ทำร้ายคนของนาง ก็เท่ากับว่ากำลังตบหน้านางถ้าหากทุกคนสามารถแตะต้องคนของนางได้ตามอำเภอใจ ตำแหน่งพระชายาอ๋องเฉินของนางก็คงเป็นอย่างสูญเปล่า?ท่านรองกู้ทรุดลงไปกองกับพื้น ถูกทำร้ายจนศีรษะจนมึนงงไปแล้ว สูญเสียเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ มุมปากมีเลือดไหลออกมา ย้อมจนสาบเสื้อเป็นสีแดงฉาน มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เบิกตาโตกว้างอย่างโมโห จ้องมองฉู่เชียนหลีเขม็งแต่ปาก ยังบ่นพึมพำอู้อี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่“ท่านจะต้องเสียใจ...”“ฉู่เชียนหลี...ท่านจะต้องเสียใจ...ตระกูลกู้ของข้า...มีอำนาจมากกว่าที่ท่านจินตนาการไว้...”“ข้าจะคอยดู!”ฉู่เชียนหลีโยนเขาออกไปอย่างเย็นชา จากนั้นรับผ้าเช็ดมือจากจิ่งอี้ เช็ดคราบเลือดที่เปื้อนบนมือนำผ้าเช็ดมือที่เปื้อนแล้วโยนใส่ตัวเขา“ใช่แล้ว เงินค่าปรับห้าแสนตำลึง จดเอาไว้ด้วยว่าต้องชำระ ต่อไปเจอกันคนหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเฉิน ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยง”“ข้าคนนี้ เจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด”พูดจบ ก็หันหลังเดินจากไปกลุ่มคนมาอย่างรีบร้อน แล้วก็ไปอย่างรีบร้อน เหลือเพียงท่านรองกู้ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บปางตาย ล้มตัวลงบนพื้นราวกับเป็นอัมพาต กระดูกทั่วทั้งตัวราวกับถูกบดจนแตกละเอี
กองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในอดีต วันนี้ทุกคนเต็มไปด้วยความโมโห ระเบิดอารมณ์ ราวกับถูกจุดชนวนระเบิด ก่อความวุ่นวายจนไม่สามารถจัดการได้ทั้งทะเลาะกัน ยังมีคนไม่น้อยที่ลงมือ ต่อยตีกันขึ้นมาทันทีที่ต่อยตีกันขึ้น ก็ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่อยู่ ทั้งค่ายทหารเต็มไปด้วยความวุ่นวาย...ห่างออกไปไกลหายเมตร ในที่ลับที่บรรดาพลทหารมองไม่เห็น ผู้ชายร่างใหญ่สองคนนั่งอ้าขา ก้นนั่งลงไปบนพื้น กำลังนั่งอย่างสบายใจ สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของทางด้านค่ายทหาร ก็หัวเราะออกมาเสียงดังขวัญกำลังใจของทหารองครักษ์เงาผู้สง่าผ่าเผย ก็มีแค่นี้ขวัญกำลังใจของทหารไม่เข้มแข็งไม่มีความน่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อยในรอยยิ้มของอ๋องเจวี๋ยแฝงไปด้วยความชั่วร้าย “ยาหลอนจิตนี่ ใช้ได้ผลดีจริง ๆ!”ยาหลอนจิต ความหมายสมชื่อ คนที่ใช้ จะได้รับอิทธิพลจากมัน ทำให้สติสัมปชัญญะเกิดความสับสน ทำให้กลายเป็นคนหุนหันพลันแล่น ถึงขนาดฉุนเฉียว เอาแต่ใจตัวเองเขานำยาหลอนจิตสาดลงไปในน้ำ น้ำพวกนี้เอามาหุงข้าว ทำกับข้าว เมื่อเข้าสู่ในร่างกายของบรรดาพลทหารทหารองครักษ์เงาทั้งหมด ก็จะก่อความวุ่นวายเหมือนกับตลาดไม่มีผิด เสียงดังโวยวายไม
อีกด้านหนึ่งอ๋องเฟิงฉวยโอกาสระหว่างที่ออกมาชั่วคราว เรียกองครักษ์ลับ รีบร่างจดหมายลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขวดกระเบื้องเล็กนี้“นำไปมอบให้กับมือของฝ่าบาท”“ขอรับ!”องครักษ์ลับรับด้วยสองมือ จากไปอย่างรวดเร็วอ๋องเฟิงหมอบอยู่ที่กิ่งไม้ จ้องมองแผ่นหลังขององครักษ์ลับที่ค่อย ๆไกลออกไป หัวใจค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นเมื่อก่อน ใจจดใจจ่ออยากได้ตำแหน่งรัชทายาท ทำได้ทุกเรื่อง โดยไม่เลือกวิธีการ แต่นับตั้งแต่ที่เชื่อฟังคำของเหยาเหยา หลังจากหันหน้าเข้าหาอ๋องเฉิน หัวใจของเขาก็กลับกลายเป็นสงบมากฉู่เชียนหลี เจ้ารักษาเหยาเหยาให้หายดี ในที่สุดก็ทำให้พวกเรามีลูกของตัวเองตลอดหลายปีมานี้ เขาทำเรื่องชั่วช้ามามากมาย แปดในสิบเป็นเพราะอ๋องเจวี๋ยแอบยุยงอ๋องเจวี๋ยเป็นคนที่เย่อหยิ่ง ถือตัวอวดดี เขากุมอำนาจทหาร นิสัยโหดร้าย ทำอะไรก็ได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายคนแบบนี้ จะต้องขัดขวางอ๋องเฉินอย่างแน่นอนเพียงแค่เขานำหลักฐานที่เป็นเจตนาชั่วร้ายของอ๋องเจวี๋ยส่งให้ถึงมือของฝ่าบาท เมื่อฝ่าบาททรงทราบ จะต้องลงโทษอ๋องเจวี๋ยอย่างหนักแน่นอนพระชายาอ๋องเฉิน ข้ากำลังจะไปยังที่ดินศักดินาแล้วการกำจัดภัยคุกคามอย่างอ๋องเจวี
พวกเขาได้ไหว้ฟ้าดินแล้ว เขามั่นใจว่าชีวิตนี้ต้องเป็นนางเท่านั้นเบ้าตาอวิ๋นอิงแดงเล็กน้อย อดกลั้นความเจ็บช้ำในใจ พยายามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ“ข้ารู้ตัวว่าไม่คู่ควร…อ๊า!”พลันเจ็บที่ข้อมือเห็นเพียงท่านโหวน้อยโน้มตัวมาข้างหน้า คว้าแขนข้างหนึ่งของนางไว้ แล้วกัดอย่างแรง นางเจ็บจนตัวสั่น คิ้วขมวดเป็นปมกลิ่นคาวเลือด อบอวลในปากของหลิงเชียนอี้…เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองดูแขนที่มีเลือดไหลของนาง แม้ปวดใจ แต่ปากก็กล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกครั้งที่เจ้าพูดสิ่งที่ข้าไม่ชอบฟังหนึ่งคำ ข้าก็กัดเจ้าหนึ่งที”“พูดหนึ่งคำ กัดหนึ่งที!”กัดมือซ้ายเสร็จก็กัดมือขวา กัดมือขวาเสร็จก็กัดคอ กัดคอเสร็จก็กัดต้นขา กัดต้นขาเสร็จก็กัดก้นเขาก็อยากรู้เช่นกันว่า ตกลงหนังของนางเหนียว หรือฟันของเขาคมกันแน่เบ้าตาอวิ๋นอิงแดงแล้วเขาปัญญาอ่อน แต่รักนางอย่างเผด็จการด้วยวิธีของตนเอง…นางเม้มปากแน่น ค่อยๆ ก้มหน้าลง หลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ ไม่รู้เป็นเพราะเจ็บหรืออย่างไรกันแน่หลิงเชียนอี้คิดว่านางเจ็บ ด้วยเหตุนี้จึงโกรธ เรียกองครักษ์ลับของตนเองมา สั่งให้เขาไปตระกูลกู้ นำฟันหน้าของนายท่านรอง
ฉู่เชียนหลีรออยู่ที่จวน เฟิงเย่เสวียนยังไม่ทันกลับมา คนที่มากลับเป็นอ๋องเฟิงมาดึกดื่นเช่นนี้ นางประหลาดใจเล็กน้อย“อ๋องเฟิงมีธุระด่วนอะไรหรือ?” น้ำเสียงนางเรียบเฉย ท่าทีก็จืดชืด หลังจากเกิดเรื่องในพิธีเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน นางก็ไม่อยากเป็นมิตรกับอ๋องเฟิงอีกแล้วอ๋องเฟิงรู้ว่าตนเองผิด สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย“พระชายาอ๋องเฉิน เรื่องเทียนเซ่นไหว้บรรพชน ข้าไม่ดีเอง…”เขารู้สึกผิดแล้วและแก้ไขแล้ว“คืนนี้ที่ข้ามาเพื่ออยากบอกเจ้า ข้าได้ตัดสินใจไปอยู่ที่ศักดินากับเหยาเหยาแล้ว จากลากันครั้งนี้ หนทางยาวไกล ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร”“บุญคุณความแค้นของเมื่อก่อน หวังว่าเจ้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจอีกเลย”น้ำเสียงของเขาจริงใจฉู่เชียนหลีสงสัยเอ๋?เขาอยากชิงตำแหน่งรัชทายาทไม่ใช่หรือ? จู่ๆ ก็ยอมสละสิทธิ์ ไปอยู่ที่ศักดินา?หรือกำลังเล่นสกปรกอะไรอีก?อ๋องเฟิงรู้ว่านางไม่เชื่อ เขาถอนหายใจ เพื่อแสดงความจริงใจของตนเอง จึงบอกแผนของอ๋องเจวี๋ยออกมา“บ่ายวันนี้ อ๋องเจวี๋ยสร้างเรื่องในกองทัพ เขาอยากออกรบสร้างผลงาน”เขาเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้นางฟังเมื่อฉู่เชียนหลีฟังจบ คิ้วบางขมวดเล็กน้อย
“โอ๊ย คำพูดของอ๋องเฟิงทำให้ข้าน้อยกลัวจริงๆ พวกเราจะส่งผิดกระทั่งของสำคัญอย่างราชโองการได้อย่างไร?”ขันทีกล่าว“อีกอย่าง อ๋องเฉินเป็นคนขอออกรบเองไม่ใช่หรือ?”“อ๋องเฉินห่วงใยราษฎร เป็นวาสนาของราษฎร ฮ่าๆ ข้าน้อยขออวยพรอ๋องเฉินเดินทางโดยสวัสดิภาพ ชักธงชัยชนะศึก”ขันทีประสานมือโค้งคำนับ หลังจากพูดประจบสอพลอสองสามคำ ก็กลับวังไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่แล้วเฟิงเย่เสวียนถือราชโองการไว้ มองดูตัวอักษรข้างบน คิ้วขมวดคิ้วแน่นเขา?ขอออกรบเอง?เขาเคยพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?ฉู่เชียนหลีมองไปทางอ๋องเฟิง อ๋องเฟิงรีบกระโดดออกมาทันที“ข้าไม่รู้เรื่อง!”เขากลัวสามีภรรยาอ๋องเฉินเข้าใจผิด จึงรีบกล่าว “เย็นวันนี้ข้าเขียนจดหมายลับ สิ่งที่พูดถึงล้วนเป็นแผนการของอ๋องเจวี๋ย ไม่เอ่ยถึงอ๋องเฉินสักคำ!”ที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งหมดเขาสาบานได้!“ต้องมีคนเปลี่ยนจดหมายลับของข้า ทำให้เสด็จพ่อเข้าใจผิดแน่นอน!”ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!ไม่มีความเป็นไปได้ที่สองแล้วคนคนนี้เป็นใครกันแน่?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว “ตอนนั้นมีแต่ท่านกับอ๋องเจวี๋ยอยู่ที่ค่าย ยังมีใครอีก? แล้วมีใครรู้เรื่องที่ท่านส่งจดหมายลับ?”เมื
ฝ่ามืออุ่นๆ ของเฟิงเย่เสวียนกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาโอบเอวเล็กของนาง ดึงคนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนแน่น และวางคางลงบนศีรษะนางเบาๆกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ในเมื่อไม่อยากให้ไป เช่นนั้นมีอะไรอยากจะพูดหรืออยากจะทำ คืนนี้ก็พูดกับข้าให้หมด ไม่เช่นนั้นรอข้าไปแล้ว เจ้าอยากพูดก็ไม่มีที่พูดแล้ว”คำพูดนี้ราวกับเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายทำเอาฉู่เชียนหลีแสบจมูก เบ้าตาเริ่มพลุ่งพล่าน…“ข้าอยากไปกับเจ้า”“สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่น อีกทั้งท้องของเจ้าโตเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย”“ถ้าหากเจ้าไม่มีอะไรอยากพูดกับข้า ก็นอนเถอะ อีกสองชั่วยาม ข้าก็จะไปจัดกองกำลังพลที่ค่ายแล้ว”ทันทีที่ฟ้าสว่าง เขาก็จะออกเดินทางทันทีพลันร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาลึกยิ่งขึ้น และปลดปล่อยคำพูดที่อยู่เต็มอกออกมา“อาเฉิน ข้าเคยชินกับชีวิตที่มีเจ้าแล้ว เวลากินข้าว เจ้านั่งอยู่ข้างกาย เวลานอน เจ้ากอดข้านอน เวลาพักผ่อน เจ้านวดขาให้ข้า ทุกครั้งที่ข้าต้องการ เจ้าก็จะอยู่ข้างกายข้าตลอด”เมื่อนานวันเข้า นางเห็นเขาเป็นที่พึ่งพิงไปแล้วตอนเขาอยู่ ไม่มีเรื่องอะไรที่นางต้องกังวลเขาไปแล้
เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ เฟิงเย่เสวียนลุกจากเตียงด้วยการเคลื่อนไหวที่เบามาก เขาจากไปอย่างเงียบๆเขาคิดว่าฉู่เชียนหลีหลับแล้วในความเป็นจริง…ฉู่เชียนหลีตื่นตัวยิ่งกว่าใคร แต่นางแสร้งทำทีหลับสนิท นางกลัวว่าเมื่อนางเอ่ยปาก เมื่อนางลุกขึ้น ก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่ยอมปล่อยเขาไปฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินไปไกลของเขา…น้ำตาไหลออกมาเงียบๆทำหมอนเปียกชื้นและอุ่นผ่านไปเนิ่นนานเมื่ออารมณ์สงบลงเล็กน้อย จึงจะลุกขึ้น สวมเสื้อชั้นนอก เปิดประตูเดินออกมา“พระชายา ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ท่านจะลุกแล้วหรือเจ้าคะ?” เยว่เอ๋อร์ที่เฝ้ายามถาม“ท่านอ๋องจัดเตรียมกองกำลังพลใกล้เสร็จแล้วกระมัง ช่วยข้าล้างหน้าล้างตาหน่อย ข้าจะไปส่งเขา”เวลานี้ ในค่ายทหารกำลังจัดกำลังพลอยู่จริงๆ แต่หานอิ๋งเป็นคนจัด ส่วนอ๋องเฉินที่เป็นแม่ทัพออกรบ กลับไปปรากฏตัวที่จวนอ๋องเจวี๋ย“เจ้าเจ็ด?”อ๋องเจวี๋ยยังนอนอยู่ เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนลอบเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ เขาตื่นตัวทันที และมีความหวาดระแวงหลายส่วนเฟิงเย่เสวียนยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง เอ่ยปากอย่างเย็นชา“พี่สาม การที่ข้าเรียกท่านว่าพี่ ท่านน่