จิ่นซินไ
หญิงสาวมองเขาด้วยสองตาทอประกายระริกไหว ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้สุดใจ ก่อนย่อกายนอบน้อม“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธี”หยางเจี้ยนมองซู่หลินด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง เนตรคมดำจัดดุจน้ำวนก้นทะเลลึกลับพินิจคนงามเงียบงันการสะกดอย่างตราตรึงนั้นแฝงความร้อนแรงในทีหญิงสาวย่อมรับรู้อารมณ์รุมเร้าจากแววตานั้นได้ หลายวันที่ห่างหายไปจากจวนเพราะสายงาน คงทำให้เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปด้วย ความรุ่มร้อนเก็บกดเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นางก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายค่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ หลินเอ๋อร์ตุ๋นน้ำแกงนี้ด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”สตรีงดงามช่างเอาอกเอาใจมีบุรุษใดไม่หลงใหลบ้างหยางเจี้ยนยกมุมปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือ? เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ไม่ลำบากด้วย”ซู่หลินประคองกล่องไม้ใส่น้ำแกงเอ่ยอย่างขัดเขิน หันกายอรชรเดินอย่างแช่มช้อยไปวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะขณะย่างเท้าเรียวเล็กยังจงใจโยกบั้นท้ายงามงอนอย่างเชิญชวนให้คนเกิดแรงปรารถนาบางอย่างเรียวนิ้วขาวเนียนดุจลำเทียนไล้ขอบถ้วยเบาๆ อย่างยั่วเย้า หมายเร้าอารมณ์บุรุษตามศาสตร์แห่งการยั่วยวนนางค
จังหวะเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องหนังสือหญิงสาวงดงามอ่อนหวานนางหนึ่งกำลังเดินเนิบช้า ทั้งโดดเด่นมีสง่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนรักใคร่ นางค่อยๆ ปรากฎกายเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปถึงหัวใจนางผู้นี้ช่างคล้ายคลึงภาพวาดอันงดงามไร้สิ่งใดในโลกาเทียบเคียงได้ ความพิลาสทั้งปวงเมื่อมาเจอกับนาง ล้วนต้องสงบสมยอมในทันทีนางผู้นี้คือซู่หลินสะคราญโฉมผู้พกพารอยยิ้มอ่อนหวานพิลาสล้ำแขวนไว้บนดวงหน้าอันงามเลิศเพริดพริ้งตลอดเวลาหญิงสาวย่างกรายอ่อนช้อยแช่มช้ามาแต่ไกลเหล่าบ่าวไพร่ที่เดินผ่านนางยังต้องหยุดเท้าก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อมเนื่องจากทุกคนต่างรู้ดี อนุผู้นี้เข้าเรือนท่านแม่ทัพแค่ราตรีเดียว ฮูหยินน้อยยังต้องถูกระเห็จไปตั้งไกล ไร้วี่แววจะได้กลับมา อนิจจา นางคงเป็นที่โปรดปรานหนึ่งเดียวแน่ๆ ใครอย่าพลั้งเผลอทำอนุซู่ไม่พอใจเชียว...ซู่หลินลอบยกยิ้มลำพองใจมีคนกล่าวไว้ว่าความใกล้ชิดนำไปสู่ความรัก หากได้อยู่ด้วยกันทุกวันยังต้องกลัวไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อีกหรือฮูหยินเอกต่ำชั้นอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่อยู่เป็นก้างชิ้นโต นางย่อมมีโอกาสเผยโฉมต่อหน้าท่านแม่ทัพเพียงผู้เดีย
เมื่อกลับถึงจวน แม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าเรือนหลักทันที ในใจครุ่นคิดถึงวิธีพูดจากับภรรยาพระราชทานดีๆ เพื่อมิให้เกิดปัญหาหลังเรือนอีกต่อไปทว่าเมื่อมาถึง สาวใช้รุ่นใหญ่พลันกล่าวรายงาน“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าสั่งลงโทษเจ้าค่ะ”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “ลงโทษ? เรื่องอะไร?”สาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ขณะรายงานตามจริงอย่างมิกล้าบิดเบือนเป็นอื่น“เรื่องที่ฮูหยินน้อยบุกไปพังห้องหอของอนุซู่เจ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ทัพออกจากจวนไปแล้ว อนุซู่ก็เข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินน้อยก็ถูกพาตัวไปยังหอพระธรรมประจำตระกูลเจ้าค่ะ หลายวันแล้วยังมิได้รับอนุญาตให้กลับเรือน”แววตาบุรุษเริ่มแข็งกร้าวเปี่ยมโทสะ เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้คืนนั้นเขาที่มีอำนาจหลังเรือนได้เลือกแล้วก็คือภรรยาเอก มิเลือกอนุ เหตุใดนางถึงมีความผิดกัน?หยางเจี้ยนสะบัดชายเสื้ออย่างไม่พอใจก่อนเดินไปทางเรือนของหยางฮูหยินทันที เรื่องเช่นนี้มารดาของเขาซึ่งมีฐานะเป็นแม่สามีของสะใภ้ไป๋ควรให้คำตอบที่ดีแก่เขาเมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงได้เห็นมารดาคล้ายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว การถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูพล
ทางเดินด้านหน้าท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างประสานหมัดคำนับทักทายกันเพื่อแยกย้ายฝ่ายหยางเจี้ยนเดินเคียงคู่มากับอัครเสนาบดีเฉียน ทั้งสองเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มักจะถกเถียงกันยามประชุมร่วมขุนนาง ทว่าวันนี้กลับเห็นพ้องอย่างหาได้ยากยิ่งช่วยมิได้จริงๆ ที่พวกเขามิได้มีใจชมชอบบุปผาหรือเห็นแก่ประโยชน์ของสาวงามเหมือนฮ่องเต้“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่เจ้าแต่งภรรยาเอกกับสตรีอื่น บุตรสาวของข้าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าทุกวัน นางช่างไม่เข้าใจว่าเราสองตระกูลใหญ่จะอย่างไรก็ไม่สมควรเกี่ยวดองกัน เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้เคืองฮ่องเต้เลยที่หาสตรีมิคู่ควรให้”เฉียนหลุนกล่าวจบก็ลูบเคราตนหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ชอบหยางเจี้ยนแต่บุตรสาวของเขากลับชื่นชมอีกฝ่าย กาลก่อนเขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงหมายทาบทามแบบกดดันให้หมั้นหมาย แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าช่างน่าโมโหจริงๆหยางเจี้ยนเองก็ไม่ชอบเฉียนหลุน จึงน้อมรับคำพูดแฝงนัยเยาะเย้ยถากถางนั้นยิ้มๆ ไม่กล่าวตอบสิ่งใดความเย่อหยิ่งถือตัวเยี่ยงนี้เขามอบให้บิดาของสตรีที่หมายตาตัวเขานางนั้นนับว่าสมควรอย่างยิ่ง มิได้เกี่ยวข้องเรื่องขั้วอำนาจไม่เหมาะสมอันใดสักนิด แค่เขาไม่คิดอะไรกับบุตรส
เนื่องจากเดินทางออกจากจวนทันทีตั้งแต่ฟ้าสาง ทั้งยังค้างแรมที่ค่ายทหาร เพื่อร่วมวางผังป้องกันเมืองกับองค์รัชทายาท หลายวันแล้วมิได้กลับจวนหยางระหว่างนั้นยังเข้าวัง ร่วมประชุมถกปัญหาบ้านเมืองกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ปัญหาหลังเรือนจึงยังไม่ถึงหูของหยางเจี้ยนแต่อย่างใดเบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มยามนี้ล้วนเป็นปัญหาเกี่ยวกับแว่นแคว้นทั้งสิ้น หนักสุดเห็นจะเป็นหัวข้อรอเห็นชอบจากทุกฝ่ายในเรื่องสร้างพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน หาความสำราญขององค์จักรพรรดิแห่งที่สิบสี่นั่นหมายความว่ามีสถานที่เริงรมย์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วถึงเก้าแห่ง ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลการใช้เงินจากคลังส่วนกลางมิใช่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะขุนนางเสียก่อนหยางเจี้ยนก้าวเท้าออกจากขุนนางฝ่ายบู๊ ค้อมศีรษะประสานหมัดก่อนกล่าวนอบน้อม“แม้กระหม่อมจะเป็นเพียงแม่ทัพ มิอาจเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ทว่าทุกการศึกยังต้องอาศัยงบหลวงเพื่อเคลื่อนทัพปกป้องดินแดน สงครามยึดครองพื้นที่ทางทะเลเพื่อขยายอาณาเขตการค้าแคว้นเยี่ยนที่ผ่านมาผลาญงบคลังหลวงไปไม่น้อย กระหม่อมจึงเห็นพ้องเสนาบดีกรมคลังที่กล่าวไว้ สงครา