บทที่ 2 เผชิญหน้า
พิธีการเสร็จสิ้นสาวใช้ได้พาหลี่มี่ไปที่ห้องหอส่วนท่านแม่ทัพนั้นออกตอนรับแขกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ประตูห้องถูกปิดจากด้านนอกหลี่มี่นั่งลงบนเตียงหนานุ่มใช้มือตบลงที่นอนอย่าน่าพอใจ เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงนางได้เปิดผ้าคุมหน้ากวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจดูภายในห้องที่นางต้องอยู่ต่อจากนี้
“ห้องกว้างใหญ่มากนี่น่า ในนิยายฉันจำได้ว่าฉันแต่งออกมาให้ห้องหอเป็นเพียงห้องเล็กเท่านั้น หรือนี่คือห้องที่เล็กที่สุดแล้วนะ เฮ้อ! ผ้าคุมหน้านี่ก็น่ารำคาญเสียจริง อากาศก็ออกจะร้อนขอถอดออกหน่อยละกันอย่างไรเจ้าบ่าวก็ไม่เข้ามาเปิดมันหรอก เพราะฉันจำได้ว่าคืนวันงานเขาไม่แยแสไม่สนใจปล่อยให้เยิ่นเม่ยเม่ยรอคอยจนฟ้าสว่าง ดีเลยอย่างนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อยแต่ก็น่าแปลกฉันเข้ามาอยู่ในนิยายได้ยังไงนะ แถมยังมาอยู่ในร่างตัวเอกอีก” หลี่มี่เปิดผ้าขยับอาภรณ์ที่แน่นหนาออกให้สบายตัว พลางคิดเรื่องที่เธอมาอยู่ในนิยายช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ๆ นางลุกขึ้นเดินทั่วห้องมองดูของใช้ต่าง ๆ
“ฉันว่าในห้องนี้ดีจริง ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าจัดเตรียมไว้ต้อนรับเยิ่นเม่ยเม่ยเป็นอย่างดี แต่ยังไงฉันก็ยังไม่สบายใจหรอกนะจริงสิวันนี้ฉันยังไม่ได้เจอเจ้าซาลาเปาลูกชายของท่านแม่ทัพเลยนี่น่า ต้องทำอย่างไรดีนะที่จะถูกใจเด็กชายคนนั้น จำได้ว่าเด็กชายคนนั้นกลัวว่าเยิ่นเม่ยเม่ยจะเข้ามาแย่งความรักของท่านพ่อ จึงไม่ชอบขี้หน้านางคอยกลั่นแกล้งนางตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ท่านแม่ทัพเองก็ไม่ได้สนใจปล่อยให้ลูกชายของเขารังแกอยู่เรื่อยมา ไม่นานเขาก็แต่งฮูหยินรองคนที่เขามีใจให้ก่อนที่จะแต่งเยิ่นเม่ยเม่ยเข้ามา และนางเองก็เป็นคนที่ทำให้เยิ่นเม่ยเม่ยตาย เฮอะ! ทำไมฉันแต่งนิยายออกมาได้โหดร้ายกับนางเอกแบบนี้นะ หรือนี่จะเป็นบทลงโทษเลยให้ฉันทะลุมิติมาอยู่ในนิยายตัวเอง อย่างนั้นฉันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเอง จากนี้ฉันจะใช้ชีวิตเป็นเยิ่นเม่ยเม่ยที่ไม่อ่อนแอให้ใครมารังแกได้อีกและฉันจะเอาชนะใจเจ้าซาลาเปานั้นให้ได้ หากทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดีฉันคงได้กลับไปที่โลกของตัวเอง นิยายเรื่องนี้จะได้จบอย่างบริบูรณ์ ฉันนี่มันเก่งจริง ๆ” หลี่มี่เอ่ยชมตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลังจากที่ทำพิธีและทะลุมิติมานานน้ำสักหยดนางยังไม่ได้กิน นางเห็นสุราที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นสุรามงคลที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องดื่มก่อนจะร่วมหอเมื่อนางเห็นจึงเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะรินสุราลงจอกกระดกเข้าปากอย่างกระหายน้ำ
“ฮื้ม! เหล้าที่นี่รสชาติดีจริง ๆ หิวน้ำแต่มีเหล้าแทนน้ำก็ดีสำหรับฉันจริง ๆ ” หลี่มี่รินสุราลงจอกอีกครั้งเพื่อดื่มด่ำกับรสชาติ ในโลกเดิมเธอเป็นนักดื่มตัวยง ต่อให้หมดไหนี่ก็ไม่สามารถทำให้นางเมาได้เลยแม้แต่น้อย
“อะไรกันหมดแล้วเหรอเนี้ยะ กำลังอร่อยเลย” หลี่มี่จับไหคว่ำไม่มีสุราไหลรินออกมาสักหยด เธอวางลงก่อนจะเดินไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน
“ไม่เป็นไรฉันยังอยู่ที่นี่อีกนานค่อยกินอีกวันหลังก็ได้ ขอนอนพักสายตาสักงีบค่อยคิดหาวิธีดีกว่า” แต่แล้วเมื่อนางกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงประตูก็ถูกเปิดจากข้างนอก
“แอ๊ดด!!”‘ใครมาในเวลานี่กันนะ’ หลี่มี่มองไปยังประตูเห็นบุรุษรูปงามกำลังย่างเท้ามาอย่างสง่างาม ใบหน้าเข้มขรึมหุ่นบึกบึนสมกับเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ ทำเอานางตาค้างหยุดเคลื่อนไหว
‘ไม่คิดเลยว่าพระเอกของฉันจะหล่อขนาดนี้ เดี๋ยวสิหลี่มี่เธอต้องตั้งสติตอนนี้เธอไม่ใช่หลี่มี่แต่เธอเป็นเยิ่นเม่ยเม่ยนะเว้ย!’ หลี่มี่รีบดึงสติของตนเองเพื่อเตือนว่าตอนนี้จะมาหลงใหลในรูปร่างหน้าตาของท่านแม่ทัพใจร้ายผู้นี้ไม่ได้ สายตาคมกริบมองไปยังสุรามงคลแต่ทว่าตอนนี้ไหนอนอยู่บนโต๊ะไร้น้ำสุราเขาเดินเข้ามาใกล้นางมากกว่าเดิมจ้องมองไปยังใบหน้าที่แดงก่ำของหลี่มี่ก่อนจะขยับปากเอ่ยวาจาออกมา
“เจ้าดื่มสุรามงคลเพียงผู้เดียวได้อย่างไรเหตุใดถึงไม่รอข้า ไหนจะผ้าคุมที่ข้าต้องเป็นผู้เปิดแต่ทว่าเจ้ากลับเปิดมันเอง”
“แฮะ ๆ ตอนนี้สุราหมดแล้ว ไม่ว่าท่านดื่มหรือข้าดื่มก็คล้าย ๆ กัน เป็นอันว่าพิธีเสร็จสิ้นแล้วท่านแม่ทัพกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าคะ คงเหนื่อยมาทั้งวัน” หลี่มี่ยิ้มกลบเกลื่อนความกลัว ใครจะคิดว่าเขาจะเข้ามาในห้องหอทั้ง ๆ ที่นิยายเขาไม่เคยเข้ามาเหยียบห้องนี้เลยด้วยซ้ำ นางจึงรีบหาทางให้ท่านแม่ทัพออกไปจากห้องนี่โดยเร็ว แต่เหมือนคำพูดของนางมิอาจไล่เขากลับไปได้ เขาเดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมหลี่มี่รีบลุกขึ้นเดินถอยหลังด้วยความกลัว
“ยังไม่เสร็จพิธีเสียหน่อยเหลืออีกหนึ่งพิธี ก็คือร่วมหอกับเจ้าอย่างไรล่ะ ดีเช่นกันในเมื่อเจ้าดื่มสุราหมดแล้วเราก็ร่วมหอกันเถอะ” ท่านแม่ทัพแสยะยิ้มมุมปากมองหลี่มี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าของนางเริ่มซีดเผือก ต้องทำอย่างไรถึงจะผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้ นางหลบสายตาเขาจังหวะนั้นนางมองไปเห็นไหสุราจึงคิดบางอย่างออก รีบใช้มือดันอกแกร่งของเขาไม่ให้เข้าใกล้พร้อมยิ้มกว้าง
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ เราจะต้องดื่มสุรามงคลก่อนสิเจ้าคะถึงจะทำพิธีครบทุกอย่าง”
“อะไรของเจ้า เมื่อครู่เจ้าบอกไม่ว่าข้าดื่มหรือเจ้าดื่มก็เช่นกันนี่น่า”
“โธ่! ท่านแม่ทัพอย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินของท่าน มิอาจจะหนีไปทางใดได้ เรามาร่วมดื่มสุรามงคลก่อนนะเจ้าคะ” เขาถอนหายใจก่อนจะเดินไปที่เก้าอี้นั่งลงพร้อมตะโกนออกไปด้านนอก
“ผู้ใดอยู่ข้างนอกจงไปนำเอาสุรามาให้ข้าที” หลี่มี่เบาใจเอามือทาบอกนางจะไม่ยอมร่วมหอกับชายผู้นี้เด็ดขาดต่อให้หล่อเหลาขนาดไหนก็ช่าง คืนนี้นางจะมอมสุราเขาเอง
“ขอรับท่านแม่ทัพ” เสียงของทหารที่อยู่ด้านนอกตอบกลับมา เขาหันมามองหลี่มี่พร้อมยกมือขึ้นกวักให้นางมานั่งใกล้ ๆ เขา
“เจ้ารีบมานี่สิ จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไม่หรือเจ้าเปลี่ยนใจ? ”
“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพช่างใจร้อนเหลือเกินนะเจ้าคะ” หลี่มี่เดินมานั่งเก้าอี้ตังวข้าง ๆ ท่านแม่ทัพ นางคอยสังเกตมองเขาอยู่บ่อยครั้งกลัวว่าเขาจะทำในสิ่งที่นางไม่คาดคิด ไม่นานประตูก็ถูกเปิดจากด้านนอก ทหารได้ยกไหสุราเข้ามาให้ตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ
“สุราที่ท่านแม่ทัพต้องการมาแล้วขอรับ”
“วางไว้ที่โต๊ะ ออกไปปิดประตูให้ข้าเช่นเดิมและห้ามมารบกวน”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” ใจหลี่มี่สั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำสั่งของเขา นางฝืนยิ้มยื่นมือไปหยิบไหรินน้ำสุราใส่จอกก่อนจะยกจอกสุราให้แก่เขาพร้อมยกจอกสุราของตนเองขึ้น
“สุราจอกนี้ข้าขอดื่มให้ท่านนะเจ้าคะ” เขาจ้องมองนางไม่ละสายตา ก่อนจะยกสุราที่นางรินให้หมดจอกภายในรวดเดียว
“สุราก็ได้ดื่มแล้ว เช่นนั้นตอนนี้เราไปที่เตียงกันเถอะ” แม่ทัพวางจอกสุราลงพลางลุกขึ้นแต่ก็ต้องถูกหลี่มี่ดึงแขนของเขาให้นั่งที่เก้าอี้เช่นเดิม
“เอ่อ...ท่านแม่ทัพเจ้าคะสุราที่นี่ช่างอร่อย ข้าอยากดื่มด่ำรสชาติอีกสักหน่อยแล้วเราค่อยขึ้นเตียงกันนะเจ้าคะ” หลี่มี่เอ่ยเหงื่อเริ่มไหลอกมาตามรูขุมขนทีละนิด หากนางยื้อเขาไม่ได้นางคงต้องตกเป็นของท่านแม่ทัพแน่ ๆ แต่ทว่าเขากลับยอมนั่งลงเช่นเดิมพร้อมรอยยิ้มที่ส่งผ่านสายตามามองหลี่มี่อย่างเร้าร้อน
บทที่ 3 เกือบไม่รอด“คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวท่านรองแม่ทัพจะดื่มสุราเก่งเพียงนี้ เอาสิหากเจ้าอยากดื่มจงดื่มให้เพียงพอจากนั้นเราจะได้ใช้ช่วงเวลาหอมหวานด้วยกัน” ดวงตาที่มองมายังนางช่างหวานเยิ้ม หลี่มี่คิดหนักทุกอย่างช่างแตกต่างในนิยายยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าเขาตามใจนางจึงรีบรินสุรามอบให้แก่เขาอีกครั้ง“เช่นนั้นท่านแม่ทัพมาดื่มด้วยกันนะเจ้าคะ จะให้ข้าดื่มผู้เดียวได้อย่างไร”“ได้สิหากเจ้าป้อนข้า ข้าจะดื่มทุกจอกที่เจ้ารินให้” ความรู้สึกอึดอัดปะทะใบหน้าแต่ทำได้เพียงแสร้งยิ้มให้คนตรงหน้า‘ตาแม่ทัพบ้าคนนี้ไม่เห็นเย็นชาแต่กลับเป็นท่านแม่ทัพจอมหื่นสินะ เฮ้อ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอแค่คืนนี้ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้’ หลี่มี่จำยอมยกจอกสุราป้อนไปที่ปากของเขาอย่างจำใจ เขายิ้มกริ่มออกมาอย่างพอใจดื่มสุราที่นางมอบให้จอกแล้วจอกเล่า เมื่อใกล้หมดหลี่มี่จึงตะโกนบอกทหารที่อยู่ด้านนอกไปนำสุรามาอีก ไหแล้วไหเล่าในที่สุดใบหน้าของท่านแม่ทัพเริ่มแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้มเอ่ยวาจาเริ่มติด ๆ ขัด ๆ“อะไรกันสุราหมดไปขนาดนี้แล้วแต่ท่านแม่ทัพยังนั่งได้อยู่ โชคดีที่เราเองคอแข็งมากพอไม่เช่นนั้นจะเป็นฉันเองที่มอมเหล้าตัวเอง "หลี่มี่คิด
บทที่ 4 เด็กแสบฝั่งด้านหลี่มี่นางเดินรับลมมาเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะเดินไปทางใดทำให้นางเริ่มสับสนว่าที่ที่นางอยู่นี่คือที่ใดกัน เมื่อเดินมาได้สักพักได้ยินเสียงเด็กชายที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านหน้า“เสียงเด็กผู้ชายนี่น่าหรือว่าจะเป็นเจ้าก้อนแป้งนะ ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าจะน่ารักเหมือนในนิยายหรือเปล่า” หลี่มี่รีบย่างเท้าไปด้านหน้าเพื่อพบกับ ‘อ้ายเยว่’ อายุห้าขวบ บุตรชายเพียงผู้เดียวของท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นขาดความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้เขาเอาแต่ใจตนเองและไม่ชอบเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะคิดว่านางจะมาแย่งความรักของท่านพ่อไปจากเขา เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้เห็นว่าเด็กชายแก้มตุ้ยนุ้ยอวบอ้วนกำลังรังแกสัตว์อยู่นางรีบเข้าไปห้ามทันทีไม่อยากให้เด็กชายนิสัยเสียไปกว่านี้“หยุดนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไร” เด็กชายหยุดรังแกสัตว์พร้อมหันไปมองที่มาของเสียง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเด็กชายมีท่าทางเปลี่ยนไปทันที“ชิ! ข้าคิดว่าใครที่แท้ก็คนที่มาแย่งท่านพ่อไปจากข้า มีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า ไม่ใช่ท่านแม่ของข้าเสียหน่อย” เด็กชายไม่ได้เกรงกลัวแถมยังแสดงท่าทีอวดเก่งใส่นางอีกด้วยซ้ำ"ตัวแค่นี้ปากเก่งเสียจริงนะ" หลี
บทที่ 5 ท่านแม่จะได้อุ้มหลานเร็ว ๆ นี้ภายในห้องโถงมีสตรีสองนางกำลังพูดคุยหารือกัน สตรีที่มีอายุนั่งอยู่ด้านขวาคือ ‘ฟางเหนียง’ มารดาของท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ กำลังใช้มือลูบหลังสตรีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมืออย่างอ่อนโยน นางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมา ใบหน้าของนางสง่างามไร้ที่ติแถมนางยังเป็นบุตรสาวของท่านใต้เท้าหลิวผู้ที่มีอำนาจนางคือ ‘หลิวอี้เฟ่ย’ สตรีที่มีใจให้แก่ท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ“หลิวอี้เฟ่ยเจ้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญเถิดนะ ตอนนี้เทียนหลันเซ่อบุตรชายของข้าได้แต่งฮูหยินเข้ามาแล้ว เราต้องช่วยกันคิดจะทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่ามาคร่ำครวญเช่นนี้ "“ท่านป้าข้าเจ็บตรงนี้เหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าจะได้เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเสียอีก เหตุไฉนท่านแม่ทัพถึงไปคว้าสตรีที่ต่ำต้อยเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน ข้าไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กแหลมสะอึกสะอื้นไห้ เอ่ยออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจนางรักเทียนหลันเซ่อจากใจจริงแม้ว่าเขาเคยมีภรรยาหรือมีลูกติดนางเองไม่ได้สน คอยมาหามาดูแลมารดาของท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง จนเอาชนะใจของฟางเหนียงได้“ไม่เลยเจ้าดีทุกอย่าง เหมาะสมกับเทียนหลันเซ่อทุกประการ
บทที่ 6 แผนการเมื่อหลี่มี่โค้งคำนับฟางเหนียงเสร็จนางหันหลังเดินออกมา เทียนหลันเซ่อเองก็รีบเดินตามหลังนางมาติด ๆ เดินผ่านสวนดอกไม้เทียนหลันเซ่อคว้าแขนของนางให้หยุดเดินก่อนจะใช้แขนอีกข้างโอบกอดนางไว้ไม่ให้เดินต่อ“นี่ท่านทำอันใดของท่านเจ้าคะ” หลี่มี่ตกใจที่จู่ ๆ เขาก็เข้ามาสวมกอดแถมแสดงสีหน้าเย้ายวนกวนประสาท“แค่กอดเท่านี้จะเป็นไรไป เมื่อคืนนี้เราก็ผ่านค่ำคืนเร้าร้อนมาด้วยกัน เจ้าบอกท่านแม่ว่าอีกไม่นานเจ้าจะมีหลานให้ท่าน สงสัยคืนนี้ข้าต้องรีบพาเจ้าเข้าห้องตั้งแต่ฟ้าไม่มืดจะได้มีน้องให้อ้ายเยว่ในเร็ววัน” เพราะความอยากเอาชนะหลิวอี้เฟ่ยทำให้หลี่มี่เอ่ยออกไปอย่างลืมคิด จนท่านแม่ทัพเอ่ยมันออกมาแล้วอย่างนี้นางจะหาทางหลบหนีเขาอย่างไร“เมื่อครู่… ที่ข้าเอ่ยออกไปเพราะอยากให้ท่านแม่สบายใจเท่านั้น ท่านแม่ทัพไม่เห็นต้องนำมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างคืนนี้ข้าขอพักบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ? เนื้อตัวของข้าปวดระบมไปหมดแล้ว” เทียนหลันเซ่อแสยะยิ้มมุมปากครุ่นคิด ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากแกล้งนางอยากรู้ว่านางจะแสดงได้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะแสดงธาตุแท้ออกมา เขารับมือจากศัตรูมามากเพียงมองดูก็รู้ว่าศัตรูจะโจมตีเช่นไรแต่
บทที่ 7 บาดเจ็บสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเรียกใช้จึงรีบพากันออกไปตามหาสาวใช้ที่นางต้องการ"ท่านป้าเจ้าคะ เมื่อครู่ที่นางมายกน้ำชาการกระทำคำพูดของนางข้าพอมองออก นางมิใช่สตรีที่อ่อนแอเราจะประมาทมิได้นะเจ้าคะ ""เป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย ข้าเองก็พอมองออกเราประเมินนางต่ำไป หากให้สาวใช้คอยปรนนิบัตินาง เราจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเช่นไร เทียนหลันเซ่อผ่านการมีภรรยามาแล้วข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของข้าจะหลงนางราวกับว่าไม่เคยผ่านสตรีใดมาก่อน หรือว่านางผู้นี้จะมีคาถาเวทย์มนต์หรือว่าใส่ยาเสน่ห์ให้เทียนหลันเซ่อกินกันนะ เขาไม่เคยเอ่ยวาจาเหินห่างกับเจ้าแต่เมื่อมีเยิ่นเม่ยเม่ยเข้ามากลับทำเป็นว่าเจ้าเป็นผู้อื่น เฮ้อ! ยิ่งคิดข้ายิ่งปวดหัว " ฟางเหนียงคิดอันใดก็เอ่ยออกมา ต่างจากหลิวอี้เฟ่ยนางคิดตามคำพูดของฟางเหนียงลุกขึ้นพรวดจนฟางเหนียงตกใจ"หากท่านป้าปวดหัวก็จงพักเถอะเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องทำขอลานะเจ้าคะ อีกสองวันข้าจะมาหาท่านป้าใหม่ " แววตาคมกริบไร้รอยยิ้มย่างเท้าเดินออกจากห้องไปทันที ทำเอาฟางเหนียงมองตามอย่างไม่เข้าใจ"นางมีเรื่องด่วนอันใดถึงรีบร้อนใจออกไปเช่นนี้ คงเป็นเพ
บทที่ 8 ข้าไม่ได้ตั้งใจไม่นานแม่นมได้กลับมาพร้อมท่านหมอตรวจร่างกายจัดการบาดแผลให้แก่หลี่มี่ โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บมากเพียงแค่หัวแตกเท่านั้น ส่วนที่นางสลบน่าจะเป็นเพราะนางตกใจจนเกินไปเมื่อท่านหมอรักษาแผลให้หลี่มี่เสร็จเขาจึงขอตัวกลับ ส่วนอ้ายเยว่ไม่กล้าที่จะเข้าไปที่ห้องเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างเป็นกังวล ส่วนลูกแมวน้อยเขาได้ให้แม่นมพาไปที่ห้องของเขาแล้ว เทียนหลันเซ่อรู้ว่าเยิ่นเม่ยเม่ยปลอดภัย เขาจึงเดินออกมาหน้าห้องพบเห็นอ้ายเยว่เดินไปมาอย่างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเดินเข้ามาหาบุตรชายเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น อ้ายเยว่เห็นท่านพ่อเดินออกมาจากห้องจึงรีบเข้าไปเอ่ยถามอาการของเยิ่นเม่ยเม่ย“ท่านพ่อนางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ข้าไม่ได้ทำให้นางตายใช่มั้ย? ท่านพ่อหากนางตายข้าจะทำเช่นไร” เทียนหลันเซ่อวางมือลงบนบ่าของอ้ายเยว่ทั้งสองข้างนั่งคุกเข่าลงเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้“อ้ายเยว่บอกข้ามาว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงได้รับบาดเจ็บ แล้วทำไมเจ้าต้องคิดว่าตนเองฆ่านางหรือว่าเจ้ารังแกนาง” น้ำเสียงกดต่ำเพียงแค่ได้ยินก็รู้เย็นยะเยือกถึงหัวใจเด็กชายสั่นกลัวส่ายหน้าม
บทนำ หลี่มี่สาวน้อยนักแต่งนิยายที่ไม่ได้โด่งดัง เธอหลับระหว่างกำลังแต่งนิยายแต่ทว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองแต่ง แถมยังมาอยู่ในร่างของนางเอกที่ต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม ไม่ได้การหากเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้เธอจะไม่ยอมตายง่าย ๆ และจะเปลี่ยนแปลงตอนจบของนิยายเรื่องนี้เอง แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือท่านแม่ทัพพร้อมลูกชายของเขา เธอจะทำอย่างไรต่อไปติดตามต่อได้นะคะบทที่ 1 ลืมตามาแต่งงานแคว้นเฉียนเหลียงในฤดูใบไม้ผลิท้องถนนเต็มไปด้วยโคมไฟประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ขบวนรถม้าเจ้าสาวที่กำลังเคลื่อนขบวนไปที่เรือนของบุรุษอันเป็นที่รักเพื่อทำพิธีมงคล ผู้คนมากมายต่างพากันออกมายืนดูขบวนรถม้าอย่างตื่นตา ต่างพากันอยากยลโฉมสตรีที่อยู่ในรถม้านั้นจะงดงามเพียงใดถึงได้ครองใจท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่หารู้ไม่ว่าการแต่งงานในครั้งนี้มิเกิดจากความรักแต่เป็นคำขอร้องคำสุดท้ายของคนสนิทผู้มีพระคุณของท่านแม่ทัพฝากฝังบุตรสาวให้ท่านแม่ทัพช่วยดูแลก่อนที่เขาจะตายต่อหน้าต่อตาท่านแม่ทัพเนื่องจากรับดาบแทนท่านแม่
บทที่ 8 ข้าไม่ได้ตั้งใจไม่นานแม่นมได้กลับมาพร้อมท่านหมอตรวจร่างกายจัดการบาดแผลให้แก่หลี่มี่ โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บมากเพียงแค่หัวแตกเท่านั้น ส่วนที่นางสลบน่าจะเป็นเพราะนางตกใจจนเกินไปเมื่อท่านหมอรักษาแผลให้หลี่มี่เสร็จเขาจึงขอตัวกลับ ส่วนอ้ายเยว่ไม่กล้าที่จะเข้าไปที่ห้องเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างเป็นกังวล ส่วนลูกแมวน้อยเขาได้ให้แม่นมพาไปที่ห้องของเขาแล้ว เทียนหลันเซ่อรู้ว่าเยิ่นเม่ยเม่ยปลอดภัย เขาจึงเดินออกมาหน้าห้องพบเห็นอ้ายเยว่เดินไปมาอย่างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเดินเข้ามาหาบุตรชายเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น อ้ายเยว่เห็นท่านพ่อเดินออกมาจากห้องจึงรีบเข้าไปเอ่ยถามอาการของเยิ่นเม่ยเม่ย“ท่านพ่อนางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ข้าไม่ได้ทำให้นางตายใช่มั้ย? ท่านพ่อหากนางตายข้าจะทำเช่นไร” เทียนหลันเซ่อวางมือลงบนบ่าของอ้ายเยว่ทั้งสองข้างนั่งคุกเข่าลงเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้“อ้ายเยว่บอกข้ามาว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงได้รับบาดเจ็บ แล้วทำไมเจ้าต้องคิดว่าตนเองฆ่านางหรือว่าเจ้ารังแกนาง” น้ำเสียงกดต่ำเพียงแค่ได้ยินก็รู้เย็นยะเยือกถึงหัวใจเด็กชายสั่นกลัวส่ายหน้าม
บทที่ 7 บาดเจ็บสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเรียกใช้จึงรีบพากันออกไปตามหาสาวใช้ที่นางต้องการ"ท่านป้าเจ้าคะ เมื่อครู่ที่นางมายกน้ำชาการกระทำคำพูดของนางข้าพอมองออก นางมิใช่สตรีที่อ่อนแอเราจะประมาทมิได้นะเจ้าคะ ""เป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย ข้าเองก็พอมองออกเราประเมินนางต่ำไป หากให้สาวใช้คอยปรนนิบัตินาง เราจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเช่นไร เทียนหลันเซ่อผ่านการมีภรรยามาแล้วข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของข้าจะหลงนางราวกับว่าไม่เคยผ่านสตรีใดมาก่อน หรือว่านางผู้นี้จะมีคาถาเวทย์มนต์หรือว่าใส่ยาเสน่ห์ให้เทียนหลันเซ่อกินกันนะ เขาไม่เคยเอ่ยวาจาเหินห่างกับเจ้าแต่เมื่อมีเยิ่นเม่ยเม่ยเข้ามากลับทำเป็นว่าเจ้าเป็นผู้อื่น เฮ้อ! ยิ่งคิดข้ายิ่งปวดหัว " ฟางเหนียงคิดอันใดก็เอ่ยออกมา ต่างจากหลิวอี้เฟ่ยนางคิดตามคำพูดของฟางเหนียงลุกขึ้นพรวดจนฟางเหนียงตกใจ"หากท่านป้าปวดหัวก็จงพักเถอะเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องทำขอลานะเจ้าคะ อีกสองวันข้าจะมาหาท่านป้าใหม่ " แววตาคมกริบไร้รอยยิ้มย่างเท้าเดินออกจากห้องไปทันที ทำเอาฟางเหนียงมองตามอย่างไม่เข้าใจ"นางมีเรื่องด่วนอันใดถึงรีบร้อนใจออกไปเช่นนี้ คงเป็นเพ
บทที่ 6 แผนการเมื่อหลี่มี่โค้งคำนับฟางเหนียงเสร็จนางหันหลังเดินออกมา เทียนหลันเซ่อเองก็รีบเดินตามหลังนางมาติด ๆ เดินผ่านสวนดอกไม้เทียนหลันเซ่อคว้าแขนของนางให้หยุดเดินก่อนจะใช้แขนอีกข้างโอบกอดนางไว้ไม่ให้เดินต่อ“นี่ท่านทำอันใดของท่านเจ้าคะ” หลี่มี่ตกใจที่จู่ ๆ เขาก็เข้ามาสวมกอดแถมแสดงสีหน้าเย้ายวนกวนประสาท“แค่กอดเท่านี้จะเป็นไรไป เมื่อคืนนี้เราก็ผ่านค่ำคืนเร้าร้อนมาด้วยกัน เจ้าบอกท่านแม่ว่าอีกไม่นานเจ้าจะมีหลานให้ท่าน สงสัยคืนนี้ข้าต้องรีบพาเจ้าเข้าห้องตั้งแต่ฟ้าไม่มืดจะได้มีน้องให้อ้ายเยว่ในเร็ววัน” เพราะความอยากเอาชนะหลิวอี้เฟ่ยทำให้หลี่มี่เอ่ยออกไปอย่างลืมคิด จนท่านแม่ทัพเอ่ยมันออกมาแล้วอย่างนี้นางจะหาทางหลบหนีเขาอย่างไร“เมื่อครู่… ที่ข้าเอ่ยออกไปเพราะอยากให้ท่านแม่สบายใจเท่านั้น ท่านแม่ทัพไม่เห็นต้องนำมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างคืนนี้ข้าขอพักบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ? เนื้อตัวของข้าปวดระบมไปหมดแล้ว” เทียนหลันเซ่อแสยะยิ้มมุมปากครุ่นคิด ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากแกล้งนางอยากรู้ว่านางจะแสดงได้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะแสดงธาตุแท้ออกมา เขารับมือจากศัตรูมามากเพียงมองดูก็รู้ว่าศัตรูจะโจมตีเช่นไรแต่
บทที่ 5 ท่านแม่จะได้อุ้มหลานเร็ว ๆ นี้ภายในห้องโถงมีสตรีสองนางกำลังพูดคุยหารือกัน สตรีที่มีอายุนั่งอยู่ด้านขวาคือ ‘ฟางเหนียง’ มารดาของท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ กำลังใช้มือลูบหลังสตรีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมืออย่างอ่อนโยน นางกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมา ใบหน้าของนางสง่างามไร้ที่ติแถมนางยังเป็นบุตรสาวของท่านใต้เท้าหลิวผู้ที่มีอำนาจนางคือ ‘หลิวอี้เฟ่ย’ สตรีที่มีใจให้แก่ท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ“หลิวอี้เฟ่ยเจ้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญเถิดนะ ตอนนี้เทียนหลันเซ่อบุตรชายของข้าได้แต่งฮูหยินเข้ามาแล้ว เราต้องช่วยกันคิดจะทำอย่างไรต่อไปจะดีกว่ามาคร่ำครวญเช่นนี้ "“ท่านป้าข้าเจ็บตรงนี้เหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าจะได้เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเสียอีก เหตุไฉนท่านแม่ทัพถึงไปคว้าสตรีที่ต่ำต้อยเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน ข้าไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กแหลมสะอึกสะอื้นไห้ เอ่ยออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจนางรักเทียนหลันเซ่อจากใจจริงแม้ว่าเขาเคยมีภรรยาหรือมีลูกติดนางเองไม่ได้สน คอยมาหามาดูแลมารดาของท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง จนเอาชนะใจของฟางเหนียงได้“ไม่เลยเจ้าดีทุกอย่าง เหมาะสมกับเทียนหลันเซ่อทุกประการ
บทที่ 4 เด็กแสบฝั่งด้านหลี่มี่นางเดินรับลมมาเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะเดินไปทางใดทำให้นางเริ่มสับสนว่าที่ที่นางอยู่นี่คือที่ใดกัน เมื่อเดินมาได้สักพักได้ยินเสียงเด็กชายที่ส่งเสียงดังอยู่ด้านหน้า“เสียงเด็กผู้ชายนี่น่าหรือว่าจะเป็นเจ้าก้อนแป้งนะ ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าจะน่ารักเหมือนในนิยายหรือเปล่า” หลี่มี่รีบย่างเท้าไปด้านหน้าเพื่อพบกับ ‘อ้ายเยว่’ อายุห้าขวบ บุตรชายเพียงผู้เดียวของท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นขาดความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้เขาเอาแต่ใจตนเองและไม่ชอบเยิ่นเม่ยเม่ยเพราะคิดว่านางจะมาแย่งความรักของท่านพ่อไปจากเขา เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้เห็นว่าเด็กชายแก้มตุ้ยนุ้ยอวบอ้วนกำลังรังแกสัตว์อยู่นางรีบเข้าไปห้ามทันทีไม่อยากให้เด็กชายนิสัยเสียไปกว่านี้“หยุดนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไร” เด็กชายหยุดรังแกสัตว์พร้อมหันไปมองที่มาของเสียง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเด็กชายมีท่าทางเปลี่ยนไปทันที“ชิ! ข้าคิดว่าใครที่แท้ก็คนที่มาแย่งท่านพ่อไปจากข้า มีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า ไม่ใช่ท่านแม่ของข้าเสียหน่อย” เด็กชายไม่ได้เกรงกลัวแถมยังแสดงท่าทีอวดเก่งใส่นางอีกด้วยซ้ำ"ตัวแค่นี้ปากเก่งเสียจริงนะ" หลี
บทที่ 3 เกือบไม่รอด“คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวท่านรองแม่ทัพจะดื่มสุราเก่งเพียงนี้ เอาสิหากเจ้าอยากดื่มจงดื่มให้เพียงพอจากนั้นเราจะได้ใช้ช่วงเวลาหอมหวานด้วยกัน” ดวงตาที่มองมายังนางช่างหวานเยิ้ม หลี่มี่คิดหนักทุกอย่างช่างแตกต่างในนิยายยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าเขาตามใจนางจึงรีบรินสุรามอบให้แก่เขาอีกครั้ง“เช่นนั้นท่านแม่ทัพมาดื่มด้วยกันนะเจ้าคะ จะให้ข้าดื่มผู้เดียวได้อย่างไร”“ได้สิหากเจ้าป้อนข้า ข้าจะดื่มทุกจอกที่เจ้ารินให้” ความรู้สึกอึดอัดปะทะใบหน้าแต่ทำได้เพียงแสร้งยิ้มให้คนตรงหน้า‘ตาแม่ทัพบ้าคนนี้ไม่เห็นเย็นชาแต่กลับเป็นท่านแม่ทัพจอมหื่นสินะ เฮ้อ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอแค่คืนนี้ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้’ หลี่มี่จำยอมยกจอกสุราป้อนไปที่ปากของเขาอย่างจำใจ เขายิ้มกริ่มออกมาอย่างพอใจดื่มสุราที่นางมอบให้จอกแล้วจอกเล่า เมื่อใกล้หมดหลี่มี่จึงตะโกนบอกทหารที่อยู่ด้านนอกไปนำสุรามาอีก ไหแล้วไหเล่าในที่สุดใบหน้าของท่านแม่ทัพเริ่มแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้มเอ่ยวาจาเริ่มติด ๆ ขัด ๆ“อะไรกันสุราหมดไปขนาดนี้แล้วแต่ท่านแม่ทัพยังนั่งได้อยู่ โชคดีที่เราเองคอแข็งมากพอไม่เช่นนั้นจะเป็นฉันเองที่มอมเหล้าตัวเอง "หลี่มี่คิด
บทที่ 2 เผชิญหน้าพิธีการเสร็จสิ้นสาวใช้ได้พาหลี่มี่ไปที่ห้องหอส่วนท่านแม่ทัพนั้นออกตอนรับแขกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ประตูห้องถูกปิดจากด้านนอกหลี่มี่นั่งลงบนเตียงหนานุ่มใช้มือตบลงที่นอนอย่าน่าพอใจ เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงนางได้เปิดผ้าคุมหน้ากวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจดูภายในห้องที่นางต้องอยู่ต่อจากนี้“ห้องกว้างใหญ่มากนี่น่า ในนิยายฉันจำได้ว่าฉันแต่งออกมาให้ห้องหอเป็นเพียงห้องเล็กเท่านั้น หรือนี่คือห้องที่เล็กที่สุดแล้วนะ เฮ้อ! ผ้าคุมหน้านี่ก็น่ารำคาญเสียจริง อากาศก็ออกจะร้อนขอถอดออกหน่อยละกันอย่างไรเจ้าบ่าวก็ไม่เข้ามาเปิดมันหรอก เพราะฉันจำได้ว่าคืนวันงานเขาไม่แยแสไม่สนใจปล่อยให้เยิ่นเม่ยเม่ยรอคอยจนฟ้าสว่าง ดีเลยอย่างนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อยแต่ก็น่าแปลกฉันเข้ามาอยู่ในนิยายได้ยังไงนะ แถมยังมาอยู่ในร่างตัวเอกอีก” หลี่มี่เปิดผ้าขยับอาภรณ์ที่แน่นหนาออกให้สบายตัว พลางคิดเรื่องที่เธอมาอยู่ในนิยายช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ๆ นางลุกขึ้นเดินทั่วห้องมองดูของใช้ต่าง ๆ“ฉันว่าในห้องนี้ดีจริง ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าจัดเตรียมไว้ต้อนรับเยิ่นเม่ยเม่ยเป็นอย่างดี แต่ยังไงฉันก็ยังไม่สบายใจหรอกนะจ
บทนำ หลี่มี่สาวน้อยนักแต่งนิยายที่ไม่ได้โด่งดัง เธอหลับระหว่างกำลังแต่งนิยายแต่ทว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองแต่ง แถมยังมาอยู่ในร่างของนางเอกที่ต้องตายอย่างไร้ความยุติธรรม ไม่ได้การหากเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้เธอจะไม่ยอมตายง่าย ๆ และจะเปลี่ยนแปลงตอนจบของนิยายเรื่องนี้เอง แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือท่านแม่ทัพพร้อมลูกชายของเขา เธอจะทำอย่างไรต่อไปติดตามต่อได้นะคะบทที่ 1 ลืมตามาแต่งงานแคว้นเฉียนเหลียงในฤดูใบไม้ผลิท้องถนนเต็มไปด้วยโคมไฟประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ขบวนรถม้าเจ้าสาวที่กำลังเคลื่อนขบวนไปที่เรือนของบุรุษอันเป็นที่รักเพื่อทำพิธีมงคล ผู้คนมากมายต่างพากันออกมายืนดูขบวนรถม้าอย่างตื่นตา ต่างพากันอยากยลโฉมสตรีที่อยู่ในรถม้านั้นจะงดงามเพียงใดถึงได้ครองใจท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่หารู้ไม่ว่าการแต่งงานในครั้งนี้มิเกิดจากความรักแต่เป็นคำขอร้องคำสุดท้ายของคนสนิทผู้มีพระคุณของท่านแม่ทัพฝากฝังบุตรสาวให้ท่านแม่ทัพช่วยดูแลก่อนที่เขาจะตายต่อหน้าต่อตาท่านแม่ทัพเนื่องจากรับดาบแทนท่านแม่