นางที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ไหนเลยจะทำสิ่งใดได้มากกว่าการร่ำไห้พร้อมเจ้านาย
แต่คุณหนูของนางยามนี้ นอกจากไม่แสดงด้านอ่อนแอตรอมตรมเหมือนก่อน ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แม้ดูวางเฉยต่อความเลวร้ายที่ถาโถม แต่กลับพร้อมพุ่งชนยิ่ง
จิ่นซินย่อมไม่รู้ว่าหมิงเยว่คือคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่ รอยยิ้มของนางล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะเหตุใด
บุพเพวาสนาแห่งรักรอวันได้ประจักษ์ถึงจะแจ้งแก่ใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่ปรากฏชัดในห้วงความคิดก็คือการกลับมามีชีวิตใหม่ในครั้งนี้คงเป็นเพราะสวรรค์ให้นางได้แก้ตัวใหม่
ชาติที่แล้วเพราะนางก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากโข พาพี่น้องล้มตายอย่างไร้ค่าก็หลายร้อยคน เช่นนั้นชาตินี้ นางที่สิงร่างคุณหนูใหญ่ไป๋ผู้อ่อนแอบอบบาง ไร้ใครใส่ใจ ปราศจากที่พึ่งพา คงเป็นเพราะว่าสวรรค์ต้องการให้นางได้เริ่มต้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดนั่นล่ะ
เห็นได้ชัดจากการให้นางกลายมาเป็นฮูหยินของบุรุษซึ่งยึดมั่นในคุณธรรมอย่างหยางเจี้ยนปะไร
อธรรมต่ำช้าจึงจำต้องอยู่เคียงข้างธรรมะอันสูงส่ง
เฮ้อ!
หมิงเยว่ถอนหายใจนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม ถามคำซ้ำๆ ว่าไม่จริงใช่ไหม? รอบที่ร้อยครั้งที่พันแล้ว
แต่เมื่อคิดไปคิดมา คิดย้ำๆ จนเกินไปก็ไม่เห็นจะมีดีอันใดตรงไหน มิสู้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งดุจเดิม
นางกำลังต้องการกลับไปยิ่งใหญ่เฉกเช่นกาลก่อน
ทว่าการกลายมาเป็นสตรีอ่อนแอราวบุปผากลีบบาง พร้อมหลุดร่วงตลอดเวลาแค่ต้องลมเยี่ยงนี้ จะทำอันใดได้ นอกจากรั้งรอเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น
โอกาสที่จะกลับมาผงาดกล้าในวันหน้าย่อมเกิดขึ้น!
อันดับแรกต้องนางฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของตนก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกวิชาปลดผนึกความทรงจำหลังถอดหน้ากากให้เหล่าพวกพ้องที่ยังเหลือชีวิตรอดในวันนั้น พวกเขาจะได้กลับมารวมตัวกับนางเพื่อสร้างอาณาจักรด้วยกันอีก
คนแรกคือซิงเยว่ น้องสาวสุดที่รักของนาง...
หมิงเยว่เริ่มจากฝึกนั่งสมาธิเพ่งจิตกำหนดลมหายใจเพียงลำพังในห้องหับส่วนตัว
หญิงสาวย่อมจำจดกระบวนท่าเงาดาบจันทราได้อย่างละเอียดแม่นยำ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้เคล็ดวิชานี้
การแอบฝึกหนักจึงเกิดขึ้นในทุกวัน โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้สักคน แม้แต่จิ่นซินสาวใช้คนสนิทของหมิงเยว่
และแน่นอนว่าหยางเจี้ยนยิ่งไม่รู้เรื่องนี้
เพราะเขาไม่เคยย่างกรายเฉียดใกล้เรือนหออีกเลย นับแต่วันที่ถูกหยามเกียรติขั้นรุนแรง
ทุกวัน แม่ทัพหยางมักจะอยู่ประจำที่ค่ายทหาร หากกลับเข้าจวนก็มักจะขลุกอยู่ในห้องหนังสือ หารือกับลูกน้องเสร็จก็กินนอนอยู่ในนั้น ทำตัวเฉยชาห่างเหินกับภรรยาพระราชทานอย่างยิ่ง
ส่วนแม่นางน้อยผู้เป็นภรรยาอย่างไป๋หมิงเยว่ นอกจากไปคารวะน้ำชาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและแม่สามีอย่างฮูหยินใหญ่รวมถึงญาติผู้ใหญ่สายรองที่มักจะรวมตัวยามเช้าที่เรือนใหญ่แล้ว นางก็กลับเรือนปิดประตูสนิทแน่น แม้แต่หน้าต่างก็ไม่แง้มเปิดให้ลมผ่าน
หมิงเยว่ทำตัวสงบเสงี่ยมเงียบสงัดอยู่ในเรือนตนเอง ไม่ออกไปไหน ไม่สุงสิงกับญาติพี่น้องของสามีคนใดทั้งสิ้น
แม้แต่การกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมนางยังไม่ทำ
ที่จวนไป๋แห่งนั้น ไป๋หมิงเยว่ตัวจริงได้ตายไปแล้ว ส่วนนางคือหมิงเยว่อดีตจอมโจรเงาดาบจันทราผู้ยิ่งใหญ่ นางจำเป็นต้องลดตัวกลับไปเยี่ยมคนสกุลไป๋หรือไร? เฮอะ!
บรรยากาศจวนสกุลหยางหลังผ่านพ้นงานมงคลกลับเต็มไปด้วยความอึมครึมแลดูอัปมงคลอย่างไม่น่าเชื่อภายในเรือนใหญ่ การคารวะน้ำชาเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะมืดครึ้ม ไร้การไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ปราศจากการพูดคุยอันเปี่ยมมิตรไมตรีตามประสาคนในครอบครัวดังที่ควรเมื่อการปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเย็นชานี้จบลง หมิงเยว่ก็ขอตัวกลับเรือนตนทันทีเฉกเช่นทุกวันนางมักจะพกพาความเย็นยะเยือกมาต่อกรกับความเย็นเยียบของเหล่าผู้อาวุโสสกุลหยางอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งบรรดาสาวใช้ที่แอบมองยังต้องรู้สึกเหน็บหนาวกันถ้วนหน้าคล้อยหลังสะใภ้จากสกุลไป๋ เหล่าผู้อาวุโสกำลังนั่งปรึกษาหารือถึงเรื่องของหยางเจี้ยนกับไป๋หมิงเยว่กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด“ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋แม้ต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นสตรีเรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตน ประพฤติตัวอยู่ในโอวาท กิริยามารยายิ่งอ่อนโยนค่อนไปทางอ่อนแอ หัวอ่อนคุมง่าย แล้วที่เจอหน้ากันทุกวันคือผู้ใดกัน?”ฮูหยินเอกสายรองเอ่ยปากบ่นขึ้นก่อนใคร นางแต่งเข้าจวนหยางตั้งแต่วัยแรกรุ่นกระทั่งกลายเป็นวัยรุ่นแรก ยังไม่เคยเห็นสตรีนางใดทำตัวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้มาก่อนเลย“ไป๋หมิงเยว่ผู้นี้ นอกจากต่ำศักดิ์ยังจ
เห็นได้ชัดว่านอกจากหยางเจี้ยนจะทรงอิทธิพลแล้ว บรรดาน้องสาวของเขาที่แต่งออกไปก็มีอำนาจใช่ย่อยกระทั่งจักรพรรดิยังเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้วหากแต่สกุลหยางกลับมีบุรุษน้อยมาแต่ไหนแต่ไร รุ่นของหยางจงเองยังเหลือแค่สองคนพี่น้องกับหยางเจ๋อ การเป็นแม่ทัพแม้ตำแหน่งสูงส่งแต่อย่างไรก็เสี่ยงอายุสั้น จำต้องมีทายาทสืบทอดไว้รองรับให้มากพอเท่านั้นหยางจงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รั้งรอมิได้อีกต่อไปหยางเจี้ยนควรมีบุตรชายด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะดี หากเขาไม่มีจริงๆ จะแย่ การยกบุตรชายของอนุหรือหลานชายสายรองขึ้นมาสืบทอดสกุลแทนหยางเจี้ยนคงเป็นที่ขบขันแน่“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เห็นสมควรรับอนุมาให้เจี้ยนเอ๋อร์” ว่าแล้วก็หันไปทางฮูหยินใหญ่มารดาของหยางเจี้ยน กำชับเสียงเครียด “ในเมื่อเจี้ยนเอ๋อร์ไม่ชอบภรรยาพระราชทาน โอกาสมีหลานชายคงมองไม่เห็น เช่นนั้นข้าก็รบกวนฮูหยินเฟ้นหาให้เจี้ยนเอ๋อร์สักคนเป็นไร ก่อนแต่งงานมิอาจกระทำ แต่แต่งงานแล้วหลายเดือนเช่นนี้ ทั้งสามีภรรยามิรักใคร่กันย่อมรับเข้ามาได้ ระมัดระวังเรื่องขั้วอำนาจเส้นสายสกุลด้วย อย่าพลั้งเผลอทำให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัยหรือนึกระแวงสกุลหยางของพวกเราจนหาความสงบส
ภายในห้องหนังสือของหยางเจี้ยนยังคงกลิ่นอายเคร่งขรึมเย็นชา มิได้แผ่ซ่านกลิ่นอายความมงคลอันใดออกมาสักครึ่งเสี้ยว แม้ว่าจะได้รับข่าวอันเป็นมงคลเรื่องการรับอนุคนงามเข้ามารออยู่เรือนหลังแล้วก็ตามบนโต๊ะตัวใหญ่ กระดาษถูกขึงจนตึง ภาพสตรีชุดดำปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งด้วยหน้ากากเผยเพียงดวงตาโฉบเฉี่ยวฉายแววคมกล้าเยี่ยงบุรุษปรากฏอยู่บนกระดาษนั้นในภาพ นางกำลังยืนตระหง่านอยู่บนเชิงเนินนิ้วเรียวยาวของหยางเจี้ยนค่อยๆ ไล้ผ่านภาพวาดของนาง ตั้งแต่ดวงตาจนไปถึงดาบดวงเดือนที่นางถืออยู่วันนั้นในครรลองสายตาของเขา ภาพของนางปรากฏเบื้องหน้ายามทิวา ตะวันแผดแสงแรงกล้าปานนั้น ทว่าในภาพวาดนี้ เขาบรรจงวาดขึ้นมาโดยมีฉากหลังเป็นจันทร์กระจ่างกลมโต ซึ่งกำลังลอยเด่นแขวนอยู่บนม่านนภาในรัตติกาลมืดดำแม้มองแล้วให้รู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด หากแต่มีเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่างดงามเพียงใดนางดูเร่าร้อนบนความเยือกเย็นชวนพิศวง ช่างทำให้คนอย่างเขาเกิดความรู้สึกหลงใหลรุมเร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักนามของนางด้วยซ้ำ จำได้เพียงสมญานามเงาดาบจันทราเจ้าของฝีมือฉกาจอันน่ายกย่องชั่วขณะที่นิ้วแกร่งไล้วนขึ้นมาที่ดวงตาดุด
หยางเจี้ยนคิดขึ้นมาคราใดก็ให้รู้สึกโกรธมากจริงๆห้องหอวันนั้นเดิมทีเป็นห้องนอนของหยางเจี้ยน เรือนที่ภรรยาพำนักอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเรือนหลักของเขาการที่ชายหนุ่มเลือกนอนในห้องหนังสือทุกคืนเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะไป๋หมิงเยว่! นางได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาอย่างสุดซึ้ง ยิ่งคิดหยางเจี้ยนก็ยิ่งอับอายและโกรธเกรี้ยวผสมปนเปจนหน้าดำคล้ำไปหมดความรังเกียจสายหนึ่งพุ่งปะทุเต็มทรวงอกทันที ภรรยาพระราชทานของเขานางนี้ทำอย่างไรก็ชอบไม่ลง!ครู่หนึ่งเสียงของจิ้นเหอพลันดังทุ้มต่ำจากนอกห้อง“ท่านแม่ทัพ สาวใช้เรือนฮูหยินใหญ่นำน้ำแกงบำรุงมาส่งให้ขอรับ”หยางเจี้ยนรับเสียงเฉยชา “เข้ามา”ประตูถูกเปิดออก จิ้นเหอรับน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยใหญ่จากสาวใช้มาวางลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเงียบๆหยางเจี้ยนยกน้ำแกงขึ้นดื่มอย่างไม่รู้รสชาติ ไม่นานต่อมาแม้รู้สึกร้อนผ่าวแปลกประหลาดก็มิสนใจสองเค่อ[1]ให้หลัง สาวใช้ของเรือนมารดาก็มาอีกครา จิ้นเหอส่งเสียงทุ้มต่ำอีกรอบ “ท่านแม่ทัพ ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาเข้าหอแล้วขอรับ”“อืม...” เสียงตอบรับของหยางเจี้ยนยังคงราบเรียบไร้ระลอกคลื่น ทว่ากายแกร่งกลับรู้สึกวูบวาบไปหมดประกายเพลิงรุมเร้าค่อยๆ ถูกจุดขึ้นในแ
แม้เป็นเพียงเรือนอนุแต่ขนาดของเรือนกลับไม่เล็ก แม้ไร้เกี้ยวแปดคนหาม แต่การตกแต่งจัดเตรียมห้องหอด้วยโคมไฟสีสดตระการตาอันบ่งบอกว่าให้เกียรติกันนั้นซู่หลินจึงยิ่งรู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเป็นอนุภรรยาสกุลหยาง และเมื่อคิดถึงใบหน้าคมคายหล่อเหลา ความสง่างามเป็นเอกของหยางเจี้ยน นางก็ยิ่งกระหยิ่มในใจสำหรับซู่หลินการทำให้บุรุษโปรดปรานมิใช่เรื่องยาก หากมิใช่เกิดมาในครอบครัวธรรมดา มีฐานะแค่สามัญชน เป็นเพียงหลานสาวของอนุขุนนางขั้นสี่ เกรงว่าคงได้มีโอกาสร่ายมารยาต่อพระพักตร์ ทำให้องค์จักรพรรดิหลงใหลจนได้เป็นพระสนมคนโปรดไปแล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือซู่หลินเป็นหญิงงามอย่างแท้จริง มองมุมไหนก็น่าพิสมัยชวนสัมผัส แม้นิสัยภายในจะเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แต่เพราะนางมีใบหน้าอ่อนหวานหยาดเยิ้ม เวลาคลี่ยิ้มยิ่งหวานล้ำเป็นพิเศษจึงปกปิดนิสัยแท้จริงไปสิ้น เผยเพียงความงดงามเป็นเลิศให้ได้เห็นเท่านั้น ซู่หลินกวาดตามองเรือนหอหรูหราสมฐานะจวนอย่างพึงพอใจยิ่งให้สาวใช้คนสนิทไปสืบระหว่างรอเข้าหอถึงนิสัยใจคอของหยางเจี้ยนและได้รู้ถึงความสัมพันธ์อันห่างเหินระหว่างเขากับภรรยาเอกของเขา ซู่หลินก็ยิ่งยกยิ้มเย้ยหยันม
เนื่องจากเป็นร่างใหม่มิใช่ร่างเดิม พื้นฐานร่างกายอ่อนด้อยอย่างมากหลายเดือนที่ผ่านมาหมิงเยว่จึงไม่พลาดการฝึกหนักสักวัน ยามนี้ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น แม้ฝีมือยังไม่ก้าวหน้า ทว่าไม่นานย่อมสูงส่งเท่าเดิมอา...นางลืมไป ร่างเดิมฝึกฝนตั้งแต่จำความได้ แต่ร่างนี้เพิ่งฝึกไม่กี่เดือนเท่านั้น พรหมจรรย์ยังไม่เหลือแล้ว ย่อมมิอาจเก่งกาจเทียบร่างเดิมได้อีกพูดง่ายๆ ว่าห่างชั้นนั่นล่ะ! เฮ้อ...แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนางก็ได้ร่างใหม่เป็นคน มิใช่สัตว์เดรัจฉาน จุดสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่ความพยายามของคนทั้งสิ้น ชีวิตคือการแสวงหา ขอแค่หมั่นฝึกฝน ทบทวนวันละหลายหน ขยันพากเพียรเท่านั้นหมิงเยว่ยกกำปั้นขึ้นเบื้องหน้าทำสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ ระหว่างนอนแช่น้ำอุ่นหอมกรุ่นอย่างสบายอารมณ์เมื่ออาบน้ำจนพอใจ กลิ่นสาบเหงื่อไคลหายไปสิ้น นางก็ลุกขึ้นจากถังอาบน้ำ พาร่างอรชรขาวเนียนนุ่มลื่นไปแต่งกายที่หน้าชั้นไม้ ก่อนเดินหมุนกายอ้อนแอ้นมาที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง โดยไม่เรียกใช้ใครให้ความลับเรื่องแอบฝึกวรยุทธ์รั่วไหลหญิงสาวสวมชุดเบาสบาย สำรวจตนเองหน้ากระจกตามวิสัยของอิสตรี ต่อให้นิสัยไม่ดีแต่ก็ยังรักสวยรักงามยิ่งคุณหนูไป๋ผ
หมิงเยว่หรี่ตามองสาวใช้คนสนิทอย่างงุนงง “อะไร”จริงอยู่ว่าหญิงสาวมิได้แยแสผู้คนจวนหยางเท่าใด แต่หนทางกลับไปยิ่งใหญ่ดุจเดิมจะมองอย่างไรก็ยังริบหรี่ ดีไม่ดีอาจไม่ง่าย เพราะค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสลายไปแล้ว มีเพียงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนเท่านั้น อาจจะสามปีห้าปีหรือสิบปี แม่ทัพหยางก็เป็นบุรุษไม่เลวเลยสักนิด ออกจะดีงามด้วยซ้ำ ได้เขาเป็นสามีก็นับว่าไม่เสียชาติที่ได้เกิดใหม่แล้วขณะคิดเรื่อยเปื่อย ฝ่ามือกลมป้อมของจิ่นซินก็ขยับจากขอบเตียงมาเขย่าไหล่ของหมิงเยว่จนหัวสั่นหัวคลอน“คุณหนู... ท่านยังจะยิ้มกริ่มอันใดเจ้าคะ? ข้าศึกตัวฉกาจเข้าเมืองมาแล้ว กำลังจะยึดฐานทัพแล้วเจ้าค่ะ”เพราะเป็นสาวใช้ของฮูหยินแม่ทัพ จิ่นซินจึงแอบศึกษาเรื่องแนวนี้มาบ้างเล็กน้อยเพื่อจะได้ทันสถานการณ์ เผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน จะได้คุยกันรู้เรื่อง“ลุกขึ้นเจ้าค่ะ อย่ามัวนอน”จิ่นซินจับแขนเรียวบางของนายสาวให้ลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน นางลืมหมดแล้วเรื่องกิริยาใดควรไม่ควร ศีลธรรมจารีตประเพณีอันใดก็ไม่ใส่ใจแล้วทั้งสิ้น“คุณหนู ท่านต้องไปทวงสิทธิ์ของท่าน แม้บารมีของภรรยาต้องได้สามีส่งเสริม ทว่าตำแหน่งฮูหยินเอกมิใช่จะให้ผู้ใดมาหยามหมิ่นข้
ประตูห้องในเรือนอนุซู่ถูกถีบดังโครม เป็นการเปิดประตูอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จวนหยางเคยเจอมาด้านหลังของหมิงเยว่คือเหล่าสาวใช้ที่กำลังกรีดร้องอย่างตกใจเสียขวัญกับการมาเยือนไม่คาดฝันของฮูหยินเอก ส่วนด้านหน้าคือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังตระกองกอดกันใบหน้าหล่อเหลากับใบหน้างดงามใกล้กันปานนั้นฝ่ายหญิงมีเสื้อผ้าเปิดเปลือยหลุดลุ่ยเผยเนินอกอวบส่วนฝ่ายชายเสื้อผ้ายังอยู่ครบ ปลดแค่สายคาดเอว แต่เขากำลังก้มหน้าประชิด อีกไม่ถึงชุ่น ริมฝีปากก็แนบสนิทจุมพิตอย่างร้อนแรงหมิงเยว่ลอบแค่นเสียงหยัน เตียงนอนมีเหตุใดไม่ใช้ มายืนเล่นท่ายากอันใดตรงนี้? รีบร้อนจริงเชียว!เมื่อมีคนเข้ามาขัดจังหวะเริงสวรรค์ ซู่หลินก็กรีดร้องอย่างตระหนกตกใจเป็นที่สุด“อ๊าย!”นางรีบยกมือปิดบังทรวงอกสล้าง เบียดกายนุ่มแนบชิดร่างแข็งแรงของหยางเจี้ยนอย่างต้องการให้ปกป้องใบหน้าหวานบิดเบี้ยวไม่น่ามอง ประหนึ่งถูกทำร้ายแสนสาหัส ทว่ากลับมีปราดหนึ่งที่แววตาคล้ายยิ้มเยาะแวบนั้นหมิงเยว่ย่อมมองทัน แต่นางไม่สนใจซู่หลิน เพียงเดินเข้ามากระชากสตรีจอมมารยาออกไปอย่างรำคาญ ให้อีกฝ่ายไปเสแสร้งไกลๆ ก่อนหันมาจับกระชากสาบเสื้อของหยางเจี้ยนเข้าใกล้อย่างไร้
“เจ้าจะกลับเรือนได้หรือยัง?” “กลับอยู่แล้ว ข้าอยากกลับตั้งนาน รอท่านมารับ”สตรีผู้กลิ้งกลอกพยักหน้าคลี่ยิ้มหวาน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยิ้มรับแม้แต่น้อยนอกจากไม่ยิ้มรับยังจ้องเขม็งด้วยแววตาคมกริบดุจมีดดาบพร้อมเชือดเฉือนอย่างต้องการคว้านเอาทุกความจริงออกมาตีแผ่ ใบหน้าคมคายตึงเครียดยิ่งหมิงเยว่จึงรีบหมุนกายเดินตัวปลิวกลับเรือนทันที เมื่อพ้นระยะสายตายังแอบวิ่งหนีอีกด้วยทว่ามีหรือจะรอดพ้นแม่ทัพหนุ่มผู้มีสัมผัสเลิศล้ำได้ หยางเจี้ยนรีบตามประกบทันที เรือนร่างสูงใหญ่ดุจแท่นศิลา หนาดั่งปราการหินแต่พลิ้วไหวสง่างาม จึงตามติดภรรยาหมิงเยว่หรือจะรอดพ้น...ทั้งสองหายวับไปคล้ายถูกราตรีมืดดำกลืนกินจิ่นซินมองภาพภรรยาหนีสามีตามด้วยสองตาแดงก่ำ น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากทั้งคุกเข่าขอละเว้นโทษทัณฑ์ให้ ทั้งมารับด้วยตนเอง ช่างน่าปลาบปลื้มนักลมหนาวโชยมา พัดผ่านเสื้อผ้าหลายชั้น จันทราเย็นเยียบดุจน้ำแข็งค้าง ทุกก้าวย่างจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังหมิงเยว่เดินไปตามทางโดยไม่หันมองบุรุษด้านข้าง ทั้งสองสืบเท้าไหล่เคลียไหล่เบียดชิด เมื่อกระทบแสงจันทร์เห็นเป็นเงาทอดยาวคล้ายคู่ยวนยางกระทั่งพากันเข้าเรือนหลัก
ประตูห้องพระค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้าแสงไฟสว่างจ้าจากคบเพลิงเบียดบังแสงตะเกียง ส่งผลให้ความสว่างไสวส่องเข้ามาในห้องพระจนคล้ายทิวา เสียงดีใจของจิ่นซินดังเล็ดลอดเข้ามาทำลายความเงียบสงบภายในห้องจนสิ้น“ฮูหยินน้อย...”หมิงเยว่กำลังวาดแขนกางขาออกกระบวนท่าอหังการอยู่จำต้องรีบเก็บกลับ แกะผ้ารัดแขนออกอย่างเร็ว ปลดชายกระโปรงออกจากสายรัดเอว ปล่อยให้ชายผ้าทิ้งตัวกรุยกรายพลิ้วไหว จังหวะนั้นได้ยินเสียงสูดจมูกของจิ่นซิน คาดว่าคงกำลังปาดน้ำตาด้วยคราหนึ่ง“ท่านแม่ทัพให้บ่าวมารับท่านกลับเรือนเจ้าค่ะ”ประโยคหลังของสาวใช้กล่าวขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดกรีดอากาศดุจเสียงเรียกของปีศาจที่มาพรากหมิงเยว่กลับไปยังอาณาเขตแห่งความเป็นจริงหญิงสาวตอบกลับเสียงเนือย “ข้าไม่อาจกลับไปได้ โทษทัณฑ์นี้ช่างสาหัสนัก”ความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จนหมิงเยว่ต้องขมวดคิ้ว“จิ่นซิน...” หญิงสาวหันหน้าไปมองหาสาวใช้ผู้ซึ่งพูดมากแต่กลับเงียบเชียบด้วยความฉงน“เหตุใดไม่พร่ำบ่นเหมือนเคยเล่า?”ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมิใช่เสียงของแน่งน้อย หากแต่เป็นเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแฝงความเคร่งเครียดขั้นสุด“ไม่อาจกลับ
เจ้าของนามซึ่งขับไล่บ่าวไพรในหอพระธรรมไปจนสิ้นคล้ายได้ยินคนเรียกชื่อตน ทั้งๆ ที่แห่งนี้ไม่มีใคร“แค่กๆ”หมิงเยว่กระแอมไอ รู้สึกเลือดลมตีกลับสติแตกซ่าน จำต้องหุบแขนหุบขาในท่วงท่าน่าอายหยุดฝึกวรยุทธ์ทันทีฉับพลันนั้นนางย้อนนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนตอนที่กำลังออกท่าทางพญาวานรตีลังกาวาดไม้ไผ่ต่างดาบ นางคล้ายเห็นชายผ้าของบุรุษรำไร ไม่แน่ใจว่าใช่หยางเจี้ยนหรือไม่หญิงสาวรีบส่ายหน้า ไม่น่าใช่!ครู่หนึ่งถึงได้ขบคิดโดยละเอียด หรือว่าใช่!หมิงเยว่พลิกตัวจากท่านั่งห้อยหัวบนคานไม้กระโดดลงมายืนบนพื้นห้องทันใดต้องใช่แน่ๆ กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านขนาดนั้น! ยังทิ้งกลิ่นเฉพาะกายอบอวลกำจายเอาไว้อีกเขาจะเห็นการแอบฝึกวรยุทธ์ของนางหรือไม่นะ?อา...หากถูกจับได้ขึ้นมา สามีจอมเคร่งครัดผู้นั้นต้องสั่งเชือดนางแน่ ร่างใหม่คนนี้ไร้ความสามารถมากเกินไป ฝีมือของนางยังไม่ถึงไหนเลยนางจะเสี่ยงถูกเปิดโปงหรือถูกขับไล่ออกไปยามนี้มิได้เด็ดขาด ขืนอาศัยอยู่ข้างนอกต้องลำบากมากเป็นแน่ หนทางยิ่งใหญ่ย่อมมีแต่คำว่าพ่ายแพ้ยังมีจิ่นซินจอมขี้แยอีกคนที่ต้องดูแลไม่ได้ นางยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังแตกตื่น อีกฝ่ายก็กำ
ประตูถูกเปิดออก ร่างระหงวิ่งออกไปอย่างลนลาน จิ้นเหอมองตามอย่างงุนงงเมื่อไร้เงาร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวงชายหนุ่มถึงคิดออกอ้อ...จริงสิ! ท่านแม่ทัพเพิ่งให้เขาไปสืบเรื่องของนางช่วยไม่ได้ที่เขาทำงานได้ฉับไวเถรตรงยิ่ง!แท้ที่จริง หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจไยดีจนอยากรู้เรื่องของซู่หลิน หากแต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาที่เผยเรื่องราวให้บุตรชายลอบสืบดูเผื่อไว้ให้คอยระแวดระวังสตรีจอมมารยา! มิคาดว่าจะสืบจนล่วงรู้ว่านางเลวร้ายถึงขั้นนั้น แต่การจะส่งกลับก็ดูจะไม่เหมาะ เหตุเพราะเป็นมารดาของเขาเองที่นำนางเข้ามาถึงหลังเรือนที่ลึกสุดแห่งนี้ ผู้คนอาจครหาว่าจวนใหญ่รังแกคนด้อยกว่าขณะที่จิ้นเหอกำลังจะปิดประตูห้องให้หยางเจี้ยน จิ่นซินก็พุ่งพรวดเข้ามาดั่งธนูเพลิง“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ได้โปรดช่วยฮูหยินน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาดเช็ดถูพระพุทธองค์ ทั้งยังไล่บ่าวกลับตลอด นางคงตรอมใจแน่ๆ”ไม่กินไม่ดื่ม เอาแต่ปัดกวาด ไล่กราดบ่าวไพร่...กระนั้นหรือ? หึ!หยางเจี้ยนลอบสบถในใจเห็นได้ชัดว่านางต้องการอยู่เพียงลำพังแค่คนเดียวเพื่อทำเรื่องนอกกรอบอย่างอุกอาจ!จิ่นซินไ
หญิงสาวมองเขาด้วยสองตาทอประกายระริกไหว ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้สุดใจ ก่อนย่อกายนอบน้อม“คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธี”หยางเจี้ยนมองซู่หลินด้วยแววตาลึกล้ำสุดหยั่ง เนตรคมดำจัดดุจน้ำวนก้นทะเลลึกลับพินิจคนงามเงียบงันการสะกดอย่างตราตรึงนั้นแฝงความร้อนแรงในทีหญิงสาวย่อมรับรู้อารมณ์รุมเร้าจากแววตานั้นได้ หลายวันที่ห่างหายไปจากจวนเพราะสายงาน คงทำให้เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปด้วย ความรุ่มร้อนเก็บกดเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นางก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายค่อยๆ เอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ หลินเอ๋อร์ตุ๋นน้ำแกงนี้ด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”สตรีงดงามช่างเอาอกเอาใจมีบุรุษใดไม่หลงใหลบ้างหยางเจี้ยนยกมุมปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เช่นนั้นหรือ? เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ไม่ลำบากด้วย”ซู่หลินประคองกล่องไม้ใส่น้ำแกงเอ่ยอย่างขัดเขิน หันกายอรชรเดินอย่างแช่มช้อยไปวางถ้วยน้ำแกงลงบนโต๊ะขณะย่างเท้าเรียวเล็กยังจงใจโยกบั้นท้ายงามงอนอย่างเชิญชวนให้คนเกิดแรงปรารถนาบางอย่างเรียวนิ้วขาวเนียนดุจลำเทียนไล้ขอบถ้วยเบาๆ อย่างยั่วเย้า หมายเร้าอารมณ์บุรุษตามศาสตร์แห่งการยั่วยวนนางค
จังหวะเดียวกันนั้น ที่หน้าห้องหนังสือหญิงสาวงดงามอ่อนหวานนางหนึ่งกำลังเดินเนิบช้า ทั้งโดดเด่นมีสง่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนรักใคร่ นางค่อยๆ ปรากฎกายเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปถึงหัวใจนางผู้นี้ช่างคล้ายคลึงภาพวาดอันงดงามไร้สิ่งใดในโลกาเทียบเคียงได้ ความพิลาสทั้งปวงเมื่อมาเจอกับนาง ล้วนต้องสงบสมยอมในทันทีนางผู้นี้คือซู่หลินสะคราญโฉมผู้พกพารอยยิ้มอ่อนหวานพิลาสล้ำแขวนไว้บนดวงหน้าอันงามเลิศเพริดพริ้งตลอดเวลาหญิงสาวย่างกรายอ่อนช้อยแช่มช้ามาแต่ไกลเหล่าบ่าวไพร่ที่เดินผ่านนางยังต้องหยุดเท้าก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อมเนื่องจากทุกคนต่างรู้ดี อนุผู้นี้เข้าเรือนท่านแม่ทัพแค่ราตรีเดียว ฮูหยินน้อยยังต้องถูกระเห็จไปตั้งไกล ไร้วี่แววจะได้กลับมา อนิจจา นางคงเป็นที่โปรดปรานหนึ่งเดียวแน่ๆ ใครอย่าพลั้งเผลอทำอนุซู่ไม่พอใจเชียว...ซู่หลินลอบยกยิ้มลำพองใจมีคนกล่าวไว้ว่าความใกล้ชิดนำไปสู่ความรัก หากได้อยู่ด้วยกันทุกวันยังต้องกลัวไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อีกหรือฮูหยินเอกต่ำชั้นอย่างไป๋หมิงเยว่ไม่อยู่เป็นก้างชิ้นโต นางย่อมมีโอกาสเผยโฉมต่อหน้าท่านแม่ทัพเพียงผู้เดีย
เมื่อกลับถึงจวน แม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าเรือนหลักทันที ในใจครุ่นคิดถึงวิธีพูดจากับภรรยาพระราชทานดีๆ เพื่อมิให้เกิดปัญหาหลังเรือนอีกต่อไปทว่าเมื่อมาถึง สาวใช้รุ่นใหญ่พลันกล่าวรายงาน“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าสั่งลงโทษเจ้าค่ะ”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “ลงโทษ? เรื่องอะไร?”สาวใช้เผยสีหน้าลำบากใจ ขณะรายงานตามจริงอย่างมิกล้าบิดเบือนเป็นอื่น“เรื่องที่ฮูหยินน้อยบุกไปพังห้องหอของอนุซู่เจ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ทัพออกจากจวนไปแล้ว อนุซู่ก็เข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านโหวผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินน้อยก็ถูกพาตัวไปยังหอพระธรรมประจำตระกูลเจ้าค่ะ หลายวันแล้วยังมิได้รับอนุญาตให้กลับเรือน”แววตาบุรุษเริ่มแข็งกร้าวเปี่ยมโทสะ เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้คืนนั้นเขาที่มีอำนาจหลังเรือนได้เลือกแล้วก็คือภรรยาเอก มิเลือกอนุ เหตุใดนางถึงมีความผิดกัน?หยางเจี้ยนสะบัดชายเสื้ออย่างไม่พอใจก่อนเดินไปทางเรือนของหยางฮูหยินทันที เรื่องเช่นนี้มารดาของเขาซึ่งมีฐานะเป็นแม่สามีของสะใภ้ไป๋ควรให้คำตอบที่ดีแก่เขาเมื่อมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจึงได้เห็นมารดาคล้ายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว การถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูพล
ทางเดินด้านหน้าท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างประสานหมัดคำนับทักทายกันเพื่อแยกย้ายฝ่ายหยางเจี้ยนเดินเคียงคู่มากับอัครเสนาบดีเฉียน ทั้งสองเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มักจะถกเถียงกันยามประชุมร่วมขุนนาง ทว่าวันนี้กลับเห็นพ้องอย่างหาได้ยากยิ่งช่วยมิได้จริงๆ ที่พวกเขามิได้มีใจชมชอบบุปผาหรือเห็นแก่ประโยชน์ของสาวงามเหมือนฮ่องเต้“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่เจ้าแต่งภรรยาเอกกับสตรีอื่น บุตรสาวของข้าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าทุกวัน นางช่างไม่เข้าใจว่าเราสองตระกูลใหญ่จะอย่างไรก็ไม่สมควรเกี่ยวดองกัน เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้เคืองฮ่องเต้เลยที่หาสตรีมิคู่ควรให้”เฉียนหลุนกล่าวจบก็ลูบเคราตนหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ชอบหยางเจี้ยนแต่บุตรสาวของเขากลับชื่นชมอีกฝ่าย กาลก่อนเขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงหมายทาบทามแบบกดดันให้หมั้นหมาย แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้าช่างน่าโมโหจริงๆหยางเจี้ยนเองก็ไม่ชอบเฉียนหลุน จึงน้อมรับคำพูดแฝงนัยเยาะเย้ยถากถางนั้นยิ้มๆ ไม่กล่าวตอบสิ่งใดความเย่อหยิ่งถือตัวเยี่ยงนี้เขามอบให้บิดาของสตรีที่หมายตาตัวเขานางนั้นนับว่าสมควรอย่างยิ่ง มิได้เกี่ยวข้องเรื่องขั้วอำนาจไม่เหมาะสมอันใดสักนิด แค่เขาไม่คิดอะไรกับบุตรส
เนื่องจากเดินทางออกจากจวนทันทีตั้งแต่ฟ้าสาง ทั้งยังค้างแรมที่ค่ายทหาร เพื่อร่วมวางผังป้องกันเมืองกับองค์รัชทายาท หลายวันแล้วมิได้กลับจวนหยางระหว่างนั้นยังเข้าวัง ร่วมประชุมถกปัญหาบ้านเมืองกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ปัญหาหลังเรือนจึงยังไม่ถึงหูของหยางเจี้ยนแต่อย่างใดเบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มยามนี้ล้วนเป็นปัญหาเกี่ยวกับแว่นแคว้นทั้งสิ้น หนักสุดเห็นจะเป็นหัวข้อรอเห็นชอบจากทุกฝ่ายในเรื่องสร้างพระราชวังฤดูร้อนเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน หาความสำราญขององค์จักรพรรดิแห่งที่สิบสี่นั่นหมายความว่ามีสถานที่เริงรมย์เช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วถึงเก้าแห่ง ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้เงินทองจำนวนมหาศาลการใช้เงินจากคลังส่วนกลางมิใช่ส่วนพระองค์เยี่ยงนี้จึงต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะขุนนางเสียก่อนหยางเจี้ยนก้าวเท้าออกจากขุนนางฝ่ายบู๊ ค้อมศีรษะประสานหมัดก่อนกล่าวนอบน้อม“แม้กระหม่อมจะเป็นเพียงแม่ทัพ มิอาจเกี่ยวข้องในส่วนนี้ ทว่าทุกการศึกยังต้องอาศัยงบหลวงเพื่อเคลื่อนทัพปกป้องดินแดน สงครามยึดครองพื้นที่ทางทะเลเพื่อขยายอาณาเขตการค้าแคว้นเยี่ยนที่ผ่านมาผลาญงบคลังหลวงไปไม่น้อย กระหม่อมจึงเห็นพ้องเสนาบดีกรมคลังที่กล่าวไว้ สงครา