ฉู่เชียนหลีรออยู่ที่จวน เฟิงเย่เสวียนยังไม่ทันกลับมา คนที่มากลับเป็นอ๋องเฟิงมาดึกดื่นเช่นนี้ นางประหลาดใจเล็กน้อย“อ๋องเฟิงมีธุระด่วนอะไรหรือ?” น้ำเสียงนางเรียบเฉย ท่าทีก็จืดชืด หลังจากเกิดเรื่องในพิธีเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน นางก็ไม่อยากเป็นมิตรกับอ๋องเฟิงอีกแล้วอ๋องเฟิงรู้ว่าตนเองผิด สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย“พระชายาอ๋องเฉิน เรื่องเทียนเซ่นไหว้บรรพชน ข้าไม่ดีเอง…”เขารู้สึกผิดแล้วและแก้ไขแล้ว“คืนนี้ที่ข้ามาเพื่ออยากบอกเจ้า ข้าได้ตัดสินใจไปอยู่ที่ศักดินากับเหยาเหยาแล้ว จากลากันครั้งนี้ หนทางยาวไกล ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร”“บุญคุณความแค้นของเมื่อก่อน หวังว่าเจ้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจอีกเลย”น้ำเสียงของเขาจริงใจฉู่เชียนหลีสงสัยเอ๋?เขาอยากชิงตำแหน่งรัชทายาทไม่ใช่หรือ? จู่ๆ ก็ยอมสละสิทธิ์ ไปอยู่ที่ศักดินา?หรือกำลังเล่นสกปรกอะไรอีก?อ๋องเฟิงรู้ว่านางไม่เชื่อ เขาถอนหายใจ เพื่อแสดงความจริงใจของตนเอง จึงบอกแผนของอ๋องเจวี๋ยออกมา“บ่ายวันนี้ อ๋องเจวี๋ยสร้างเรื่องในกองทัพ เขาอยากออกรบสร้างผลงาน”เขาเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้นางฟังเมื่อฉู่เชียนหลีฟังจบ คิ้วบางขมวดเล็กน้อย
“โอ๊ย คำพูดของอ๋องเฟิงทำให้ข้าน้อยกลัวจริงๆ พวกเราจะส่งผิดกระทั่งของสำคัญอย่างราชโองการได้อย่างไร?”ขันทีกล่าว“อีกอย่าง อ๋องเฉินเป็นคนขอออกรบเองไม่ใช่หรือ?”“อ๋องเฉินห่วงใยราษฎร เป็นวาสนาของราษฎร ฮ่าๆ ข้าน้อยขออวยพรอ๋องเฉินเดินทางโดยสวัสดิภาพ ชักธงชัยชนะศึก”ขันทีประสานมือโค้งคำนับ หลังจากพูดประจบสอพลอสองสามคำ ก็กลับวังไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่แล้วเฟิงเย่เสวียนถือราชโองการไว้ มองดูตัวอักษรข้างบน คิ้วขมวดคิ้วแน่นเขา?ขอออกรบเอง?เขาเคยพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?ฉู่เชียนหลีมองไปทางอ๋องเฟิง อ๋องเฟิงรีบกระโดดออกมาทันที“ข้าไม่รู้เรื่อง!”เขากลัวสามีภรรยาอ๋องเฉินเข้าใจผิด จึงรีบกล่าว “เย็นวันนี้ข้าเขียนจดหมายลับ สิ่งที่พูดถึงล้วนเป็นแผนการของอ๋องเจวี๋ย ไม่เอ่ยถึงอ๋องเฉินสักคำ!”ที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งหมดเขาสาบานได้!“ต้องมีคนเปลี่ยนจดหมายลับของข้า ทำให้เสด็จพ่อเข้าใจผิดแน่นอน!”ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!ไม่มีความเป็นไปได้ที่สองแล้วคนคนนี้เป็นใครกันแน่?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว “ตอนนั้นมีแต่ท่านกับอ๋องเจวี๋ยอยู่ที่ค่าย ยังมีใครอีก? แล้วมีใครรู้เรื่องที่ท่านส่งจดหมายลับ?”เมื
ฝ่ามืออุ่นๆ ของเฟิงเย่เสวียนกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาโอบเอวเล็กของนาง ดึงคนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนแน่น และวางคางลงบนศีรษะนางเบาๆกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ในเมื่อไม่อยากให้ไป เช่นนั้นมีอะไรอยากจะพูดหรืออยากจะทำ คืนนี้ก็พูดกับข้าให้หมด ไม่เช่นนั้นรอข้าไปแล้ว เจ้าอยากพูดก็ไม่มีที่พูดแล้ว”คำพูดนี้ราวกับเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายทำเอาฉู่เชียนหลีแสบจมูก เบ้าตาเริ่มพลุ่งพล่าน…“ข้าอยากไปกับเจ้า”“สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่น อีกทั้งท้องของเจ้าโตเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย”“ถ้าหากเจ้าไม่มีอะไรอยากพูดกับข้า ก็นอนเถอะ อีกสองชั่วยาม ข้าก็จะไปจัดกองกำลังพลที่ค่ายแล้ว”ทันทีที่ฟ้าสว่าง เขาก็จะออกเดินทางทันทีพลันร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาลึกยิ่งขึ้น และปลดปล่อยคำพูดที่อยู่เต็มอกออกมา“อาเฉิน ข้าเคยชินกับชีวิตที่มีเจ้าแล้ว เวลากินข้าว เจ้านั่งอยู่ข้างกาย เวลานอน เจ้ากอดข้านอน เวลาพักผ่อน เจ้านวดขาให้ข้า ทุกครั้งที่ข้าต้องการ เจ้าก็จะอยู่ข้างกายข้าตลอด”เมื่อนานวันเข้า นางเห็นเขาเป็นที่พึ่งพิงไปแล้วตอนเขาอยู่ ไม่มีเรื่องอะไรที่นางต้องกังวลเขาไปแล้
เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ เฟิงเย่เสวียนลุกจากเตียงด้วยการเคลื่อนไหวที่เบามาก เขาจากไปอย่างเงียบๆเขาคิดว่าฉู่เชียนหลีหลับแล้วในความเป็นจริง…ฉู่เชียนหลีตื่นตัวยิ่งกว่าใคร แต่นางแสร้งทำทีหลับสนิท นางกลัวว่าเมื่อนางเอ่ยปาก เมื่อนางลุกขึ้น ก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่ยอมปล่อยเขาไปฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินไปไกลของเขา…น้ำตาไหลออกมาเงียบๆทำหมอนเปียกชื้นและอุ่นผ่านไปเนิ่นนานเมื่ออารมณ์สงบลงเล็กน้อย จึงจะลุกขึ้น สวมเสื้อชั้นนอก เปิดประตูเดินออกมา“พระชายา ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ท่านจะลุกแล้วหรือเจ้าคะ?” เยว่เอ๋อร์ที่เฝ้ายามถาม“ท่านอ๋องจัดเตรียมกองกำลังพลใกล้เสร็จแล้วกระมัง ช่วยข้าล้างหน้าล้างตาหน่อย ข้าจะไปส่งเขา”เวลานี้ ในค่ายทหารกำลังจัดกำลังพลอยู่จริงๆ แต่หานอิ๋งเป็นคนจัด ส่วนอ๋องเฉินที่เป็นแม่ทัพออกรบ กลับไปปรากฏตัวที่จวนอ๋องเจวี๋ย“เจ้าเจ็ด?”อ๋องเจวี๋ยยังนอนอยู่ เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนลอบเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ เขาตื่นตัวทันที และมีความหวาดระแวงหลายส่วนเฟิงเย่เสวียนยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง เอ่ยปากอย่างเย็นชา“พี่สาม การที่ข้าเรียกท่านว่าพี่ ท่านน่
ไปทั้งเช่นนี้แล้ว…ผ่านไปเนิ่นนาน ฉู่เชียนหลีจึงจะถอนสายตากลับ ราวกับถูกดูดพละกำลังทั้งหมดไป ร่างกายโซเซหนึ่งก้าวอย่างไม่มั่นคง“ระวัง!”มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจากด้านหลัง ประคองนางไว้อย่างมั่นคง“ใกล้จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ระวังหน่อย” เขากล่าวอย่างห่วงใยไม่หันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใครอ๋องหลีฉู่เชียนหลีจับผนังกำแพงเมือง ประคองร่างกายให้มั่นคง สงบสติอารมณ์บนใบหน้า จึงจะหมุนกายกลับมา “อ๋องหลียังไม่ไปอีกหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีมองนาง“ข้า…กลัวเจ้าเสียใจ ไม่อยากให้เจ้าอยู่คนเดียว”คำพูดของเขาคลุมเครือเล็กน้อย แต่หากตั้งใจฟังก็เหมือนเป็นแค่ความห่วงใยระหว่างเพื่อน ไม่มีปัญหาอะไรเดิมทีฉู่เชียนหลีควรเว้นระยะห่างกับเขา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องจดหมายลับของอ๋องเฟิงถูกสับเปลี่ยน…แววตาสั่นไหวเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธความห่วงใยของเขา และกล่าวไปตามบทสนทนาของเขา“ที่จริงอ๋องเฉินไม่ได้อยากออกรบ มีคนกลั่นแกล้งเขา”“ฮืม?”บนใบหน้าเฟิงเจิ้งหลีเผยให้เห็นความประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไร?”มือข้างหนึ่งฉู่เชียนหลีประคองกำแพง ส่วนมืออีกข้างจับท้อง นางเดินลงบันไดไปพลาง กล่าวไปพลาง“เมื่อคืนอ๋องเ
นางหัวเราะเสียงดัง ประกายบนใบหน้าสดใส คิ้วคลายออก แสดงท่าทางที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติออกมา“ที่จริงข้ารู้ว่าท่านเป็นคนดี แต่เพราะเรื่องสถานะของแม่ท่าน…คนมากมายโจมตีท่านทำร้ายท่านท่านจึงต้องปกป้องตัวเอง แต่ข้ารู้ว่าจิตใจของท่านดีงาม”ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“อ๋องหลี ไม่สู้พวกเราละทิ้งบุญคุณความแค้นในอดีต เป็นเพื่อนกันตลอดไปเถอะ”“เป็นอย่างไร?”เมื่อเฟิงเจิ้งหลีได้ยินเช่นนี้ พลันลมหายใจก็ชะงัก รีบมองไปที่ดวงตาของนาง มองทะลุเข้าไปในส่วนลึกของแววตา เหมือนกลัวตัวเองหูฝาดตอนนั้น นางกับเขาแตกหักนางเคยพูดว่า เจอกันอีกครั้งก็คือคนแปลกหน้าตอนนี้กลับยินดีปล่อยวางอดีต ผูกมิตรกับเขา เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อนัก“จริง จริงหรือ?”“จริงเท็จ เท็จจริงอะไร?” ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม“เมื่อก่อนท่านเคยช่วยข้าตั้งหลายครั้ง และก็ช่วยข้าตอนเซ่นไหว้สุสานบรรพชนอีก ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย จะมองไม่เห็นความดีของท่านได้อย่างไร? การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ต่างก็มีการให้ซึ่งกันและกัน ท่านดีกับข้า ข้าก็ดีกับท่าน”นางยินดีเป็นมิตรกับเขาเฟิงเจิ้งหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อย ความปลื้มปีติพุ่งพรวดเข้าม
“น้าสะใภ้ เสด็จป้า อยู่กันครบเลย!”ข้างนอก หลิงเชียนอี้มาแล้วท่าทางที่เขามาจวนอ๋องเฉินอย่างคุ้นเคยนั่น ราวกับมาบ้านตนเอง คุ้นเคยจนไม่สามารถคุ้นเคยได้อีกเมื่อเห็นอ๋องหลี เขาหรี่ตาอย่างเป็นปรปักษ์ฉู่เชียนหลีลุกขึ้น “ท่านโหวน้อยมาแล้ว วันนี้อวิ๋นอิงยังไม่ได้เปลี่ยนยาเลย เจ้าลองไปดูหน่อย?”หัวข้อสนทนานี้ไม่ได้เบี่ยงเบนความสนใจของหลิงเชียนอี้ท่านน้าเพิ่งไป อ๋องหลีก็พยายามเข้าหาน้าสะใภ้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาดี ท่านน้าไม่อยู่บ้าน เขาต้องระวังหน่อยพลันพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าไปเดี๋ยวนี้”เขาวางเมล็ดทานตะวันที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ “น้าสะใภ้ กิน”พูดจบ ก็สะบัดก้นเดินจากไปโดยไม่มองอ๋องหลีแม้แต่แวบเดียวเฟิงเจิ้งหลีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดูเหมือนท่านโหวน้อยจะหวั่นไหวจริงๆ แล้ว ถ้าหากเป็นกิ่งทองใบหยกจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี”ฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ หยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแบ่งให้อ๋องหลีครึ่งหนึ่งนั่งไปประมาณครึ่งชั่วยามอ๋องหลีกลับแล้ววันแรกที่เฟิงเย่เสวียนไป ฉู่เชียนหลีไม่ชินเลย ตอนกินข้าว มักจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง ต่อให้มีถงเฟยอยู่เป็นเพื่อน ก็ไม่มีความอยากอาหาร
พริบตานั่นร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง นางลุกขึ้นนั่ง จ้องอ๋องเจวี๋ยที่ปรากฏตัวกะทันหันอย่างหวาดระแวงแอบเข้ามาในจวนอ๋องเฉินดึกๆ ดื่นๆ ไม่ได้มาดีแน่นอนนางขมวดคิ้ว เสียงก็เย็นลงหลายส่วน“ไม่ทราบว่าอ๋องเจวี๋ยมาดึกดื่น มีธุระอะไร? ที่นี่คือจวนอ๋องเฉิน โปรดระวังสถานะด้วย!”ชายโสดหญิงม่ายอยู่กันตามลำพังในห้อง หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เกรงว่านางไม่รู้จะเอาไหนไปไว้ที่ไหนแน่เขายืนอยู่ตรงที่เดิม ไขว่มือขวาไว้ด้านหลังจากทิศทางที่ย้อนแสง ดวงตาที่ลึกลับคู่นั้นจ้องมาทางนางไม่พูดอะไรสักคำยามราตรี ร่างเงาสีดำ นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศของกลางคืนแปลกประหลาดเป็นพิเศษคิ้วฉู่เชียนหลีขมวดจนแทบเป็นปมแล้วทำบ้าอะไร?ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ต่อสู้ไม่สะดวก จึงตะโกนออกไปข้างนอก “เยว่เอ๋อร์…”เพิ่งอ้าปาก เขาเดินมาทางนางกะทันหันพลันร่างกายสั่นไหวมาปรากฏตัวตรงหน้านางในพริบตาด้วยความเร็วที่ไวมาก เขาเอื้อมฝ่ามือใหญ่ออกไปคว้าแขนสองข้างของนาง ร่างกายโน้มไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวปราดเปรียว เรียบง่ายแต่หยาบกระด้าง ไม่มีอืดอาดยืดยาด“ท่านทำอะไร!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหด เกลียดการสัมผัสของคนอื่น มีเจตนาฆ่าปรากฏใน