ตอนที่19 ค่ำคืนแสนสุข
ยิวนั่งกินข้าวจนอย่างเอร็ดอร่อยถึงแม้รสชาติจะไม่ถูกคอ ด้วยความหิวโหยเขาจึงกินไม่มีเหลือแม้แต่อย่างเดียว จนสร้างความประหลาดใจแกแม่ทัพวิศรุฒอย่างมาก
“เอ็งอดอยากมาจากไหน ถึงกินซะไม่มีเหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว”แม่ทัพวิศรุฒจ้องมองยิวด้วยตาไม่กระพริบแม้แต่ทีเดียว
“ใช่ เราไม่ค่อยได้กินเลย กินวันละมื้อเอง แถมเป็นมื้อที่นิดหน่อยเท่านั้น”
“ดูท่าจะจริง เพราะไม่มีน้ำมีนวลเหมือนอย่างแต่ก่อน”
“จะมีได้ไง อยู่กลางป่ากลางเขากินอดกินอยากทุกวัน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็กินซะให้อิ่มแล้วค่อยไปอาบน้ำ หลังจากนั้นค่อยมาคุยกัน”
เมื่อยิวได้กินข้าวจนอิ่ม เขาก็ลงไปอาบน้ำในอ่าง แล้วก็เข้ามาในห้องแม่ทัพวิศรุฒตามเดิม
“เอ็งมาหาข้าได้อย่างไรกัน”แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าที่สงสัยยิ่งนัก
“หลังจากเราโดนเสือเข้มจับตัวไป พอมีโอกาสเราก็หนีเสือเข้มมา แล้วก็หยิบถุงย่ามของเสือเข้มติดมาด้วยอย่างที่นายเห็นนั่นแหละ”
เช่นนั้น ข้าของถามอีกครั้ง เอ็งมาหาข้าที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“พอเราหนีเสือเข้มมานะ ก็เจอขบวนอพยพเราก็เลยติดมาด้วย”
“ช่างเก่งนักเอ็งนิ แต่ข้าไม่สนใจตรงนี้เท่าไร เพราะคนเจ้าเล่หเพทุบายอย่างเอ็ง สามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ที่ข้าสงสัยทำไมต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิงมาหาข้า เอ็งรู้ไหมมันทำให้ข้าลำบากยิ่งนัก”
“ลำบากอย่างไงเราไม่เข้าใจ”
“ก็เอ็งเป็นผู้ชาย ตอนนี้พ่อแม่ของข้าเข้าใจว่าเอ็งเป็นผู้หญิง ต่อไปนี้จะทำอย่างไรกัน”
“จริงด้วย”ยิวเริ่มหวั่นกลัวขึ้นมาทันที เพราะต่อไปนี้จะเป็นเรื่องที่เขาต้องแก้ไข
“ต่อไปเอ็งจะทำอย่างไร ในวันพรุ่งจะออกไปพบปะผู้คนในสภาพไหน”
“จะสภาพไหนล่ะ ก็ต้องสภาพนี้แหละตอนนี้ข้าก็ผมยาวแล้ว ก็เหมือนผู้หญิงอยู่นะ”ยิวอมยิ้มจับผมม้วนเล่น
“เอ็งไม่มีหน้าอก จะปลอมตัวได้นานแค่ไหนกันเชียว”
“เอาน่า เรามาอยู่ไม่นานหรอก เดี๋ยวเราก็แกล้งหายตัวไปแล้วกลับมาอีกทีเป็นผู้ชายก็ได้”
“ทำไมเอ็งถึงไม่บอกเหล่าทหารว่าเป็นผู้ชายแล้วมาหาข้าก็ได้”
“บอกไปใครจะเชื่อ ถ้าบอกว่าเป็นเมียค่อยน่าเชื่อหน่อย ไม่งั้นเราก็คงไม่ได้เจอกันหรอก”
“เอ็งนี่สร้างความเดือดร้อนให้ข้าอยู่ร่ำไป”
“ไม่ต้องห่วงเดี่ยวเราจะแก้ปัญหานี้เอง แต่ตอนนี้ข้าง่วงนอนมากเลย เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาเรานอนกลางดินกินกลางทรายตลอด”
“เอ็งลำบากขนาดนั้นเชียว”
“ใช่ ลำบากมากแต่มันก็ผ่านมาแล้วเราขอนอนก่อนนะ ก่อนนอนหาชุดผู้หญิงมาให้เราใส่ด้วยนะ”
“ข้าจะไปหาที่ไหนล่ะ”
“เราไม่รู้เป็นหน้าที่นาย เราขอนอนก่อนนะไม่ไหวแล้ว”
ยิวไม่สามารถที่จะพูดคุยกับท่านแม่ทัพวิศรุฒได้อีกต่อไป เพราะเขาอ่อนเพลียและหมดเรี่ยวแรงหมดปัญญาที่จะสู้ความเหนื่อย ยิวจึงขึ้นไปบนเตียงนอนอย่างอ่อนแรง เขาล้มตัวลงนอนในทันทีไม่นานมากยิวก็หลับไปในที่สุด
เมื่อยิวหลับแม่ทัพวิศรุฒจึงออกไปนอกห้อง และให้บ่าวหนุ่มไปตามทันมาหา เพราะจะปรึกษาเรื่องเสื้อผ้าผู้หญิง ไม่นานทันก็มาหาและได้เสนอว่าจะเอาเสื้อผ้าของเมียมาให้ แม่ทัพวิศรุฒรออยูเรือนชานพักใหญ่ ทันก็นำเสื้อผ้าอาภรณ์ของเมียเขามาให้ท่านแม่ทัพวิศรุฒ
“ขอบใจเอ็งมากนะ”
“เรื่องมันจะบานปลายไปใหญ่นะขอรับ เพราะโสพลไม่ใช้ผู้หญิงมันจะยุ่งเหยิงนะขอรับ”ทันเอ่ยขึ้น
“ค่อยแก้ๆไป เอาล่ะเอ็งกลับไปได้แล้ว”
“ไล่ข้าน้อยกลับเลย จะทำอะไรกันเหรอ”
“ไอ้ทันมึงวอนหาเรื่องโดนเตะแล้วนะมึง”
“พูดเล่นข้านี้ก็โกรธ ข้าน้อยไปก้ได้ขอรับ”
เมื่อทันได้กลับเรือนตัวเองไปแล้ว แม่ทัพวิศรุฒจึงเข้าไปในห้องนำเสื้อผ้าไปเก็บไว้ หลังจากนั้นก็เดินมายังเตียงนอน และแม่ทัพวิศรุฒก็นั่งลงมองหน้ายิวที่ดูอ่อนเยาว์ ยิ่งมองนานเท่าไรเขายิ่งหวั่นไหว แม่ทัพวิศรุฒพยายามหักห้ามใจไม่ให้คิดเช่นนั้น เพราะเขามองว่ามันผิดครรลองครองธรรม แม่ทัพวิศรุฒจึงล้มตัวลงนอนข้างๆยิว จนถึงรุ่งอรุณเบิกฟ้า ซึ่งเขาก็ได้ตื่นนอนก่อนยิวทุกคราที่ได้นอนเคียงกายกัน เมื่อตื่นขึ้นมาเขาจึงรีบปลุกยิวทันที
“โสพล โสพล”ตื่นได้แล้ว”แม่ทัพวิศรุฒเขย่าร่างของยิว
ดวงตาของยิวได้เบิกกว้างขึ้นและได้เห็นหน้าแม่ทัพวิศรุฒ เขาถึงกับตกใจรีบลุกขึ้นนั่งทันที
“เช้าแล้วเหรอนี่”ยิวบิดแขนสองข้างไปมา
“เช้าแล้ว เอ็งรีบแต่งตัวจะออกไปหาพ่อกับแม่ของข้า”
“ได้ชุดผู้หญิงมาแล้วเหรอไปเอามาจากไหน”
“ข้าให้ไอ้ทันไปเอาของเมียมันมา”
“อุ๊ย”ยิวหัวเราะออกมานิดหน่อย
“เอ็งไม่ต้องมาหัวเราะข้าเลย รีบแต่งตัวเถอะป่านนี้พ่อแม่ของข้ารอเอ็งอยู่”
ยิวหยิบเสื้อผ้าถุงมาดูแล้วเขาก็มึนงง สับสนว่าจะใส่อย่างไรดี เขาจับพลิกไปพลิกมาดูหลายตลบ
“คือว่า เอ่อ อ่า เอ่อ”
“เป็นอะไรอีกเอ็งนี่เรื่องมากจริงๆเลย”แม่ทัพวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เราใส่ไม่เป็น นายใช่เป็นไหม สอนเราใส่หน่อย”ยิวอมยิ้มนิดๆเขินหน่อยๆด้วยความอาย
“ข้าจะไปใส่เป็นได้อย่างไรกัน”
“ก็ได้ นุ่งๆไปเหอะไม่ให้ผ้าถุงหลุดเป็นพอ”ยิวไม่รอช้าหยิบผ้าถุงมาสวมใส่และใช้เข็มขัดรัดไว้จนแน่น ส่วนเสื้อก็ยังดีหน่อยใส่ง่าย แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่มีหน้าอก ยิวจึงเอาผ้ามาพันรอบอกไว้แล้วยัดผ้าเข้าไปข้างให้ดูนูนเป็นอก หลังจากนั้นเขาจึงสวมใส่เสื้อ
เมื่อยิวแต่งตัวเสร็จเขาก็เงยหน้าขึ้นและได้เห็นแม่ทัพวิศรุฒยืนมองเขาไม่คาดสายตา จนทำให้ยิวเขินอายนิดหน่อยเพราะสายตาแม่ทัพวิศรุฒ ได้จ้องเขาอย่างหยดย้อยหวานฉ่ำ
“มองอะไร”
“ข้าก็มองเอ็งนั่นแหละ พอแต่เป็นผู้หญิงก็สวย แต่น่าเสียดายที่เอ็งเป็นผู้ชาย”
“ไม่ต้องมาเสียดงเสียดายหรอก”
“อือ ข้าลืมบอกเอ็งวันมะรืนข้าจะไปทำศึกที่ชายแดน”
“อ้าว เอ่อ ถ้างั้นเราไปด้วยได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าเอ็งก็อยู่นี่ไปก่อนจนกว่าข้าจะกลับมา หลังจากนั้นค่อยมาคุยกันเรื่องของเรา”
“โอ๊ย นึกว่าจะหมดเรื่องยุ่งยาก ดันมีเรื่องใหม่เข้ามาอีก”
“ไปเหอะ ป่านนี้พ่อแม่ของข้ารอเราสองคนอยู่ที่หน้าเรือนชาน”
“อือ”ยิวพยักหน้าและเดินตามแม่ทัพวิศรุฒไปเรื่อยๆจนถึงหน้าเรือนชาน
สายตาของยิวได้มองไปยังอำมาตย์วิษณุและแม้นผู้เป็นแม่ของวิศรุฒ ซึ่งได้หันมาประจัญหน้ากันพอดี จนทำให้ยิวต้องหลบตาต่ำลงด้วยความกลัว
“เป็นสาวเป็นนางตื่นสายตะวันโด่งขนาดนี้ ใครได้เป็นเมียถือว่ามีกรรมมาก”แม่แม้นเอ่ยวาจาขึ้นด้วยท่าทีเย้ยหยัน
“ก็ลูกคุณป้าไงได้รับกรรม”ยิวพูดโดยไม่ทันได้คิด
“เด็กนี้พูดจาไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ ไม่มีมารยาทไร้สกุลสิ้นดี”
“นามสกุลหนูสืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคนด้วยนคะ”
“เถียงคำไม่ตกฟาก คนอย่างนี้ข้าไม่สามารถที่จะรับมาเป็นลูกสะใภ้ได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นได้นางบำเรอ”
“ไม่เกี่ยวกับป้าเลยมันเรื่องของคนสองคน”
“พอได้แล้ว”แม่ทัพวิศรุฒจับแขนของยิวไว้แล้วเขย่า
ยิวรู้สึกไม่ค่อยพอใจแม่ของแม่ทัพวิศรุฒที่พูดจาดูถูกเขาอยูตลอดเวลา แต่เมื่อแม่ทัพวิศรุฒเขย่าแขนจึงทำให้เขาได้สติขึ้นมา ยิวจึงยืนเงียบลง
“พอกันทั้งคู่ ทะเลาะเป็นเด็กไปได้ เอาอย่างนี้แม่แม้นก็อบรมบ่มนิสัยสิ เดี๋ยวข้ากับลูกต้องเข้าไปในวังประชุมเรื่องทำสงคราม เพราะพรุ่งนี้ลูกของเราต้องไปสนามรบแล้ว”อำมาตย์วิษณุเอ่ยขึ้น
“อะไรกันเล่า พึ่งกลับมาได้ไม่นานจะไปอีกแล้ว”
“ลูกเราเป็นชายนักรบ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องไปออกปกป้องบ้านเมือง วิศรุฒก็หาลูกสะใต้มาอยู่เป็นเพื่อนแล้วนี่ แม่แม้นจะกลัวเหงาไปใย”
ความรู้สึกของยิวตอนนี้ใจของเขาหายรู้สึกหวั่นไหว ถ้าแม่ทัพจากไปสนามรบเขาจะอยู่กับแม่ของวิศรุฒได้อย่างไรกัน ในส่วนผู้เป็นพ่อเท่าที่ยิวดูเขาก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนแต่อย่างใด ในระหว่างที่ยิวกำลังคิดเรื่องราวนี้อยู่ ก็ได้มีบ่าวคนหนึ่งมาบอกกล่าวว่ามีคนมาหา
“ท่านอำมาตย์ มีพ่อลูกคู่หนึ่งมาหา เอ่อ คนชื่อ โสพล เขาก็บอกว่ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อวานนี่ขอรับ”
ยิวสลัดความคิดในตอนนี้ทิ้งไปทันที เพราะมีเรื่องใหม่ที่น่ากังวลกำลังจะเกิดขึ้น เพราะทุกสายตาจ้องมาทีเขาเป็นทางเดียวกัน
“เอ่อ น้องชายเราเอง เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”ยิวพูดขึ้นมาใกล้ๆหูของแม่ทัพวิศรุฒ
“เอ็งมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไร”แม่ทัพมองหน้าของยิวด้วยสายตาใคร่รู้และหวาดระแวง
“ถ้างั้นก็พาเข้ามาได้เลย”อำมาตย์วิษณุเอ่ยขึ้น
“มาคนเดียวไม่พอกะจะมาอาศัยที่นี่ทั้งบ้านเลยกระมั้ง”
“เอาน่า เขาอาจมีธุระต้องคุยกันก็ได้”ท่านอำมาตย์กล่าวขึ้น
“ใช้ น้องของหนูเขาอยากเป็นทหารน่ะ คุณลุงกับท่านแม่ทัพจะรับไว้ไหม”ยิวมองหน้าของท่านอำมาตย์วิษณุและท่านแม่ทัพ
“เอ่อ น่าสนใจดีนะ เอ็งยังขาดคนสนิทอยู่เลยวิศรุฒ เพราะไอ้ทันมันมีเมียแล้วจะไปไหนต่อไหนก็ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน ถ้าได้น้องของโสพล เอ๊ะ มันชื่อผู้ชายนี่”อำมาตย์วิษณุมีท่าทีสงสัย
“ชื่อ โสภี พี่คนนั้นคงเรียกผิด”ยิวรีบแก้ต่างทันที
“อือ โอ้ โน้นมาแล้ว”ท่านอำมาตย์เอ่ยขึ้น
“ถ้างั้นเดี๋ยวหนูลงไปหาสองคนนั่นก่อน”
ยิวไม่รอได้รับคำอนุญาตเขาเดินลงบันได้ไปหาทั้งสองทันที ซึ่งเมื่อลงบันไดไปถึงสองคนนั่นก็มีท่าทีตกใจอย่างมาก
“ลุง กับ จอม อย่าพูดอะไรไปนะ”
“ทำไมเอ็งแต่งเป็นผู้หญิง”ลุงนำขบวนพูดขึ้นด้วยทาทีสงสัย
“แต่พี่โสพลแต่งเช่นนี้ก็เหมือนผู้หญิงนะขอรับ แถมสวยด้วยกระผมว่าสวยกว่าผู้หญิงอีก”จอมมองตาค้าง
“อย่าพูดแบบนี้ พี่บอกเราว่าเป็นน้อง คือ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จอมต้องเรียกว่าพี่ แทนตัวเองว่าน้องเข้าใจไหม”
“ขอรับพี่โสพล”
“บอกแล้วไงพูดครับ ไม่ต้องขอรับ เข้าใจไหม และอีกอย่างพี่ชื่อโสภี”
“เข้าใจครับ”
“ดีมากหัวไวนะเราน่ะ”
“ทำไม่เอ็งแต่งผู้หญิง แล้วมาอยู่ในฐานะอะไร”
“เมียท่านแม่ทัพ”
“ฮ่ะ”ทั้งสองพูดเสียงพร้อมกันด้วยความแปลกใจ และตกใจอย่างหนักกับคำพูดของยิว
“ท่านแม่ทัพไม่รู้ว่าเอ็งเป็นผู้หญิงเหรอ”ลุงนำขบวนพูดค่อยๆ
“รู้ แต่ลุงอย่าพึ่งรู้เลยขึ้นไปข้างบนก่อนดีกว่า”
หลังจากที่ยิวจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสร็จ เขาก็พาสองพ่อลูกขึ้นมาข้างบนเรือนชาน ซึ่งพ่อแม่ลูกที่รออยู่ข้างบน ต่างมองจอมเป็นตาเดียว
เมื่อยิวพาสองพ่อลูกขึ้นมายังบนเรือน ทั้งสามก็นั่งลงกับพื้นด้วยใจที่ระทึก ซึ่งในช่วงเวลานี้ต้องจัดการทุกอย่าง เขาจึงอึดสู้พูดเพื่อในสิ่งที่เขารับปากไว้แล้วว่าจะทำ ตามที่สองพ่อลูกต้องการในช่วงที่ผ่านมา “ลุง เอ่อ”ยิวอ้ำอึ่ง “ไม่ต้องเรียกลุงเรียกว่าพ่อกับแม่ได้แล้วโสภี เอ็งนี่กะไรไม่รู้ควมเลยรึ”อำมาตย์ใช้สายตาตักเตือนยิว “คือย่างนี้ค่ะพ่อ จอมเนี่ยไปน้องชายของหนู แบบว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คือ น้องหนูอยากเป็นทหาร หนูก็เลยอยากฝากเนื้อฝากตัวให้น้องด้วย” “ว่าไงวิศรุฒ”อำมาตย์วิษณุหันมามองบุตรชายของเขา “หน่วยก้านใช้ได้ เหมาะสำหรับเป็นทหาร ว่าแต่เอ็งมีฝีมือการต่อสู้อะไรบ้าง” “ข้า ต่อยมวยได้ ฟันดาบ ยิงธนู ขี่ม้า”จอมเอ่ยขึ้น “ลูกของข้าทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีโอกาสได้เข้ามารับใช้บ้านเมืองขอรับ”หัวหน้านำขบวนเอ่ยขึ้น “ดี ดีมาก”อำมาตย์วิษณุพูดเสียงหนักแน่น “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เอ็งพร้อมไหม ข้าจะพาเอ็งเข้าไปในวังด้วย” “พร้อมขอรับ”จอมรับปากทันที “ดี มันต้องให้ได้อย่า
การซ้อมละครได้หยุดพักหนึ่งอาทิตย์ เพื่อที่จะให้เขื่อนและกัสได้หยุดสงบอารมณ์ไม่ให้เข้าถึงอารมณ์ไปมากกว่านี้ และอีกอย่างหนึ่งใกล้เวลาสอบแล้วด้วย ทางชมรมจึงถือโอกาสให้ทั้งสองได้มีเวลาในการเตรียมตัว ในส่วนของกัสก็หยุดการเขียนนิยายไปชั่วขณะ เพื่อที่จะได้มานั่งอ่านหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งแตกต่างจากเขื่อนยังคงไปทำงานตามเดิมไม่เปลื่ยนแปลง เพราะทางบ้านค่อนข้างขัดสนกว่ากัส เขาจึงจำเป็นต้องหารายได้พิเศษมาใช้ในการเรียน ยิ่งเมื่อสอบเสร็จภาระจะมาอีกมากมายโดยเฉพาะค่าเทอม กัสกำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ในห้องอย่างเคร่งเครียด และเขื่อนก็เดินเข้ามาพอดี ซึ่งก็เป็นเวลาที่ดึกพอสมควร “ทำไมยังไม่นอนอีกเหรอกัส นี่ก็ดึกมากแล้วนะ” “นายก็เหมือนกันเขื่อน น่าจะเอาเวลามาอ่านหนังสือบ้าง มัวแต่ทำงานอยู่นั่นแหละ” “ไมได้หรอก ถ้าเราหยุดก็คงต้องหางานใหม่อีกนั่นแหละ ทนๆเอา เราจะอ่านตอนว่างๆหลังจากทำงาน” “มันจะมีสมาธิอะไรล่ะ” “เอาน่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ว่าแต่นายเถอะออกจากบทละครหรือยัง”เขื่อนถามด้วยความเป็นห
กัสอยากสัมผัสเรือนร่างของพีค แต่เขาก็หักห้ามใจตัวเองไว้ได้ เพราะรู้สึกไม่ดีถ้าลวนลามพีคในช่วงเวลาที่เขาหลับอยู่ กัสจึงตัดสินใจให้พีคนอนอย่างสงบ ส่วนตัวเขาก็เดินมายังโต๊ะคอมพิวเตอร์เพื่อเขียนนิยายอันเป็นที่รักต่อ ตะวันสาดส่องประตูเมืองอันกว้างใหญ่ ซึ่งมีหลายครอบครัวยืนเรียงรายกันส่งเหล่าบรรดาทหารกล้า หนึ่งในนั้นก็มีอำมาตย์วิษณุและแม่แม้น รวมทั้งอำมาตย์ไชยาและสุนันทาผู้เป็นภรรยา ซึ่งได้พาสุจิตราลูกสาวสุดที่รักมาด้วย และที่ขาดไม่ได้คือยิวซึ่งเป็นเมียท่านแม่ทัพ ยิวรู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก ที่เขาต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ก่อนที่เขาจะมาท่านแม่ทัพวิศรุฒุบอกให้เขาได้รอ ในห้องนอนของท่านแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งกำลังจะออกจากห้องเขาได้สั่งลาก่อน เพื่อไม่อยากให้ใครได้รับรู้เมื่อออกไปจากห้องนี้แล้ว “โสพล เมื่อเช้าข้าตื่นรู้สึกใจคอไม่ดี กลัวกลับมาจะไม่เจอเอ็ง” “เราก็เหมือนกันนั่นแหละ”ยิวก็รู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างกันสักเท่าไร “เมื่อคืนข้าใคร่คราญแล้ว ความรู้สึกของข้าที่มีต่อเองนั้นมันมีความ
เมื่อเขียนนิยายได้หนึ่งตอนกัสจึงรู้สึกง่วงอย่างมาก จึงหยุดเขียนและนั่งอ่านซ้ำจนเกือบจะจบตอน จูจู่เขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง “กัสพีคมานอนนี่ได้อย่างไง” กัสได้ยินเสียงห้วนและดังมาก เขาจึงหันหน้ามองด้วยความตกใจ กัสทำอะไรไม่ถูกถึงแม้สิ่งที่เขาทำก้ำกึ่งไม่ตั้งใจก็ตาม “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะเขื่อน” “ไม่ใช่แล้วพี่พีคมานอนอยู่ที่ห้องได้ไง” “ก็พี่พีคเขาเมาตามหานายไม่เจอ เขาก็มานอนรอนายอยู่นี่ไม่เห็นเหรอนะ” “ทำไมต้องถอดเสื้อผ้านอนด้วย”เขื่อนจ้องหน้ากัสเขม็ง “เหล้ามันหกเปื้อนเสื้อผ้าเขา โน้น เสื้อกางเกงของพีคเราซักตากไว้ให้”กัสชี้ไปยังที่ตากเสื้อกางเกงของพีค “เราไม่เชื่อหรอกนายสองคนต้องมีอะไรกัน” “ไม่เชื่อก็ถามพี่พีคสิ” “พี่พีค”เขื่อนตะโกนอย่างดัง พีคตกใจตื่นด้วยเสียงอันดังของเขื่อน เมื่อเขาลืมตาขึ้นและหันมามองตามเสียง ภาพที่ได้เห็นคือเขื่อนยืนนิ่งๆมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พีครู้สึกแปลกใจเขาจึงลุกขึ้นแล้วลงมาจากเตียง “มีอะไรเหรอเรียกพ
ตอนที่24 ตัวเราลิขิตเอง น้ำกระเด็นทั่วเรือนร่างและโดนหนักตรงบริเวณใบหน้า จึงทำให้กัสได้สติเขาค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อย และภาพตรงหน้าที่เขาได้พบเห็น เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่มีหนาวดเคราหนาจนกัสรู้สึกหวั่นกลัวอย่างหนัก เขาจึงรีบลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่และหญ้าสูงเคียงเอว “มึงเป็นบ้าอะไรใส่ชุดใหญ่ผู้หญิงไอ้ยิว”เสือเข้มผู้ช่วยชีวิตกัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมึงตึง “เราไม่ได้ชื่อยิวเราชื่อกัส”เมื่อกัสได้ยินชื่อยิวเขาก็ใคร่สงสัยและครุ่นคิดอย่างหนัก ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วย ทำให้กัสถึงกับพอจะรู้อะไรบ้างแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร “มึงพูดดีๆว่ามึงชื่ออะไร” กัสมองไปรอบๆอีกครั้งและหยิกตัวเองซึ่งเขาก็รู้สึกเจ็บพอสมควร ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เท่าที่เขาจำได้ก่อนหน้านี้กำลังทะเลาะอยู่กับเขื่อน และก็โดนผลักจนล้มลงบนโน๊ตบุ๊ค หลังจากนั้นกัสไม่สามารถที่จะจำอะไรได้อีกเลย “ที่นี่ที่ไหน”กัสพูดด้วยความมึนงง “ศิลานคร” “แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ยิวนั่งมองเขื่อนขนของย้ายห้องออกไปอย่างไม่ใคร่สนใจ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสนิทด้วยแต่อย่างใด ยิวจึงมีแต่ความเย็นชาใส่เขื่อน เมื่อเขื่อนขนของเสร็จเขาไม่ได้ยินแม้แต่คำลาสักคำ เช่นเดียวกับตัวเขาที่ไม่พูดอะไรออกมาให้เขื่อนได้อย่างยินเช่นกัน พออยู่คนเดียวภาวะจิตใจของยิวนั้นเริ่มว้าวุ่นคิดวนมาวนไปอยู่หลายครั้ง เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ พอกับจากมหาวิทยาลัยเขาก็นอนอ่านนิยายแล้วหลับไปตื่นมาอีกทีก็อยู่ในเหตุการณ์นิยายเรื่องนักรักบันลือโลกไปแล้ว นักเขียนไม่ได้ใส่รายละเอียดตัวเขาให้มากพอ ยิวจึงมีความทรงจำในยุคปัจจุบันอยู่แค่นี้ แต่เรื่องราวต่างๆในโลกปัจจุบันยิวกับรู้ทำได้ทุกอย่างได้หมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ยิวเริ่มค้นห้องและตรวจสอบทุกอย่างในความเป็นตัวกัส เขาจึงรู้ว่ากัสเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ซึ่งคนละคณะกับเขาเลย เพราะยิวเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิวยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้มเขาไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไรกับชีวิตที่อยู่ในร่างกัส แต่เขาคิดว่ายังดีกว่าไปอยู่นิยายเมืองโบราณที่ไม่มีความทันสมัย ซึ่งเขาได้พบความอยากลำบากมาแล้ว ยิวจึง
กัสเดินเข้ามาในตำหนักว่างเปล่าที่มีผู้คนคอยรับใช้อย่างมากมาย ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าต่อไปนี้ไม่น่าจะลำบากกาย แต่อันตรายนั้นน่าจะอยู่รอบตัวเขาอย่างแน่นอน กัสจึงหวั่นผวากลัวอยู่เนืองๆ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอนกจากทนและจำยอมมาในที่แห่งนี้ พร้อมกับเสือเข้มผู้องอาจ และท่านอำมาตย์มงคลผู้มีแผนการอันแยบยล“เอ็งจำไว้นะว่าชื่อเมธี เป็นรัชทายาทแห่งเมืองเมฆาบุรี เป็นพระราชโอรสของอดีตราชาเมษากับราชินีสีวิกา” อำมาตย์มงคลพูดจบก็หันไปมองกัสที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าราบเรียบ“ส่วนองค์ชายตัวจริง กระหม่อมต้องขออภัยด้วยที่ต้องเรียกว่าองครักษ์เข้ม”“ไม่เป็นไรหรอกข้าแค่อยากมาแก้แค้นให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าเท่านั้น”“ดีมากพระองค์ แต่พระองค์ต้องลำบากลำบนเป็นโจรก็เพราะราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี่พระเจ้าค่ะ”“ท่านอำมาตย์ลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นองครักษ์เข้ม ท่านอย่าพูดกับข้าเป็นองค์ชายอย่างนั้น องค์ชายตัวจริงอยู่โน่น” เสือเข้มโบ้ยปากไปทางกัสที่กำลังนั่งนิ่งๆ“เอ่อ ขอโทษข้าลืมไป ถ้าอย่างขอตัวก่อนก็แล้วกัน เอาไปว่าคืนนี้คุยกันดีๆ และเตรียมตัวอย่างที่เราตกลงกันไว้” เมื่ออำมาตย์มงคลพูดจบเขาก็เดินจากไปในทันทีกัสครุ่นคิด
หนึ่งหนุ่มกับสาวอีกคนนั่งมองหน้ากันในห้องชมรมละคร หลังจากนักศึกษาในชมรมนี้ออกไปไปหมดแล้ว เจนนี่ผู้กำกับสาวนั่งนิ่งมองหน้ายิวอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาที่มองอยู่นั้น ได้เห็นแววตาอันเปลื่ยนแปลงไป เพราะมีความสู้คนและเปิดเผยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด“วันนี้น้องกัสเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมการแสดงของน้องแปลกไป และไม่เข้ากับบมที่ได้รับ”“เปล่าครับ ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องนะ แต่พี่อยากบอกว่าอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับการแสดงให้มาก คือเมื่อก่อนกัสอินกับละครจนไม่สามารถที่จะออกจากบทนั้นได้ แต่ทำไมตอนนี้กัสไม่อินเหมือนเดิมกลับกันเป็นคนละคนเลย”ยิวอยากจะเถียงแต่เขาก็ต้องเก็บกลั้นอามรมณ์นั้นไว้ เพราะในตอนนี้เขาได้เขามาอยู่ในร่างของกัน ซึ่งจากการคาดคะเนของยิวนั้น กัสน่าจะมีนิสัยที่แตกต่างจากเขาอย่างมาก“ครับ” ยิวรับคำแต่โดยดีและไม่พูดสิ่งใดออกมา“ดีแล้ว พี่จะให้กัสพักสองวันนะเพื่อลองทบทวนอะไรบางอย่าง กลับได้แล้วเดี๋ยวมืดค่ำจะอันตราย”“ขอบคุณพี่มากครับ” ยิวยกมือไหว้พร้อมกับศีรษะให้เจนนี่ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และไม่หันหรือหยุถเดินแต่อย
เป็กผู้ช่ำชองในยามราตรี เขาไม่เคยพลาดแม้แต่ศุกร์เสาร์ทุกค่ำคืน เป็นนักเที่ยวตัวยงที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ นอกจากพ่อรวยรูปหล่อสายเปย์อีกต่างหาก จึงมีหลายคนเข้ามาพัวพันไม่ขาดสาย เมื่อเป็กพายิวมาเที่ยว จึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่ยิวหาสนใจไม่ถึงแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินในโลกปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น“เป็นไงบ้างมาเปิดหูเปิดตา” เป็กยื่นแก้วเพื่อชน“ก็โอเคนะ เป็นครั้งแรกที่เราได้มา รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเมืองโบราณอีก” ยิวเผลอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ออกมา“เมืองโบราณอะไร” เป็กมีสีหน้าที่มึนงง“อ่อ เปล่า สนุกดีเราไปเต้นกันไหม”“อะไรนะ เราไม่อยากเชื่อเลยนายจะชวนเราไปเต้น นายเปลื่ยนไปหรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายว่ะ” เป็กหัวเราะ“ไม่ได้เปลื่ยนนี่แหละตัวจริง ที่เห็นก่อนหน้านี้ตัวปลอม แอ๊บไว้ไงแต่ไม่เห็นมีใครชอบเลย เป็นตัวของตัวเองดีกว่า” ยิวเสแสร้งแกล้งพูดเพราะในความจริงเป็นร่างของคนอื่น เพียงแต่เขาแค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น“ร้ายนะ แกล้งเงียบถ้ารู้ว่านายเป็นแบบนี้เราจีบตั้งนานแล้ว”“อะไรนะ” ยิวรู้สึกมึนงงและสับสนกับคำพูดของเป็ก“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ เ
กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชา
ยิวหยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดดูแต่เป็นที่น่าเสียดาย มันสามารถที่จะติดได้เนื่องจากวันนั้นล้มกระแทกจนเสียหาย ยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเขาต้องทำงานส่งอาจารย์ และอีกอย่างหนึ่งด้วยความอยากรู้ว่ากัสได้บันทึกหรือทำอะไรไว้ในนี้บ้างยิวจึงพับโน๊ดบุ๊คไว้ตามเดิม และกะว่าช่วงเย็นจะเอาไปซ่อม แต่ติดปัญหาคือเขาไม่มีเงินพอที่จะนำไปซ่อม เขาจึงหยิบโทรศัท์มือถือของกัสมาเปิดดู ซึ่งได้ล็อครหัสไว้จึงทำให้ไม่สามารถเปิดได้ มีเพียงรับสายอย่างเดียวแค่นั้น ยิวจึงลองนำวันเดือนปีเกิดของกัสมาใส่ ซึ่งก็ได้ผลทันทีมือถือเครื่องนี้ปลดรหัสได้ แต่นั่นไม่เท่ากับภาพหน้าปกเป็นรูปของพีค ยิวจึงเกิดความอยากรู้ต่อไปเขาจึงเปิดดูในแกเลอรี่ ซึ่งในนั้นมีแต่ภาพพีคเต็มไปหมดดวงตาอันกลมโตของยิวได้หลับลง พร้อมจินตนาการเรื่องราวของกัสว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนหน้านี้ ซึ่งในหัวของเขาก็เห็นแต่หน้าพีคอยู่เพียงผู้เดียว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบดูทันทีซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นพีคนั่นเอง“อยู่ห้องไหมน้องกัส”“อยู่พี่พีคมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรถามเฉยๆ ถ้าอยู่พี่จะไปหา”“พี่มีธุระอะไรเหรอ”“จะไปหาต้องมีธุระด้วยใช่ไหม”“เป
นางกำนัลสาลินีได้นำพาพระโอรสของราชาเมษากับราชินีสีวิกา เดินลัดเลาะหลบมุมตลอดทาง จนมาถึงข้างๆ ตำหนักของชายามาริสา เธอรออยู่พักหนึ่งมันฑนานางกำนัลร่วมรุ่นมาพร้อมพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสา“ข้ารอตั้งนานนึกว่าเอ็งไม่มาแล้ว ยังดีที่พระโอรสไม่ร้องเลย” นางกำนัลสาลินีเอ่ยขึ้นด้วยใจระทึกมองซ้ายมองขวา แล้วมององค์ชายแสนอาภัพที่เธออุ้มมา“เอาน่าอย่าพูดมากเลยเอาเด็กมาสลับกัน” นางกำนัลนำพระโอรสที่ซ่อนมาในตะกร้าผ้าออกมานางกำนัลสาลินีและนางกำนัลมัฑนาต่างสลับพระโอรสกันตรงนั้น แต่สายตาทั้งสองก็ไมวายมองรอบๆ บริเวณ ด้วยความกลัวใครจะมาพบเห็น“เอ่อ เอ็งออกมาได้อย่างไงไม่มีทหารเหรอ” นางกำนันสาลินีถาม“มี แต่ทหารที่เฝ้ารู้จักกันก็เลยพอเอาออกมาได้”“เอ้านี่ คือแหวนที่มเหสีสีวิกามอบไว้ให้องค์ชาย”“อือ”มัณฑรับแหวนไว้แล้วรีบพาองค์ชายเข้าไปในพระตำหนักอย่างทันท่วงที ส่วนสาลินีไม่รอช้ารีบน้ำองค์ชายที่สลับเปลื่ยนไปยังตำหนักราชินีสีวิกาเช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องหลบเหล่าทหารที่กำลังออกตระเวนเมื่อสาลินีมาถึงยังตำหนักของราชินีสาลินี เธอรีบน้ำพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสาวางไว้ข
หนึ่งหนุ่มกับสาวอีกคนนั่งมองหน้ากันในห้องชมรมละคร หลังจากนักศึกษาในชมรมนี้ออกไปไปหมดแล้ว เจนนี่ผู้กำกับสาวนั่งนิ่งมองหน้ายิวอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาที่มองอยู่นั้น ได้เห็นแววตาอันเปลื่ยนแปลงไป เพราะมีความสู้คนและเปิดเผยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด“วันนี้น้องกัสเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมการแสดงของน้องแปลกไป และไม่เข้ากับบมที่ได้รับ”“เปล่าครับ ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องนะ แต่พี่อยากบอกว่าอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับการแสดงให้มาก คือเมื่อก่อนกัสอินกับละครจนไม่สามารถที่จะออกจากบทนั้นได้ แต่ทำไมตอนนี้กัสไม่อินเหมือนเดิมกลับกันเป็นคนละคนเลย”ยิวอยากจะเถียงแต่เขาก็ต้องเก็บกลั้นอามรมณ์นั้นไว้ เพราะในตอนนี้เขาได้เขามาอยู่ในร่างของกัน ซึ่งจากการคาดคะเนของยิวนั้น กัสน่าจะมีนิสัยที่แตกต่างจากเขาอย่างมาก“ครับ” ยิวรับคำแต่โดยดีและไม่พูดสิ่งใดออกมา“ดีแล้ว พี่จะให้กัสพักสองวันนะเพื่อลองทบทวนอะไรบางอย่าง กลับได้แล้วเดี๋ยวมืดค่ำจะอันตราย”“ขอบคุณพี่มากครับ” ยิวยกมือไหว้พร้อมกับศีรษะให้เจนนี่ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และไม่หันหรือหยุถเดินแต่อย
กัสเดินเข้ามาในตำหนักว่างเปล่าที่มีผู้คนคอยรับใช้อย่างมากมาย ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าต่อไปนี้ไม่น่าจะลำบากกาย แต่อันตรายนั้นน่าจะอยู่รอบตัวเขาอย่างแน่นอน กัสจึงหวั่นผวากลัวอยู่เนืองๆ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอนกจากทนและจำยอมมาในที่แห่งนี้ พร้อมกับเสือเข้มผู้องอาจ และท่านอำมาตย์มงคลผู้มีแผนการอันแยบยล“เอ็งจำไว้นะว่าชื่อเมธี เป็นรัชทายาทแห่งเมืองเมฆาบุรี เป็นพระราชโอรสของอดีตราชาเมษากับราชินีสีวิกา” อำมาตย์มงคลพูดจบก็หันไปมองกัสที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าราบเรียบ“ส่วนองค์ชายตัวจริง กระหม่อมต้องขออภัยด้วยที่ต้องเรียกว่าองครักษ์เข้ม”“ไม่เป็นไรหรอกข้าแค่อยากมาแก้แค้นให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าเท่านั้น”“ดีมากพระองค์ แต่พระองค์ต้องลำบากลำบนเป็นโจรก็เพราะราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี่พระเจ้าค่ะ”“ท่านอำมาตย์ลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นองครักษ์เข้ม ท่านอย่าพูดกับข้าเป็นองค์ชายอย่างนั้น องค์ชายตัวจริงอยู่โน่น” เสือเข้มโบ้ยปากไปทางกัสที่กำลังนั่งนิ่งๆ“เอ่อ ขอโทษข้าลืมไป ถ้าอย่างขอตัวก่อนก็แล้วกัน เอาไปว่าคืนนี้คุยกันดีๆ และเตรียมตัวอย่างที่เราตกลงกันไว้” เมื่ออำมาตย์มงคลพูดจบเขาก็เดินจากไปในทันทีกัสครุ่นคิด
ยิวนั่งมองเขื่อนขนของย้ายห้องออกไปอย่างไม่ใคร่สนใจ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสนิทด้วยแต่อย่างใด ยิวจึงมีแต่ความเย็นชาใส่เขื่อน เมื่อเขื่อนขนของเสร็จเขาไม่ได้ยินแม้แต่คำลาสักคำ เช่นเดียวกับตัวเขาที่ไม่พูดอะไรออกมาให้เขื่อนได้อย่างยินเช่นกัน พออยู่คนเดียวภาวะจิตใจของยิวนั้นเริ่มว้าวุ่นคิดวนมาวนไปอยู่หลายครั้ง เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ พอกับจากมหาวิทยาลัยเขาก็นอนอ่านนิยายแล้วหลับไปตื่นมาอีกทีก็อยู่ในเหตุการณ์นิยายเรื่องนักรักบันลือโลกไปแล้ว นักเขียนไม่ได้ใส่รายละเอียดตัวเขาให้มากพอ ยิวจึงมีความทรงจำในยุคปัจจุบันอยู่แค่นี้ แต่เรื่องราวต่างๆในโลกปัจจุบันยิวกับรู้ทำได้ทุกอย่างได้หมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ยิวเริ่มค้นห้องและตรวจสอบทุกอย่างในความเป็นตัวกัส เขาจึงรู้ว่ากัสเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ซึ่งคนละคณะกับเขาเลย เพราะยิวเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิวยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้มเขาไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไรกับชีวิตที่อยู่ในร่างกัส แต่เขาคิดว่ายังดีกว่าไปอยู่นิยายเมืองโบราณที่ไม่มีความทันสมัย ซึ่งเขาได้พบความอยากลำบากมาแล้ว ยิวจึง
ตอนที่24 ตัวเราลิขิตเอง น้ำกระเด็นทั่วเรือนร่างและโดนหนักตรงบริเวณใบหน้า จึงทำให้กัสได้สติเขาค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อย และภาพตรงหน้าที่เขาได้พบเห็น เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่มีหนาวดเคราหนาจนกัสรู้สึกหวั่นกลัวอย่างหนัก เขาจึงรีบลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่และหญ้าสูงเคียงเอว “มึงเป็นบ้าอะไรใส่ชุดใหญ่ผู้หญิงไอ้ยิว”เสือเข้มผู้ช่วยชีวิตกัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมึงตึง “เราไม่ได้ชื่อยิวเราชื่อกัส”เมื่อกัสได้ยินชื่อยิวเขาก็ใคร่สงสัยและครุ่นคิดอย่างหนัก ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วย ทำให้กัสถึงกับพอจะรู้อะไรบ้างแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร “มึงพูดดีๆว่ามึงชื่ออะไร” กัสมองไปรอบๆอีกครั้งและหยิกตัวเองซึ่งเขาก็รู้สึกเจ็บพอสมควร ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เท่าที่เขาจำได้ก่อนหน้านี้กำลังทะเลาะอยู่กับเขื่อน และก็โดนผลักจนล้มลงบนโน๊ตบุ๊ค หลังจากนั้นกัสไม่สามารถที่จะจำอะไรได้อีกเลย “ที่นี่ที่ไหน”กัสพูดด้วยความมึนงง “ศิลานคร” “แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมื่อเขียนนิยายได้หนึ่งตอนกัสจึงรู้สึกง่วงอย่างมาก จึงหยุดเขียนและนั่งอ่านซ้ำจนเกือบจะจบตอน จูจู่เขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง “กัสพีคมานอนนี่ได้อย่างไง” กัสได้ยินเสียงห้วนและดังมาก เขาจึงหันหน้ามองด้วยความตกใจ กัสทำอะไรไม่ถูกถึงแม้สิ่งที่เขาทำก้ำกึ่งไม่ตั้งใจก็ตาม “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะเขื่อน” “ไม่ใช่แล้วพี่พีคมานอนอยู่ที่ห้องได้ไง” “ก็พี่พีคเขาเมาตามหานายไม่เจอ เขาก็มานอนรอนายอยู่นี่ไม่เห็นเหรอนะ” “ทำไมต้องถอดเสื้อผ้านอนด้วย”เขื่อนจ้องหน้ากัสเขม็ง “เหล้ามันหกเปื้อนเสื้อผ้าเขา โน้น เสื้อกางเกงของพีคเราซักตากไว้ให้”กัสชี้ไปยังที่ตากเสื้อกางเกงของพีค “เราไม่เชื่อหรอกนายสองคนต้องมีอะไรกัน” “ไม่เชื่อก็ถามพี่พีคสิ” “พี่พีค”เขื่อนตะโกนอย่างดัง พีคตกใจตื่นด้วยเสียงอันดังของเขื่อน เมื่อเขาลืมตาขึ้นและหันมามองตามเสียง ภาพที่ได้เห็นคือเขื่อนยืนนิ่งๆมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พีครู้สึกแปลกใจเขาจึงลุกขึ้นแล้วลงมาจากเตียง “มีอะไรเหรอเรียกพ