“โอ๊ย คำพูดของอ๋องเฟิงทำให้ข้าน้อยกลัวจริงๆ พวกเราจะส่งผิดกระทั่งของสำคัญอย่างราชโองการได้อย่างไร?”ขันทีกล่าว“อีกอย่าง อ๋องเฉินเป็นคนขอออกรบเองไม่ใช่หรือ?”“อ๋องเฉินห่วงใยราษฎร เป็นวาสนาของราษฎร ฮ่าๆ ข้าน้อยขออวยพรอ๋องเฉินเดินทางโดยสวัสดิภาพ ชักธงชัยชนะศึก”ขันทีประสานมือโค้งคำนับ หลังจากพูดประจบสอพลอสองสามคำ ก็กลับวังไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่แล้วเฟิงเย่เสวียนถือราชโองการไว้ มองดูตัวอักษรข้างบน คิ้วขมวดคิ้วแน่นเขา?ขอออกรบเอง?เขาเคยพูดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?ฉู่เชียนหลีมองไปทางอ๋องเฟิง อ๋องเฟิงรีบกระโดดออกมาทันที“ข้าไม่รู้เรื่อง!”เขากลัวสามีภรรยาอ๋องเฉินเข้าใจผิด จึงรีบกล่าว “เย็นวันนี้ข้าเขียนจดหมายลับ สิ่งที่พูดถึงล้วนเป็นแผนการของอ๋องเจวี๋ย ไม่เอ่ยถึงอ๋องเฉินสักคำ!”ที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งหมดเขาสาบานได้!“ต้องมีคนเปลี่ยนจดหมายลับของข้า ทำให้เสด็จพ่อเข้าใจผิดแน่นอน!”ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!ไม่มีความเป็นไปได้ที่สองแล้วคนคนนี้เป็นใครกันแน่?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว “ตอนนั้นมีแต่ท่านกับอ๋องเจวี๋ยอยู่ที่ค่าย ยังมีใครอีก? แล้วมีใครรู้เรื่องที่ท่านส่งจดหมายลับ?”เมื
ฝ่ามืออุ่นๆ ของเฟิงเย่เสวียนกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาโอบเอวเล็กของนาง ดึงคนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนแน่น และวางคางลงบนศีรษะนางเบาๆกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ในเมื่อไม่อยากให้ไป เช่นนั้นมีอะไรอยากจะพูดหรืออยากจะทำ คืนนี้ก็พูดกับข้าให้หมด ไม่เช่นนั้นรอข้าไปแล้ว เจ้าอยากพูดก็ไม่มีที่พูดแล้ว”คำพูดนี้ราวกับเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายทำเอาฉู่เชียนหลีแสบจมูก เบ้าตาเริ่มพลุ่งพล่าน…“ข้าอยากไปกับเจ้า”“สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่น อีกทั้งท้องของเจ้าโตเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย”“ถ้าหากเจ้าไม่มีอะไรอยากพูดกับข้า ก็นอนเถอะ อีกสองชั่วยาม ข้าก็จะไปจัดกองกำลังพลที่ค่ายแล้ว”ทันทีที่ฟ้าสว่าง เขาก็จะออกเดินทางทันทีพลันร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาลึกยิ่งขึ้น และปลดปล่อยคำพูดที่อยู่เต็มอกออกมา“อาเฉิน ข้าเคยชินกับชีวิตที่มีเจ้าแล้ว เวลากินข้าว เจ้านั่งอยู่ข้างกาย เวลานอน เจ้ากอดข้านอน เวลาพักผ่อน เจ้านวดขาให้ข้า ทุกครั้งที่ข้าต้องการ เจ้าก็จะอยู่ข้างกายข้าตลอด”เมื่อนานวันเข้า นางเห็นเขาเป็นที่พึ่งพิงไปแล้วตอนเขาอยู่ ไม่มีเรื่องอะไรที่นางต้องกังวลเขาไปแล้
เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ เฟิงเย่เสวียนลุกจากเตียงด้วยการเคลื่อนไหวที่เบามาก เขาจากไปอย่างเงียบๆเขาคิดว่าฉู่เชียนหลีหลับแล้วในความเป็นจริง…ฉู่เชียนหลีตื่นตัวยิ่งกว่าใคร แต่นางแสร้งทำทีหลับสนิท นางกลัวว่าเมื่อนางเอ่ยปาก เมื่อนางลุกขึ้น ก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่ยอมปล่อยเขาไปฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินไปไกลของเขา…น้ำตาไหลออกมาเงียบๆทำหมอนเปียกชื้นและอุ่นผ่านไปเนิ่นนานเมื่ออารมณ์สงบลงเล็กน้อย จึงจะลุกขึ้น สวมเสื้อชั้นนอก เปิดประตูเดินออกมา“พระชายา ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ท่านจะลุกแล้วหรือเจ้าคะ?” เยว่เอ๋อร์ที่เฝ้ายามถาม“ท่านอ๋องจัดเตรียมกองกำลังพลใกล้เสร็จแล้วกระมัง ช่วยข้าล้างหน้าล้างตาหน่อย ข้าจะไปส่งเขา”เวลานี้ ในค่ายทหารกำลังจัดกำลังพลอยู่จริงๆ แต่หานอิ๋งเป็นคนจัด ส่วนอ๋องเฉินที่เป็นแม่ทัพออกรบ กลับไปปรากฏตัวที่จวนอ๋องเจวี๋ย“เจ้าเจ็ด?”อ๋องเจวี๋ยยังนอนอยู่ เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียนลอบเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ เขาตื่นตัวทันที และมีความหวาดระแวงหลายส่วนเฟิงเย่เสวียนยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง เอ่ยปากอย่างเย็นชา“พี่สาม การที่ข้าเรียกท่านว่าพี่ ท่านน่
ไปทั้งเช่นนี้แล้ว…ผ่านไปเนิ่นนาน ฉู่เชียนหลีจึงจะถอนสายตากลับ ราวกับถูกดูดพละกำลังทั้งหมดไป ร่างกายโซเซหนึ่งก้าวอย่างไม่มั่นคง“ระวัง!”มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจากด้านหลัง ประคองนางไว้อย่างมั่นคง“ใกล้จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ระวังหน่อย” เขากล่าวอย่างห่วงใยไม่หันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใครอ๋องหลีฉู่เชียนหลีจับผนังกำแพงเมือง ประคองร่างกายให้มั่นคง สงบสติอารมณ์บนใบหน้า จึงจะหมุนกายกลับมา “อ๋องหลียังไม่ไปอีกหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีมองนาง“ข้า…กลัวเจ้าเสียใจ ไม่อยากให้เจ้าอยู่คนเดียว”คำพูดของเขาคลุมเครือเล็กน้อย แต่หากตั้งใจฟังก็เหมือนเป็นแค่ความห่วงใยระหว่างเพื่อน ไม่มีปัญหาอะไรเดิมทีฉู่เชียนหลีควรเว้นระยะห่างกับเขา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องจดหมายลับของอ๋องเฟิงถูกสับเปลี่ยน…แววตาสั่นไหวเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธความห่วงใยของเขา และกล่าวไปตามบทสนทนาของเขา“ที่จริงอ๋องเฉินไม่ได้อยากออกรบ มีคนกลั่นแกล้งเขา”“ฮืม?”บนใบหน้าเฟิงเจิ้งหลีเผยให้เห็นความประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไร?”มือข้างหนึ่งฉู่เชียนหลีประคองกำแพง ส่วนมืออีกข้างจับท้อง นางเดินลงบันไดไปพลาง กล่าวไปพลาง“เมื่อคืนอ๋องเ
นางหัวเราะเสียงดัง ประกายบนใบหน้าสดใส คิ้วคลายออก แสดงท่าทางที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติออกมา“ที่จริงข้ารู้ว่าท่านเป็นคนดี แต่เพราะเรื่องสถานะของแม่ท่าน…คนมากมายโจมตีท่านทำร้ายท่านท่านจึงต้องปกป้องตัวเอง แต่ข้ารู้ว่าจิตใจของท่านดีงาม”ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“อ๋องหลี ไม่สู้พวกเราละทิ้งบุญคุณความแค้นในอดีต เป็นเพื่อนกันตลอดไปเถอะ”“เป็นอย่างไร?”เมื่อเฟิงเจิ้งหลีได้ยินเช่นนี้ พลันลมหายใจก็ชะงัก รีบมองไปที่ดวงตาของนาง มองทะลุเข้าไปในส่วนลึกของแววตา เหมือนกลัวตัวเองหูฝาดตอนนั้น นางกับเขาแตกหักนางเคยพูดว่า เจอกันอีกครั้งก็คือคนแปลกหน้าตอนนี้กลับยินดีปล่อยวางอดีต ผูกมิตรกับเขา เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อนัก“จริง จริงหรือ?”“จริงเท็จ เท็จจริงอะไร?” ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม“เมื่อก่อนท่านเคยช่วยข้าตั้งหลายครั้ง และก็ช่วยข้าตอนเซ่นไหว้สุสานบรรพชนอีก ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย จะมองไม่เห็นความดีของท่านได้อย่างไร? การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ต่างก็มีการให้ซึ่งกันและกัน ท่านดีกับข้า ข้าก็ดีกับท่าน”นางยินดีเป็นมิตรกับเขาเฟิงเจิ้งหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อย ความปลื้มปีติพุ่งพรวดเข้าม
“น้าสะใภ้ เสด็จป้า อยู่กันครบเลย!”ข้างนอก หลิงเชียนอี้มาแล้วท่าทางที่เขามาจวนอ๋องเฉินอย่างคุ้นเคยนั่น ราวกับมาบ้านตนเอง คุ้นเคยจนไม่สามารถคุ้นเคยได้อีกเมื่อเห็นอ๋องหลี เขาหรี่ตาอย่างเป็นปรปักษ์ฉู่เชียนหลีลุกขึ้น “ท่านโหวน้อยมาแล้ว วันนี้อวิ๋นอิงยังไม่ได้เปลี่ยนยาเลย เจ้าลองไปดูหน่อย?”หัวข้อสนทนานี้ไม่ได้เบี่ยงเบนความสนใจของหลิงเชียนอี้ท่านน้าเพิ่งไป อ๋องหลีก็พยายามเข้าหาน้าสะใภ้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาดี ท่านน้าไม่อยู่บ้าน เขาต้องระวังหน่อยพลันพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าไปเดี๋ยวนี้”เขาวางเมล็ดทานตะวันที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ “น้าสะใภ้ กิน”พูดจบ ก็สะบัดก้นเดินจากไปโดยไม่มองอ๋องหลีแม้แต่แวบเดียวเฟิงเจิ้งหลีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดูเหมือนท่านโหวน้อยจะหวั่นไหวจริงๆ แล้ว ถ้าหากเป็นกิ่งทองใบหยกจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี”ฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ หยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแบ่งให้อ๋องหลีครึ่งหนึ่งนั่งไปประมาณครึ่งชั่วยามอ๋องหลีกลับแล้ววันแรกที่เฟิงเย่เสวียนไป ฉู่เชียนหลีไม่ชินเลย ตอนกินข้าว มักจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง ต่อให้มีถงเฟยอยู่เป็นเพื่อน ก็ไม่มีความอยากอาหาร
พริบตานั่นร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง นางลุกขึ้นนั่ง จ้องอ๋องเจวี๋ยที่ปรากฏตัวกะทันหันอย่างหวาดระแวงแอบเข้ามาในจวนอ๋องเฉินดึกๆ ดื่นๆ ไม่ได้มาดีแน่นอนนางขมวดคิ้ว เสียงก็เย็นลงหลายส่วน“ไม่ทราบว่าอ๋องเจวี๋ยมาดึกดื่น มีธุระอะไร? ที่นี่คือจวนอ๋องเฉิน โปรดระวังสถานะด้วย!”ชายโสดหญิงม่ายอยู่กันตามลำพังในห้อง หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เกรงว่านางไม่รู้จะเอาไหนไปไว้ที่ไหนแน่เขายืนอยู่ตรงที่เดิม ไขว่มือขวาไว้ด้านหลังจากทิศทางที่ย้อนแสง ดวงตาที่ลึกลับคู่นั้นจ้องมาทางนางไม่พูดอะไรสักคำยามราตรี ร่างเงาสีดำ นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศของกลางคืนแปลกประหลาดเป็นพิเศษคิ้วฉู่เชียนหลีขมวดจนแทบเป็นปมแล้วทำบ้าอะไร?ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ต่อสู้ไม่สะดวก จึงตะโกนออกไปข้างนอก “เยว่เอ๋อร์…”เพิ่งอ้าปาก เขาเดินมาทางนางกะทันหันพลันร่างกายสั่นไหวมาปรากฏตัวตรงหน้านางในพริบตาด้วยความเร็วที่ไวมาก เขาเอื้อมฝ่ามือใหญ่ออกไปคว้าแขนสองข้างของนาง ร่างกายโน้มไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวปราดเปรียว เรียบง่ายแต่หยาบกระด้าง ไม่มีอืดอาดยืดยาด“ท่านทำอะไร!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหด เกลียดการสัมผัสของคนอื่น มีเจตนาฆ่าปรากฏใน
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้ากินข้าวหรือไม่? ออกกำลังกายหรือไม่? คิดถึงข้าจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยใช่หรือไม่? ฮืม?”เสียงของเขาแหบแห้ง กล่าวถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงที่เยาะเย้ยเล็กน้อยนั่น ทำให้ฉู่เชียนหลีหน้าแดงทันที ความคิดถูกมองออกโดยตรง…ไม่ยอมรับเด็ดขาด!“เจ้าหลงตัวเองจริงๆ” นางผลักหน้าอกของเขาออก มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรังเกียจ “ข้าอยากให้เจ้าไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้านอนเตียงใหญ่เช่นนี้คนเดียว กลิ้งไปกลิ้งมาสบายแค่ไหน”เฟิงเย่เสวียนมองนาง “ปากไม่ตรงกับใจ”“เปล่าสักหน่อย”“ปากอย่างใจอย่าง”“...”“ในเมื่อเจ้าไม่คิดถึงข้า เช่นนั้นข้าไปแล้ว”“...”รู้ว่าเขาอยู่ หัวใจฉู่เชียนหลีก็มั่นคงแล้ว “เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”กล่าวจบก็นอนลง ห่มผ้าให้เรียบร้อย ตาโตๆ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวามองเขาอย่างสงบเขากำลังรอให้นางขอให้เขาอยู่ต่อ หาได้เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดที่แสบแก้วหูเช่นนี้จากปากนางสายตาของนางกลับกำลังบอกว่าเจ้าไปสิ รีบไปเลย เหตุใดเจ้ายังยืนไม่ขยับ? ไม่อยากไปใช่ไหมล่ะ? เจ้ารีบไปเถอะยืนนิ่งครู่หนึ่งในที่สุดเฟิงเย่เสวียนก็แพ้แล้ว เขากัดฟัน กระโดดขึ้นเตียง
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋