บ้าจริง!เขาแสดงนิสัย ‘แค่มีเหตุผลก็ไม่ละเว้นคน’ ออกมาหมดเปลือกจริงๆ!ใบหน้าฉู่เชียนหลีดำจนกลายเป็นถ่าน “ข้ารู้แล้ว!”ฉันรู้ว่านี่เป็นแผนของนาย ฉันรู้ว่าเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด ฉันรู้ว่าเป็นฝีมือของรัชทายาท ฉันรู้ทุกอย่างแล้วดังนั้นเชิญนายหุบปากได้ไหม?เฟิงเย่เสวียนพูดต่อ “แม้ข้าพูดมากไปบ้าง แต่ก็เพราะหวังดีกับเจ้า เจ้ายังเด็ก เส้นทางของอนาคตยังอีกยาวไกล ยิ่งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมากเท่าไร ในอนาคตก็จะเป็นทุกข์น้อยลง”“ข้ารู้แล้ว!”นางแทบคลั่งแล้วบ้าจริง!เขาใช่อ๋องเฉินที่เยือกเย็น สุขุม พูดน้อย ฟุ่มเฟือยคนนั้นจริงหรือ? แต่ไม่ใช่จินฉานจื่อที่กลับชาติมาเกิดเป็นพระถังซัมจั๋งแน่นะ?จู้จี้จุกจิกกว่าแม่ของฉันอีก!เฟิงเย่เสวียนยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสง่างาม “เจ้าต้องอดทนฟังคำพูดของข้าและจำให้ขึ้นใจ เกลือที่ข้ากินมากกว่าเจ้าหลายปี ถนนใต้เท้าล้วนใช้เลือดเหยียบย่ำออกมาทีละก้าว”“ข้ารู้แล้ว!”“แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง เจ้า…”“!”ไม่จบไม่สิ้นสักที!มีเหตุผลก็ไม่ละเว้นคนใช่ไหม!เชี่ย!ฉันกัดหัวสุนัขของนาย!ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!ในที่สุดฉู่เชียนหลีก็ทนไม่ไหวแล้ว ความโกรธที่อัดอั้
ฉู่เชียนหลียืนมือเท้าเอวข้างหนึ่ง อีกมือชี้เฟิงเย่เสวียน ส่วนเฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่ ยื่นคอออกมาจูบปลายนิ้วของนางเบาๆภาพหยุดนิ่งแสงแดดส่องเฉียงเข้ามาจากหน้าต่าง แสงสีทองอันอบอุ่นกระทบลงบนร่างกายทั้งสอง เป็นภาพที่อ่อนโยนและกลมกลืนมาก ราวกับเป็นภาพวาดจริงๆเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้าง ถูกรัศมีหวานซึ้งทิ่มตาบอดทันที…เฟิงเย่เสวียนเงยหน้าขึ้น มองนางอย่างลึกซึ้ง ปลอบเสียงเบา“เชียนหลี ไม่โกรธ ดีหรือไม่?”“...” เฟิงเย่เสวียนก้มศีรษะ ให้เกียรติฉู่เชียนหลีมากพอแล้ว เดิมทีฉู่เชียนหลีก็เป็นฝ่ายที่ไม่มีเหตุผล ด่าก็ด่าจบแล้ว ไฟโทสะก็ระบายแล้ว ตอนนี้จะอ้างเหตุผลไม่ยอมคนต่อก็ไม่ดีมากนักแค่กๆ!นางดึงมือกลับ ตบไหล่ของเขาอย่างเย่อหยิ่งทะนงตน“ครั้งนี้ถือว่าข้าอารมณ์ดี ไม่ถือสากับเจ้า”“อ่า…แค่ก!”ตบนี้ทำให้สีหน้าเฟิงเย่เสวียนซีดขาวเล็กน้อย ไออยู่ในลำคอ ร่างกายอันสูงใหญ่อ่อนแอราวกับไม่สามารถรับการโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าเป็นอะไร?!”ฉู่เชียนหลีตะลึงงันครู่หนึ่ง รีบดึงมือขวาของเขามาจับชีพจรเลือดออกในตับ…ยังคงเป็นปัญหาก่อนหน้านี้นึกถึงตอนอยู่ห้องหนังสือกะทันหัน ภายใต้ความตื่นตระหนก นางค
นางก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็วด้วยความดีใจ “ฮว่าเอ๋อร์แค่บาดเจ็บที่มือ ไม่โดนน้ำก็ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”ขอแค่สามารถไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานครบรอบห้าสิบปีของใต้เท้าหวังกับเขา ต่อให้กำลังป่วยก็ต้องไปนั่นเป็นถึงงานเลี้ยงฉลองแต่งงานครบรอบห้าสิบปี!ทั่วหล้า มีผู้ชายกี่คนที่ปฏิบัติต่อภรรยารักเดียวใจเดียว ไม่ทิ้งไม่ห่าง เสมอต้นเสมอปลายเหมือนใต้เท้าหวัง?แล้วจะมีผู้ชายสักกี่ที่ไม่มีวันลืมความตั้งใจเดิม เกื้อหนุนกันและกัน อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับภรรยาจนแก่เฒ่า?งานเลี้ยงฉลองแต่งงานครบรอบห้าสิบปีนี้เป็นงานเลี้ยง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นพรสำหรับความรักของคนหนุ่มสาวนางต้องไปเข้าร่วมนางจะไปพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ความสำคัญของนางที่อยู่ในใจท่านอ๋องไม่มีใครสามารถเทียบได้!เฟิงเย่เสวียนกวาดมองมือที่พันด้วยผ้าพันแผลของนางดึกเช่นนี้แล้ว นางยังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?“นี่ก็ดึกแล้ว”เซียวจือฮว่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ ก่อนออกจากจวนแต่งหน้าหวีผมนานไปหน่อยเจ้าค่ะ”นางมองท้องฟ้าแวบหนึ่ง “ ออกจากจวนตอนนี้ น่าจะไปถึงพอดี ไม่เสียงานแน่นอนเจ้าค่ะ”นางยกกระโปรงผ้าแพรเก้าเมฆาที่เรียบเนียนและสวยงามขึ้น ก้าวข้า
เมื่อเสียงตะโกนดังขึ้น บรรดาแขกที่อยู่ในจวนออกมาข้างนอกอย่างพร้อมเพรียงทันทีเด็กรับใช้รีบวิ่งเข้าไป ก้มเอวงอเข่า นำบันไดไม้สามขั้นไปวางไว้ที่ด้านข้างรถม้าอย่างนอบน้อม เพื่อสำหรับรองเท้าร่างเงาสีหมึกอันสูงศักดิ์หมุนตัวลงมา ยืนบนพื้นอย่างมั่นคงจากนั้นก็เป็นรองเท้าปักลายดอกไม้อันประณีตร่างเงาอันเพรียวบางใบหน้าที่มีรอยปาน…ซ่า!ทุกคนเบิกตากว้าง ถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอด อ๋องเฉินพาฉู่เชียนหลีมาร่วมงาน หรือว่ายอมรับสถานะพระชายาอ๋องเฉินของฉู่เชียนหลีแล้ว?ฉู่เชียนหลีได้รับความโปรดปรานแล้ว?สวรรค์!ไม่น่าใช่กระมังใบหน้าที่อัปลักษณ์นั่น ไม่มีสิทธิ์กระทั่งถือรองเท้าให้พวกเขา เป็นไปได้อย่างไรที่จะเข้าตาอันสูงศักดิ์ของอ๋องเฉิน?หรือเป็นเพราะจะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานครบรอบห้าสิบปี อ๋องเฉินจึงพาฉู่เชียนหลีมาเป็นพิธีอืม…ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!ฉู่เชียนหลีก็แค่มีไว้ประดับ!ในช่วงเวลาสั้นๆ สองวินาที มีการคาดเดาที่เปี่ยมล้น สมบูรณ์ มีสีสันปรากฏขึ้นในสมองของทุกคนมากมายหลังจากนั้นสองวินาที พากันก้าวไปข้างหน้า“ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง”“ท่านอ๋อง…”ในโอกาสของคนชนชั้นสูงเช่นนี้ ดูผ
“...”รอยยิ้มของผู้หญิงชุดกระโปรงสีน้ำตาลชะงักบนใบหน้าทันที“ผู้หญิงนี่นะ ก็เหมือนดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อผ่านฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว เมื่อผ่านช่วงอายุที่ดีที่สุดไปแล้ว ก็จะเหี่ยวเฉา”ฉู่เชียนหลีหยิบเมล็ดแตงโมขึ้นมาจากบนโต๊ะหนึ่งกำมือ กล่าวอย่างแผ่วเบา“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ชอบดอกไม้เหี่ยวหรอก เก็บน้ำค้างบำรุงผิวไว้ให้ตัวเองใช้เถิด”“...”สีหน้าของผู้หญิงชุดสีน้ำตาลประเดี๋ยวขาว ประเดี๋ยวดำ โมโหจนแทบคลั่งไม่ว่าผู้หญิงจะอายุมากเพียงใด สิ่งต้องห้ามที่สุดคือถูกผู้อื่นหาว่าแก่!ยุคปัจจุบันยุคโบราณล้วนเหมือนกันนางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าเย็นชา น้ำเสียงก็เย็นจนถึงขีดสุดเช่นกัน “ถูกต้อง ทุกคนจะแก่ตัวลง สิ่งสำคัญคือระหว่างนั้น”“สิบกว่าปีนี้ ข้าช่วยนายท่านให้กำเนิดลูกชายอบรมลูกสาว ดูแลกิจการภายในจวน ตอนนี้ลูกๆ โตกันแล้ว กตัญญูรู้ความ อย่างไร้ก็ดีกว่าอยู่อย่างไร้ประโยชน์ไปวันๆ ทั้งชีวิต…”นางเน้นเสียงคำว่า ‘ไร้ค่า’ อย่างเหน็บแนม ต่อว่าฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความโปรดปราน สิ้นเปลืองความสาวอย่างอ้อมๆฉู่เชียนหลีแทะเมล็ดแตงโมอย่างสบายๆ พลันพยักหน้า“อืม ไม่ควรมีชีวิตอย่างไร้ประโยชน์ไปวันๆ
“ข้า…” ผู้หญิงชนชั้นสูงชุดสีม่วงคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันทีคำพูดที่ละเมิดเบื้องสูงเช่นนี้สามารถพูดเหลวไหลได้หรือ?“พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดให้โทษแก่ข้าอย่างไร้เหตุผล ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้!”โดยรอบยังมีแขกอยู่ตั้งมากมาย หากเผยแพร่ออกไป ทำให้ฝ่าบาทกริ้วขึ้นมา นางยังจะสามารถรักษาศีรษะไว้ได้หรือ?ฉู่เชียนหลีเหลือบมองนางอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง“ไม่หรือ?”“ท่านบอกว่าท่านเป็นอาวุโสของข้าไม่ใช่หรือ? ฝ่าบาทเป็นเสร็จพ่อของอ๋องเฉิน ก็ย่อมเป็นเสด็จพ่อของข้าเช่นกัน ไม่เท่ากับว่าท่านอยากเทียบเคียงฝ่าบาทหรือ?”“อ๋อ…” นางราวกับตะลึงงันฉับพลัน เสียงสูงขึ้นสองส่วน “ที่แท้ท่านอยากเป็นฮองเฮา!”“ฉู่เชียนหลี!”พลันผู้หญิงชนชั้นสูงชุดสีม่วงลุกพรวดขึ้นมาเป็นนางเด็กปากคอเราะรายยิ่งนัก!นี่คือการหมิ่นเบื้องสูง โทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ!“เจ้านี่มันเล่นลิ้นเก่งนัก หากพูดจาไม่เป็น ข้าไม่ถือสาที่จะสอนเจ้า!” นางก้าวมาข้างหน้าอย่างฉุนเฉียว ง้างมือจะตบหน้าฉู่เชียนหลีฉู่เชียนหลีหรี่ตา ปากแขนเสื้อขยับเล็กน้อย นางหยิบเข็มเงินออกมาหนึ่งเล่มฝ่ามือกำลังจะตกลงมาทันใดนั้น ฝ่ามือใหญ่ที่เห็นข้อต่อชัดเจน
แขกโดยรอบมองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด ผู้หญิงชนชั้นสูงกลุ่มนั้นก็ดูเหมือนจะตกใจ แต่ละคนก้มหน้าลง พยายามลดการมีตัวตนของตนเองให้น้อยลง ไม่กล้าพูดมากอีกอ๋องเฉินไม่เพียงพาฉู่เชียนหลีมาร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานครบรอบห้าสิบปี แต่ยังหนุนหลังนาง ออกหน้าแทนนาง…หรือว่าฉู่เชียนหลีได้รับความโปรดปรานแล้วจริงๆ?แต่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ อย่างไรก็ตามฉู่เชียนหลีอัปลักษณ์เช่นนั้น อัปลักษณ์จนคนและเทพเคืองโกรธ… ใต้เท้าหลี่ไปอย่างเร่งรีบ ผู้หญิงชนชั้นสูงกลุ่มนั้นกลัวจนทำตัวดี กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมรอบตัวอ๋องเฉินยังไม่ถูกเก็บ บรรดาแขกก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ชั่วขณะบรรยากาศแปลกประหลาด…“นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?”นอกฝูงชน มีเสียงหัวเราะที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาสายหนึ่งดังเข้ามาทุกคนหลบไปด้านข้างเปิดเป็นช่องทางหนึ่ง สามีภรรยาผมหงอกเต็มศีรษะคู่หนึ่งจับมือกันเดินเข้ามาชายชราอายุมากแล้ว เดินด้วยไม้เท้า ใบหน้าเหลี่ยมแลดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก ส่วนหญิงชราหวีผมหงอกไว้อย่างพิถีพิถัน บนใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา ดวงตาที่ขุ่นมัวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อ่อนโยนน่าเข้าหาอย่างยิ่ง“ใต้เท้าหวัง ฮูหยินผู้เฒ่าหวัง”ทุกคนทัก
ครอบครัวของนางอยู่ในโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ตั้งแต่มาถึงสถานที่ที่ไม่รู้จักแห่งนี้ นางไม่เคยมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่ง หรือมีความสุข ความพึงพอใจเลยแม้แต่คนที่เข้าใจนางก็ไม่มีฉู่เชียนหลีหลุบตา น้ำเสียงเรียบเฉย “ข้ามีครอบครัว เมื่อก่อนเป็นจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ปัจจุบันเป็นจวนอ๋องเฉิน ข้าพึงพอใจแล้วเจ้าค่ะ”มีหรือที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังจะมองการฝืนว่าเข้มแข็งและเสแสร้งของนางไม่ออก?เฮ้อ…“เด็กน้อย เจ้างามยิ่งนัก” นางลูบใบหน้าฉู่เชียนหลีอย่างแผ่วเบา “เมื่อจิตใจงามก็จะพบเจอแต่เรื่องดีๆ ไม่ต้องไม่สนใจสายตาของคนนอก เจ้าต้องมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง”มือของหญิงชราเต็มไปด้วยรอยย่น ฝ่ามืออบอุ่น อุณหภูมิประทับลงบนใบหน้าฉู่เชียนหลีรู้สึกอุ่นๆราวกับแสงแดดสาดส่องลงบนร่างกาย อบอุ่นมาก…“ชีวิตของมนุษย์นั้นยาวนานมาก ต้องมีชีวิตเพื่อตัวเอง และมีชีวิตเพื่อคนที่คู่ควรได้รับ” หญิงชรากล่าวด้วยความเมตตา“ลองไปมองคนรอบข้างให้มากขึ้น คนคนหนึ่งไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เติบโตที่ไหน อยู่ตำแหน่งอะไร ทำอะไร ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น”เพิ่งสิ้นเสียง สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านควรดื่มยาแล้วเจ
ฉู่เชียนหลีจากไปห้าที่หก เจียงเป่ยประกาศหนังสือสงครามต่อเจียงหนาน เนื้อหามีอยู่ว่า คืนองค์หญิงเฟิงเจิ้งลู่ฉินภายในสามวัน ไม่คืนยกทัพบุกโจมตีเหตุผลเห็นสมควรอย่างยิ่งขอลูกสาวของตัวเองคืนหลังจากฉู่เชียนหลีรู้ อารมณ์สับสนอย่างบอกไม่ถูก เพราะนางรู้ว่าเฟิงเจิ้งหลีไม่ได้รักเฟิงเจิ้งลู่ฉิน เขาแค่ต้องการใช้ข้ออ้างขอลูกสาวคืน เพื่อบุกโจมตีเจียงหนาน“พระชายา ทำอย่างไรดี?”อวิ๋นอิงถามพื้นห้องถูกปูด้วยพรมหนาๆ เด็กทั้งสามคนวิ่งเล่นบนนั้น สะดุดล้ม ชนกัน กระแทกกัน ถูกพรมปกป้องอย่างดี ไม่ได้รับบาดเจ็บหลายวันที่อยู่ด้วยกัน เด็กทั้งสามคนคุ้นเคยกันแล้ว และเล่นด้วยกันอย่างมีความสุขเจ้าไล่ข้า ข้าไล่เจ้าคลานไป คลานมาเจ้าแย่งขวดนมของข้า ข้าหยิกหน้าของเจ้า พูดอีอาๆ แม้ไม่มีใครฟังเข้าใจฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ มองไปทางลู่ฉินลู่ฉินคลอดก่อนกำหนด รูปร่างผอมและยังมีโรคหัวใจ เหมือนกับตุ๊กตาที่อ่อนแอตัวหนึ่งเฟิงเจิ้งหลีไม่รักนาง ฉู่เจียวเจียวไม่ชอบนาง ถ้าหากนางกลับเจียงเป่ย ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร…ขณะที่นางกำลังกังวล ลู่ฉินที่กำลังคลานเล่นเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คลานไปที่ตรงหน้า
เฟิงเจิ้งหลีมาถึงตำหนักของไท่ซ่างหวงเหมือนไท่ซ่างหวงคาดการณ์ไว้นานแล้ว กำลังนั่งพิงบนหัวเตียงรอเขา สายตาของสองพ่อลูกบรรจบกันกลางอากาศเกิดความเงียบขึ้นชั่วพริบตาผ่านไปครู้หนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า “เหตุใดไม่ไป?”เขาทิ้งร่างกายที่หนักอึ้งนั่งลงไป ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้แต่เสียงพูดก็แหบ โดยรวมแล้วดูโทรมมากราวกับบาดเจ็บสาหัสสำหรับเขานั่น ถูกคนที่ชอบและเชื่อใจที่สุดหักหลังและทิ้ง ก็คือการทำร้าย ทิ้ง…เขาเกลียดคำนี้ที่สุดในชีวิตไท่ซ่างหวงมองดูลูกชายที่คล้ายเขาห้าส่วนตรงหน้า และคล้ายมารดาของเขาห้าส่วน พริบตาเดียว ลูกชายก็โตเช่นนี้แล้ว และเขาก็ขาดความรักมากมายเหลือเกินในดวงตาที่ขุ่นมัว เผยให้เห็นความรู้สึกผิดหลายส่วน“ถ้าหากข้าไปแล้ว เจ้าจะไม่เหลือญาติแม้แต่คนเดียว”“!”ร่างกายเฟิงเจิ้งหลีสั่นสะท้าน แผ่นหลังแข็งฉับพลันญาติ…ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อใช้คำนี้เรียกความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา“หลีเอ๋อร์ ข้ารู้ หลายปีมานี้ พ่อติดค้างเจ้าเยอะมาก พ่อให้ความสำคัญกับบ้านเมืองจนมองข้ามเจ้า ในใจพ่อรู้สึกผิดนัก” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่า
คืนแรกที่ออกจากเมืองหลวงฉู่เชียนหลีนอนไม่หลับ…เมืองหลวงอันไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำอูหลาน วังหลวงจุดเทียนสว่างไสวในยามค่ำคืนที่มืดมิด เหล่านางกำนัลถือโคมไฟ ก้มหน้าเดินผ่านยังเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดมากตำหนักเจาหยางทุกที่มืดมิด ไร้ผู้คน และไม่มีเทียนแม้แต่เล่มเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกิน เงียบราวกับดินแดนไร้ผู้คนแต่ท่ามกลางความมืดนั่น กลับมีเสียงหายใจเย็นๆ สายหนึ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน เฟิงเจิ้งหลีนั่งอยู่บนบันได ร่างกายของเขากลมกลืนกับความมืดจนมองเห็นแทบไม่ชัด ดวงตาคู่นั้นฉายแสงในความมืด ราวกับจมอยู่ในเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดในอดีตที่นี่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ เคยมีรอยยิ้มของนาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนาง และเสียงอันนุ่มนวลที่พูดคุยกับเขา ภาพเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดยังคงอยู่ในสมองของเขา ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาชัดเจนมากตราตรึงมากนางเคยพูด อยู่ข้างกายเขา รู้สึกสบายใจมากนางเคยพูด จื่อเยี่ยชอบเขา นางก็จะดีกับเขานางเคยพูด…คำพูดไพเราะนางเป็นคนพูด เรื่องใจร้ายก็นางเป็นคนทำล้วนเป็นนาง!ฉู่เชียนหลี!โกหกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเชื่อครั้งแล้วครั้
“คุณหนูอย่าคิดมาก แม้องค์หญิงแคว้นหนานยวนท่านนี้น่ารังเกียจไปบ้าง แต่นางทำงานเสร็จ ก็น่าจะกลับแคว้นแล้ว ก็แค่เจอกันชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้หรอก” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดมากอย่างไรก็ตามผู้ชายอย่างเฟิงเย่เสวียนที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีฐานะมีอิทธิพล สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีผู้หญิงมากมายชอบก็เป็นเรื่องปกติถ้านางจะถือสา คนมากมายเช่นนั้น จะถือสาไหวได้อย่างไร?นางนึกถึงเรื่องของกู่แพทย์ มองจิ่งอี้อย่างจริงจัง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเหมือนคนป่วย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังใช้ร่างกายตัวเองเลี้ยงกู้แพทย์“เลี้ยงรอดหรือไม่?” นางถามเบาๆมีการบันทึกในตำราโบราณ กู่แพทย์ชนิดนี้อ่อนแอเลี้ยงยาก เผลอไม่ระวังนิดเดียวก็จะตาย สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์จิ่งอี้หลุบตา เสียงเบามาก“เลี้ยงแล้วสามสิบกว่าตัว ในที่สุดก็เลี้ยงรอดสองตัว…”กู่แพทย์สองตัวนี้ ตอนนี้ถูกเขาเก็บไว้ในหน้าอก พกติดตัวไปทุกที่ ต่อให้เป็นเวลานอน ก็จะนำออกมาดูเป็นระยะกลัวว่าพลั้งเผลอนิดเดียว พวกมันก็จะตายฉู่เชียนหลีเหลือบมอง “อวิ๋นอิงรู้หรือไม่?”“นางไม่รู้ขอรับ คุณหนู อย่าพูดถ
เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีใบหน้างดงาม การแต่งกายดูขี้เล่นแต่ยังคงสูงศักดิ์ มัดมวยผมและถักเปียหางม้า ซึ่งบ่งบอกว่านางยังไม่แต่งงาน กระโดดออกมาปรากฏตัว ท่าทางที่สดใสร่าเริงนั่น ทำให้ดูเข้าถึงได้ง่ายมากฉู่เชียนหลีเหลือบมอง“เจ้าคือ…”“ข้าชื่อจวินลั่วยวน เป็นองค์หญิงแคว้นหนานยวน”นางแนะนำตัวเอง เสียงนั่นเหมือนนกขมิ้นที่บินออกจากหุบเขา สดใสไพเราะ“อ๋องเฉินกับฮ่องเต้ตงหลิงสู้กัน เสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยอ๋องเฉินที่เจียงหนาน ก็เพราะข้าแทรกแซง ฮ่องเต้ตงหลิงจึงให้ความสำคัญกับศึกเมืองเทียนสู่เป็นพิเศษ และลงสนามรบด้วยตัวเอง”ไม่เช่นนั้น ยังไม่สามารถล่อฮ่องเต้ตงหลิงออกมาได้ล่อเสือออกจากถ้ำ พระชายาอ๋องเฉินจึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยพูดถึงก็ล้วนเป็นผลงานของนางฉู่เชียนหลีเข้าใจแล้วองค์หญิงของแคว้นหนานยวนท่านนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้หนานยวน เป็นแก้วตาดวงใจที่เหมือนไข่มุกงามบนฝ่ามือ ถูกเอาใจใส่อย่างดีตั้งแต่เด็ก“รบกวนองค์หญิงแล้ว” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือเป็นมารยาทจวินลั่วยวนประหลาดใจเล็กน้อย “?”แค่นี้?ไม่มีแล้ว?พูดแค่สี่คำก็แสดงความขอบค
เด็กน้อยที่ดูกลัวๆ ในตอนแรก เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกับเจอที่พึ่งพิง เบ้าตาแดงก่ำ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง“อุแว้!”ร้องไห้เสียงดังนางกลัวมากแม่ของนางไม่อยู่ นางถูกคนรับใช้โยนไปโยนมา กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ และยังไม่กล้าร้องไห้ เพราะไม่มีใครกล่อมนางอย่างอ่อนโยนและอดทนเหมือนท่านแม่ในที่สุดก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วไม่สามารถควบคุมความน้อยใจที่กดเอาไว้ได้อีกต่อไป ปล่อยโฮร้องไห้“ฮือๆ…”สองมือจับเสื้อฉู่เชียนหลี มุดเข้าไปในอกของนางก็ร้องไห้อวิ๋นอิงยกมือขวาขึ้น รีบรับรองทันที “พระชายาวางใจได้ ตอนที่ท่านไม่อยู่ พวกเราดูแลลู่ฉินอย่างดี ไม่มีใครรังแกนางแน่นอน นางน่าจะคิดถึงท่านมาก จึงร้องไห้เช่นนี้”“ท่านไม่รู้หรอก แม้ลู่ฉินยังเล็ก แต่นางรู้ว่าใครเป็นใคร นางจะเอาท่านคนเดียว พึ่งพาท่าน คิดถึงท่าน”หัวใจฉู่เชียนหลีละลายตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมา นางเลี้ยงเองกับมือมาโดยตลอด และความเชื่อใจและการพึ่งพาที่เด็กมีต่อนาง ก็คือการตอบแทนที่ดีที่สุด“ไม่ร้องนะ”นางเช็ดน้ำตาเบาๆ “แม่กลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ไปอีกแล้ว”ในเมื่อเฟิงเจิ้งหลีกับฉู่เจียวเจียวไม่เอาเด็กคนนี้ นางเลี้ยงเอง“แม่…”เสียง
ท้ายที่สุดเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้ลงมือกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในระยะไกลทั้งเช่นนี้เฟิงเย่เสวียนกอดฉู่เชียนหลีไว้ จับเชือกบังเหียนม้าแน่น ขี่ม้าจากไปเฟิงเจิ้งหลียืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำ ร่างกายที่บอบบางถูกลมเย็นพัดจนเสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนล้า มุมปากยังมีคราบเลือด ยืนมองนิ่งๆ ทั้งเช่นนี้…มอง…รอหลังจากขบวนของอ๋องเฉินหายลับตา เขายังคงยืนอยู่ข้างแม่น้ำ เนิ่นนานก็ไม่ขยับสองเท้าหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว สายตามองตรงไปข้างหน้ากลิ่นอายรอบตัวขรึมมาก สีหน้าแยกไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้าไป…เจียงหนาน เมืองน้ำ[1] อากาศเย็นสบาย สภาพแวดล้อมดีมากขบวนตรงไปที่ทำเนียบ“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”“พระชายา?!”เมื่อคนที่เข้ามาต้อนรับเห็นฉู่เชียนหลี แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อน แต่หลังจากนั้นก็ดีใจ“พระชายากลับมาแล้ว!”“พระชายากลับมาแล้ว!”เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิง จิ่งอี้ เฟิ่งหราน คนมากมายรีบมาไม่เจอครึ่งปี มิตรภาพยังคงอยู่“พระชายา ในที่สุ
แสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าริบหรี่เวลาหนึ่งคืนเดียว เร่งเดินทางจากเมืองหลวงไปยังแม่น้ำอูหลาน ในช่วงที่ฟ้าใกล้สว่าง คนทั้งกลุ่มข้ามแม่น้ำเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จุดที่ไกลออกไป มีขบวนอีกกลุ่มมุ่งหน้ามาอย่างเร่งรีบราวกับกระแสน้ำ สายลมเย็นยามเช้าพัดผ่าน เหมือนกับทัพใหญ่เข้าใกล้ชายแดน บรรยากาศที่กดดันอบอวลกลางอากาศหานเฟิง “นายท่าน อ๋องหลีมาแล้ว…”ขบวนสองกลุ่ม พบกันที่แม่น้ำอูหลานเฟิงเย่เสวียนอยู่บนสะพานเฟิงเจิ้งหลีอยู่บนฝั่งหยาดน้ำฟ้าตก สายน้ำไหลเชี่ยว สาดซัดเข้าฝั่ง หยดน้ำกระเซ็น ในอากาศเต็มไปด้วยความหนาวเย็น สองพี่น้องยืนสบตากันจากระยะที่ห่างกันหลายเมตรอยู่ไกลเกินไป แทบมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขามองเห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ใช้สายตาประลองกันเงียบๆ“ฝ่าบาท” รองแม่ทัพเอ่ยปาก “นี่คือโอกาสดีในการกำจัดอ๋องเฉิน ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังอยู่บนสะพาน พวกเราระเบิดสะพาน ให้พวกเขาตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ตายก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!”เขาคิดว่า นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมมากอ๋องเฉินข้ามสะพานไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้วิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งก้านธูปเวลาครึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร?”นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เมื่อห้าวันก่อน ข้าคุยกับเขาแล้ว และจัดการทุกอย่างไว้ให้เขาแล้ว เขาสามารถออกจากวังอย่างราบรื่น นอกเสียจาก…”จู่ๆ นางก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เสียงค่อยๆ เบาลงเฟิงเย่เสวียนกล่าวต่อ“เขาไม่อยากไป”ใช่!ไท่ซ่างหวงไม่อยากไปมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยังอาลัยอาวรณ์ หรือเพราะสาเหตุอื่น เขาจึงเลือกที่จะอยู่เมืองหลวงแต่ถ้าหากเขาอยู่เมืองหลวง เฟิงเจิ้งหลีต้องหาเรื่องเขาแน่นอนฉู่เชียนหลีเป็นห่วง หลังจากครุ่นคิด ก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว“ไม่ได้ ข้าต้องกลับวังหลวง ทิ้งเขาไว้ในเมืองหลวงเพียงลำพังไม่ได้”“ไม่ทันแล้ว”เฟิงเย่เสวียนจับข้อมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้ทุกคนรู้ตัวแล้ว เกรงว่าตอนนี้คนสนิทของเฟิงเย่เสวียนกำลังมา เขาก็อยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน เสียเวลาไม่ได้แล้ว”กำลังหลักของเขาอยู่ที่เจียงหนานไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองหลวงนาน ครึ่งปีมานี้ วิธีการของเฟิงเจิ้งหลีเหี้ยมโหด กำจัดพวกต่อต้าน รวบอำนาจเข้าด้วยกัน เมืองหลวงเป็นถิ่นของเขา อยู่ในถิ่นของเขา พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ