“ท่านแม่ทัพ นายน้อยหลิว” จิ้นเหอทักทายทั้งสอง จากนั้นก็ดูแลจัดเตรียมสุราและกับแกล้มด้วยความรวดเร็ว
เพียงครู่ บนโต๊ะในศาลาพลันมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ บุรุษทั้งสองนั่งลงดื่มกินเงียบๆ สายตาพวกเขาล่องลอยไปตามสายลมที่โชยไล้แสงตะวัน ปล่อยความคิดอยู่เนิ่นนาน ไกลแสนไกล...
กระทั่งหยางเจี้ยนหันกลับมาสนใจหลิวไท่หยางและเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน
“สตรียุทธภพมิเหมือนสตรีในห้องหอของเมืองหลวง เรื่องนี้ท่านน่าจะทราบดีกระมัง?”
หลิวไท่หยางมุ่นคิ้วพลางถามกลับเสียงเคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพคงมิได้กำลังหมายถึงซิงเอ๋อร์ของข้า?”
มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่คนอย่างหยางเจี้ยนจะสามารถสืบจนล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของซิงเยว่ นายน้อยหลิวจึงระมัดระวังตัวขึ้นมา
หยางเจี้ยนยังคงมีรอยยิ้มในหน้าแม้แววตาจะเย็นชา
“ท่านอย่าได้ห่วง ฐานะที่แท้จริงของซิงเยว่มีเพียงเป็นคหบดีหญิงแดนใต้ผู้ร่ำรวยมหาศาล”
แม่ทัพหนุ่มจำต้องโกหกว่าเขารู้แค่นั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่เมื่อเห็นหลิวไท่หยางรับฟังนิ่งๆ หยางเจี้ยนจึงหรี่ตา “ท่านคงรู้อยู่แล้วกระมัง”
หลิวไท่หยางไม่ตอบ หยางเจี้ยนจึงยกสุราขึ้นดื่มก่อนเอ่ยเสียงเนิบ “สิ่งที่ข้าต้องการบอกท่านก็คือ ฮูหยินของข้านับนางเปรียบเสมือนน้องสาวในสายเลือด การที่นางต้องกลายเป็นเพียงสาวใช้ให้คุณชายที่แต่งงานมีภรรยาแล้ว ข้าขอถาม หากเป็นท่าน จะยินยอมให้น้องสาวของตนต้องอดทนอดกลั้นอยู่กับสามีผู้อื่นหรือไม่?”
คนเช่นหยางเจี้ยนไร้ความอ้อมค้อมอย่างที่สุด ไม่จำเป็นต้องฆ่ากัน ทว่าวาจาของเขาตรงประเด็นอย่างมาก เฉือนหัวใจของหลิวไท่หยางจนคล้ายมีเลือดไหลซึมออกมา
หลิวไท่หยางยกสุราขึ้นดื่มบ้าง ทว่าท่วงท่าของเขามิได้ดูผ่อนคลายเช่นหยางเจี้ยน เมื่อดื่มจอกแรกหมดเกลี้ยง เขาก็ยกกาสุรารินอีกจอกแล้วดื่มรวดเดียว
นานครู่ใหญ่กว่าเขาจะเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก แววตาข่มกลั้นของเขาเปิดเปลือยความทุกข์ในใจไม่ปิดบัง
“ข้ารู้ แต่ข้ากับซิงเอ๋อร์รักกันมาก่อน พวกเรารักกันมานานมากแล้ว เรื่องแต่งภรรยาล้วนเป็นเพราะบิดามารดาเป็นผู้จัดการ ยามนั้นข้ากับซิงเอ๋อร์ยังอยู่ด้วยกันที่หลิวซิง ยังไม่กลับเข้าเมืองหลวงด้วยซ้ำ”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หยางเจี้ยนจึงพอเข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมา เรื่องการแต่งงานของบุรุษสูงศักดิ์เช่นพวกเขา น้อยคนนักที่จะได้รับสิทธิ์จัดการเอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหน้าที่ของแม่สื่อและการตัดสินใจอันเด็ดขาดยากทัดทานของบุพการี
หลายครั้งยังต้องหักใจทำร้ายนางอันเป็นที่รัก เพื่อรับอนุเข้ามาจนเต็มหลังเรือน ทั้งๆ ที่ชมชอบความสงบ
สหายของเขาหลายคน ยังต้องยอมให้สตรีในดวงใจเป็นเพียงอนุต่ำต้อย คอยรับมือกับภรรยาตามธรรมเนียมอย่างช่วยเหลืออันใดมิได้มากกว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รัก เพื่อหักล้างแรงกดดันจากสตรีเรือนหลังคนอื่นที่มีอำนาจ
หยางเจี้ยนปัดความคิดเหล่านั้นออกไปทั้งหมด ก่อนถามคนร่วมโต๊ะสุรา “ข้าพอรู้มาว่านางความจำเสื่อม”
หลิวไท่หยางพยักหน้า “เป็นข้าที่ฉวยโอกาสกับนาง หากนางมิได้บาดเจ็บจนความจำเสื่อม ข้าคงไร้ความสามารถรั้งนางอยู่ข้างกาย”
ยิ่งพูดคุย หยางเจี้ยนยิ่งรู้สึกเห็นใจนายน้อยผู้นี้ยิ่งนัก น้ำเสียงจึงอ่อนลงหลายส่วน
“แต่ฐานะของนาง...”
หลิวไท่หยางหลับตาลงช้าๆ
“ข้ารู้...”
ทั้งสองเงียบงัน ไร้ซึ่งวาจาใดต่อจากนั้น เพียงนั่งนิ่ง ร่ำสุราด้วยกันเงียบๆ
บางครั้งบางครา หัวใจในอกแกร่งของบุรุษที่ผู้คนบอกว่าไม่ต่างจากเหล็กกล้าก็มักมีสตรีผู้หนึ่งสามารถทำให้บอบช้ำได้หนักหนาสาหัสเช่นนี้เอง...
ในห้องอีกฝั่ง หมิงเยว่ยืนเบิกตามองซิงเยว่นิ่งค้าง“เจ้ามิได้ความจำเสื่อมแล้วหรือ?”หมิงเยว่เอ่ยปากถามออกมาในที่สุด ยิ่งเห็นท่วงท่าสุขุมนุ่มลึกทั้งสงบเยือกเย็นของซิงเยว่ที่แตกต่างจากวันที่นางแบกออกมาจากคฤหาสน์หลิวก็ยิ่งมั่นใจ“เจ้าจำเรื่องของตัวเองได้แล้วใช่หรือไม่?”ซิงเยว่ยืนตรงริมหน้าต่างค่อยๆ หันมาผลิยิ้มหวานชวนเหน็บหนาวออกมา “ต้องขอบคุณฝ่ามือนั้นของท่าน ที่ซัดข้าจนกระอักเลือด”หมิงเยว่ได้ฟังพลันหัวเราะ “หากข้ารู้ว่าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะหายจากอาการความจำเสื่อมคงซัดเจ้าให้กระอักเลือดตั้งนานแล้ว”หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบบ่าน้องสาว“เจ้าจำตัวตนที่แท้จริงได้แล้วก็ดี จากนี้จงเลิกยุ่งกับนายน้อยหลิวเสียเถิด กลับไปปกครองเหมืองแร่แดนใต้ซะ”ซิงเยว่ส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้”หมิงเยว่มุ่นคิ้ว “เหตุใดจะทำไม่ได้ เจ้าบ้าไปแล้ว”ซิงเยว่ยิ้มขื่น “เป็นเพราะหายดี ข้ายิ่งไม่อาจตัดใจ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดพลันเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ น้องสาวผู้เย่อหยิ่งทะนงตนของนาง เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนถึงเพียงนี้ ทุกสิ่งเป็นเพราะความผิดของนางใช่ไหม? เพราะนางไม่ดูแลน้องสาวให้ดี“ซิงเยว่ เกิดอันใดขึ้น
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
ข้าคือหมิงเยว่ นางโจรสาวผู้ชั่วช้าจ้าวแห่งหุบเขาบนเกาะมรณะอันลึกลับกลางทะเล จอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้าถึงขั้นถูกขนานนามว่า เงาดาบแห่งจันทราแต่กลับตายภายใต้คมกระบี่ของเขาแล้วอย่างไรเล่า?ข้าได้แต่คิดอย่างปลดปลงเพราะเขาคือหยางเจี้ยน แม่ทัพพยัคฆ์ร้าย ชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมสูงส่งผดุงความยุติธรรมให้แก่ใต้หล้ามาช้านาน แต่ไม่เคยระรานนางสักคราวาจาหนักแน่นดุจขุนเขา สัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แม้ไม่เคยคบหาแต่กลับรู้ได้ไม่ยากชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเขามิใช่แค่ตำแหน่งแม่ทัพทว่าหมายถึงนิสัยใจคอ ต่อให้อยู่คนละฝ่ายกลับรู้สึกเลื่อมใสเจ้าของฉายาจอมกระบี่สุริยันการตายด้วยน้ำมือเขานั้นนับว่าไม่เสียชาติเกิดเท่าใด ทว่า...การกลับชาติมาเกิดใหม่ กลายเป็นภรรยาของเขา ต้องคลอดลูกให้เขาคืออันใด?ไม่จริงใช่ไหม?***จากใจนักเขียน‘บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน’ เป็นเรื่องราวของแม่ทัพหนุ่มจอมเคร่งขรึมเย็นชาและยึดมั่นกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน แต่กลับต้องแต่งงานกับคุณหนูต่ำศักดิ์ผู้หนึ่ง ซึ่งนางผู้นี้แท้จริงคือร่างที่ถูกสวมวิญญาณของนางโจรจอมกลิ้งกลอกไม่ต่างจากจิ้งจอกสาว เมื่อถึงคราวที่ชายหญิงผู้ต่างกันสุดขั้วต้องอยู่ในรั้วเรือนเดี
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย
ในห้องอีกฝั่ง หมิงเยว่ยืนเบิกตามองซิงเยว่นิ่งค้าง“เจ้ามิได้ความจำเสื่อมแล้วหรือ?”หมิงเยว่เอ่ยปากถามออกมาในที่สุด ยิ่งเห็นท่วงท่าสุขุมนุ่มลึกทั้งสงบเยือกเย็นของซิงเยว่ที่แตกต่างจากวันที่นางแบกออกมาจากคฤหาสน์หลิวก็ยิ่งมั่นใจ“เจ้าจำเรื่องของตัวเองได้แล้วใช่หรือไม่?”ซิงเยว่ยืนตรงริมหน้าต่างค่อยๆ หันมาผลิยิ้มหวานชวนเหน็บหนาวออกมา “ต้องขอบคุณฝ่ามือนั้นของท่าน ที่ซัดข้าจนกระอักเลือด”หมิงเยว่ได้ฟังพลันหัวเราะ “หากข้ารู้ว่าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะหายจากอาการความจำเสื่อมคงซัดเจ้าให้กระอักเลือดตั้งนานแล้ว”หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบบ่าน้องสาว“เจ้าจำตัวตนที่แท้จริงได้แล้วก็ดี จากนี้จงเลิกยุ่งกับนายน้อยหลิวเสียเถิด กลับไปปกครองเหมืองแร่แดนใต้ซะ”ซิงเยว่ส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้”หมิงเยว่มุ่นคิ้ว “เหตุใดจะทำไม่ได้ เจ้าบ้าไปแล้ว”ซิงเยว่ยิ้มขื่น “เป็นเพราะหายดี ข้ายิ่งไม่อาจตัดใจ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดพลันเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ น้องสาวผู้เย่อหยิ่งทะนงตนของนาง เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนถึงเพียงนี้ ทุกสิ่งเป็นเพราะความผิดของนางใช่ไหม? เพราะนางไม่ดูแลน้องสาวให้ดี“ซิงเยว่ เกิดอันใดขึ้น
“ท่านแม่ทัพ นายน้อยหลิว” จิ้นเหอทักทายทั้งสอง จากนั้นก็ดูแลจัดเตรียมสุราและกับแกล้มด้วยความรวดเร็วเพียงครู่ บนโต๊ะในศาลาพลันมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ บุรุษทั้งสองนั่งลงดื่มกินเงียบๆ สายตาพวกเขาล่องลอยไปตามสายลมที่โชยไล้แสงตะวัน ปล่อยความคิดอยู่เนิ่นนาน ไกลแสนไกล...กระทั่งหยางเจี้ยนหันกลับมาสนใจหลิวไท่หยางและเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน“สตรียุทธภพมิเหมือนสตรีในห้องหอของเมืองหลวง เรื่องนี้ท่านน่าจะทราบดีกระมัง?”หลิวไท่หยางมุ่นคิ้วพลางถามกลับเสียงเคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพคงมิได้กำลังหมายถึงซิงเอ๋อร์ของข้า?”มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่คนอย่างหยางเจี้ยนจะสามารถสืบจนล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของซิงเยว่ นายน้อยหลิวจึงระมัดระวังตัวขึ้นมาหยางเจี้ยนยังคงมีรอยยิ้มในหน้าแม้แววตาจะเย็นชา“ท่านอย่าได้ห่วง ฐานะที่แท้จริงของซิงเยว่มีเพียงเป็นคหบดีหญิงแดนใต้ผู้ร่ำรวยมหาศาล”แม่ทัพหนุ่มจำต้องโกหกว่าเขารู้แค่นั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่เมื่อเห็นหลิวไท่หยางรับฟังนิ่งๆ หยางเจี้ยนจึงหรี่ตา “ท่านคงรู้อยู่แล้วกระมัง”หลิวไท่หยางไม่ตอบ หยางเจี้ยนจึงยกสุราขึ้นดื่มก่อนเอ่ยเสียงเนิบ “สิ่งที่ข้าต้องการบอกท่านก็คือ ฮ
เมื่อหยางเจี้ยนออกจากห้องไปแล้ว หมิงเยว่ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องอีกฝั่งทันทีครานี้นางไม่มีท่าทีเป็นศัตรูกับหลิวไท่หยางแล้ว เหตุเพราะนางไม่ต้องการต่อสู้อันใดกับใครสักกระบวนท่า ลูกน้อยในครรภ์สมควรได้รับการทะนุถนอมอย่างที่สุด นางกำลังจะเป็นมารดา นิสัยแย่ๆ หลายอย่างจำต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมด รวมถึงแนวคิดอันมุทะลุโลดโผนด้วยทว่าขอสะสางเรื่องผิดศีลธรรมของน้องสาวก่อนครั้นมาถึงจึงได้เห็นว่าท่านหมอผู้ที่มาดูแลซิงเยว่ท่านนั้นออกไปแล้ว คงเหลือเพียงหนุ่มสาวกำลังพูดคุยต่อคำด้วยรอยยิ้มหวานล้ำสิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่รู้ดีที่สุด คือพลังปราณจันทราเย็นของนางไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อซิงเยว่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายกระอักเลือดออกมาจนสลบแน่นิ่งไปก็ตาม สมดุลหยินหยางที่ซิงเยว่เพียรฝึกมานับแต่เกิดแม้วิชาไม่บรรลุถึงขั้นสูงสุด แต่ยังคงมีพลังต้านทานในกระแสเลือดแม้จะความจำเสื่อมยามนี้ฝ่ายสตรีนั่งอิงแผ่นหลังกับหมอนบนเตียงนอน ส่วนฝ่ายชายนั่งอยู่ที่ตั่งข้างเตียงนอน สองคนส่งตาหวานน้ำเสียงบุรุษฟังดูเว้าวอน น้ำเสียงสตรีสดใสกังวานหมิงเยว่มุ่นคิ้ว นึกขุ่นเคืองขึ้นมา นางเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเตียง กระแอมไออย่างไร้มารยาทใส่พวก