แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: สายธารสะท้อนเงา
สีหน้าของท่านอ๋องสามพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเองก็คร้านที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้ก้าวเดินออกไปด้วยท่าทีฉุนเฉียวในทันที

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้แต่หลับตาลง ก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ลมหายใจที่ถูกปล่อยออกมานั้น พลันกลายเป็นไอหมอกสีขาวขุ่นในทันที พลางจางหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่หันไปเห็นองครักษ์ที่ยืนถือไม้กระดานรออยู่นั้น ก็ได้แต่ครุ่นคิดกับตนเองภายในใจว่า โทษโบยสามสิบไม้นี้นางคงมิอาจหนีไปไหนได้แล้ว

ในเมื่อหนีมิได้ มิสู้เผชิญหน้ากับมันเสีย

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้แต่กำมือของตนเองเอาไว้แน่น ก่อนจะก้มตัวโน้มลงไปในทันที

พละกำลังของเหล่าองครักษ์นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อไม้โบยถูกเหวี่ยงตกลงมาบนร่างกายของนางนั้น ก็ทำเอาเนื้อบนผิวหนังฉีกขาดออกมา

นิ้วของนางจิกเข้าไปในเนื้อหลังของตนเองในทันใด พลางกัดฟันของตนเองไว้แน่น แม้แต่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เองยังมิอาจอดทนได้กับโทษโบยสามสิบไม้ ทว่า ฉินเหยี่ยนเย่ว์กลับนิ่งเงียบมิส่งเสียงร้องออกมาสักนิด

หลังจากที่โทษโบยสามสิบไม้เสร็จสิ้นลงนั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็หมดสติไปในทันที พร้อมด้วยลมหายใจโรยริน

เหล่าองครักษ์พลันได้แต่มองหน้ากัน

“เอาอย่างไรดี? นางดูเหมือนจะหมดหายใจอยู่รอมร่อแล้ว พวกเราไปเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการของนางหน่อยดีหรือไม่?” องครักษ์คนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นมา

“เมื่อครู่ท่านอ๋องกล่าวว่าห้ามเชิญท่านหมอหลวงมารักษา?” องครักษ์อีกคนหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “สตรีนางนี้ใช้วิธีกผิดจารีตประเพณีในการขึ้นมาเป็นพระชายาของท่านอ๋อง ท่านอ๋องเกลียดรังเกียจนางยิ่งนัก เกรงว่าพวกเราใช้โอกาสนี้ตีนางให้ตายเสียจักดีกว่า นางหาได้มีอันใดมาคู่ควรกับท่านอ๋องของพวกเราไม่? อย่าได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอันใดให้มากความเลย รีบกลับไปรายงานแก่ท่านอ๋องเจ็ดดีกว่า”

คำพูดขององครักษ์ทั้งสองคนนั้นพลันดังแว่วเข้ามาในหูของฉินเหยี่ยนเย่ว์เป็นระยะ ๆ เสมือนกับเป็นเสียงที่ดังมาจากที่ไกล ๆ

ฉากเบื้องหน้าที่ดำมืด พร้อมทั้งกลิ่นอายของความตายที่ค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามา แม้แต่จะขยับนิ้วมือฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังมิอาจที่จะขยับได้

จิตสำนึกที่ค่อย ๆ เรือนรางเต็มที พร้อมทั้งร่างกายที่ค่อย ๆ เบาตัว เสมือนกับจิตวิญญาณของตนเองที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ มิรับรู้ถึงความรู้สึกในโลกแห่งความจริงใด ๆ ทั้งนั้น

“เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้” เสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้นมาในหัว “ท่านอ๋องคิดว่าข้าน่ารังเกียจ เป็นไปไม่ได้ คำพูดที่ท่านอ๋องเคยพร่ำบอกต่อข้านั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกลวงหรือ? ทั้งหมดเป็นเพราะต้องการหลอกลวงข้า?”

“เจ้าช่างโง่จริง ๆ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ครุ่นคิดในยามที่กำลังจ้องมองไปยังตัวตนของนางอีกคนหนึ่ง พลันเอามือวางไว้บนหัวของนาง “เรื่องระหว่างเจ้ากับฉินเสวี่ยเย่ว์นั้น ท่านอ๋องสามเองก็ทรงทราบดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นท่านอ๋องเองที่วางแผนนี้ขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ ผู้ที่ตกอยู่ในโคลนตมล้วนมีเพียงแค่เจ้า”

“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ ทุกอย่างจักเป็นเรื่องหลอกลวงไปได้อย่างไรกัน?”

“เจ้าเองก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของชายเจ้าเล่ห์และหญิงอสรพิษเช่นนั้นแล้ว เจ้ายังคิดหลงเชื่องมงานอยู่อีกหรืออย่างไร?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้แต่ถอนหายใจออกมา “โลกมนุษย์มิคู่ควร เหตุใดเจ้าต้องทรมานตนเองเพียงเพื่ออ้อยเน่า ๆ ก้านเดียวด้วย ข้าทนมิไหวแล้ว ร่างนี้ข้าขอคืนมันให้กับเจ้าเสีย เจ้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขเถิด อย่าได้จมปลักอยู่กับความโง่อีกเลย”

“ไม่ ข้ามิอาจทนไหวแล้ว ที่ข้ายังอดทนมิยอมจากไปนั้น นั่นเป็นเพราะข้ายังมิวางใจ ในเมื่อวันนี้ข้าได้คำตอบ ได้รับความจริงที่ตนเองควรรู้แล้ว ข้าก็มิมีสิ่งใดให้ต้องห่วงอีก ข้ายินยอมที่จะจากไปแต่โดยดี แต่เจ้ายังมีหนทางรอด ฉะนั้นแล้ว เจ้าจักต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ช่วยข้าล้างแค้นพวกมันเสีย ข้าฝากด้วยเล่า”

น้ำเสียงที่ค่อยแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ หลังจากพูดจนจบนั้น ร่างวิญญาณสุดท้ายพลันถูกดูดเข้าไปในร่างของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันที

หลังจากที่วิญญาณกลับเข้ามาในร่างแล้วนั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงได้ฟื้นขึ้นมา

พร้อมทั้งอาการเจ็บปวดที่ถาโถม รวมไปถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลไปทั่วร่าง นับว่าเป็นความจริงที่เสมือนมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

เมื่อครู่ นางคล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงของความฝันก็ไม่ปาน

ในความฝันนั้น วิญญาณของเจ้าของร่างเดิมได้นำดวงวิญญาณสุดท้ายของนางกลับเข้ามายังในร่างนี้ ทั้งยังยินยอมให้นางได้เข้าครอบครองร่างนี้แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป

เสียงพร่ำบ่นมากมายที่เคยดังขึ้นมาในหัวก็ได้สลายหายไป

คงไว้แต่เพียงจิตใจที่สงบนิ่ง พร้อมด้วยกลิ่นอายของพลังวิญญาณที่ทำให้นางรู้ซึ้งถึงการฟื้นคืนจากความตายขึ้นมาในทันที

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ใช้นิ้วมือของตนจิกลงไปในปลอกหมอน พลางหลับตาลงกล่าวออกมาว่า "เจ้าวางใจเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเคยได้รับ ข้าจักช่วยเอาคืนให้กับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่าเอง"

ถึงแม้ตนเองจักเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่สถานการณ์ของนางในยามนี้หาได้ดีไม่

หลังจากที่นางตกอยู่ในทะเลสาบเป็นเวลานานนั้น ทั้งยังต้องมาถูกโทษโบยสามสิบไม้เช่นนี้อีก นางรู้สึกเวียนหัว พร้อมทั้งหน้าผากที่เกิดอาการร้อนผาวขึ้นมา อาการไข้ขึ้นสูงเช่นนี้อาจทำให้นางหมดสติไปเลยก็ได้

ทักษะทางการแพทย์ที่นางได้รับการสืบทอดมาจากปู่ของนางจักไปมีประโยชน์อันใดเล่า?

ที่นี่มิแม้แต่ยาลดไข้ ยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบเลยสักนิด เกรงว่านางคงจักได้ตกตายไปอีกรอบหนึ่งแล้วกระมัง

เมื่อมีความคิดเช่นนี้โผล่เข้ามาในหัวนั้น ทำเอาฉินเหยี่ยวเย่ว์นึกโศกเศร้าในโชคชะตาของตนเองยิ่งนัก ในยามที่ปู่ของนางเสียนางยังมิทันได้มีโอกาสกลับไปหาเลยเสียด้วยซ้ำ ยังมิทันที่นางจะได้กลับไปถึงบ้านกลับต้องมาถูกชายชุดดำจับตัวไปเสียก่อน หลังจากที่นางจับพลัดจับผลูมาโผล่ในร่างนี้นั้น ยังมิทันจะได้สติดีกลับต้องมาตายอีกรอบแล้วหรือ

เหตุใดนางถึงโชคร้ายเช่นนี้

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงนั้น ความเจ็บปวดพลันเข้ามาเป็นระลอก ๆไม่ห่างหาย ทำเอานางมิอาจอดทนไหว

จู่ ๆ นางก็อดคิดถึงปู่และพ่อแม่ของนางที่จากไปอย่างมิมีวันหวนกลับได้ ใต้หล้านี้เหลือนางเพียงตัวคนเดียวแล้ว ความรู้สึกคิดถึงที่ถาโถมเข้ามา ทำให้ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้แต่ขดงอตัวเอง พร้อมทั้งเอาหน้าผากซุกไปที่ข้อมือของตน

มิทันไรหยาดน้ำตาพลันค่อย ๆไหล่ลงมากระทบกับฝ่ามือของนางในทันที พร้อมทั้งแหวนที่อยู่บนนิ้วของนางจู่ ๆ กลับเปล่งประกายแสงออกมา

ท่ามกลางแสงสว่างนั้น เสมือนกับว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์จะเห็นโรงพยาบาลอยู่รำไร

อาคารแห่งนี้เป็นตึกที่ปู่ของนางได้ช่วยชีวิตเศรษฐีผู้มั่งคั่งรายหนึ่งเอาไว้จนสามารถมาสร้างเป็นโรงพยาบาลแห่งนี้ได้ โดยที่ปู่ของนางเป็นผู้อำนวยการ ด้านในโรงพยาบาลมีหยูกยาครบครัน จนไปถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย นางวิ่งเล่นอยู่ภายในโรงพยาบาลนี้ตั้งแต่เด็ก ๆ นับได้ว่านางคุ้นเคยกับสถานที่ภายในที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง

"ฉันกลับไปอีกแล้วเหรอ?" ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนางจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป

โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นตึกใหม่เอี่ยม ทว่า ในยามนี้หาได้มีผู้มดอยู่สักคนไม่ ทั้งกลิ่นอายแห่งความตายที่กระจายคละคลุ้งไปทั่ว เสมือนกับโลกที่ว่างเปล่าก็ไม่ปาน

เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์ต้องการจะเดินสำรวจดูนั้น แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าพลันค่อย ๆ หายไป พร้อมกับโรงพยาบาลตรงหน้าที่ค่อย ๆ จางหายไปเช่นกัน

“ที่แท้มันก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้แต่แย้มยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ก่อนจะเอียงหน้าไปอีกข้างหนึ่ง ทำเอานางแทบจะกรีดร้องออกมาในทันทีเมื่อเห็นว่าบนหัวเตียงมีของบางอย่างปรากฎขึ้น

ไอบูโพรเฟน ยาผงขาวอวิ๋นหนาน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์!

หยูกยาพวกนี้หาใช่สิ่งของของผู้คนในยุคนี้ไม่ แต่มันกลับมาปรากฏอยู่ในมือของนาง

ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงรีบถอดแหวนออกมาในทันที ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ นางหาได้พบสิ่งผิดปกติอันใดไม่

ทว่า ไอบูโพรเฟนและยาผงขาวอวิ๋นหนานนั้น ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อม ๆ กับภาพหลอนของโรงพยาบาลเลย

นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!

เนื่องจากไอบูโพรเฟนเป็นยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ฤทธิ์ของยาจึงถูกปล่อยออกมาช้า ๆ นั่นจึงทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด ทั้งยังมีฤทธิ์ระงับอาการปวดได้ดีและยาวนานอีกด้วย รวมไปถึงช่วยเรื่องการลดไข้จากการอักแสบจากแผล

ส่วนผงยาขาวอวิ๋นหนานใช้สำหรับยากรักษาภายนอก นับว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บเป็นอย่างมาก

ยาทั้งสองชนิดในยามนี้ ถือเป็นยาที่ช่วยชีวิตของนางในยามนี้เลยทีเดียว

ฉินเหยี่ยนเย่ว์มิคิดอันใดให้มากความ นางรีบคว้าไอบูโพรเฟนมากิน ก่อนจะพยายามฆ่าเชื้อบริเวณบาดแผลของตนเองด้วยความยากลำบาก จากนั้นนางจึงใช้ผงยาขาวอวิ๋นหนานโรยเข้าไปบนปากแผล อาการบาดเจ็บที่เคยมีจึงค่อย ๆ ทุเลาลงบ้าง จนทำให้นางผล็อยหลับไปในทันที

ตัวยาเพียงเท่านี้ นับว่าเพียงพอที่นางจะใช้มันไปถึงห้าวันแล้ว

ในช่วงเวลาห้าวันที่ผ่านมานั้น ฉิเนเหยี่ยนเย่ว์ลองดูทุกวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่ตนเองจะสามารถเห็นถึงโรงพยาบาลของปู่นางได้อีกครั้ง ทว่า นางกลับต้องพบเจอกับความล้มเหลวทุกครา

แหวนก็มิมีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ เลย

หรือว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพียงภาพหลอนของนางเท่านั้น

จนกระทั่งห้าวันให้หลัง

แหวนที่มิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใดนั้น จู่ ๆ กลับแผ่ความร้อนออกมา พร้อมด้วยภาพโรงพยาบาลที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้านางอีกครา

พร้อมด้วยกล่องยาแอสไพรินที่ปรากฏตัวขึ้นในมือของนาง

ทั้งตัวยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟนนั้น ล้วนแต่เป็นยาแก้อักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ หากแต่สิ่งที่แตกต่างกันนั้น ก็คือยาแอสไพรินสามารถป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันขึ้นมาได้ จากการนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ๆ ทั้งยังช่วยให้บาดแผลตกสะเก็ดและฟื้นฟูกลับมาเป็นเช่นเดิม ทว่า การนอนอยู่บนเตียงนาน ๆ นั้น อาจจะทำให้การหมุนเวียนของเลือดเกิดการติดขัดได้ ดังนั้นยาแอสไพรินนี้จึงมาช่วยนางได้ทันเวลาพอดี

ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันใช้นิ้วมือถูแหวนไปมา ด้วยอารมณ์ที่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก

แหวนวงนี้ถือเป็นของขวัญวันเกิดที่นางได้รับมาจากปู่ของนาง ปู่ของนางกล่าวว่าเขาทำมันขึ้นมาด้วยตนเอง อีกทั้งแหวนวงนี้ยังอัดแน่นไปด้วยความรักควาคิดถึงและสืบทอดความคิดของพ่อแม่ของนางใส่เอาไว้ด้านในอีกด้วย เพื่อให้แหวนวงนี้ถือเป็นเครื่องรางปกป้องคุ้มกันภัยสำหรับนาง

ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงสวมใส่มันราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่ามาโดยตลอด หลังจากที่นางถูกชายชุดดำจับตัวไปนั้น เมื่อชายชุดดำลองสำรวจแหวนวงนี้แล้ว เขากลับรู้สึกว่ามันหาได้มีค่าอันใดไม่ พวกเขาจึงปล่อยเลยตามเลย

ฉินเหยี่ยนเย่ว์จำได้อย่างชัดเจนเลยว่า เจ้าของร่างเดิมหาได้สวมใส่แหวนไม่ เสมือนกับว่าแหวนวงนี้มาปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เจ้าของร่างเดิมจากไป พร้อมกับวิญญาณของนางที่เข้ามาสิงอยู่ในร่างนี้แทน

ไม่เพียงแต่มีแหวนปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่มหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกด้วย

เมื่อแหวนเกิดอาการร้อนขึ้น โรงพยาบาลก็จะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่หยูกยาเหล่านั้นก็เป็นยาที่มาจากโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน แหวนวงนี้จึงเปรียบเสมือนสื่อตัวกลางในการเชื่อมโยงนางกับโรงพยาบาลของปู่นางเข้าไว้ด้วยกัน

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อนัก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อมัน

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่กำลังตกอยู่ภวังค์แห่งความคิดของตนเอง จู่ ๆ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักและคนที่กำลังระงับอาการไอของตัวเองดังออกมาจากด้านนอกประตู
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 5

    ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ก่อนจะดึงสติของตนเองกลับคืนมา นอนคว่ำตัวลงพร้อมทั้งห่มผ้าคลุมตัว แสร้งว่าตนเองกำลังหลับอยู่ ตั้งสติกลับคืนมา พร้อมด้วยประตูห้อง ที่ถูกคนผู้หนึ่งเตะออกพลันพัดพาลมหนาวให้เข้ามาในทันที ทำให้ห้องที่เย็นอยู่แล้วนั้น ทำเอาอุณหภูมิลดลงไปอีกสองสามองศา“นางช่างโชคดีเสี

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 6

    สีหน้าของเฟ่ยชุ่ยมีความซับซ้อน “พระนาง ท่านอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ หู่พั่วนางมิได้มีเจตนา นางก็แค่ปากเสียเท่านั้นเพคะ...”“ไม่ต้องพูดแล้ว จะดีหรือเลวข้าสามารถแยกแยะได้ คนเช่นนั้น ข้าไม่ต้องการ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หลุบตาลง “นำยามาให้ข้าเถิด”“บ่าวช่วยทาให้เพคะ” เฟ่ยชุ่ยถอนหายใจ รู้สึกเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง “เด

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 7

    หงเย้าคิดไม่ถึงว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์จะปรากฏตัวขึ้น จึงเก็บแส้ เอ่ยอย่างฝืนยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นพระชายา อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องรบกวนให้ท่านเสด็จออกมาด้วยพระองค์เอง? พระนางโปรดวางใจเพคะ สาวใช้ของท่านไม่เชื่อฟัง บ่าวได้ช่วยท่านสั่งสอนนางไปแล้วเรียบร้อยแล้วเพคะ”“ขอบใจในความหวังดีของเจ้า” ฉินเหยี่ยนเย่

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 8

    พวกองครักษ์สีหน้าค่อนข้างแย่เรื่องราวถูกพระชายาทรงกล่าวออกมาเช่นนี้ หากเรื่องใหญ่ขึ้นมา พวกเขาทั้งหลายคงมีจุดจบที่ไม่ดีนัก ยังจะพลอยเดือดร้อนไปถึงท่านอ๋องเจ็ดอีกด้วยพวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง เอ่ยแสดงความขอโทษ “พระชายา ได้โปรดอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมยอมทำตามคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”พวกเขาหยิบไม้โบย

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 9

    “เหตุใดจึงโบยหงเย้า?” เขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง“นางโบยสาวใช้ของหม่อมฉัน เหตุใดหม่อมฉันจึงโบยเขามิได้เพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์นั่งลง รินชาร้อนถ้วยหนึ่ง ใช้เล็บค่อย ๆ หยิบก้านชาออกมา “เพื่อสาวใช้คนหนึ่ง ท่านผู้เป็นท่านอ๋องถึงกับมาทวงความยุติธรรมด้วยองค์เองหรือเพคะ? ช่างน่าซาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก”ตงฟางหลีได้ย

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 10

    “ฉินเหยี่ยนเย่ว์ มีเพียงเจ้า ที่ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงชื่อนั้น” น้ำเสียงของตงฟางหลีเย็นชาเขาบีบคอแน่นขึ้น สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์เปลี่ยนเป็นสีม่วงเนื่องจากหายใจไม่ออกฉินเหยี่ยนเย่ว์หายใจไม่ออก พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก จนสามารถมองเห็นใบหน้าของเขา ดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน เธอมองความโศกเศร้าจากนัยน์ตาค

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 11

    ภายในเรือนโยวหลานเฟ่ยชุ่ยที่กำลังเก็บเศษซากแจกันที่แตกหักอยู่ด้วยหยาดน้ำตาคลอเบ้า พร้อมทั้งไหล่ทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทาเบา ๆ ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่นอนบนเตียงนั้น ได้แต่มองท่าทีผิดหวังของเฟ่ยชุ่ย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฟ่ยชุ่ย ข้ามิเป็นอันใด เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว”เฟ่ยชุ่ยพลันซืดน้ำมูกเข้าไป “เดิมที

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 12

    “เจ้าลืมวันมงคลของทุกเดือนไปแล้วหรือ?” ตงฟางหลีกล่าว “วันรุ่งพรุ่งนี้ เจ้าจักต้องเข้าวังพร้อมกับข้า ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับต่างก็จัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้าครบหมดแล้ว”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันทีว่า วันพระบรมราชสมภพขององค์จักรพรรดินั้นเป็นวันยี่สิบสามของเดือนหนึ่ง ฉะนั้นแล้ววันที่

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1413

    เวลาเดียวกับที่เช็ดเลือดออก ได้ใส่ยาห้ามเลือด และในเวลาเดียวกันก็ฉีดยาฉุกเฉินเช่น ยากระตุ้นหัวใจอาการของเซียวเซี่ยงหวั่นค่อนข้างแย่แม้จะได้รับการรักษาฉุกเฉินแล้ว แต่การหายใจของนางยังคงอ่อนแรงมากโดยเฉพาะมือและเท้าเริ่มแข็ง ทำให้ไม่สามารถวัดชีพจรได้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุด ทำได้เพียงตรวจคลื่นไฟฟ้าหัว

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1412

    หลังจากกินยาช่วยชีวิตแล้ว เซียวเซี่ยงหวั่นก็เกิดอาการชักอย่างรุนแรงทันทีใบหน้าที่แทบจะจำไม่ได้บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดนางดิ้นรนด้วยความทรมาน มีเสียงร้องครวญครางอย่างไม่รู้สึกตัวออกมาจากลำคอ“แย่แล้ว” หัวใจของฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังไม่ทันวางลง ก็ลอยขึ้นสูงอีกครั้งเซียวเซี่ยงหวั่นถูกเฉียนอ๋องทรมานจนหาย

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1411

    เมื่อพวกเขาได้กลิ่นของฉินเหยี่ยนเย่ว์นั้น ทุกสายตาพลันหันไปหานางในทันที ก่อนจะน้ำลายไหลออกมา พร้อมทั้งนัยน์ตาที่แดงก่ำพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีร่างกายสูงใหญ่ บนร่างกายนั้นกลับมีเงามันแปลก ๆ พร้อมทั้งเปรอะเปื้อนเลือดของพระชายาเฉียนอีกด้วยพวกมันราวกับสัตว์ร้ายที่จ้องมองนางด้วยสายตาราวกับอยากจะจับนางฉีก

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1410

    ยามที่นางตกอยู่ในสภาวะว่างเปล่านั้น ย่อมมิอาจทำอันใดกับเฉียนอ๋องได้ทว่า นางในสภาวะปกติเช่นนี้ หาได้เห็นเขาอยู่ในสายตาไม่ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงในยามที่พลังแห่งจิตวิญญาณของนางได้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าตัวเช่นนี้เลยเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสารเลวอย่างเฉียนอ๋องที่รังแกสตรีเช่นนี้ ฉินเหยี่ยนเย่ว์ย่อมมิมีทางวิ่ง

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1409

    “อ๊าก มือข้า”เฉียนอ๋องพลันมองไปยังข้อมือของตนเองที่กำลังมีเลือดไหลออกมาก่อนหน้านั้น มือนั้นยังอยู่บนข้อมือของเขา เพียงพริบตาเดียวมิรู้ว่าหายไปไหนแล้วหลงเหลือไว้เพียงข้อมือว่างเปล่าที่มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาเลือดสด ๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุดนั้น พลันไหลปกคลุมเตียงหินที่มีรอยเลือดแห้งดำด่างเก่า ๆ ในทันที

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1408

    ความโกรธเกรี้ยวที่โหมกระหน่ำราวกับคลื่นที่ซัดเข้ามาฉินเหยี่ยนเย่ว์แทบจะควบคุมความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกของนางไม่ไหวนางพยายามดิ้นรน เพื่อที่จะหลุดออกจากโซ่ตรวนนี้ภายในห้องลับที่มืดมิดนั้น เสียงดังของโซ่ตรวนเหล็กที่กระทบกันไปมาพลันกลบเสียงร้องของพระชายาเฉียนไปจนหมด“โกรธหรือ? ดิ้นรนหรือ? ฮ่าฮ่า ฉินเห

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1407

    นางมิคิดเลยว่า เฉียนอ๋องจักกล้าโยนชายาของตนเองลงไปในดงบุรุษเหล่านั้นได้หูของนางพลันได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของพระชายาเฉียนดังขึ้นมาเสียงนั่น ดังกึกก้องลึกเข้าไปในใจของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันทีถึงแม้ว่านางจักมิไปเห็น มิได้ยิน แต่นางก็สัมผัสได้ว่าพระชายาเฉียนกำลังทุกข์ทรมานใจมากเพียงใดในยามน

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1406

    ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวการมองในครานี้ กลับทำเอาทั่วร่างเย็นยะเยือก พร้อมทั้งเลือดในกายที่ถูกสูบฉีดไหลเวียนไปทั่วร่างยามที่นางกำลังปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก เพื่อมุ่งมั่นในการรวบรวมสมาธิของตนเองมิรู้ว่าเฉียนอ๋องไปนำบุรุษสามสี่คนมาจากที่ใดบุรุษเหล่านั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำมิต่างอัน

  • ท่านอ๋องเย็นชาผู้คลั่งรักกับพระชายาหมอหญิงผู้อ่อนหวาน   บทที่ 1405

    “หากมิใช่เพราะข้าคิดถึงเจ้ามากถึงเพียงนั้น จนถึงกับลอบสังเกตติดตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างใกล้ชิดแล้วละก็ ถึงได้พบนกกางเขนเงาที่บินไปที่จวนอ๋องเจ็ดตัวนั้น มิเช่นนั้นข้าก็คงมิมีทางหาเจ้าพบแน่”“เจ้าเป็นของของข้า แต่กลับคิดหาทางหลบหนี ผู้ใดให้ความกล้าแก่เจ้ากัน? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวอันใด? ถึงกล้า

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status