นางหัวเราะเสียงดัง ประกายบนใบหน้าสดใส คิ้วคลายออก แสดงท่าทางที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติออกมา“ที่จริงข้ารู้ว่าท่านเป็นคนดี แต่เพราะเรื่องสถานะของแม่ท่าน…คนมากมายโจมตีท่านทำร้ายท่านท่านจึงต้องปกป้องตัวเอง แต่ข้ารู้ว่าจิตใจของท่านดีงาม”ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“อ๋องหลี ไม่สู้พวกเราละทิ้งบุญคุณความแค้นในอดีต เป็นเพื่อนกันตลอดไปเถอะ”“เป็นอย่างไร?”เมื่อเฟิงเจิ้งหลีได้ยินเช่นนี้ พลันลมหายใจก็ชะงัก รีบมองไปที่ดวงตาของนาง มองทะลุเข้าไปในส่วนลึกของแววตา เหมือนกลัวตัวเองหูฝาดตอนนั้น นางกับเขาแตกหักนางเคยพูดว่า เจอกันอีกครั้งก็คือคนแปลกหน้าตอนนี้กลับยินดีปล่อยวางอดีต ผูกมิตรกับเขา เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อนัก“จริง จริงหรือ?”“จริงเท็จ เท็จจริงอะไร?” ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม“เมื่อก่อนท่านเคยช่วยข้าตั้งหลายครั้ง และก็ช่วยข้าตอนเซ่นไหว้สุสานบรรพชนอีก ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย จะมองไม่เห็นความดีของท่านได้อย่างไร? การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ต่างก็มีการให้ซึ่งกันและกัน ท่านดีกับข้า ข้าก็ดีกับท่าน”นางยินดีเป็นมิตรกับเขาเฟิงเจิ้งหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อย ความปลื้มปีติพุ่งพรวดเข้าม
“น้าสะใภ้ เสด็จป้า อยู่กันครบเลย!”ข้างนอก หลิงเชียนอี้มาแล้วท่าทางที่เขามาจวนอ๋องเฉินอย่างคุ้นเคยนั่น ราวกับมาบ้านตนเอง คุ้นเคยจนไม่สามารถคุ้นเคยได้อีกเมื่อเห็นอ๋องหลี เขาหรี่ตาอย่างเป็นปรปักษ์ฉู่เชียนหลีลุกขึ้น “ท่านโหวน้อยมาแล้ว วันนี้อวิ๋นอิงยังไม่ได้เปลี่ยนยาเลย เจ้าลองไปดูหน่อย?”หัวข้อสนทนานี้ไม่ได้เบี่ยงเบนความสนใจของหลิงเชียนอี้ท่านน้าเพิ่งไป อ๋องหลีก็พยายามเข้าหาน้าสะใภ้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาดี ท่านน้าไม่อยู่บ้าน เขาต้องระวังหน่อยพลันพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าไปเดี๋ยวนี้”เขาวางเมล็ดทานตะวันที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ “น้าสะใภ้ กิน”พูดจบ ก็สะบัดก้นเดินจากไปโดยไม่มองอ๋องหลีแม้แต่แวบเดียวเฟิงเจิ้งหลีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดูเหมือนท่านโหวน้อยจะหวั่นไหวจริงๆ แล้ว ถ้าหากเป็นกิ่งทองใบหยกจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี”ฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ หยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแบ่งให้อ๋องหลีครึ่งหนึ่งนั่งไปประมาณครึ่งชั่วยามอ๋องหลีกลับแล้ววันแรกที่เฟิงเย่เสวียนไป ฉู่เชียนหลีไม่ชินเลย ตอนกินข้าว มักจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง ต่อให้มีถงเฟยอยู่เป็นเพื่อน ก็ไม่มีความอยากอาหาร
พริบตานั่นร่างกายฉู่เชียนหลีหดเกร็ง นางลุกขึ้นนั่ง จ้องอ๋องเจวี๋ยที่ปรากฏตัวกะทันหันอย่างหวาดระแวงแอบเข้ามาในจวนอ๋องเฉินดึกๆ ดื่นๆ ไม่ได้มาดีแน่นอนนางขมวดคิ้ว เสียงก็เย็นลงหลายส่วน“ไม่ทราบว่าอ๋องเจวี๋ยมาดึกดื่น มีธุระอะไร? ที่นี่คือจวนอ๋องเฉิน โปรดระวังสถานะด้วย!”ชายโสดหญิงม่ายอยู่กันตามลำพังในห้อง หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เกรงว่านางไม่รู้จะเอาไหนไปไว้ที่ไหนแน่เขายืนอยู่ตรงที่เดิม ไขว่มือขวาไว้ด้านหลังจากทิศทางที่ย้อนแสง ดวงตาที่ลึกลับคู่นั้นจ้องมาทางนางไม่พูดอะไรสักคำยามราตรี ร่างเงาสีดำ นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศของกลางคืนแปลกประหลาดเป็นพิเศษคิ้วฉู่เชียนหลีขมวดจนแทบเป็นปมแล้วทำบ้าอะไร?ตอนนี้นางตั้งครรภ์ ต่อสู้ไม่สะดวก จึงตะโกนออกไปข้างนอก “เยว่เอ๋อร์…”เพิ่งอ้าปาก เขาเดินมาทางนางกะทันหันพลันร่างกายสั่นไหวมาปรากฏตัวตรงหน้านางในพริบตาด้วยความเร็วที่ไวมาก เขาเอื้อมฝ่ามือใหญ่ออกไปคว้าแขนสองข้างของนาง ร่างกายโน้มไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวปราดเปรียว เรียบง่ายแต่หยาบกระด้าง ไม่มีอืดอาดยืดยาด“ท่านทำอะไร!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหด เกลียดการสัมผัสของคนอื่น มีเจตนาฆ่าปรากฏใน
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้ากินข้าวหรือไม่? ออกกำลังกายหรือไม่? คิดถึงข้าจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยใช่หรือไม่? ฮืม?”เสียงของเขาแหบแห้ง กล่าวถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงที่เยาะเย้ยเล็กน้อยนั่น ทำให้ฉู่เชียนหลีหน้าแดงทันที ความคิดถูกมองออกโดยตรง…ไม่ยอมรับเด็ดขาด!“เจ้าหลงตัวเองจริงๆ” นางผลักหน้าอกของเขาออก มุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรังเกียจ “ข้าอยากให้เจ้าไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้านอนเตียงใหญ่เช่นนี้คนเดียว กลิ้งไปกลิ้งมาสบายแค่ไหน”เฟิงเย่เสวียนมองนาง “ปากไม่ตรงกับใจ”“เปล่าสักหน่อย”“ปากอย่างใจอย่าง”“...”“ในเมื่อเจ้าไม่คิดถึงข้า เช่นนั้นข้าไปแล้ว”“...”รู้ว่าเขาอยู่ หัวใจฉู่เชียนหลีก็มั่นคงแล้ว “เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”กล่าวจบก็นอนลง ห่มผ้าให้เรียบร้อย ตาโตๆ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวามองเขาอย่างสงบเขากำลังรอให้นางขอให้เขาอยู่ต่อ หาได้เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดที่แสบแก้วหูเช่นนี้จากปากนางสายตาของนางกลับกำลังบอกว่าเจ้าไปสิ รีบไปเลย เหตุใดเจ้ายังยืนไม่ขยับ? ไม่อยากไปใช่ไหมล่ะ? เจ้ารีบไปเถอะยืนนิ่งครู่หนึ่งในที่สุดเฟิงเย่เสวียนก็แพ้แล้ว เขากัดฟัน กระโดดขึ้นเตียง
ฉู่เชียนหลีใบหน้างุนงง ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ถูกถงเฟยจับมือทั้งสองข้างแน่น พูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี“เจ้าอย่าได้คิดไม่ตกเด็ดขาดเชียวนะ!”“เฉินเอ๋อร์เขาใกล้จะกลับมาแล้ว!”“อ๋องหลีนั่นไม่คู่ควรกับเจ้า เจ้าอย่าได้ทำอะไรเลอะเลือนเชียว!”“...”ฉู่เชียนหลีพอจะเข้าจับใจความเจตนาของถงเฟยได้แล้ว สีหน้าคร่ำเครียดขึ้นมาเล็กน้อยทันทีทันทีที่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ยังไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก ก็ถูกถงเฟยตราหน้าว่าเป็น ‘หญิงที่กำลังจะนอกใจสามี’ เสียแล้ว ทำให้นางร้องไห้ก็ไม่ได้ ยิ้มก็ยิ้มไม่ออกสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกว่ากันหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“เสด็จแม่ แนวทางความคิดของท่านช่างโลดแล่นจริง ๆความคิดก็มากมายหลากหลาย ข้าพูดคุยกับอ๋องหลี ก็จะต้องเป็นหญิงนอกใจสามีเสียแล้ว ถ้าข้าไม่อยากทานอาหารเช้า ก็จะต้องตายเพราะประท้วงอดอาหารใช่หรือไม่?”“ถุย ๆๆ! ตายเตยอะไรกัน ห้ามพูดจาเหลวไหล!”ถงเฟยตบปากเบา ๆคายเรื่องอัปมงคลทิ้ง“ต่อไปห้ามพูด เรื่องอัปมงคล”“ข้าเพียงแค่เห็นว่าทันทีที่เฉินเอ๋อร์ไป อ๋องหลีก็วิ่งมาหาถึงที่จวนอย่างเปิดเผย นี่ไม่ใ
เมื่อพูดถึงเรื่องไปเที่ยวเล่น ถงเฟยก็กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เดิมทียังเป็นกังวลใจว่าอ๋องเฉินไปแล้ว ฉู่เชียนหลีอยู่คนเดียวจะทุกข์ใจ ได้พานางออกไปเดินเล่น ผ่อนคลายจิตใจ คงจะดีไม่น้อยนางมีความกระตือรือร้นมากกว่าอ๋องหลีเสียอีก โอบฉู่เชียนหลีกำลังจะออกจากจวนเมื่อมองสีหน้าของอ๋องหลี ได้สำลักจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว “...”แผนการคือเดินทางกันสองคน กลายเป็นการเดินทางสามคนไปแล้วแม้ว่าในใจจะไม่พอใจ แต่ก็พูดไม่ออกตอนที่กำลังจะออกจากจวน เยว่เอ๋อร์กำลังจะตามไป ทันใดนั้นฉู่เชียนหลีก็ดึงมาอีกข้าง “ข้ากับเสด็จแม่ออกไปกันสองคนก็พอ เจ้าอยู่ที่จวนเถอะ”เยว่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ“เพราะเหตุใด?”เมื่อก่อน ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปที่ไหน นางก็ต้องตามติดพระชายาไปทุกฝีก้าวฉู่เชียนหลีดวงตาล้ำลึก กวาดสายตามองอ๋องหลีที่ยืนอยู่ด้านนอกจวน กำลังจะออกเดินทางแวบหนึ่ง ดวงตามีแสงสลัวเกิดขึ้นในดวงตาแวบหนึ่ง กล่าว“ท่านอ๋องไม่อยู่บ้าน เจ้าอยู่ที่จวน เฝ้าจวนเอาไว้ให้ดี ข้าออกไปเที่ยวข้างนอกประเดี๋ยวก็กลับ”พูดจบ ก็เดินออกไปเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่กับที่ เกาหัวอย่างสงสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทำไมถึงต้
“เสียวฉู่ เจ้าไร้เดียงสามากเกินไปแล้ว อย่าได้คลายความระแวดระวังลง เพียงเพราะใครคนหนึ่งทำดีต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นหมาป่าที่ใส่หน้ากากตัวหนึ่งก็ได้”ถงเฟยมีความหวาดระแวงลูกชายของนางกำนัลคนหนึ่ง สามารถปีนมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ได้ ทั้งยังได้รับหน้าที่ที่สำคัญอย่างเช่นพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษขนาดนี้ มองออกได้ไม่ยากว่ากลอุบายของเขาไม่ธรรมดานางกังวลใจ คนแบบนี้ จะส่งผลดีต่ออ๋องเฉินฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นภายในใจของนางราวกับกระจกบานหนึ่งเพียงแต่ เรื่องที่อ๋องเฉินอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด นางไม่สามารถบอกถงเฟยได้ ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง กล่าว“ไม่หรอก ข้ารู้สึกว่าอ๋องหลีดีมากเลยทีเดียว”“!”ถงเฟยสีหน้าปกติทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว แล้วก็รุนแรงด้วย จำเป็นต้องปรับแก้ไขความคิดของฉู่เชียนหลีให้ถูกต้อง“เสียวฉู่ เจ้าท่องตามข้า” นางกางมือซ้ายของฉู่เชียนหลีออก นิ้วชี้จิ้มไปที่ฝ่ามืออันอวบอิ่มของนาง เอ่ยปากพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จื่อเวิงเฟิง จื่อเอินเจิ้ง เลยอีฮ่วย”“เฟิงเจิ้งฮ่วย[1]”“?”“?”ไม่ใช่เลยอีหลีหรอกหรือ?ฉู่เชียนหลี
เรียกทีเดียว สองคำ ทำให้ฝีเท้าของเยว่เอ๋อร์ชะงักหยุดอยู่กับที่ทันที ก็ทำให้เกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาทันทีอ๋องหลีคงจะไม่ใช่ว่าเห็นนางแล้ว คิดจะฆ่านางปิดปากหรอกใช่หรือไม่?เมื่อนึกได้เช่นนี้ สีหน้าก็ซีดขาวยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ จ้องมองชายหนุ่มที่ค่อย ๆเดินเข้ามาหานาง ร่างกายรู้สึกตึงเครียดขึ้นอย่างอดไม่ได้ แม้แต่ลมหายใจก็ตื่นเต้นขึ้น“ทะ...ท่านอ๋องหลี...”ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ หรี่ดวงตาเล็กน้อย จ้องมองนาง“เจ้าชื่อเยว่เอ๋อร์ใช่หรือไม่?”สีหน้าที่สงบนิ่งของเขา ท่าทางที่เอ้อระเหยลอยชายนั่น ราวกับว่าเป็นบ้านของตนเอง แม้ว่าจะถูกพบเข้าแล้ว ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อยเยว่เอ๋อร์มีความลนลานเล็กน้อย“ชะ ใช่...”เหตุใดจึงรู้สึกว่าอ๋องหลีเป็นเจ้านายของจวนแห่งนี้ แต่นางเป็นโจรชั่วที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาเสียละ?ไม่ใช่!เหตุใดนางถึงต้องถูกอ๋องหลีทำให้ตกใจด้วยเล่า?นางจะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกแก่พระชายา! เพื่อให้พระชายารู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของอ๋องหลี!อ๋องหลีเข้าใกล้พระชายา เพราะมีแผนการชั่วร้าย จะต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแน่!เฟิงเจิ้งหลียิ้ม“เยว่เอ๋อร์เอย ครั้งก่อนที่ตระกูล
แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่นวันรุ่งขึ้น ตอนเย็น ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักเจาหยางถอนกำลังจริงๆ ฉู่เชียนหลีอุ้มลูกไปถึงสถานที่นัดหมายกับฉู่เจียวเจียว ขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่ออกจากวังเพื่อไปซื้อวัตถุดิบอาหารด่านตรวจประตูวังทหารรักษาพระองค์จะตรวจสอบ แต่ขันทีที่ขับรถม้ามีสิทธิพิเศษผ่านทาง จึงสามารถออกจากวังหลวงอย่างราบรื่นรถม้าแล่นไปถึงตรอกแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคันรถม้าสองคันแล่นขนานกัน และตอนที่ไม่มีคนสังเกต คนบนรถม้ากระโดดจากรถม้าคันนี้ ไปยังรถม้าคันนั้นเวลานี้ รถม้าแยกทางกันที่ปลายถนนคันหนึ่งแล่นไปทางซ้าย คันหนึ่งแล่นไปทางขวาฉู่เจียวเจียวยืนอยู่บนหอคอยสูง มองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว เผยอมุมปากอย่างเย็นชาฉู่เชียนหลี เจ้ารนหาที่ตายเอง!“ลงมือ!”ทหารรักษาพระองค์เคลื่อนไหวทันที!ในเมืองหลวง ผู้คนสัญจรไปมา ใกล้จะปีใหม่แล้ว พ่อค้าขายของปีใหม่เยอะเป็นพิเศษ ถนนทั้งสายทั้งคึกคักทั้งเบียดเสียด“หยุดรถ”รถม้าจอดตรงหน้าตรอกแห่งหนึ่งที่มีคนค่อนข้างน้อย ฉู่เชียนหลีอุ้มลูกลงจากรถม้า วิ่งเข้าไปในตรอก หาร้านค้าร้านหนึ่งที่ไม่สะดุดตาป้ายหน้าประตูร้า
ฉู่เชียนหลีประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้เฟิงเจิ้งหลีกักตัวนางนานเช่นนี้ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากนางกับจื่อเยี่ย ควบคุมเฟิงเย่เสวียนในวันข้างหน้า ฉู่เจียวเจียวกลับยินดีปล่อยนาง?“ข้าจริงจัง”น้ำเสียงฉู่เจียวเจียวเย็นชา“เจ้าเดินเตร่ไปเตร่มาใต้จมูกข้าทุกวัน มันขัดตาข้า มันกวนใจข้า ชีวิตเจ้าไม่มีความสุข ชีวิตข้าก็ไม่มีความสุข เหตุใดไม่สงเคราะห์กันและกันล่ะ?”นางส่งเขาออกไปนางคืนฝ่าบาทให้เขา“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?” ฉู่เชียนหลีถาม “เมื่อฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ เจ้าจะดับความโกรธของเขาอย่างไร?”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้ามีวิธีของข้า ไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องเป็นฮองเฮาแล้ว”ส่งฉู่เชียนหลีออกวัง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้นางยังทำได้“ฉู่เชียนหลี เจ้าลองคิดดูดีๆ”“ครึ่งปีมานี้ สถานการณ์สงครามคับขัน เพื่อที่จะช่วยเจ้า เฟิงเย่เสวียนยอมหันกระบี่ใส่ฝ่าบาท ถ้าหากเจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเฟิงเย่เสวียน สองกองทัพสงบ เจ้ากับข้าก็จะมีชีวิตที่ดี”“เหตุใดเจ้าต้องจับฝ่าบาทไม่ยอมปล่อย?”ฉู่เจียวเจียววิเคราะห์เสียงเย็นนางทนไม่ไหวกับชีวิตแม่หม้ายเช่นนี้แล้ว มีเพียงฉู่เชียนหลัไ
เพียะ!ก่อนที่ฝ่ามือจะตบลงมา ฉู่เชียนหลีคว้าข้อมือของนางไว้อย่างแม่นยำ “ดูผู้ชายของตัวเองไม่ดีเอง ไม่ควรทบทวนปัญหาของตัวเองก่อนหรือ?”นางยิ้มอย่างเย้ยหยัน“ฉู่เจียวเจียว เจ้านี่มันไม่ไหวจริงๆ รู้จักแต่ระบายความโกรธใส่ข้า มัดใจของผู้ชายไม่ได้ ต่อให้ข้าไปแล้ว ก็ยังมีข้าอีกเป็นหมื่นเป็นพัน”สีหน้าฉู่เจียวเจียวน่าเกลียดมาก“ฉู่เชียนหลี!”นางพูดเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้อย่างมั่นใจได้อย่างไร? น่ายกย่องมากเลย?นางยั่วยวนฝ่าบาทโดยที่หน้าไม่แดง ไม่รู้สึกผิด หน้าตายเช่นนี้ได้อย่างไร?ใต้ฟ้า เหตุใดจึงมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้?ฉู่เชียนหลียิ้ม “อีกอย่างนะ เขาเป็นฮ่องเต้ สามตำหนักหกเรือน เจ็ดสิบสองสนม ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? เจ้าในฐานะฮองเฮา จิตใจคับแคบเช่นนี้ได้อย่างไร?”“กรี๊ดๆ!”ฉู่เจียวเจียวโมโหจนกรีดร้อง ยกมืออีกข้างก็เหวี่ยงออกไปทันทีฉู่เชียนหลีเอี้ยวตัวไปด้านข้าง หลบพร้อมกับคว้ามือของนางไว้“ฉู่เชียนหลี เจ้ามันหน้าไม่อาย! เจ้ามันเป็นของเก่าที่เคยหลับนอนกับเฟิงเย่เสวียน มีสิทธิ์อะไรมาเข้าใกล้ฝ่าบาท! ต่อให้ฝ่าบาทมีสามตำหนักหกเรือน นั่นก็ล้วนเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์!”“ใช่สิ ฝ่า
“นม!”เจ้าหนูน้อยโบกมืออย่างจริงจังและดื้อรั้น เหมือนกำลังเป็นปรปักษ์กับนาง ใบหน้าน้อยๆ มุดเข้าไปในอก สองมือก็ดึงทั้งๆ ที่กินอิ่มแล้ว ยังจะมุดเข้าไปในอกนางอีกเมื่อนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ เห็น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“แม่นางฉู่ พระนัดดาองค์โตติดท่านจัง เหมือนท่านจึงจะเป็นแม่แท้ๆ ของเขา…”กล่าวจบ รู้ตัวว่าพลั้งปาก นางตกใจจนหน้าซีด รีบหุบปากทันที มีข่าวลือจากโลกภายนอกเกี่ยวกับตัวตนของพระนัดดาองค์โตราษฎรวิภากษ์วิจารณ์ มารดาบังเกิดเกล้าของพระนัดดาองค์โตคือฉู่เชียนหลี ไม่ใช่ฉู่เจียวเจียว และก็มีคนคิดว่าคือฉู่เจียวเจียวเช่นกัน แต่สำหรับสถานการณ์โดยรวม ทุกคนถกเถียงกันเงียบๆ ในวังก็มีข้อกังขาเช่นกัน คนที่รู้ความจริงก็มีน้อยมากฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ไม่ได้ถือสาการพลั้งปากของนางกำนัล“อีอา…”เจ้าหนูน้อยมุดอยู่ในอ้อมแขนของนางครึ่งค่อนวัน ล้วงป้ายหยกมังกรชิ้นหนึ่งออกมาแกว่งเล่นฉู่เชียนหลีจับมือน้อยๆ ของเขาอย่างหมดหนทาง“ท่านบรรพบุรุษน้อย ของสิ่งนี้เล่นไม่ได้ นี่เป็นของที่ฮ่องเต้มอบให้ข้า”ป้ายหยกมังกร!เมื่อนางกำนัลอีกคนเห็นของสิ่งนี้ เบิกปากกว้างด้วยความตกใจ นี่เป็นของที่
หัวข้อสนทนาการเฉลิมฉลองปีใหม่ได้เปลี่ยนเป็นเรื่องสงคราม สีหน้าเฟิงเจิ้งหลีเคร่งขรึม“เจ้าคุยเล่นไม่เป็น”ฉู่เชียนหลียิ้มแล้วยิ้มอีก เสยผมที่ข้างหูขึ้น“เจ้าไม่คุยกับข้าก็ได้ แต่เหมือนเจ้ามักจะชอบมาหาเรื่องไม่สบอารมณ์ใส่ตัวเองที่ข้า”“...”ก็จริงทุกครั้งที่อยู่กับนาง ตอนมาอารมณ์ดี ตอนกลับยากจะควบคุมอารมณ์เฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองท่าทางที่คิดไม่ดีไม่ร้ายของนาง รู้ว่านางจงใจ ถ้าหากโมโหจริงๆ ก็สมใจนางแล้วเขาพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์“ข้าชอบถูกทรมาน”คำตอบนี้พอใจแล้วกระมังฉู่เชียนหลี ‘อืม’ คำหนึ่ง ยิ้มจนคิ้วโก่ง “ถ้าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ถึงเวลาเจ้าผลักพวกเราสองแม่ลูกออกไปก็พอ มีข้ากับจื่อเยี่ยอยู่ เฟิงเย่เสวียนไม่มีทางชนะ”นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงอย่างไรไว้ในแววตา ไม่มีใครสามารถคาดเดา มองไม่ออก เดาไม่ถูกเฟิงเจิ้งหลีเงียบไปครู่หนึ่ง“ข้าไม่มีเจตนาใช้ประโยชน์จากเจ้า”ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เอาคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปพูดให้ผีฟังเถอะนี่ก็นานมากแล้ว จื่อเยี่ยนอนกลางวันน่าจะตื่นแล้วฉู่เชียนหลีถือตำราแพทย์ หมุนกายเดินลงจากหอคอย มุ่งหน้าไปยังทิศทางขอ
เวลาผ่านไปเร็วมาก วันแล้ววันเล่า พริบตาเดียว ก็กลายเป็นวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวปีนี้หิมะตกแล้วสภาพอากาศมืดครึ้ม มีเกล็ดหิมะตกลงมาจากบนท้องฟ้า บางคนกางร่ม บางคนดึงเสื้อให้กระชับ บางคนซุกมืออยู่ในแขนเสื้อ ต่างคนต่างเดินอย่างเร่งรีบบนหอคอยของประตูวังฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มีตำราแพทย์เล่มหนึ่งกางอยู่บนหัวเข่า เกล็ดหิมะที่เขาบริสุทธิ์ตกลงบนผมของนาง ดวงตาที่หลุบลงนั่น ท่าทางที่ตั้งใจอ่านตำรานั่น ดูสงบเป็นพิเศษเฟิงเจิ้งหลียืนห่างออกไปห้าหกเมตร เฝ้าดูอยู่ไกลๆ ไม่อยากเข้าไปรบกวนนางนางยกมือ รับเกล็ดหิมะสองสามก้อนไม่นานก็ละลายกลายเป็นน้ำบนฝ่ามือเย็นๆเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ พริบตาเดียวก็ปีใหม่แล้วนั่งอยู่บนหอคอยทุกวัน เฝ้าดูราษฎรที่เดินผ่านไปมา ฟังพวกเขาสนทนากัน อ่านตำราแพทย์ เลี้ยงลูก แม้ชีวิตสงบ แต่ก็ไม่น่าเบื่อนางให้ความสนใจเรื่องสงครามอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเมืองเทียนสู่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของแคว้นตงหลิง แตะต้องส่งเดช รากฐานเสียหาย ศึกนี้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ ยังไม่เริ่มปะทะกันถอนสายตากลับ มองตำราแพทย์ พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจ ตอนเหลือบม
อวิ๋นอิงหุบปาก หลุบตาลง ไม่ได้พูดอะไรต่อจิ่งอี้อุ้มเด็กไว้ สายตามองท้องที่นูนเล็กน้อยของนาง หมื่นพันคำพูดติดอยู่ในลำคอ มุมปากเผยอขึ้นอย่างขมขื่นเขาแค่อยากพูดคุยกับนางเป็นห่วงนาง มองดูนาง ต่อให้นางระบายอารมณ์ใส่เขา ในใจของเขาก็ยังรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้าอาศัยเด็ก เขาเข้าใกล้นางอย่างระมัดระวัง“เจ้า…ช่วงนี้กินยาดีๆ หรือไม่? ร่างกายยังดีหรือไม่?”อวิ๋นอิงขมวดคิ้ว ไม่พูด ไม่ตอบ เหมือนไม่ได้ยิน“ลูกทรมานเจ้าหรือไม่?”“อวิ๋นอิง…”จู่ๆ นางก็เดินเข้าไปแย่งเด็กคืนมา หมุนกายกล่าว “ถ้าคุณชายจิ่งไม่มีธุระอะไร ก็รีบไปเถอะ ตอนนี้เหมือนทุกคนจะยุ่งมากกระมัง”นางส่งแขกอย่างห่างเหินนางยังคงไม่อยากพูดอะไรกับเขามากสีหน้าจิ่งอี้ขมขื่น มองแผ่นหลังที่ผอมบางของนาง “อวิ๋นอิง ขอบคุณมากที่เจ้ายอมเก็บเด็กคนนี้ไว้”เด็กคนนี้คือสะพานเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพวกเขาเขาไม่กล้าคิดเลยว่านางจะยอมคลอดเด็กคนนี้ออกเขารู้ว่าความผิดที่ตัวเองทำไม่สมควรให้อภัย และไม่กล้าขอให้นางให้อภัย หวังเพียงสามารถมองดูนางกับลูกมีความสุข แม้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างก็ยินดี“ขอบคุณมาก…”“ขอบคุณเจ้าจริงๆ…
อวิ๋นอิงเข้าไปในเรือนอีกหลังหนึ่งมีเสียงร้องไห้ของเด็กดังออกมาจากภายในห้อง เว่ยซีนอนอยู่ในเปลโยก เพิ่งกินอิ่ม เรียบร้อยมาก ไม่ร้องไห้ไม่งอแง กำลังเล่นกระดิ่งในมืออย่างมีความสุขกลับกันเป็นลู่ฉินที่ร้องไห้ไม่หยุดเสียวอู่อุ้มนางไว้ ทั้งป้อนนม ทั้งกล่อม ทั้งเดินไปเดินมา ทั้งอุ้ม ทั้งตบ วิธีที่ใช้ได้ก็ใช้จนหมดแล้ว ก็ยังไม่สามารถกล่อมนางหยุดร้องไห้ได้ เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวเมื่อเห็นผู้มา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบกล่าว“พี่อวิ๋นอิง คุณหนูรองร้องไห้ไม่หยุดเลย ข้าไม่รู้จะกล่อมอย่างไรแล้ว ควรทำอย่างไรดี!”“เอามาให้ข้าอุ้ม”อวิ๋นอิงวางถาดลงบนโต๊ะ รับลู่ฉินน้อยมา เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง เริ่มกล่อมเบาๆ“เอายามาให้ข้า”หัวใจของลู่ฉินไม่ปกติตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้คิดว่าเพราะพระชายาตั้งครรภ์ลูกฝาแฝด ลู่ฉินได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ตอนนี้มาคิดดู น่าจะเป็นเพราะตอนที่ฉู่เจียวเจียวตั้งครรภ์ ขาดความสุข อารมณ์ไม่ดี กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ดังนั้นลูกที่เกิดมาจึงไม่แข็งแรงถูกฉู่เจียวเจียวบีบจนเป็นโรคความผิดของผู้ใหญ่ ส่งผลกระทบต่อเด็กที่ไม่รู้อะไรเสียวอู่ถือชามยาเข้ามา หลังจากเป่าจนเย็น ก
เวลานี้ห่างออกไปพันลี้ ดินแดนเจียงหนาน สี่ฤดูดั่งวสันตฤดู สภาพอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่อยู่อาศัยและพักผ่อนชั้นเยี่ยม เจียงหนานทำเนียบมีการเฝ้าอย่างแน่นหนา คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ เหล่าทหารสวมชุดเกราะ อาวุธครบมือ เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา มีคนวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ แม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของความกดดันและเคร่งขรึม ภายในห้องหนังสือภาพแผนที่แคว้นตงหลิงติดอยู่บนกำแพง บนนั้นถูกทำเครื่องหมาย วาดวงกลม ปักธงเล็กๆ และอื่นๆหลายเส้นทาง สองมือเฟิงเย่เสวียนยันอยู่บนโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการเดินทัพครั้งต่อไปอย่างเป็นระเบียบมีคนนั่งจนเต็มทั้งสองด้านของโต๊ะยาว พวกเขาตั้งใจฟัง พยักหน้าเป็นระยะ“รวบรวมกำลังทหารพร้อมแล้ว พวกเราจะโจมตีเมืองเทียนสู่เมื่อไร?” ผู้ว่าการเจียงหนานถาม“ผู้คนในเมืองเทียนสู่ล้วนเป็นราษฎรของแคว้นเรา เพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจรจาก่อน แล้วค่อยโจมตี” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมคนของสำนักอู๋จี๋ก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกแรงหานอิ๋งกล่าว“ตลอดทางที่ฝ่ามา พวกเราอยากใช้วิธีที่สันติ แต่เฟิงเจิ้งหลียอมหรือ? เขาไม่เพียงไม่ยอม และยังใช