เมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงตื่นขึ้นมา ภายในมุ้งเตียงก็เละเทะไปหมด หญิงสาวที่ร่วมหลับนอนกับเขาเมื่อคืนได้จากไปนานแล้วเขาลุกขึ้นพร้อมกุมหน้าผาก คิ้วขมวดเล็กน้อย เปลวไฟอันเร่าร้อนนั้นได้มอดไหม้ไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงแต่ความเย็นชาและความเกรี้ยวโกรธภาพเหตุการณ์ของเมื่อคืนปรากฏขึ้นแวบๆราวกับว่าเป็นเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย แต่จะปะติดปะต่ออย่างไรก็ไม่อาจทำให้ภาพสมบูรณ์ได้สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือ นัยน์ตาที่ใสบริสุทธิ์เป็นพิเศษคู่นั้น มองมาที่เขาด้วยน้ำตาสายตาแบบนั้น ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกมีอารมณ์แปลกๆอยู่ในใจ และก็รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง"เสวียนอู่! "เสวียนอู่ที่รออยู่นอกประตู พอได้ยินเสียงเรียก ก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันทีกวาดสายตามองเตียงที่เละเทะ เสวียนอู่ก็ไม่โง่ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น“เพราะข้าน้อยละเลยหน้าที่ ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษด้วย”เสวียนอู่สับสนเล็กน้อย ทั้งๆที่เขาขับไล่หญิงรับใช้เรือนฝั่งตะวันออกไปหมดแล้ว เหตุใด...เยี่ยเป่ยเฉิงนั่งย้อนแสง สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด ในมือกำลังเล่นกับปิ่นปักผมไม้อันหนึ่งอยู่และปิ่นปักผมไม้อันนี้ เป็นปิ่นที่ผู้หญิงคนน
หลินซวงเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสองวันเต็มสองวันที่ผ่านมานี้ ท่านป้าจ้าวมาหาเธอหนึ่งครั้ง นอกจากจะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของเธอแล้ว ยังถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนฝั่งตะวันออกในวันนั้นด้วยการคัดเลือกในวันนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบสาวใช้คนใดเลย แถมยังอารมณ์เสียอย่างไร้สาเหตุท่านป้าจ้าวไปหาเสวียนอู่เพื่อสอบถามเป็นการส่วนตัว ว่าเป็นสาวใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนไหนกันแน่ที่ไม่เชื่อฟังคำแนะนำ และแอบไปขึ้นเตียงท่านอ๋องในตอนกลางคืน!สถานะอันสูงส่งของเยี่ยเป่ยเฉิง ไม่สิ่งที่คนรับใช้จะคิดอาจเอื้อมได้!แม้ว่าท่านอ๋องจะไว้ชีวิตนาง แต่นายหญิงของจวนอ๋องก็คงจะไม่ปล่อยนางไว้ท่านป้าจ้าวไม่อยากให้จุดจบของเสวี่ยหยวนเกิดขึ้นกับสาวใช้คนอื่นอีก จึงมาหา หลินซวงเอ๋อร์เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นเพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่รักษาการณ์อยู่ที่เรือนฝั่งตะวันออกก็คือนาง“หลินซวง บอกข้ามาตามตรง วันนั้นนอกจากเจ้าแล้วยังมีใครแอบเข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออกอีกไหม?”สีหน้าท่าทางของท่านป้าจ้าวจริงจังมากนิ้วมือของหลินซวงเอ๋อร์กำเสื้อของนางเอาไว้แน่น: "นอกจากข้า ก็ไม่มีคนอื่นเลย"เ
ขนตาที่เปียกชื้นของนางสั่นไหวทันที หลินซวงเอ๋อร์ก้มศีรษะต่ำลงยิ่งกว่าเดิม"เงยหน้าขึ้น!" น้ำเสียงของชายหนุ่มค่อยๆหมดความอดทนเล็บเลาะลึกเข้าไปในฝ่ามือ หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างขี้ขลาดตาขาว แต่ก็ไม่กล้าสบตาเขาเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องไปที่คนที่อยู่ตรงหน้า คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดกันทันทีสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ น่าจะเป็นบ่าวรับใช้ระดับล่างสุดในจวน แต่บ่าวรับใช้คนนี้หน้าตาผุดผ่อง ใบหน้าที่เรียวเล็กเท่าฝ่ามือขาวราวกับไข่ปอก ขนตาที่ทั้งยาวทั้งหนาสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากที่เหมือนกลีบดอกไม้นั้นงดงามมีเสน่ห์มากบนโลกใบนี้ จะมีผู้ชายที่หล่อเหลาขนาดนี้ได้อย่างไร?เยี่ยเป่ยเฉิงผู้ที่เห็นสาวงามจนชินตา ในขณะนี้จิตใจเหม่อลอยเล็กน้อยจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วถามว่า "เจ้าชื่ออะไร?"หลินซวงเอ๋อร์เปิดๆปิดปาก น้ำเสียงเบามาก: "ข้าน้อย... ชื่อหลินซวง"แต่เยี่ยเป่ยเฉิงได้ยินอย่างชัดเจน“หลินซวง?” เขาพึมพำชื่อนี้ออกมา รู้สึกว่าคุ้นหูเล็กน้อย ราวกับว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง“เงยหน้าขึ้น แล้วสบตาข้า!” น้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง และความรู้สึกกดดันสุดขีดก็ถาโถมเข้ามาหลิน
"ท่านป้า ข้าเป็นคนที่หยาบกระด้าง จะคู่ควรที่จะไปปรนนิบัติท่านอ๋องได้อย่างไร ท่านป้าได้โปรดเมตตาหลินซวง ให้ข้าย้ายไปที่เรือนฝั่งตะวันตกเถิด?"สวนหลังเรือน หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้น มือทั้งสองจับแขนเสื้อของท่านป้าจ้าวเอาไว้ ขอร้องอย่างขมขื่นนางคิดว่านางรอดพ้นหายนะในวันนั้นได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าภัยพิบัติที่ใหญ่กว่ากำลังจะมาถึงท่านป้าจ้าวมาหานางในตอนเช้า และบอกว่านางจะถูกโยกย้ายไปรับใช้ท่านอ๋องนางตกตะลึงสุดขีดหลินซวงเอ๋อร์กลัวเยี่ยเป่ยเฉิง และอยากจะอยู่ห่างจากเขาให้ไกลที่สุด แต่ตอนนี้ ท่านป้าจ้าวกำลังจะโยกย้ายนางไปอยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิง แบบนี้จะไม่เท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรือ?แม้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะจำนางไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางเข้าสักวัน...นางจับแขนเสื้อของท่านป้าจ้าวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย หลินซวงเอ๋อร์กังวลใจมากจนเกือบจะร้องไห้"ท่านป้าหลินสงสารหลินซวงเถิด หลินซวงโง่เขลา ไม่สามารถทำงานได้จริงๆ"ท่านป้าจ้าวก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน ในจวนมีสาวใช้ที่ฉลาดเฉียบแหลมตั้งมากมาย แต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบใครเลย กลับมาชอบคนรับใช้ที
หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกลัวเล็กน้อยในขณะนี้ นางกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเรือนอวิ๋นซวน พื้นเรียบสะอาดราวกับกระจก จนนางสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตนได้อย่างชัดเจนกางเกงนั้นสั้นเล็กน้อย จึงเผยให้เห็นน่องอันเรียวเล็กของนาง พื้นแข็งมาก จนทำให้หัวเข่านางเจ็บนางคุกเข่านานมาก ชายหนุ่มที่อยู่หลังฉากบังลมก็ไม่ยอมให้นางลุกขึ้น ดังนั้นนางจึงคุกเข่าต่อไปประตูถูกผลักเปิดออก เสวียนอู่ก็เข้ามาจากด้านนอก และเดินผ่านหลินซวงเอ๋อร์ไป แล้วเหลือบมองนางเบาๆ ด้วยสีหน้าท่าทางที่แปลกมากเขาเดินตรงไปด้านหลังฉากบังลม และไม่รู้ว่าพูดอะไรข้างหูเยี่ยเป่ยเฉิงจากนั้นไม่นาน เสวียนอู่ก็ออกไปอีกครั้ง ในที่สุดชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังฉากบังลมก็ลุกขึ้นยืนเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้ามั่นคงและเป็นจังหวะ หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น จนกระทั่งรองเท้าบูทชายที่ปักด้วยเมฆมงคลคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านาง"ป้าจ้าวได้สอนกฎเกณฑ์ให้เจ้าหรือเปล่า?"เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้ง หลินซวงเอ๋อร์ก็สะดุ้งกลัว นางพยักหน้า และตอบว่า "สอนแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ดูเหมือนว่าท่านป้าจ้าวจะละเลยต่อหน้าที่ นาง
พ่อบ้านฉินเป็นคนดูแลจัดการโกดังของจวนอ๋องค่าใช้จ่ายทั้งหมดในจวนอ๋องไม่ว่าจะมากหรือน้อยจะต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อบ้านฉินสาวใช้สามารถรับเสื้อผ้าตามฤดูกาลได้ปีละสองชุด หากอยากได้มากกว่านี้จะต้องจ่ายเพิ่มอีกห้าสิบเหรียญทองแดงเสื้อผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์ใส่นั้นเก่ามาก เป็นเสื้อผ้าที่พ่อบ้านฉินมอบให้ตอนที่พี่ชายของนางเข้าจวน หลังจากนั้นอีกสองปีหลินซวงเอ๋อร์ก็ไปรับมาหนึ่งครั้ง พ่อบ้าน ฉินเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ไร้ญาติขาดมิตร ก็เบียดเบียนรีดไถ ให้นางจ่ายเงินเพิ่มอีกห้าสิบเหรียญทองแดงก่อนจึงจะรับเสื้อผ้าได้ไม่เพียงเท่านั้น พ่อบ้านฉินมักจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนจับมือของนาง และหยิกเอวของนาง และชอบเรียกนางอย่างสนิทสนมว่าซวงซวงต่อหน้าคนอื่น พ่อบ้านฉินจะเป็นคนน่ารัก แต่ลับหลังแล้วเขาเป็นเดรัจฉานในคราบมนุษย์หลินซวงเอ๋อร์เกลียดพ่อบ้านฉินมาก ทุกครั้งที่นางเห็นเขาจะหลบให้ไกลๆ อีกอย่างนางก็ไม่อยากใช้เงินตนเอง หลังจากนั้นก็ไม่ไปรับเสื้อผ้าอีกเลยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะออกจากจวนไปกับเยี่ยเป่ยเฉิงในวันพรุ่งนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็ลำบากใจนางจะไม่แต่งตัวโทรมเกินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้จวนอ๋องเสียหน้าสุด
เยี่ยเป่ยเฉิงกอดบุคคลนั้นเอาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว และเอามือโอบรอบเอวของนางเอาไว้ร่างที่ผอมบางขดอยู่ในอ้อมแขนของเขา นุ่มนวล มีกลิ่นหอม ราวกับว่าไม่มีกระดูกเขาแปลกใจ ที่แท้ร่างกายของผู้หญิงอ่อนโยน นุ่มนวล และหอมอย่างนี้นี่เอง...เยี่ยเป่ยเฉิงไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ฝ่ามือที่โอบเอวของนางเอาไว้ค่อยๆกระชับขึ้นคนที่อยู่ในอ้อมแขนกลับดึงตัวออกไปทันที เหลือเพียงแค่กลิ่นหอม ที่เหมือนมีก็เหมือนไม่มีเอาไว้เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร แต่เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยหลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก“ท่าอ๋องได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าน้อยไม่มีตา ทำให้เดินชนท่านอ๋อง”หลินซวงเอ๋อร์สั่นไปทั้งตัว ราวกับว่าเจอเรื่องอะไรที่น่าหวาดกลัวมีฝีเท้าอันรวดเร็วเข้ามาทางนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงมองตามเสียงนั้นไป ก็เห็นพ่อบ้านฉินไล่ตามมาก่นด่าสาปแช่งคำพูดของเขาเต็มไปด้วยคำสกปรกหยาบคาย และไล่ตามด่าหลินซวงเอ๋อร์ไปตลอดทางทีนี้เยี่ยเป่ยเฉิงจึงเข้าใจว่า เหตุใดนางถึงกลัวมากขนาดนี้“ไอ้เด็กเหลือขอ!ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็ง มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!”พอได้ยินเสียงฝีเท้
กลับมาที่เรือนฝั่งตะวันออก หลินซวงเอ๋อร์ก็เอาเสื้อผ้าที่เพิ่งจะได้มาเก็บไว้ในหีบอย่างเรียบร้อยครั้งนี้นางไม่ได้ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว พ่อบ้านฉินปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพนบนอบ และไม่กล้าแอบแต๊ะอั๋งนางอีกเรื่องนี้ หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจเยี่ยเป่ยเฉิง แต่ถึงอย่างนั้น ความกลัวของนางที่มีต่อเยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังคงยังคงอยู่ตอนกลางคืนหลินซวงเอ๋อร์ควรไปที่เรือนอวิ๋นซวนเพื่อช่วยเขาอาบน้ำแต่ในด้านการปรนนิบัติคน หลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย มือทั้งคู่ของนางเคยถือแค่ไม้กวาด นางกวาดบ้านได้อย่างมั่นใจไร้ที่ติ แต่นางไม่มั่นใจว่าจะรับใช้เยี่ยเป่ยเฉิงได้เป็นอย่างดีเสวียนอู่หิ้วน้ำร้อนเข้ามาในห้องแทนนาง และเร่งเร้าให้นางรีบเข้าไปหลินซวงเอ๋อร์ลังเลอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันเดินเข้าไปข้างโต๊ะตำรา เยี่ยเป่ยเฉิงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เย็นชาพอเห็นนางเข้ามา เยี่ยเป่ยเฉิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาที่หลังฉากบังลม และยกแขนทั้งสองข้างขึ้นหลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จึงไม่ทันไม่ตอบสนองชั่วขณะเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า "ยังไม
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก