“ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้ากินข้าวหรือไม่? ออกกำลังกายหรือไม่? คิดถึงข้าจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยใช่หรือไม่? ฮืม?”เสียงของเขาแหบแห้ง กล่าวถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงที่เยาะเย้ยเล็กน้อยนั่น ทำให้ฉู่เชียนหลีหน้าแดงทันที ความคิดถูกมองออกโดยตรง…ไม่ยอมรับเด็ดขาด!“เจ้าหลงตัวเองจริงๆ” นางผลักหน้าอกของเขาออก มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรังเกียจ “ข้าอยากให้เจ้าไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้านอนเตียงใหญ่เช่นนี้คนเดียว กลิ้งไปกลิ้งมาสบายแค่ไหน”เฟิงเย่เสวียนมองนาง “ปากไม่ตรงกับใจ”“เปล่าสักหน่อย”“ปากอย่างใจอย่าง”“...”“ในเมื่อเจ้าไม่คิดถึงข้า เช่นนั้นข้าไปแล้ว”“...”รู้ว่าเขาอยู่ หัวใจฉู่เชียนหลีก็มั่นคงแล้ว “เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”กล่าวจบก็นอนลง ห่มผ้าให้เรียบร้อย ตาโตๆ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวามองเขาอย่างสงบเขากำลังรอให้นางขอให้เขาอยู่ต่อ หาได้เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดที่แสบแก้วหูเช่นนี้จากปากนางสายตาของนางกลับกำลังบอกว่าเจ้าไปสิ รีบไปเลย เหตุใดเจ้ายังยืนไม่ขยับ? ไม่อยากไปใช่ไหมล่ะ? เจ้ารีบไปเถอะยืนนิ่งครู่หนึ่งในที่สุดเฟิงเย่เสวียนก็แพ้แล้ว เขากัดฟัน กระโดดขึ้นเตียง
ฉู่เชียนหลีใบหน้างุนงง ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ถูกถงเฟยจับมือทั้งสองข้างแน่น พูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี“เจ้าอย่าได้คิดไม่ตกเด็ดขาดเชียวนะ!”“เฉินเอ๋อร์เขาใกล้จะกลับมาแล้ว!”“อ๋องหลีนั่นไม่คู่ควรกับเจ้า เจ้าอย่าได้ทำอะไรเลอะเลือนเชียว!”“...”ฉู่เชียนหลีพอจะเข้าจับใจความเจตนาของถงเฟยได้แล้ว สีหน้าคร่ำเครียดขึ้นมาเล็กน้อยทันทีทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ยังไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก ก็ถูกถงเฟยตราหน้าว่าเป็น ‘หญิงที่กำลังจะนอกใจสามี’ เสียแล้ว ทำให้นางร้องไห้ก็ไม่ได้ ยิ้มก็ยิ้มไม่ออกสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกว่ากันหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“เสด็จแม่ แนวทางความคิดของท่านช่างโลดแล่นจริง ๆความคิดก็มากมายหลากหลาย ข้าพูดคุยกับอ๋องหลี ก็จะต้องเป็นหญิงนอกใจสามีเสียแล้ว ถ้าข้าไม่อยากทานอาหารเช้า ก็จะต้องตายเพราะประท้วงอดอาหารใช่หรือไม่?”“ถุย ๆๆ! ตายเตยอะไรกัน ห้ามพูดจาเหลวไหล!”ถงเฟยตบปากเบา ๆคายเรื่องอัปมงคลทิ้ง“ต่อไปห้ามพูด เรื่องอัปมงคล”“ข้าเพียงแค่เห็นว่าทันทีที่เฉินเอ๋อร์ไป อ๋องหลีก็วิ่งมาหาถึงที่จวนอย่างเปิดเผย นี่ไม่ใ
เมื่อพูดถึงเรื่องไปเที่ยวเล่น ถงเฟยก็กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เดิมทียังเป็นกังวลใจว่าอ๋องเฉินไปแล้ว ฉู่เชียนหลีอยู่คนเดียวจะทุกข์ใจ ได้พานางออกไปเดินเล่น ผ่อนคลายจิตใจ คงจะดีไม่น้อยนางมีความกระตือรือร้นมากกว่าอ๋องหลีเสียอีก โอบฉู่เชียนหลีกำลังจะออกจากจวนเมื่อมองสีหน้าของอ๋องหลี ได้สำลักจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว “...”แผนการคือเดินทางกันสองคน กลายเป็นการเดินทางสามคนไปแล้วแม้ว่าในใจจะไม่พอใจ แต่ก็พูดไม่ออกตอนที่กำลังจะออกจากจวน เยว่เอ๋อร์กำลังจะตามไป ทันใดนั้นฉู่เชียนหลีก็ดึงมาอีกข้าง “ข้ากับเสด็จแม่ออกไปกันสองคนก็พอ เจ้าอยู่ที่จวนเถอะ”เยว่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ“เพราะเหตุใด?”เมื่อก่อน ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปที่ไหน นางก็ต้องตามติดพระชายาไปทุกฝีก้าวฉู่เชียนหลีดวงตาล้ำลึก กวาดสายตามองอ๋องหลีที่ยืนอยู่ด้านนอกจวน กำลังจะออกเดินทางแวบหนึ่ง ดวงตามีแสงสลัวเกิดขึ้นในดวงตาแวบหนึ่ง กล่าว“ท่านอ๋องไม่อยู่บ้าน เจ้าอยู่ที่จวน เฝ้าจวนเอาไว้ให้ดี ข้าออกไปเที่ยวข้างนอกประเดี๋ยวก็กลับ”พูดจบ ก็เดินออกไปเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่กับที่ เกาหัวอย่างสงสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทำไมถึงต้
“เสียวฉู่ เจ้าไร้เดียงสามากเกินไปแล้ว อย่าได้คลายความระแวดระวังลง เพียงเพราะใครคนหนึ่งทำดีต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นหมาป่าที่ใส่หน้ากากตัวหนึ่งก็ได้”ถงเฟยมีความหวาดระแวงลูกชายของนางกำนัลคนหนึ่ง สามารถปีนมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ได้ ทั้งยังได้รับหน้าที่ที่สำคัญอย่างเช่นพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษขนาดนี้ มองออกได้ไม่ยากว่ากลอุบายของเขาไม่ธรรมดานางกังวลใจ คนแบบนี้ จะส่งผลดีต่ออ๋องเฉินฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นภายในใจของนางราวกับกระจกบานหนึ่งเพียงแต่ เรื่องที่อ๋องเฉินอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด นางไม่สามารถบอกถงเฟยได้ ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง กล่าว“ไม่หรอก ข้ารู้สึกว่าอ๋องหลีดีมากเลยทีเดียว”“!”ถงเฟยสีหน้าปกติทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว แล้วก็รุนแรงด้วย จำเป็นต้องปรับแก้ไขความคิดของฉู่เชียนหลีให้ถูกต้อง“เสียวฉู่ เจ้าท่องตามข้า” นางกางมือซ้ายของฉู่เชียนหลีออก นิ้วชี้จิ้มไปที่ฝ่ามืออันอวบอิ่มของนาง เอ่ยปากพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จื่อเวิงเฟิง จื่อเอินเจิ้ง เลยอีฮ่วย”“เฟิงเจิ้งฮ่วย[1]”“?”“?”ไม่ใช่เลยอีหลีหรอกหรือ?ฉู่เชียนหลี
เรียกทีเดียว สองคำ ทำให้ฝีเท้าของเยว่เอ๋อร์ชะงักหยุดอยู่กับที่ทันที ก็ทำให้เกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาทันทีอ๋องหลีคงจะไม่ใช่ว่าเห็นนางแล้ว คิดจะฆ่านางปิดปากหรอกใช่หรือไม่?เมื่อนึกได้เช่นนี้ สีหน้าก็ซีดขาวยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ จ้องมองชายหนุ่มที่ค่อย ๆเดินเข้ามาหานาง ร่างกายรู้สึกตึงเครียดขึ้นอย่างอดไม่ได้ แม้แต่ลมหายใจก็ตื่นเต้นขึ้น“ทะ...ท่านอ๋องหลี...”ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ หรี่ดวงตาเล็กน้อย จ้องมองนาง“เจ้าชื่อเยว่เอ๋อร์ใช่หรือไม่?”สีหน้าที่สงบนิ่งของเขา ท่าทางที่เอ้อระเหยลอยชายนั่น ราวกับว่าเป็นบ้านของตนเอง แม้ว่าจะถูกพบเข้าแล้ว ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อยเยว่เอ๋อร์มีความลนลานเล็กน้อย“ชะ ใช่...”เหตุใดจึงรู้สึกว่าอ๋องหลีเป็นเจ้านายของจวนแห่งนี้ แต่นางเป็นโจรชั่วที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาเสียละ?ไม่ใช่!เหตุใดนางถึงต้องถูกอ๋องหลีทำให้ตกใจด้วยเล่า?นางจะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกแก่พระชายา! เพื่อให้พระชายารู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของอ๋องหลี!อ๋องหลีเข้าใกล้พระชายา เพราะมีแผนการชั่วร้าย จะต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแน่!เฟิงเจิ้งหลียิ้ม“เยว่เอ๋อร์เอย ครั้งก่อนที่ตระกูล
อ๋องหลีคนนี้ ไม่อยู่ที่จวนตัวเอง ไม่อยู่เป็นเพื่อนพระชายาของตน ต้องคอยมากระแซะอยู่ข้าง ๆ ฉู่เชียนหลีทุกวัน ทันทีที่เห็นก็รู้สึกไม่สบายใจไม่ว่าเขาจะมีแผนการร้ายอะไร ขอเพียงแค่นางกินของพวกนี้จนหมด อ๋องหลีก็จะทำร้ายฉู่เชียนหลีไม่ได้แล้วเมื่อคิดได้ดังนั้น ถงเฟยก็ยิ้มอย่างด้วยใบหน้าเบิกบาน“ท่านอ๋องหลีมีน้ำใจเช่นนี้ ในโลกนี้มีน้อยนัก เพียงแต่ วันนี้แดดดีมาก เหตุใดจึงไม่เห็นพระชายาอ๋องหลีละ?”นางพลางถาม พลางหยิบปลาน้อยแห้งสองสามตัว ใส่เข้าไปในปาก“ซี้ด เผ็ดไปหน่อย เสียวฉู่ เจ้าห้ามกิน”อ๋องหลี “...”สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าถูกเพ่งเล็งแล้วรอยยิ้มบาง ๆ อันอบอุ่นที่อยู่บนใบหน้า สีหน้าไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจแม้แต่น้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ“พระชายาอ๋องหลีสุขภาพไม่แข็งแรง กำลังอยู่ในระหว่างบำรุงครรภ์ ไม่สะดวกออกจากจวน”“งั้นหรือ? ถ้านางตั้งท้องอยู่แล้วยังไม่สบายอีก เหตุใดท่านถึงไม่อยู่เป็นเพื่อนนางละ?” ถงเฟยซักไซ้ “ถ้าหากถูกนางรู้เข้าว่าท่านออกมาเที่ยวเล่นกับฉู่เชียนหลีเข้าละก็ จะต้องไม่พอใจแน่ ๆใช่หรือไม่?”“...”รอยยิ้มของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเพียงแค่ชั่วขณะเดียว ก็ยิ้มบา
“เสี่ยวเอ้อร์ ห่อยาพวกนี้ให้ข้าหน่อย” ฉู่เชียนหลีชี้สมุนไพรสิบกว่าชนิด มีทั้งแห้งและแบบที่เพิ่งเก็บมาล้วนเป็นยาที่มีสรรพคุณเย็น“ขอรับ ฮูหยิน”ผู้ช่วยหมอนำถุงกระดาษมาห่อทีละอย่างสายตาที่ลึกซึ้งของเฟิงเจิ้งหลีมองมา จดจำชื่อและหน้าตาของสมุนไพรเหล่านั้นทีละอย่าง…เดินเตร่ครู่หนึ่ง ฉู่เชียนหลีกลับจวน ทั้งสองแยกกันจวนอ๋องหลี“ท่านอ๋องกลับแล้วหรือ” ปัจจุบันอูหนูเคลื่อนไหวอย่างอิสระในจวนอ๋องหลี เมื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่หญิงสาวในเมืองหลวงสวมใส่ ช่วยลดกลิ่นอายของเหมียวเจียงลงหลายส่วน แต่ใบหน้าที่มีเค้าโครงชัดเจนนั่น ยังคงสวยงามมากเฟิงเจิ้งหลีเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หลักมองอูหนูแวบหนึ่งอย่างครุ่นคิดทันใดนั้น กระดิกนิ้วทีหนึ่ง อูหนูเดินเข้ามาสองสามก้าวอย่างเข้าใจ“หญ้ารากแดง อูจื่อเอ๋อร์ ใบงู สมุนไพรพวกนี้ใช้รักษาอะไร?” เขาถามนี่เป็นสมุนไพรที่ฉู่เชียนหลีซื้อในโรงหมอ เขาสังเกตอย่างละเอียดอูหนูเชี่ยวชาญวิชามนตร์ดำพิษกู่ โดยเฉพาะด้านสมุนไพรยิ่งมีประสบการณ์ เมื่อได้ยินชื่อสมุนไพรเหล่านี้ ก็รู้สรรพคุณแล้ว“ท่านอ๋อง เป็นของเย็นทั้งหมด”“สมุนไพรที่เย็นเกินไป ใช้เป็นยาได้เพียงครั้ง
“นี่พูดอะไร? เจ้าดูเฉินเอ๋อร์ แล้วลองดูเจ้า ลูกที่เกิดจากมังกรและหงส์ จะด้อยไปถึงไหนกันเชียว?” ถงเฟยชื่นชมด้วยรอยยิ้ม“ใช่เจ้าค่ะ!”เยว่เอ๋อร์ถือน้ำอุ่นกะละมังหนึ่งเข้ามาฉู่เชียนหลีจับสมุนไพรมาครึ่งวันแล้ว ล้างมือให้นางก่อนค่อยกิน“เท่าที่ข้าดู วันข้างหน้าท่านอ๋องน้อยจะฉลาดเหมือนท่านอ๋อง หลักแหลมเหมือนพระชายา ไม่รู้ว่าลูกสาวบ้านไหนจะคู่ควรนะ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มลูกยังไม่ทันเกิด นึกถึงกระทั่งสะใภ้ในอนาคตแล้วฉู่เชียนหลี “...”สองคนนี้ เหตุใดดูรีบร้อนยิ่งกว่านางที่เป็นแม่คนนี้?ยิ่งพูดยิ่งไปไกลล้างมือ กินถั่วเขียวต้ม เย็นสดชื่น“แต่ว่านะเสียวฉู่ เจ้าพลิกไปพลิกมาดูสมุนไพรพวกนี้ทำไม?” ถงเฟยไม่มีความรู้เรื่องยา มองดูสมุนไพรหลากสีเหล่านั้นด้วยความสงสัย“ข้าเห็นเจ้าทำมาครึ่งวันแล้ว กำลังศึกษายาอะไรหรือ? ดูเหมือนยากมากเลย?”ฉู่เชียนหลีกลืนถั่วเขียวต้มที่เย็นสดชื่น กล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจคำหนึ่ง“ฮ่องเต้ให้ข้าทำ”เพราะถงเฟยกับเยว่เอ๋อร์ต่างก็เป็นคนที่เชื่อใจได้ นางอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลาย คำพูดก็ย่อมตามใจและเป็นธรรมชาติ“เขาบอกว่าฤทธิ์ยาของดอกไม้แห่งความตายรุนแรงเกินไป ฮองเฮากินแค