หอสูงตระหง่านอักษรสีทองประดับประดาโคมแดง ค่ำคืนยาวนาน บุรุษหาความสำราญ ยากข่มตาหลับได้ลง
หยางเจี้ยนยังคงคิดคำนึงถึงใครบางคนที่ตายภายใต้คมกระบี่สุริยันของเขา
แววตาเจิดจรัสแก่กล้าของนางทำให้เขาคล้ายรับรู้ได้ถึงคำขอบคุณกับการปลดปล่อย ซึ่งครุ่นคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ
“เหตุใดทำหน้าอมทุกข์เช่นนั้นเล่า เจ้ากำลังจะมีงานมงคลมิใช่หรือไร? ไยไม่รู้สึกดีที่จะมีสตรีให้นอนกอด”
องค์รัชทายาทแคว้นเยี่ยนที่คืนนี้ปลอมตัวมาร่ำสุราที่หอบุปผากับสหายอย่างแม่ทัพหยางยังคงหยอกเย้าอารมณ์ดี มิได้รับรู้ถึงความทุกข์ใจของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“มาเถิด ยกจอก ไม่เมาไม่เลิกรา”
หยางเจี้ยนจึงสลัดความคิดคำนึง ยกจอกเหล้าขึ้นเบื้องหน้าของตน แล้วดื่มรวดเดียวหมดจอก
“อ่า...ต้องอย่างนี้ สหายข้า”
รัชทายาทหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเช่นกัน ข้างกายสูงค่าของเขานั้นห้อมล้อมไปด้วยสตรีงดงามทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
หยางเจี้ยนยกมือปาดน้ำเมาออกจากริมฝีปากได้รูปอย่างเย็นชา ทว่าท่วงท่ากลับงามสง่าอย่างมาก
แรงที่นิ้วแกร่งขยี้กลีบปากจนช้ำทำให้สีแดงสดนั้นคล้ายดอกกุหลบก็มิปาน ใบหน้าคมคายยังฉายเสน่ห์ลึกล้ำ ทำเอามวลผกาประจำหอบุปผาที่ได้รับสิทธิ์ให้ปรนนิบัติคืนนี้ต่างจับจ้องไม่วางตา
พวกนางเผลอไผลไปกับความหล่อเหลาที่ผสานความกร้าวแกร่งทรงพลังอย่างลงตัวนั้นกันถ้วนหน้า
“คุณชาย ดื่มอีกนะเจ้าคะ ข้ารินให้เจ้าค่ะ”
สาวงามคนหนึ่งรีบยกกาเหล้าขึ้นรินใส่จอกให้เขา หวังมอมเมาอีกฝ่ายให้ขาดสติ จะได้พากันขึ้นห้องไปทำอะไรต่อมิอะไรกันสองต่อสอง
นางผู้นี้เป็นสตรีอันดับหนึ่งของหอบุปผา ทั้งท่วงท่าและกิริยาจึงไม่ต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่สักนิด นางมีจริตน่ามอง ใบหน้าสวยสดหมดจด เนตรงามฉ่ำหวานบาดตาบาดใจ บุรุษส่วนใหญ่เพียงถูกนางปรายตามองเป็นต้องลุ่มหลง ทั้งตัวและหัวใจอ่อนยวบแทบเท้านางทั้งสิ้น
หญิงสาวฉลาดหลักแหลมมาก เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าบุรุษตรงหน้าฐานะไม่ธรรมดา ต่อให้เขาปลอมตัวปกปิดฐานะแท้จริงก็ไม่อาจบดบังรัศมีอันแก่กล้าได้สักเสี้ยว นางคิดว่าหากได้บุรุษตรงหน้าซื้อตัวกลับไป ชาตินี้ทั้งชาติย่อมสุขสบายไร้กังวล ต่อให้เขามีฮูหยินอยู่แล้ว นางก็ไม่สน
สาวงามรอจนหยางเจี้ยนดื่มสุราจอกที่นางยื่นให้จนหมดเกลี้ยงก็รีบคะยั้นคะยอ
“คุณชาย อีกจอกนะเจ้าคะ”
สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบ นอกจากกำยานปรุงพิเศษเพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้บุรุษโอนอ่อนตามสาวงามแล้วในน้ำเหล้ายังผสมสิ่งหนึ่งที่ทำให้บุรุษยิ่งกว่ามัวเมา ทุกจอกที่ดื่มลงคอยิ่งส่งผลให้คนลุ่มหลงยากถอนใจ
คงไม่ต้องบรรยายว่าคือสิ่งใด ชายใดแค่ได้ชิดใกล้ย่อมปรารถนาได้ลิ้มลอง ซึ่งมิใช่แค่น้ำเมา
หลายครั้งที่พวกเขาถึงขั้นหลงลืมภรรยาเพราะกำลังติดอกติดใจในหญิงงาม มิใช่จอกเหล้าในมือตน
รสเสน่หากามารมณ์อันล้ำเลิศจากบุปผาอันดับหนึ่งคือสุดยอดแห่งปรารถนา
หยางเจี้ยนหรี่ตามองเจ้าของเนินอกอวบอิ่มที่พยายามเบียดชิดท่อนแขนแกร่งของตน
“ดื่มอีกจอกนะเจ้าคะ คุณชาย...”
“ถอยออกไป...”
น้ำเสียงกล่าวอย่างเย็นชา ดวงตาคู่คมมองอย่างเยือกเย็น แม่ทัพหนุ่มเพียงรับจอกเหล้ามาดื่มเท่านั้น ไม่คิดดับกระหายด้วยเรือนกายอิสตรีนางใด
สาวงามถึงกับหน้าเจื่อน
เมื่อสาวงามอันดับหนึ่งถูกไล่เช่นนั้น แม่นางทั้งหลายจึงถึงคราวได้ทีบ้าง รีบเข้ามาพะเน้าพะนอแทนที่
“คุณชาย ดื่มจอกของข้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
ทั้งจอกเหล้าและกับแกล้มถูกสาวงามสองนางยื่นมาตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ แต่หยางเจี้ยนขึงตาใส่
รัชทายาทหนุ่มมองอย่างหมั่นไส้ “จะหวงเนื้อหวงตัวไปถึงไหนเล่า?”
เพราะปลอมตัวเป็นเพียงคุณชายไร้บรรดาศักดิ์ กิริยาวาจาและท่าทีจึงมิจำเป็นต้องสูงส่งหรือมีสัมมาคารวะนอบน้อมอันใด
หยางเจี้ยนจึงเอ่ยเสียงหนักไปทางรัชทายาท
“ข้าไม่สะดวก”
“ไม่สะดวกหรือรังเกียจกันเล่า เอาเถิด คืนนี้แค่เลือกซื้อตัวสาวบริสุทธิ์สักคนก็ใช้ได้แล้ว พาไปเลี้ยงดูยังได้นะ”
คำของรัชทายาททำแม่นางสองคนที่นั่งจ้องมองอยู่พลันมีดวงตาที่ทอประกายวาววับ นึกหาญกล้าขึ้นมา
“ข้าน้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยผุดผ่องยิ่งนัก”
“ข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ไม่เคยรับแขกคนใดเลย”
สาวงามอันดับหนึ่งมีหรือจะช้า นางรีบผลักสาวงามสองคนออกไปแล้วถลันเข้ามา
“ฮวาเอ๋อร์มอบชีวิตให้ท่าน”
ทว่าหยางเจี้ยนไม่ตอบรับแม้ครึ่งคำ ยังคงดื่มเหล้าอย่างเงียบงันเย็นชา ปล่อยความแสบร้อนของน้ำเมาไหลผ่านลำคออย่างช้าๆ ฤทธิ์ของมันทำเขาเคลิบเคลิ้มและคิดถึงแววตาชวนสนเท่ห์และเปี่ยมเสน่ห์มนต์มารอีกครั้ง
รัชทายาทจึงแค่นเสียงเฮอะก่อนหันไปสนใจสาวงามของตนโดยไม่สนใจสหายรักอีก
แค่ได้สมรสพระราชทานกับสตรีที่ไม่ได้รักจะทุกข์ใจอันใดนักหนาเล่า ตัวเขาต้องแต่งชายาเข้าวังบูรพามากมาย โดยไม่มีสตรีใดน่าพึงใจสักคนยังไม่บ่นสักคำ
หลังจากแยกย้ายจากรัชทายาท หยางเจี้ยนก็ควบม้ากลับเข้าจวนสกุลหยาง เมื่อกลับถึงห้อง เขาก็ล้มตัวลงนอน ในห้วงนิทรา เขาเห็นแต่ภาพเงาเลือนรางของสตรีนางหนึ่ง
นางผู้นี้ล่องลอยยั่วยวนชวนหวั่นไหวอยู่ในอากาศ ฝ่ามือหนาค่อยๆ เอื้อมคว้าสุดแขน หมายดึงนางเข้ามากอดเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นทดแทนคมดาบเย็นเยียบที่สะบั้นคอนาง หัวใจของหยางเจี้ยนเต้นระส่ำรุนแรง โลหิตในกายพลุ่งพล่าน เขาจ้องนางไม่วางตา ด้วยเกรงว่านางจะหายไป
ภายใต้สีหน้าเย็นชา หัวใจบุรุษปวดร้าวเกินบรรยาย
โม่หมิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ พร้อมความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย ทุกเรื่องราวไม่ว่าของชาตินี้หรือชาติไหน นางจดจำได้แม่นยำร่างระหงนอนทอดกายอ่อนล้าบนเตียงใหญ่ในห้องรโหฐานอย่างเดียวดายไป๋หมิงเยว่ คือนามเดิม แต่แซ่สกุลใหม่สวรรค์! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออดีตหัวหน้าโจรถ่อยโม่หมิงเยว่ยามนี้ กำลังอยู่ในร่างของคุณหนูผู้อ่อนแอแห่งจวนไป๋มิใช่ว่ามีผู้ใดบังอาจเล่นเล่ห์ร่ายมนต์คาถาคมขลังกับดวงวิญญาณของนางหรอกกระมัง?บ้าไปแล้ว ใครจะทำเรื่องเยี่ยงนั้น!ครั้นนึกขึ้นมาก็คล้ายได้ยินเสียงหนึ่งจากดินแดนแสนไกล‘จิตวิญญาณเจ้าผสานหยดเลือดข้า ขอชาติหน้าได้ผูกวาสนา มิต้องเข่นฆ่าเฉกเช่นชาตินี้’สองตาของหมิงเยว่เหลือกไปเหลือกมาเลิ่กลั่กแน่นอนว่าหญิงสาวยามนี้มืดมิดทั้งแปดด้าน นางไม่รู้เรื่องวิชานอกรีตนั้น และยิ่งไม่รู้ว่าใครกัน นางได้ยินแค่เสียงอันแผ่วเบาจากดินแดนแสนไกลที่ติดวิญญาณของนางมาเจ้าผู้นั้นเป็นใครกัน? หลงรักข้าถึงเพียงนี้ ชั่วช้ายิ่ง!ขณะกำลังตัดพ้อด่าทอ ความทรงจำค่อยๆ ไหลเวียนเข้ามาในห้วงภวังค์หมิงเยว่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้สามวันหลังจากเจ้าของร่างเดิมตรอมตรมใจสลายจนสำลักโลหิตออกมาเป็นลิ่มๆ แล้ว
หมิงเยว่คิดในใจอย่างอดสู ไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องเข้าสิงร่างบุปผากลีบบางที่ต้องภรรยาของเขาจังหวะนั้นประตูห้องหอพลันถูกเปิดออกแล้วปิดลงอย่างไม่ใส่ใจเรือนร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปรากฏกายตรงเข้ามาหญิงสาวมองเห็นบุรุษสง่างามน่าเกรงขามผู้ซึ่งอยู่ในห้วงคำนึงแค่รำไรผ่านผ้าคลุมสีแดงที่ปิดใบหน้าแม้จะเห็นแค่เพียงรำไร ทว่ากลิ่นอายอำมหิตสังหารกลับเข้มข้นขุ่นคลั่กผสมผสานกลิ่นสุราคละคลุ้งทั่วทั้งตัวหยางเจี้ยนเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ริมโต๊ะข้างเตียง คันชั่งหรือสุรามงคลล้วนไม่ถูกแตะต้อง ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเจ้าสาวของตน ใบหน้าหล่อเหลายิ่งนานยิ่งเยือกเย็นดั่งมีน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลายเกาะกุมอย่างแน่นหนาหมิงเยว่จึงเปิดผ้าคลุมหน้าด้วยตัวเองเสียงดังพรึบ นางไม่จำเป็นต้องง้อบุรุษผู้นี้แต่อย่างใด ใส่ใจแค่ความเป็นอยู่ของร่างใหม่ก็พอกระมังหญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเขา หยิบอาหารมงคลกินอย่างไม่เกรงใจ ช่วยไม่ได้ที่นางหิ้วท้องจนปวดมาทั้งวัน จะอดทนหิวโหยต่อไปเพื่ออันใด?ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบเห็นหยางเจี้ยนมองมา โดยไม่พูดจา สีหน้าและสายตาเย็นชาที่สุดเขายกสุราขึ้นดื่มอึกๆดื่มเอาๆ ราวกับต้อ
ยามเช้ามาเยือน แสงตะวันสาดส่องแรงกล้าหมิงเยว่สะลึมสะลือขยับร่างกายไปมา ฉับพลันนั้นกลับรู้สึกเมื่อยขบและปวดร้าวที่กลางลำตัวหือ...หญิงสาวมุ่นคิ้ว ขยับขาอีกที ความรู้สึกปวดหนึบตรงส่วนสงวนยิ่งเด่นชัด นางเบิกตาโพลง ลุกขึ้นนั่งทันใด“โอ๊ย!”ช่วงล่างยิ่งเจ็บแปลบจนหลุดอุทานเสียงแหบ ยังรู้สึกได้ถึงของเหลวกรุ่นคาว ไหลหยาดจากต้นขาหมิงเยว่เปิดผ้าห่มออก เห็นร่างตนเองที่เปล่าเปลือยมีรอยจุมพิตเต็มไปหมดและหยดเลือดพรหมจรรย์แดงชาดบาดตาเปรอะเปื้อนผสานกับน้ำคาวสีขาวขุ่น“หา?”พอเหลือกตามองไปเบื้องหน้า ยังเห็นบุรุษร่างใหญ่นอนเปลือยเปล่าเคียงข้าง“หยางเจี้ยน!”เสียงพลั่กเกิดขึ้น ตามด้วยเสียงของหนักตกกระทบพื้นดังตุ้บร่างใหญ่ถูกเท้าเล็กถีบกระเด็นจนตกเตียง“อ่า...”หยางเจี้ยนถึงกับสร่างเมาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเขาลุกขึ้นนั่ง หันมองขวับเห็นฝ่าเท้าเปลือยเล็กน่ารักเต็มสองตาบนเตียงนอน“เจ้า...เจ้ากล้าถีบข้า”หยางเจี้ยนมองสตรีบนเตียงด้วยดวงตาพร้อมพ่นไฟหมิงเยว่ที่เพียรรักษาพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ยิ่งชีพเพื่อฝึกฝนเพลงดาบในชาติที่แล้วให้รู้สึกถึงการสูญเสียและสิ้นหวังครั้งใหญ่อย่างแท้จริงในชาตินี้“ท่าน...ท่านขืนใ
ตั้งแต่เช้าจนหมดวัน หยางเจี้ยนก็คล้ายอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย เขาหายตัวไปเลยอย่างไม่หวนกลับมาพิธียกน้ำชายังปล่อยภรรยาให้รับหน้าเพียงผู้เดียว การกระทำของหยางเจี้ยนส่งผลให้นายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหว ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยินใหญ่ และญาติผู้ใหญ่ รวมถึงพี่น้องสายรองล้วนมองไป๋หมิงเยว่ด้วยสายตาดูแคลนแม้เป็นสมรสพระราชทาน แต่ใครต่อใครต่างก็ดูออกถึงพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ การจำกัดอำนาจบารมีของตระกูลหยางเอาไว้ด้วยสตรีผู้นี้เป็นเรื่องที่จำต้องทำใจจริงๆ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีวันยอมรับสะใภ้ต่ำศักดิ์แน่นอนพิธียกน้ำชาเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเย็นชา แล้วก็ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายเงียบสงบดุจกำลังไหว้สุสานหมิงเยว่รู้สึกประหนึ่งว่ากำลังคำนับหลุมศพพวกพ้องที่ตายไปหลายชีวิตในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลของตนก็มิปานเฮ้อ! เกิดเป็นคุณหนูไป๋ผู้นี้คงต้องทำใจอย่างสุดซึ้ง ยังมีอันใดย่ำแย่กว่านี้อีกไหมเล่า?หมิงเยว่เดินกลับเรือนของตนอย่างหงุดหงิด โดยมีสาวใช้คนสนิทนามจิ่นซินเดินปาดน้ำตาด้วยความโมโหอยู่ด้านหลัง หญิงสาวหันหน้ามอง “เจ้าเป็นอะไร?”จิ่นซินสะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจพลางกล่าว“บ่าวไม่คิดเลยว
นางที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ไหนเลยจะทำสิ่งใดได้มากกว่าการร่ำไห้พร้อมเจ้านายแต่คุณหนูของนางยามนี้ นอกจากไม่แสดงด้านอ่อนแอตรอมตรมเหมือนก่อน ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แม้ดูวางเฉยต่อความเลวร้ายที่ถาโถม แต่กลับพร้อมพุ่งชนยิ่งจิ่นซินย่อมไม่รู้ว่าหมิงเยว่คือคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่ รอยยิ้มของนางล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะเหตุใดบุพเพวาสนาแห่งรักรอวันได้ประจักษ์ถึงจะแจ้งแก่ใจแต่สิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่ปรากฏชัดในห้วงความคิดก็คือการกลับมามีชีวิตใหม่ในครั้งนี้คงเป็นเพราะสวรรค์ให้นางได้แก้ตัวใหม่ชาติที่แล้วเพราะนางก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากโข พาพี่น้องล้มตายอย่างไร้ค่าก็หลายร้อยคน เช่นนั้นชาตินี้ นางที่สิงร่างคุณหนูใหญ่ไป๋ผู้อ่อนแอบอบบาง ไร้ใครใส่ใจ ปราศจากที่พึ่งพา คงเป็นเพราะว่าสวรรค์ต้องการให้นางได้เริ่มต้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ทั้งหมดนั่นล่ะเห็นได้ชัดจากการให้นางกลายมาเป็นฮูหยินของบุรุษซึ่งยึดมั่นในคุณธรรมอย่างหยางเจี้ยนปะไรอธรรมต่ำช้าจึงจำต้องอยู่เคียงข้างธรรมะอันสูงส่งเฮ้อ!หมิงเยว่ถอนหายใจนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม ถามคำซ้ำๆ ว่าไม่จริงใช่ไหม? รอบท
บรรยากาศจวนสกุลหยางหลังผ่านพ้นงานมงคลกลับเต็มไปด้วยความอึมครึมแลดูอัปมงคลอย่างไม่น่าเชื่อภายในเรือนใหญ่ การคารวะน้ำชาเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะมืดครึ้ม ไร้การไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ปราศจากการพูดคุยอันเปี่ยมมิตรไมตรีตามประสาคนในครอบครัวดังที่ควรเมื่อการปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเย็นชานี้จบลง หมิงเยว่ก็ขอตัวกลับเรือนตนทันทีเฉกเช่นทุกวันนางมักจะพกพาความเย็นยะเยือกมาต่อกรกับความเย็นเยียบของเหล่าผู้อาวุโสสกุลหยางอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งบรรดาสาวใช้ที่แอบมองยังต้องรู้สึกเหน็บหนาวกันถ้วนหน้าคล้อยหลังสะใภ้จากสกุลไป๋ เหล่าผู้อาวุโสกำลังนั่งปรึกษาหารือถึงเรื่องของหยางเจี้ยนกับไป๋หมิงเยว่กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด“ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋แม้ต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นสตรีเรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตน ประพฤติตัวอยู่ในโอวาท กิริยามารยายิ่งอ่อนโยนค่อนไปทางอ่อนแอ หัวอ่อนคุมง่าย แล้วที่เจอหน้ากันทุกวันคือผู้ใดกัน?”ฮูหยินเอกสายรองเอ่ยปากบ่นขึ้นก่อนใคร นางแต่งเข้าจวนหยางตั้งแต่วัยแรกรุ่นกระทั่งกลายเป็นวัยรุ่นแรก ยังไม่เคยเห็นสตรีนางใดทำตัวน่ารังเกียจเยี่ยงนี้มาก่อนเลย“ไป๋หมิงเยว่ผู้นี้ นอกจากต่ำศักดิ์ยังจ
เห็นได้ชัดว่านอกจากหยางเจี้ยนจะทรงอิทธิพลแล้ว บรรดาน้องสาวของเขาที่แต่งออกไปก็มีอำนาจใช่ย่อยกระทั่งจักรพรรดิยังเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้วหากแต่สกุลหยางกลับมีบุรุษน้อยมาแต่ไหนแต่ไร รุ่นของหยางจงเองยังเหลือแค่สองคนพี่น้องกับหยางเจ๋อ การเป็นแม่ทัพแม้ตำแหน่งสูงส่งแต่อย่างไรก็เสี่ยงอายุสั้น จำต้องมีทายาทสืบทอดไว้รองรับให้มากพอเท่านั้นหยางจงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รั้งรอมิได้อีกต่อไปหยางเจี้ยนควรมีบุตรชายด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะดี หากเขาไม่มีจริงๆ จะแย่ การยกบุตรชายของอนุหรือหลานชายสายรองขึ้นมาสืบทอดสกุลแทนหยางเจี้ยนคงเป็นที่ขบขันแน่“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เห็นสมควรรับอนุมาให้เจี้ยนเอ๋อร์” ว่าแล้วก็หันไปทางฮูหยินใหญ่มารดาของหยางเจี้ยน กำชับเสียงเครียด “ในเมื่อเจี้ยนเอ๋อร์ไม่ชอบภรรยาพระราชทาน โอกาสมีหลานชายคงมองไม่เห็น เช่นนั้นข้าก็รบกวนฮูหยินเฟ้นหาให้เจี้ยนเอ๋อร์สักคนเป็นไร ก่อนแต่งงานมิอาจกระทำ แต่แต่งงานแล้วหลายเดือนเช่นนี้ ทั้งสามีภรรยามิรักใคร่กันย่อมรับเข้ามาได้ ระมัดระวังเรื่องขั้วอำนาจเส้นสายสกุลด้วย อย่าพลั้งเผลอทำให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัยหรือนึกระแวงสกุลหยางของพวกเราจนหาความสงบส
ภายในห้องหนังสือของหยางเจี้ยนยังคงกลิ่นอายเคร่งขรึมเย็นชา มิได้แผ่ซ่านกลิ่นอายความมงคลอันใดออกมาสักครึ่งเสี้ยว แม้ว่าจะได้รับข่าวอันเป็นมงคลเรื่องการรับอนุคนงามเข้ามารออยู่เรือนหลังแล้วก็ตามบนโต๊ะตัวใหญ่ กระดาษถูกขึงจนตึง ภาพสตรีชุดดำปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งด้วยหน้ากากเผยเพียงดวงตาโฉบเฉี่ยวฉายแววคมกล้าเยี่ยงบุรุษปรากฏอยู่บนกระดาษนั้นในภาพ นางกำลังยืนตระหง่านอยู่บนเชิงเนินนิ้วเรียวยาวของหยางเจี้ยนค่อยๆ ไล้ผ่านภาพวาดของนาง ตั้งแต่ดวงตาจนไปถึงดาบดวงเดือนที่นางถืออยู่วันนั้นในครรลองสายตาของเขา ภาพของนางปรากฏเบื้องหน้ายามทิวา ตะวันแผดแสงแรงกล้าปานนั้น ทว่าในภาพวาดนี้ เขาบรรจงวาดขึ้นมาโดยมีฉากหลังเป็นจันทร์กระจ่างกลมโต ซึ่งกำลังลอยเด่นแขวนอยู่บนม่านนภาในรัตติกาลมืดดำแม้มองแล้วให้รู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด หากแต่มีเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่างดงามเพียงใดนางดูเร่าร้อนบนความเยือกเย็นชวนพิศวง ช่างทำให้คนอย่างเขาเกิดความรู้สึกหลงใหลรุมเร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักนามของนางด้วยซ้ำ จำได้เพียงสมญานามเงาดาบจันทราเจ้าของฝีมือฉกาจอันน่ายกย่องชั่วขณะที่นิ้วแกร่งไล้วนขึ้นมาที่ดวงตาดุด
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย
ในห้องอีกฝั่ง หมิงเยว่ยืนเบิกตามองซิงเยว่นิ่งค้าง“เจ้ามิได้ความจำเสื่อมแล้วหรือ?”หมิงเยว่เอ่ยปากถามออกมาในที่สุด ยิ่งเห็นท่วงท่าสุขุมนุ่มลึกทั้งสงบเยือกเย็นของซิงเยว่ที่แตกต่างจากวันที่นางแบกออกมาจากคฤหาสน์หลิวก็ยิ่งมั่นใจ“เจ้าจำเรื่องของตัวเองได้แล้วใช่หรือไม่?”ซิงเยว่ยืนตรงริมหน้าต่างค่อยๆ หันมาผลิยิ้มหวานชวนเหน็บหนาวออกมา “ต้องขอบคุณฝ่ามือนั้นของท่าน ที่ซัดข้าจนกระอักเลือด”หมิงเยว่ได้ฟังพลันหัวเราะ “หากข้ารู้ว่าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะหายจากอาการความจำเสื่อมคงซัดเจ้าให้กระอักเลือดตั้งนานแล้ว”หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบบ่าน้องสาว“เจ้าจำตัวตนที่แท้จริงได้แล้วก็ดี จากนี้จงเลิกยุ่งกับนายน้อยหลิวเสียเถิด กลับไปปกครองเหมืองแร่แดนใต้ซะ”ซิงเยว่ส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้”หมิงเยว่มุ่นคิ้ว “เหตุใดจะทำไม่ได้ เจ้าบ้าไปแล้ว”ซิงเยว่ยิ้มขื่น “เป็นเพราะหายดี ข้ายิ่งไม่อาจตัดใจ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดพลันเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ น้องสาวผู้เย่อหยิ่งทะนงตนของนาง เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนถึงเพียงนี้ ทุกสิ่งเป็นเพราะความผิดของนางใช่ไหม? เพราะนางไม่ดูแลน้องสาวให้ดี“ซิงเยว่ เกิดอันใดขึ้น
“ท่านแม่ทัพ นายน้อยหลิว” จิ้นเหอทักทายทั้งสอง จากนั้นก็ดูแลจัดเตรียมสุราและกับแกล้มด้วยความรวดเร็วเพียงครู่ บนโต๊ะในศาลาพลันมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ บุรุษทั้งสองนั่งลงดื่มกินเงียบๆ สายตาพวกเขาล่องลอยไปตามสายลมที่โชยไล้แสงตะวัน ปล่อยความคิดอยู่เนิ่นนาน ไกลแสนไกล...กระทั่งหยางเจี้ยนหันกลับมาสนใจหลิวไท่หยางและเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน“สตรียุทธภพมิเหมือนสตรีในห้องหอของเมืองหลวง เรื่องนี้ท่านน่าจะทราบดีกระมัง?”หลิวไท่หยางมุ่นคิ้วพลางถามกลับเสียงเคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพคงมิได้กำลังหมายถึงซิงเอ๋อร์ของข้า?”มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่คนอย่างหยางเจี้ยนจะสามารถสืบจนล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของซิงเยว่ นายน้อยหลิวจึงระมัดระวังตัวขึ้นมาหยางเจี้ยนยังคงมีรอยยิ้มในหน้าแม้แววตาจะเย็นชา“ท่านอย่าได้ห่วง ฐานะที่แท้จริงของซิงเยว่มีเพียงเป็นคหบดีหญิงแดนใต้ผู้ร่ำรวยมหาศาล”แม่ทัพหนุ่มจำต้องโกหกว่าเขารู้แค่นั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่เมื่อเห็นหลิวไท่หยางรับฟังนิ่งๆ หยางเจี้ยนจึงหรี่ตา “ท่านคงรู้อยู่แล้วกระมัง”หลิวไท่หยางไม่ตอบ หยางเจี้ยนจึงยกสุราขึ้นดื่มก่อนเอ่ยเสียงเนิบ “สิ่งที่ข้าต้องการบอกท่านก็คือ ฮ
เมื่อหยางเจี้ยนออกจากห้องไปแล้ว หมิงเยว่ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องอีกฝั่งทันทีครานี้นางไม่มีท่าทีเป็นศัตรูกับหลิวไท่หยางแล้ว เหตุเพราะนางไม่ต้องการต่อสู้อันใดกับใครสักกระบวนท่า ลูกน้อยในครรภ์สมควรได้รับการทะนุถนอมอย่างที่สุด นางกำลังจะเป็นมารดา นิสัยแย่ๆ หลายอย่างจำต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมด รวมถึงแนวคิดอันมุทะลุโลดโผนด้วยทว่าขอสะสางเรื่องผิดศีลธรรมของน้องสาวก่อนครั้นมาถึงจึงได้เห็นว่าท่านหมอผู้ที่มาดูแลซิงเยว่ท่านนั้นออกไปแล้ว คงเหลือเพียงหนุ่มสาวกำลังพูดคุยต่อคำด้วยรอยยิ้มหวานล้ำสิ่งหนึ่งที่หมิงเยว่รู้ดีที่สุด คือพลังปราณจันทราเย็นของนางไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อซิงเยว่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายกระอักเลือดออกมาจนสลบแน่นิ่งไปก็ตาม สมดุลหยินหยางที่ซิงเยว่เพียรฝึกมานับแต่เกิดแม้วิชาไม่บรรลุถึงขั้นสูงสุด แต่ยังคงมีพลังต้านทานในกระแสเลือดแม้จะความจำเสื่อมยามนี้ฝ่ายสตรีนั่งอิงแผ่นหลังกับหมอนบนเตียงนอน ส่วนฝ่ายชายนั่งอยู่ที่ตั่งข้างเตียงนอน สองคนส่งตาหวานน้ำเสียงบุรุษฟังดูเว้าวอน น้ำเสียงสตรีสดใสกังวานหมิงเยว่มุ่นคิ้ว นึกขุ่นเคืองขึ้นมา นางเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเตียง กระแอมไออย่างไร้มารยาทใส่พวก