ฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม อากาศเดี๋ยวก็อบอุ่นเดี๋ยวก็หนาวเสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังทะลุท้องนภายามราตรี ทำลายความสงบของจวนหย่งอันเสวี่ยหยวนที่อยู่เรือนฝั่งตะวันออกไม่รู้ว่าทำผิดเรื่องอะไรถึงได้รับโทษทัณฑ์อย่างหนัก เสียงโอดครวญของนางดังไปทั่วทั้งจวนท่านอ๋องตลอดทั้งราตรีในยามเช้า ท่านป้าจ้าวให้หลินซวงเอ๋อร์ไปที่ร้านขายยา และขอให้นางซื้อยาลดไข้กลับมาหลินซวงเอ๋อร์รีบไปรีบกลับ เมื่อเดินผ่านสวนหลังจวน นางเห็นบ่าวรับใช้สองคนลากอะไรบางอย่างที่เปื้อนเลือดมาแต่ไกลหลินซวงเอ๋อร์รีบยืนชิดด้านข้างอย่างรวดเร็วขณะที่หน้าผ่านนางไป เธอก็เหลือบไปเห็นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แค่เพียงแวบเดียว หลินซวงเอ๋อร์ก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดนั่นไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือเสวี่ยหยวนที่ส่งเสียงกรีดร้องตลอดทั้งคืนหลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน จึงตกใจกลัวจนตัวแข็งอยู่กับที่อยู่ครู่หนึ่ง"เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?"ท่านป้าจ้าวผู้ดูแลจวนไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาอันแหลมคมคู่นั้นจับจ้องไปที่นาง“ยาที่ข้าให้เจ้าไปซื้ออยู่ที่ไหน?”หลินซวงเอ๋อร์รีบถอนสายตากลับมา แล้วยื่นยาที่อยู่ในมือให้ท่าน
“ข้าอยากได้น้ำ น้ำ……”พอตั้งใจฟังแล้ว เสียงนั้นดังมาจากเรือนอวิ๋นซวนและผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนก็คือท่านอ๋องของจวนนี้ - เยี่ยเป่ยเฉิงหลินซวงเอ๋อร์นึกถึงคำพูดของท่านป้าจ้าวทันทีหากท่านอ๋องเรียกเจ้า เจ้าก็เข้าไปปรนนิบัติรับใช้ ถ้าไม่เรียก เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจหลินซวงเอ๋อร์ลังเล เธอไม่อยากไปปรนนิบัติรับใช้ ตอนกลางวันได้ยินมาว่าท่านอ๋องโมโหร้าย ถ้านางปรนนิบัติไม่ดี ก็จะลงเอยเหมือนเสวี่ยหยวน“น้ำ… ข้าอยากได้น้ำ…”เสียงของชายหนุ่มเริ่มแหบแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงหอบเบาๆหลายครั้ง ราวกับว่ากำลังพยายามสุดขีดเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดบางที ท่านอาจจะแค่อยากดื่มน้ำ?พอคิดอย่างนี้ สุดท้ายหลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่สนใจอะไรมากนัก หยิบปิ่นปักผมจากใต้หมอนแล้วมัดผมอันดำขลับไว้ด้านหลังศีรษะ นางกำลังจะไปหยิบผ้าพันหน้าอก แต่กลับพบว่าผ้าพันอกยังเปียกและมีน้ำหยดอยู่..ด้วยความจนใจ หลินซวงเอ๋อร์จึงเอาเสื้อคลุมหลวมๆตัวหนึ่งจากตู้เสื้อผ้ามาสวมแบบลวกๆพอมาถึงเรือนอวิ๋นซวน เสียงของชายหนุ่มก็ดังมาจากข้างในเป็นระยะๆหลินซวงเอ๋อร์เปิดประตูอย่างตัวสั่นงันงกสองปีที่นางอยู่ที่จวนแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแร
เมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงตื่นขึ้นมา ภายในมุ้งเตียงก็เละเทะไปหมด หญิงสาวที่ร่วมหลับนอนกับเขาเมื่อคืนได้จากไปนานแล้วเขาลุกขึ้นพร้อมกุมหน้าผาก คิ้วขมวดเล็กน้อย เปลวไฟอันเร่าร้อนนั้นได้มอดไหม้ไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงแต่ความเย็นชาและความเกรี้ยวโกรธภาพเหตุการณ์ของเมื่อคืนปรากฏขึ้นแวบๆราวกับว่าเป็นเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย แต่จะปะติดปะต่ออย่างไรก็ไม่อาจทำให้ภาพสมบูรณ์ได้สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือ นัยน์ตาที่ใสบริสุทธิ์เป็นพิเศษคู่นั้น มองมาที่เขาด้วยน้ำตาสายตาแบบนั้น ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกมีอารมณ์แปลกๆอยู่ในใจ และก็รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง"เสวียนอู่! "เสวียนอู่ที่รออยู่นอกประตู พอได้ยินเสียงเรียก ก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันทีกวาดสายตามองเตียงที่เละเทะ เสวียนอู่ก็ไม่โง่ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น“เพราะข้าน้อยละเลยหน้าที่ ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษด้วย”เสวียนอู่สับสนเล็กน้อย ทั้งๆที่เขาขับไล่หญิงรับใช้เรือนฝั่งตะวันออกไปหมดแล้ว เหตุใด...เยี่ยเป่ยเฉิงนั่งย้อนแสง สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด ในมือกำลังเล่นกับปิ่นปักผมไม้อันหนึ่งอยู่และปิ่นปักผมไม้อันนี้ เป็นปิ่นที่ผู้หญิงคนน
หลินซวงเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสองวันเต็มสองวันที่ผ่านมานี้ ท่านป้าจ้าวมาหาเธอหนึ่งครั้ง นอกจากจะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของเธอแล้ว ยังถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนฝั่งตะวันออกในวันนั้นด้วยการคัดเลือกในวันนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบสาวใช้คนใดเลย แถมยังอารมณ์เสียอย่างไร้สาเหตุท่านป้าจ้าวไปหาเสวียนอู่เพื่อสอบถามเป็นการส่วนตัว ว่าเป็นสาวใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนไหนกันแน่ที่ไม่เชื่อฟังคำแนะนำ และแอบไปขึ้นเตียงท่านอ๋องในตอนกลางคืน!สถานะอันสูงส่งของเยี่ยเป่ยเฉิง ไม่สิ่งที่คนรับใช้จะคิดอาจเอื้อมได้!แม้ว่าท่านอ๋องจะไว้ชีวิตนาง แต่นายหญิงของจวนอ๋องก็คงจะไม่ปล่อยนางไว้ท่านป้าจ้าวไม่อยากให้จุดจบของเสวี่ยหยวนเกิดขึ้นกับสาวใช้คนอื่นอีก จึงมาหา หลินซวงเอ๋อร์เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นเพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่รักษาการณ์อยู่ที่เรือนฝั่งตะวันออกก็คือนาง“หลินซวง บอกข้ามาตามตรง วันนั้นนอกจากเจ้าแล้วยังมีใครแอบเข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออกอีกไหม?”สีหน้าท่าทางของท่านป้าจ้าวจริงจังมากนิ้วมือของหลินซวงเอ๋อร์กำเสื้อของนางเอาไว้แน่น: "นอกจากข้า ก็ไม่มีคนอื่นเลย"เ
ขนตาที่เปียกชื้นของนางสั่นไหวทันที หลินซวงเอ๋อร์ก้มศีรษะต่ำลงยิ่งกว่าเดิม"เงยหน้าขึ้น!" น้ำเสียงของชายหนุ่มค่อยๆหมดความอดทนเล็บเลาะลึกเข้าไปในฝ่ามือ หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างขี้ขลาดตาขาว แต่ก็ไม่กล้าสบตาเขาเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องไปที่คนที่อยู่ตรงหน้า คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดกันทันทีสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ น่าจะเป็นบ่าวรับใช้ระดับล่างสุดในจวน แต่บ่าวรับใช้คนนี้หน้าตาผุดผ่อง ใบหน้าที่เรียวเล็กเท่าฝ่ามือขาวราวกับไข่ปอก ขนตาที่ทั้งยาวทั้งหนาสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากที่เหมือนกลีบดอกไม้นั้นงดงามมีเสน่ห์มากบนโลกใบนี้ จะมีผู้ชายที่หล่อเหลาขนาดนี้ได้อย่างไร?เยี่ยเป่ยเฉิงผู้ที่เห็นสาวงามจนชินตา ในขณะนี้จิตใจเหม่อลอยเล็กน้อยจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วถามว่า "เจ้าชื่ออะไร?"หลินซวงเอ๋อร์เปิดๆปิดปาก น้ำเสียงเบามาก: "ข้าน้อย... ชื่อหลินซวง"แต่เยี่ยเป่ยเฉิงได้ยินอย่างชัดเจน“หลินซวง?” เขาพึมพำชื่อนี้ออกมา รู้สึกว่าคุ้นหูเล็กน้อย ราวกับว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง“เงยหน้าขึ้น แล้วสบตาข้า!” น้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง และความรู้สึกกดดันสุดขีดก็ถาโถมเข้ามาหลิน
"ท่านป้า ข้าเป็นคนที่หยาบกระด้าง จะคู่ควรที่จะไปปรนนิบัติท่านอ๋องได้อย่างไร ท่านป้าได้โปรดเมตตาหลินซวง ให้ข้าย้ายไปที่เรือนฝั่งตะวันตกเถิด?"สวนหลังเรือน หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้น มือทั้งสองจับแขนเสื้อของท่านป้าจ้าวเอาไว้ ขอร้องอย่างขมขื่นนางคิดว่านางรอดพ้นหายนะในวันนั้นได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าภัยพิบัติที่ใหญ่กว่ากำลังจะมาถึงท่านป้าจ้าวมาหานางในตอนเช้า และบอกว่านางจะถูกโยกย้ายไปรับใช้ท่านอ๋องนางตกตะลึงสุดขีดหลินซวงเอ๋อร์กลัวเยี่ยเป่ยเฉิง และอยากจะอยู่ห่างจากเขาให้ไกลที่สุด แต่ตอนนี้ ท่านป้าจ้าวกำลังจะโยกย้ายนางไปอยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิง แบบนี้จะไม่เท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรือ?แม้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะจำนางไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางเข้าสักวัน...นางจับแขนเสื้อของท่านป้าจ้าวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย หลินซวงเอ๋อร์กังวลใจมากจนเกือบจะร้องไห้"ท่านป้าหลินสงสารหลินซวงเถิด หลินซวงโง่เขลา ไม่สามารถทำงานได้จริงๆ"ท่านป้าจ้าวก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน ในจวนมีสาวใช้ที่ฉลาดเฉียบแหลมตั้งมากมาย แต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบใครเลย กลับมาชอบคนรับใช้ที
หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกลัวเล็กน้อยในขณะนี้ นางกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเรือนอวิ๋นซวน พื้นเรียบสะอาดราวกับกระจก จนนางสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตนได้อย่างชัดเจนกางเกงนั้นสั้นเล็กน้อย จึงเผยให้เห็นน่องอันเรียวเล็กของนาง พื้นแข็งมาก จนทำให้หัวเข่านางเจ็บนางคุกเข่านานมาก ชายหนุ่มที่อยู่หลังฉากบังลมก็ไม่ยอมให้นางลุกขึ้น ดังนั้นนางจึงคุกเข่าต่อไปประตูถูกผลักเปิดออก เสวียนอู่ก็เข้ามาจากด้านนอก และเดินผ่านหลินซวงเอ๋อร์ไป แล้วเหลือบมองนางเบาๆ ด้วยสีหน้าท่าทางที่แปลกมากเขาเดินตรงไปด้านหลังฉากบังลม และไม่รู้ว่าพูดอะไรข้างหูเยี่ยเป่ยเฉิงจากนั้นไม่นาน เสวียนอู่ก็ออกไปอีกครั้ง ในที่สุดชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังฉากบังลมก็ลุกขึ้นยืนเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้ามั่นคงและเป็นจังหวะ หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น จนกระทั่งรองเท้าบูทชายที่ปักด้วยเมฆมงคลคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านาง"ป้าจ้าวได้สอนกฎเกณฑ์ให้เจ้าหรือเปล่า?"เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้ง หลินซวงเอ๋อร์ก็สะดุ้งกลัว นางพยักหน้า และตอบว่า "สอนแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ดูเหมือนว่าท่านป้าจ้าวจะละเลยต่อหน้าที่ นาง
พ่อบ้านฉินเป็นคนดูแลจัดการโกดังของจวนอ๋องค่าใช้จ่ายทั้งหมดในจวนอ๋องไม่ว่าจะมากหรือน้อยจะต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อบ้านฉินสาวใช้สามารถรับเสื้อผ้าตามฤดูกาลได้ปีละสองชุด หากอยากได้มากกว่านี้จะต้องจ่ายเพิ่มอีกห้าสิบเหรียญทองแดงเสื้อผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์ใส่นั้นเก่ามาก เป็นเสื้อผ้าที่พ่อบ้านฉินมอบให้ตอนที่พี่ชายของนางเข้าจวน หลังจากนั้นอีกสองปีหลินซวงเอ๋อร์ก็ไปรับมาหนึ่งครั้ง พ่อบ้าน ฉินเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ไร้ญาติขาดมิตร ก็เบียดเบียนรีดไถ ให้นางจ่ายเงินเพิ่มอีกห้าสิบเหรียญทองแดงก่อนจึงจะรับเสื้อผ้าได้ไม่เพียงเท่านั้น พ่อบ้านฉินมักจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนจับมือของนาง และหยิกเอวของนาง และชอบเรียกนางอย่างสนิทสนมว่าซวงซวงต่อหน้าคนอื่น พ่อบ้านฉินจะเป็นคนน่ารัก แต่ลับหลังแล้วเขาเป็นเดรัจฉานในคราบมนุษย์หลินซวงเอ๋อร์เกลียดพ่อบ้านฉินมาก ทุกครั้งที่นางเห็นเขาจะหลบให้ไกลๆ อีกอย่างนางก็ไม่อยากใช้เงินตนเอง หลังจากนั้นก็ไม่ไปรับเสื้อผ้าอีกเลยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะออกจากจวนไปกับเยี่ยเป่ยเฉิงในวันพรุ่งนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็ลำบากใจนางจะไม่แต่งตัวโทรมเกินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้จวนอ๋องเสียหน้าสุด
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ
หลินซวงเอ๋อร์คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันอันยาวนานสิ่งที่นางผ่านมาครึ่งชีวิตล้วนเกิดขึ้นในมโนภาพอีกครั้งท่ามกลางหิมะตกโปรยปราย กระท่อมเล็กใกล้ผุพัง ครอบครัวพ่อแม่ลูกสี่คนที่อยู่อย่างอบอุ่น หลินซวงเอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนมารดา สองตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาบิดาอยู่ด้านข้างกำลังทำกระบี่ไม้ให้นางกับพี่ชายอยู่ มารดาอุ้มนางพร้อมร้องเพลงขับกล่อมให้นอนหลับ ช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งมารดากล่าวว่า “ซวงเอ๋อร์ต้องรีบโตเร็วๆ อีกหน่อยโตเป็นสาวแล้ว คงไม่อ้อนแม่เช่นนี้อีก”หลินซวงเอ๋อร์เบิกตาโตขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์แนบที่อกมารดา “ซวงเอ๋อร์จะอ้อนท่านแม่เสียอย่าง ท่านแม่ต้องอยู่กับซวงเอ๋อร์ตลอดไป”พี่ชายกล่าว “ข้าก็จะรีบเติบใหญ่ไวๆ เมื่อโตขึ้นแล้ว จะซื้อของอร่อยมาให้น้องกิน พาน้องไปอยู่บ้านหลังใหญ่ กินขนมชิ้นใหญ่ที่สุดเลย”บิดาหัวเราะ พร้อมกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องรีบเติบใหญ่ จึงจะปกป้องน้องสาวได้”ในความฝันของนาง หวังจะหยุดอยู่ช่วงนั้นให้นานที่สุด มีความรักจากบิดามารดา มีพี่ชายคอยปกป้อง แม้จะกินไม่ค่อยอิ่ม เสื้อผ้าก็ไม่พอให้กันหนาว แต่กระท่อมน้อยหลังนี้ คือที่ๆ นางอาลัยอาวรณ์ที่สุดทันใดน
เขาย้อนถามเยี่ยเป่ยเฉิง “เหตุใดนางต้องจากไป? เป็นเพราะข้ากระนั้นรึ?”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่รู้จะเอ่ยปากโต้เถียงอย่างไรใช่ เหตุใดนางต้องจากไป มิใช่เพราะความโง่เขลาของเขา ที่ทำให้นางเสียใจอย่างที่สุด จนต้องจากไปเพียงลำพังหรอกหรือ...ไป๋อวี้ถังกล่าว “เพราะเจ้าทำให้นางเสียใจ เพราะเจ้าไม่ได้ถนอนน้ำใจนางไว้!”“แต่รู้หรือไม่ว่า นางรักเจ้าเพียงไหน...”ไป๋อวี้ถังกล่าวเน้นยำทีละคำ “ในคืนวันไหว้พระจันทร์ เจ้าผิดนัดไม่ไปตามสัญญา นางรออยู่ริมน้ำทั้งคืน แต่ไม่ได้โกรธเคืองใดๆ ต่อเจ้า เพียงห่วงว่าเจ้าได้พักผ่อนหรือไม่ ทำงานหนักไปหรือเปล่า จึงได้ลืมวันสำคัญเช่นนี้ไป กระทั่งห่วงว่าเจ้าได้กินข้าวอิ่มท้องบ้างหรือไม่...”ได้ยินถึงตรงนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกคล้ายดวงตาพร่ามัวในคืนไหว้พระจันทร์นั้น เขายอมรับว่าลืมไปจริงๆ ลืมเสียสนิทด้วย! เขารีบกลับไปขอโทษนาง แต่นางก็มิได้โกรธเคือง แต่พอเขาเห็นภาพวาดในห้องลับของไป๋อวี้ถัง กลับคิดว่าเพราะนางอยู่กับไป๋อวี้ถังนั่นเอง จึงไม่นึกโกรธเคืองตนแม้แต่น้อย...นางมีแต่เขาผู้เป็นสามีอยู่ในใจเพียงผู้เดียว แต่เขากลับจิตใจคับแคบ หึงหวงส่งเดช แม้กระทั่งอารมณ์เสียใส่นาง...ห
“นางไม่เคยชอบพอข้ามาก่อน มีแต่ข้าที่คิดไปฝ่ายเดียว” ไป๋อวี้ถังจู่ ๆ ยื่นของในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง “ข้ารู้ว่าเจ้าเคยไปห้องลับของข้า และเห็นของเหล่านี้เข้า...”เยี่ยเป่ยเฉิงชะงักเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ รับของจากไป๋อวี้ถังมาเขาคลี่ออกดูทีละภาพ ข้างในล้วนเป็นภาพเขียนที่เห็นในห้องลับวันนั้น เป็นภาพที่นางได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ร่วมกับไป๋อวี้ถังมา แต่ละภาพล้วนมีความสมจริง และเป็นที่บาดตาของเขายิ่งไป๋อวี้ถังมองดูหญิงสาวในภาพด้วยความหลงใหล พลางกล่าวเสียงทุ้มเบา “ข้ายอมรับ ว่าเกิดความคิดที่ไม่เหมาะสมต่อนาง นับแต่ครั้งแรกที่พบเห็น ข้าก็เกิดความคิดแล้ว...”“แต่เรื่องไม่ใช่เป็นเหมือนที่เจ้าคิด”“เหตุการณ์ต่างๆ ในรูป ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าจินตนาการเอง...”เขาคลี่ภาพออกทีละภาพต่อ ชี้ไปที่ภาพนั้นๆ พลางอธิบายต่อเขา “เช่นภาพนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้พบนาง นางยืนอยู่ริมถนน บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเหมือนดั่งเทพธิดา เห็นครั้งแรกก็ตราตรึง ครั้งสองยิ่งซึ้งใจ...”เยี่ยเป่ยเฉิงมองตามภาพที่เขาชี้ เขาเพิ่งนึกได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่พานางไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ นางเลือกชุดยาวเป็นสีฟ้าคราม และเมื่อสวมใส่ก็งดงามราวเทพธิดาจำแลงจ
พ่อบ้านไม่รู้ว่าเขาถืออะไรออกมา แต่ดูเป็นม้วนๆ น่าจะเป็นภาพเขียนเรื่องบางอย่าง จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน......เยี่ยเป่ยเฉิงไม่คาดคิดว่าไป๋อวี้ถังจะมาหาเขาเพราะคิดว่า ระหว่างพวกเขาคงไม่มีเรื่องใดต้องคุยกันอีกนับแต่รู้ว่าไป๋อวี้ถังคิดเลยเถิดต่อซวงเอ๋อร์ของเขา ก็ไม่คิดว่าไป๋อวี้ถังเป็นเพื่อนอีก กระทั่งยังนึกอิจฉาในใจเสียด้วยซ้ำ!เพราะเทียบกับที่เขาทำร้ายจิตใจหลินซวงเอ๋อร์ ไป๋อวี้ถังคล้ายกับทำให้นางพอใจและมีความสุขมากกว่าเพียงแต่ซวงเอ๋อร์จะคิดอย่างไรต่อไป๋อวี้ถังกันนะ?หากเขาไม่ใช้วิธีบังคับให้นางมาอยู่ด้วย นางจะชื่นชมไป๋อวี้ถังมากกว่าหรือเปล่า?และหากวันที่จากลา ไม่มีเหตุการณ์ภูเขาถล่ม นางจะไปกับไป๋อวี้ถังจริงๆ ชาตินี้ไม่กลับมาพบเขาอีกหรือไม่?เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็รู้สึกปวดใจยิ่งเรื่องนี้เหมือนดั่งเสี้ยนหนามที่คาอยู่ในลำคอ ทำให้เขาไม่กล้าคิดต่อ ไม่กล้าไปซักถาม ได้แต่หลบเลี่ยงไปวันๆ...สำหรับไป๋อวี้ถังนั้น เขาควรจะโกรธแค้นคนผู้นี้ให้มาก!เพราะวันนั้น ที่หลินซวงเอ๋อร์จากไป ไป๋อวี้ถังก็ตั้งใจจะพาซวงเอ๋อร์ของเขาหนีไปให้ไกล แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ดูแลนางดีๆ จึงทำให้เส
ไป๋อวี้ถังกลับมาถึงจวน ก็เป็นยามค่ำคืนที่ดึกสงัดมากแล้วทันทีที่พ่อบ้านเปิดประตูให้เขา ก็ได้กลิ่นสุราฉุนโชยมาแต่ก่อนไป๋อวี้ถังไม่เคยดื่มเหล้า แต่หลายวันนี้ เขามักกลับมาพร้อมกลิ่นเหล้าติดตัวเสมอพ่อบ้านเป็นคนเก่าแก่ในจวน เห็นไป๋อวี้ถังมาตั้งแต่เล็กจนโต รู้นิสัยดีว่าเป็นคนอย่างไร เขาไม่เคยเห็นไป๋อวี้ถังปล่อยปละตนเองเช่นนี้มาก่อน แม้เจ้าตัวจะไม่ยอมพูดอันใด แต่พ่อบ้านก็รู้ดี ว่าไป๋อวี้ถังมีเรื่องกลัดกลุ้มในใจ จนทำให้เขาคล้ายหมดอาลัยตายอยากจนสิ้น“ใต้เท้า สุราทำลายสุขภาพ ท่านต้องดูแลตัวเองบ้างนะขอรับ” พ่อบ้านเดินตามไป๋อวี้ถังเข้าไปในจวน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ไป๋อวี้ถังดื่มสุราไปมาก เขานึกว่าการดื่มจะทำให้ลืมเลือนความทุกข์ไปได้บ้าง แต่แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไม่ว่าเขาจะดื่มมากเท่าใด ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดในห้วงคำนึงของเขา อย่างไรก็ไม่อาจลบล้าง...ที่แท้ การใช้สุราดับทุกข์ ทุกข์จะยิ่มเพิ่มพูนต่างหากเขารู้สึกก้าวเท้าเลื่อนลอย แต่สมองยังมีสติอยู่มาก“ข้าไม่เป็นไร ท่านออกไปก่อน อย่าให้ใครมารบกวนข้า” ไป๋อวี้ถังผลักประตูห้องหนังสือ ตรงดิ่งเข้าไปด้านในเดิมพ่อบ้า
ไหนๆ คนก็เสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีพยานหลักฐาน ใครจะยืนยันได้ว่านางเป็นคนทำ!แต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้ถามนางซ้ำอีก ไม่แม้แต่จะมองนางอีกสักนิด แต่กลับยืนขึ้น หันไปกล่าวต่อเสวียนอู่ซึ่งยืนอยู่เรือนด้านนอก “เตรียมยามาให้เจียงหว่าน!”เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจียงหว่านก็ค่อยเบาใจลงที่แท้ เขายังเชื่อใจนางอยู่เขาตัดใจฆ่านางไม่ได้หรอกเขายังนึกถึงบุญคุณที่ตระกูลเจียงมีต่อเขา...“ท่านอ๋อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด เจียงหว่านก็ไม่โทษท่าน หากท่านเข้าใจผิดเรื่องใด เจียงหว่านจะอธิบายให้รู้เอง”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้กล่าวเรื่องใดต่ออีก เขายืนที่ขั้นบันใด พร้อมเอามือไพล่หลัง ทั่วกายปรากฏลักษณะอันเย็นชา จนทำให้คนรู้สึกอึดอัดเสวียนอู่รับคำสั่งเดินเข้ามา พร้อมติดตามมาด้วยทหารอีกสองคน พอมาถึงก็คุมตัวเจียงหว่านไว้ ลากตัวนางเข้าไปห้องด้านข้างอย่างไม่ปรานีปราศรัยเจียงหว่านยังบาดเจ็บหนักอยู่ เมื่อถูกกระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ นางย่อมตกใจเป็นอย่างมากนางเอื้อมมือไปจับชายเสื้อเยี่ยเป่ยเฉิงไว้ “ท่านอ๋อง เจียงหว่านรู้สึกกลัวนัก เจียงหว่านเจ็บเจ้าค่ะ...”เยี่ยเป่ยเฉิงแทบไม่มองหน้านางเสียด้วยซ้ำ ปล่อยให้ทหารสองคนเดินขึ