ไปทั้งเช่นนี้แล้ว…ผ่านไปเนิ่นนาน ฉู่เชียนหลีจึงจะถอนสายตากลับ ราวกับถูกดูดพละกำลังทั้งหมดไป ร่างกายโซเซหนึ่งก้าวอย่างไม่มั่นคง“ระวัง!”มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจากด้านหลัง ประคองนางไว้อย่างมั่นคง“ใกล้จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ระวังหน่อย” เขากล่าวอย่างห่วงใยไม่หันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใครอ๋องหลีฉู่เชียนหลีจับผนังกำแพงเมือง ประคองร่างกายให้มั่นคง สงบสติอารมณ์บนใบหน้า จึงจะหมุนกายกลับมา “อ๋องหลียังไม่ไปอีกหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีมองนาง“ข้า…กลัวเจ้าเสียใจ ไม่อยากให้เจ้าอยู่คนเดียว”คำพูดของเขาคลุมเครือเล็กน้อย แต่หากตั้งใจฟังก็เหมือนเป็นแค่ความห่วงใยระหว่างเพื่อน ไม่มีปัญหาอะไรเดิมทีฉู่เชียนหลีควรเว้นระยะห่างกับเขา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องจดหมายลับของอ๋องเฟิงถูกสับเปลี่ยน…แววตาสั่นไหวเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธความห่วงใยของเขา และกล่าวไปตามบทสนทนาของเขา“ที่จริงอ๋องเฉินไม่ได้อยากออกรบ มีคนกลั่นแกล้งเขา”“ฮืม?”บนใบหน้าเฟิงเจิ้งหลีเผยให้เห็นความประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไร?”มือข้างหนึ่งฉู่เชียนหลีประคองกำแพง ส่วนมืออีกข้างจับท้อง นางเดินลงบันไดไปพลาง กล่าวไปพลาง“เมื่อคืนอ๋องเ
นางหัวเราะเสียงดัง ประกายบนใบหน้าสดใส คิ้วคลายออก แสดงท่าทางที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติออกมา“ที่จริงข้ารู้ว่าท่านเป็นคนดี แต่เพราะเรื่องสถานะของแม่ท่าน…คนมากมายโจมตีท่านทำร้ายท่านท่านจึงต้องปกป้องตัวเอง แต่ข้ารู้ว่าจิตใจของท่านดีงาม”ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“อ๋องหลี ไม่สู้พวกเราละทิ้งบุญคุณความแค้นในอดีต เป็นเพื่อนกันตลอดไปเถอะ”“เป็นอย่างไร?”เมื่อเฟิงเจิ้งหลีได้ยินเช่นนี้ พลันลมหายใจก็ชะงัก รีบมองไปที่ดวงตาของนาง มองทะลุเข้าไปในส่วนลึกของแววตา เหมือนกลัวตัวเองหูฝาดตอนนั้น นางกับเขาแตกหักนางเคยพูดว่า เจอกันอีกครั้งก็คือคนแปลกหน้าตอนนี้กลับยินดีปล่อยวางอดีต ผูกมิตรกับเขา เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อนัก“จริง จริงหรือ?”“จริงเท็จ เท็จจริงอะไร?” ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม“เมื่อก่อนท่านเคยช่วยข้าตั้งหลายครั้ง และก็ช่วยข้าตอนเซ่นไหว้สุสานบรรพชนอีก ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย จะมองไม่เห็นความดีของท่านได้อย่างไร? การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ต่างก็มีการให้ซึ่งกันและกัน ท่านดีกับข้า ข้าก็ดีกับท่าน”นางยินดีเป็นมิตรกับเขาเฟิงเจิ้งหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อย ความปลื้มปีติพุ่งพรวดเข้าม
“น้าสะใภ้ เสด็จป้า อยู่กันครบเลย!”ข้างนอก หลิงเชียนอี้มาแล้วท่าทางที่เขามาจวนอ๋องเฉินอย่างคุ้นเคยนั่น ราวกับมาบ้านตนเอง คุ้นเคยจนไม่สามารถคุ้นเคยได้อีกเมื่อเห็นอ๋องหลี เขาหรี่ตาอย่างเป็นปรปักษ์ฉู่เชียนหลีลุกขึ้น “ท่านโหวน้อยมาแล้ว วันนี้อวิ๋นอิงยังไม่ได้เปลี่ยนยาเลย เจ้าลองไปดูหน่อย?”หัวข้อสนทนานี้ไม่ได้เบี่ยงเบนความสนใจของหลิงเชียนอี้ท่านน้าเพิ่งไป อ๋องหลีก็พยายามเข้าหาน้าสะใภ้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาดี ท่านน้าไม่อยู่บ้าน เขาต้องระวังหน่อยพลันพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าไปเดี๋ยวนี้”เขาวางเมล็ดทานตะวันที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ “น้าสะใภ้ กิน”พูดจบ ก็สะบัดก้นเดินจากไปโดยไม่มองอ๋องหลีแม้แต่แวบเดียวเฟิงเจิ้งหลีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดูเหมือนท่านโหวน้อยจะหวั่นไหวจริงๆ แล้ว ถ้าหากเป็นกิ่งทองใบหยกจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี”ฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ หยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแบ่งให้อ๋องหลีครึ่งหนึ่งนั่งไปประมาณครึ่งชั่วยามอ๋องหลีกลับแล้ววันแรกที่เฟิงเย่เสวียนไป ฉู่เชียนหลีไม่ชินเลย ตอนกินข้าว มักจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง ต่อให้มีถงเฟยอยู่เป็นเพื่อน ก็ไม่มีความอยากอาหาร
พริบตานั่นร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง นางลุกขึ้นนั่ง จ้องอ๋องเจวี๋ยที่ปรากฏตัวกะทันหันอย่างหวาดระแวงแอบเข้ามาในจวนอ๋องเฉินดึกๆ ดื่นๆ ไม่ได้มาดีแน่นอนนางขมวดคิ้ว เสียงก็เย็นลงหลายส่วน“ไม่ทราบว่าอ๋องเจวี๋ยมาดึกดื่น มีธุระอะไร? ที่นี่คือจวนอ๋องเฉิน โปรดระวังสถานะด้วย!”ชายโสดหญิงม่ายอยู่กันตามลำพังในห้อง หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เกรงว่านางไม่รู้จะเอาไหนไปไว้ที่ไหนแน่เขายืนอยู่ตรงที่เดิม ไขว่มือขวาไว้ด้านหลังจากทิศทางที่ย้อนแสง ดวงตาที่ลึกลับคู่นั้นจ้องมาทางนางไม่พูดอะไรสักคำยามราตรี ร่างเงาสีดำ นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศของกลางคืนแปลกประหลาดเป็นพิเศษคิ้วฉู่เชียนหลีขมวดจนแทบเป็นปมแล้วทำบ้าอะไร?ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ต่อสู้ไม่สะดวก จึงตะโกนออกไปข้างนอก “เยว่เอ๋อร์…”เพิ่งอ้าปาก เขาเดินมาทางนางกะทันหันพลันร่างกายสั่นไหวมาปรากฏตัวตรงหน้านางในพริบตาด้วยความเร็วที่ไวมาก เขาเอื้อมฝ่ามือใหญ่ออกไปคว้าแขนสองข้างของนาง ร่างกายโน้มไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวปราดเปรียว เรียบง่ายแต่หยาบกระด้าง ไม่มีอืดอาดยืดยาด“ท่านทำอะไร!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหด เกลียดการสัมผัสของคนอื่น มีเจตนาฆ่าปรากฏใน
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้ากินข้าวหรือไม่? ออกกำลังกายหรือไม่? คิดถึงข้าจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยใช่หรือไม่? ฮืม?”เสียงของเขาแหบแห้ง กล่าวถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงที่เยาะเย้ยเล็กน้อยนั่น ทำให้ฉู่เชียนหลีหน้าแดงทันที ความคิดถูกมองออกโดยตรง…ไม่ยอมรับเด็ดขาด!“เจ้าหลงตัวเองจริงๆ” นางผลักหน้าอกของเขาออก มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรังเกียจ “ข้าอยากให้เจ้าไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้านอนเตียงใหญ่เช่นนี้คนเดียว กลิ้งไปกลิ้งมาสบายแค่ไหน”เฟิงเย่เสวียนมองนาง “ปากไม่ตรงกับใจ”“เปล่าสักหน่อย”“ปากอย่างใจอย่าง”“...”“ในเมื่อเจ้าไม่คิดถึงข้า เช่นนั้นข้าไปแล้ว”“...”รู้ว่าเขาอยู่ หัวใจฉู่เชียนหลีก็มั่นคงแล้ว “เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”กล่าวจบก็นอนลง ห่มผ้าให้เรียบร้อย ตาโตๆ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวามองเขาอย่างสงบเขากำลังรอให้นางขอให้เขาอยู่ต่อ หาได้เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดที่แสบแก้วหูเช่นนี้จากปากนางสายตาของนางกลับกำลังบอกว่าเจ้าไปสิ รีบไปเลย เหตุใดเจ้ายังยืนไม่ขยับ? ไม่อยากไปใช่ไหมล่ะ? เจ้ารีบไปเถอะยืนนิ่งครู่หนึ่งในที่สุดเฟิงเย่เสวียนก็แพ้แล้ว เขากัดฟัน กระโดดขึ้นเตียง
ฉู่เชียนหลีใบหน้างุนงง ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ถูกถงเฟยจับมือทั้งสองข้างแน่น พูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี“เจ้าอย่าได้คิดไม่ตกเด็ดขาดเชียวนะ!”“เฉินเอ๋อร์เขาใกล้จะกลับมาแล้ว!”“อ๋องหลีนั่นไม่คู่ควรกับเจ้า เจ้าอย่าได้ทำอะไรเลอะเลือนเชียว!”“...”ฉู่เชียนหลีพอจะเข้าจับใจความเจตนาของถงเฟยได้แล้ว สีหน้าคร่ำเครียดขึ้นมาเล็กน้อยทันทีทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ยังไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก ก็ถูกถงเฟยตราหน้าว่าเป็น ‘หญิงที่กำลังจะนอกใจสามี’ เสียแล้ว ทำให้นางร้องไห้ก็ไม่ได้ ยิ้มก็ยิ้มไม่ออกสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกว่ากันหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“เสด็จแม่ แนวทางความคิดของท่านช่างโลดแล่นจริง ๆความคิดก็มากมายหลากหลาย ข้าพูดคุยกับอ๋องหลี ก็จะต้องเป็นหญิงนอกใจสามีเสียแล้ว ถ้าข้าไม่อยากทานอาหารเช้า ก็จะต้องตายเพราะประท้วงอดอาหารใช่หรือไม่?”“ถุย ๆๆ! ตายเตยอะไรกัน ห้ามพูดจาเหลวไหล!”ถงเฟยตบปากเบา ๆคายเรื่องอัปมงคลทิ้ง“ต่อไปห้ามพูด เรื่องอัปมงคล”“ข้าเพียงแค่เห็นว่าทันทีที่เฉินเอ๋อร์ไป อ๋องหลีก็วิ่งมาหาถึงที่จวนอย่างเปิดเผย นี่ไม่ใ
เมื่อพูดถึงเรื่องไปเที่ยวเล่น ถงเฟยก็กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เดิมทียังเป็นกังวลใจว่าอ๋องเฉินไปแล้ว ฉู่เชียนหลีอยู่คนเดียวจะทุกข์ใจ ได้พานางออกไปเดินเล่น ผ่อนคลายจิตใจ คงจะดีไม่น้อยนางมีความกระตือรือร้นมากกว่าอ๋องหลีเสียอีก โอบฉู่เชียนหลีกำลังจะออกจากจวนเมื่อมองสีหน้าของอ๋องหลี ได้สำลักจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว “...”แผนการคือเดินทางกันสองคน กลายเป็นการเดินทางสามคนไปแล้วแม้ว่าในใจจะไม่พอใจ แต่ก็พูดไม่ออกตอนที่กำลังจะออกจากจวน เยว่เอ๋อร์กำลังจะตามไป ทันใดนั้นฉู่เชียนหลีก็ดึงมาอีกข้าง “ข้ากับเสด็จแม่ออกไปกันสองคนก็พอ เจ้าอยู่ที่จวนเถอะ”เยว่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ“เพราะเหตุใด?”เมื่อก่อน ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปที่ไหน นางก็ต้องตามติดพระชายาไปทุกฝีก้าวฉู่เชียนหลีดวงตาล้ำลึก กวาดสายตามองอ๋องหลีที่ยืนอยู่ด้านนอกจวน กำลังจะออกเดินทางแวบหนึ่ง ดวงตามีแสงสลัวเกิดขึ้นในดวงตาแวบหนึ่ง กล่าว“ท่านอ๋องไม่อยู่บ้าน เจ้าอยู่ที่จวน เฝ้าจวนเอาไว้ให้ดี ข้าออกไปเที่ยวข้างนอกประเดี๋ยวก็กลับ”พูดจบ ก็เดินออกไปเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่กับที่ เกาหัวอย่างสงสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทำไมถึงต้
“เสียวฉู่ เจ้าไร้เดียงสามากเกินไปแล้ว อย่าได้คลายความระแวดระวังลง เพียงเพราะใครคนหนึ่งทำดีต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นหมาป่าที่ใส่หน้ากากตัวหนึ่งก็ได้”ถงเฟยมีความหวาดระแวงลูกชายของนางกำนัลคนหนึ่ง สามารถปีนมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ได้ ทั้งยังได้รับหน้าที่ที่สำคัญอย่างเช่นพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษขนาดนี้ มองออกได้ไม่ยากว่ากลอุบายของเขาไม่ธรรมดานางกังวลใจ คนแบบนี้ จะส่งผลดีต่ออ๋องเฉินฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นภายในใจของนางราวกับกระจกบานหนึ่งเพียงแต่ เรื่องที่อ๋องเฉินอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด นางไม่สามารถบอกถงเฟยได้ ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง กล่าว“ไม่หรอก ข้ารู้สึกว่าอ๋องหลีดีมากเลยทีเดียว”“!”ถงเฟยสีหน้าปกติทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว แล้วก็รุนแรงด้วย จำเป็นต้องปรับแก้ไขความคิดของฉู่เชียนหลีให้ถูกต้อง“เสียวฉู่ เจ้าท่องตามข้า” นางกางมือซ้ายของฉู่เชียนหลีออก นิ้วชี้จิ้มไปที่ฝ่ามืออันอวบอิ่มของนาง เอ่ยปากพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จื่อเวิงเฟิง จื่อเอินเจิ้ง เลยอีฮ่วย”“เฟิงเจิ้งฮ่วย[1]”“?”“?”ไม่ใช่เลยอีหลีหรอกหรือ?ฉู่เชียนหลี