บทที่ 9 หากถูกท่านโอบกอดคงหายดี
หลังจากที่สาวใช้เดินออกไปหลี่มี่โน้มลงลงนอนพร้อมหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ไม่คิดเลยว่าการเจ็บตัวจะเจ็บได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นการเจ็บที่ไม่ได้ถูกกระทำ แต่มันทำให้หลี่มี่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นเช่นไร แล้วอย่างนี้เยิ่นเม่ยเม่ยตอนที่นางถูกรังแกจะเจ็บปวดถึงเพียงใดกันนะ หลี่มี่หลับตาครุ่นคิดไม่นานจึงผล็อยหลับไป
“บาดเจ็บอีกแล้วสินะ ทำเช่นไรเจ้าถึงจะปลอดภัย ข้าไม่ชอบที่เห็นเจ้าบาดเจ็บเลยสักนิด” มือหนาลูบลงที่หัวของเยิ่นเม่ยเม่ยอย่างอ่อนโยน จ้องมองร่างบางที่นอนหลับสนิทด้วยใจที่เจ็บปวด
หลี่มี่รู้สึกตัวเหมือนมีมือมาลูบที่หัวของนาง นางลืมตาขึ้นมาพบเพียงในห้องตอนนี้มีเพียงความมืดสนิดว่างเปล่า นางลุกขึ้นนั่งกวาดตามองดูรอบ ๆ แต่กลับไม่พบผู้ใดสักคนหรือนี่นางจะรู้สึกหรือฝันไปนะ
“ฝันสินะไป๋ลู่เจ้าอยู่ด้านอกหรือไม่? ”
“เจ้าค่ะ “เสียงตอบขานอยู่ด้านนอกผลักประตูเดินเข้ามาในห้องพร้อมเดินไปจุดเทียนเพิ่มความสว่างในห้อง
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าเตรียมอาหารมาให้ฮูหยินแล้ว” นางจุดเทียนพลางเอ่ยบอกนายหญิง
“ตอนที่ข้าหลับอยู่มีผู้ใดเข้ามาหรือไม่?”
“ไม่นะเจ้าคะ ข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องตลอดไม่เห็นจะมีผู้ใดมาเยือนเลยสักคน ลุกขึ้นไหวไม่เจ้าคะข้าช่วยพยุง” ไป๋ลู่เดินเข้ามาประคองร่างของหลี่มี่ให้ลุกขึ้นไปที่โต๊ะอาหาร
‘หรือว่าฉันฝันไปจริง ๆ แต่ทำไมเหมือนความจริงจังเลยแต่ช่างเถอะตอนนี้ฉันมีเรื่องให้คิดและสำคัญกว่า’ หลี่มี่คิดในใจก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมไว้ให้เต็มโต๊ะไปหมด
นางจับตะเกียบคีบอาหารเข้าปากเพื่อลิ้มรส วันนี้ทั้งวันนางแทบไม่ได้กินอะไรเข้าไปในท้องสักอย่างตอนนี้ท้องของนางเริ่มร้องประท้วงให้นางกินเพื่อความอยู่รอด เมื่ออาหารเข้าปากดวงตาของหลี่มี่ลุกวาว ไม่คิดเลยว่าอาหารของที่นี่จะอร่อยมากขนาดนี้
“จริงสิ ท่านแม่ทัพไม่มาดูข้าบ้างเลยหรือ หรือว่าเขายังไม่กลับมาจากข้างนอกกัน”
“ข้าเฝ้าห้องฮูหยินตั้งแต่ท่านหลับยังไม่เห็นท่านแม่ทัพเลยเจ้าค่ะ " ไป๋ลู่รีบรายงานพร้อมสำรวจใบหน้าของเยิ่นเม่ยเม่ยว่านางจะแสดงสีหน้าเช่นไร แต่เมื่อนางได้เห็นกลับต้องสงสัยเพราะหลี่มี่กลับยิ้มเยาะออกมา พร้อมไม่เอ่ยอันใดแม้แต่น้อย
‘หึ! ช่างโชคดีตอนนี้ตะวันตกดินวันนี้เขาคงไม่มาสินะ แต่ก็น่าโมโหข้าเจ็บตัวขนาดนี้ไม่มาถามไถ่สักนิด เหอะ’ หลี่มี่คิดในใจพร้อมคีบอาหารเข้าปากต่อ แต่แล้วจู่ ๆ ประตูได้ถูกเปิดจากด้านนอกเข้ามาทั้งสองหันไปมองตาม ๆ กัน ใบหน้าของหลี่มี่พลันเปลี่ยนสีหุบยิ้มโดยปริยาย
“อะไรกันหรือว่าจะรู้ความคิดฉันนะ” หลี่มี่พึมพำเงียบ ๆ เพราะผู้ที่เดินเข้ามาคือท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ
“ฮูหยินเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ? .” แม่ทัพรีบย้ำเท้าเดินเข้ามาหาใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้ามันกระดูกแข็งอยู่แล้ว” แม้นางอยากจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นแต่ทว่าตอนนี้ไป๋ลู่อยู่ในห้องด้วย นางต้องนำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแจ้งฟางเหนียงแน่ ๆ หลี่มี่จึงแสร้งทำเป็นออดอ้อนท่านแม่ทัพอย่างไม่เต็มใจ
“ท่านแม่ทัพ ข้าเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ” หลี่มี่บีบน้ำตาใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดส่งผ่านไปหาเทียนหลันเซ่อ
“เจ้าเจ็บมากอย่างนั้นหรือ? เจ้าไปตามท่านหมอมาตรวจอาการของนางอีกรอบ " เทียนหลันเซ่อรีบออกคำสั่งให้ไป๋ลู่ ไปตามท่านหมอมาตรวจนางอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ก็ต้องถูกหลี่มี่ห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ท่านแม่ทัพไม่ต้องทำเช่นนั้นข้าเพียงเจ็บเท่านั้น แต่หากมีท่านอยู่เคียงข้างในคืนนี้ไม่แน่ ตื่นเช้ามาข้าอาจจะหายเป็นปลิดทิ้ง” หลี่มี่ออดอ้อนลุกขึ้นเดินไปหาเทียนหลันเซ่อพลางใช้มือทั้งสองข้างสอดเข้าข้างกายของเขาพร้อมกอดตัวซุกเข้าไปในอกแกร่งใบหน้าแนบอก แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางเขาโล่งอกที่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก เขาโอบกอดนางกลับพร้อมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ได้สิ ...หากเจ้าต้องการข้าจะโอบกอดเจ้าทั้งคืนย่อมได้ ส่วนเจ้าเก็บสำรับแล้วไปพักได้ ข้าจะอยู่ดูแลฮูหยินของข้าเอง” เทียนหลันเซ่อให้ไป๋ลู่เก็บสำรับที่หลี่มี่กินอยู่เมื่อครู่
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ " ไป๋ลู่เก็บสำรับไม่นานก็ได้เดินออกไปด้านนอก ทหารของท่านแม่ทัพที่อยู่ด้านนอกปิดประตูให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง เมื่อหลี่มี่ได้ยินเสียงประตูที่ปิดลงนางรีบผละออกจากอ้อมกอดของเทียนหลันเซ่อทันที
“ตอนนี้ข้าอยากพักแล้วท่านแม่ทัพเองก็กลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ”
“อะไรกันเหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้เมื่อครู่มิใช่เจ้าหรอกหรือที่บอกให้ข้าโอบกอดเจ้าทั้งคืน " เหมือนเทียนหลันเซ่อจะรู้ที่นางทำเมื่อครู่เพียงทำต่อหน้าสาวใช้นางนั้น
“เมื่อครู่สงสัยข้าจะสติเลอะเลือนเจ้าค่ะ ถึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น ท่านแม่ทัพตอนนี้หัวของข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าอยากพักผ่อนหากท่านไม่ว่าอันใดจนกว่าข้าจะหายท่านช่วยกลับไปพักที่ห้องของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ? “เทียนหลันเซ่อแสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้หลี่มี่ที่เดินอยู่ห่างแค่คืบ พร้อมช้อนร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด บัดนี้นางถูกเขาอุ้มอย่างง่ายดาย
“หากเจ้าสติเลอะเลือนเช่นนั้นข้าต้องอยู่ที่นี่กับเจ้าถูกแล้ว ข้าจะได้ดูแลเจ้าหากเจ้าสติเลอะเลือนอีก ไปโอบกอดเช่นนี้กับทหารของข้าจะเกิดเรื่องใหญ่ได้” หลี่มี่เบิกตาโพลงโตเพียงไม่กี่เสี้ยววิเขากลับอุ้มนางมาอยู่ในอ้อมกอด แถมยังยิ้มราวกับผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าเกรงว่าท่านจะนอนดิ้นแล้วจะถูกแผลเอาได้ ข้าสัญญาจะไม่เลอะเลือนอีก” หลี่มี่กระตุกกระตักหาทางหนีออกจากแขนแกร่งของเขา
“ข้าเป็นท่านแม่ทัพที่ไปออกรบมานับครั้งไม่ถ้วน ข้านอนไม่ดิ้นหรอกนะเจ้าโปรดวางใจ” เขาไม่ฟังคำพูดของนางด้วยซ้ำ แถมยังอุ้มนางเดินไปที่เตียงนอนอย่างไม่รีรอ หลี่มี่เริ่มใจหวิวกลัวว่าเขาจะทำอะไรมิดีมิร้าย เทียนหลันเซ่อวางนางลงบนเตียงปิดผ่านม่านคุมเตียงลง ก่อนจะเดินไปดับเทียนที่ห้อง หลี่มี่หมดหนทางหนีเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเทียนหลันเซ่อเดินเข้ามาใกล้ ๆ ขยับกายขึ้นเตียงมานอนห่มผ้าห่มผืนเดียวกับนาง
“เอ่อ ... ท่านแม่ทัพคืนนี้ท่านคงไม่คิดร่วมหลับนอนกับข้าหรอกใช่มั้ย? ข้าเจ็บอยู่ท่านรู้ใช่หรือไม่หากข้าได้รับกระทบกระเทือนอาจทำข้าได้รับบาดเจ็บยิ่งขึ้น” หลี่มี่เอ่ยถามอย่างติดๆ ขัด ๆ ทำเอาชายที่อยู่ตรงหน้าหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เขานอนชันแขนหนุนกับหมอนใช้แขนยันหัวของตนเองจ้องมองหลี่มี่พลางหัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮูหยิน นี่เจ้าคิดว่าในสมองของข้าคิดแต่เรื่องเช่นนั้นหรือ นอนเสียเถอะเจ้าวางใจได้ข้าไม่ทำอันใดเจ้าหรอกนะ " หลี่มี่โล่งอกแต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้ตัวเองมาอยู่ในร่างของฮูหยินท่านแม่ทัพ จึงค่อย ๆ ข่มตาให้หลับ เทียนหลันเซ่อเอนตัวนอนลงข้าง ๆ พร้อมยื่นมือไปกอดหลี่มี่แน่น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งหลี่มี่เผลอหลับไปในอ้อมกอดของท่านแม่ทัพ
บทที่ 10 ไม่ปิดบังยามเหม่า (05.30)เรือนของฟางเหนียง“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ข้ามาตามที่ท่านสั่งมาเจ้าค่ะ” สาวใช้ยืนอยู่ในมุมมืดตอนนี้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์กำลังสาดส่องลงมาเพียงเล็กน้อย“ได้ความว่าเช่นไร” ฟางเหนียงเอ่ยถามอีกฝ่าย“เมื่อวานนี้ฮูหยินได้รับบาดเจ็บเนื่องมาจากช่วยคุณชายอ้ายเยว่เอาไว้ แต่ข้ายังไม่รู้นิสัยของฮูหยินเท่าไหร่นัก ทั้งวันนางเอาแต่เก็บตัวนอนอยู่บนเตียงเพราะว่าเจ็บบาดแผล นางให้ข้าออกมาอยู่ด้านนอกจนกระทั่งฟ้ามืดนางตื่นขึ้นมา ข้าจึงเข้าไปดูแลปรนนิบัตินาง ไม่นานท่านแม่ทัพได้เข้าไปหาฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินออดอ้อนเก่งจนทำให้ท่านแม่ทัพรีบไล่ข้าออกมาเพื่อพาฮูหยินไปหลับนอน ทั้งสองดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้รีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายอย่างที่นางเห็นมา“แล้วท่านแม่ทัพมีท่าทีเช่นไรเมื่อนางออดอ้อน”“ท่านแม่ทัพดูเป็นห่วงฮูหยินมาก ๆ นะเจ้าคะสายตาที่จ้องมองฮูหยินเป็นสายตาที่ข้าไม่เคยเห็นเลยสักครา”“อืมเช่นนั้นหรือ เจ้ากลับไปเถิดแล้วจับตาดูนางให้ดี มีอะไรก็รีบมารายงานวันนี้ข้าจะเข้าไปดูอาการนางสักหน่อย”“เจ้าค่ะ” ไป๋ลู่มารายงานตามงานที่นางถูกสั่งให้ไปทำ เมื่อนางได้รายงานเสร็
บทที่ 11 ตั้งรับ"ท่านแม่รู้หรือไม่เจ้าคะ ถ้อยคำที่ท่านแม่เอ่ยออกมาต่ำยิ่งกว่าฐานะของข้าเสียอีก ทำไมกันเจ้าคะเพียงเพราะข้ามิใช่หลินอี้เฟ่ยท่านเลยไม่ชอบข้าใช่หรือไม่? วันนี้ข้าจะบอกความรู้สึกที่มีต่อท่านแม่เช่นกันเจ้าคะ ว่าข้าเองไม่ได้ชอบท่านเลยสักนิดเวลาอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพไม่บอกไปเลยล่ะเจ้าคะ ว่าท่านไม่ต้องการให้ข้าเป็นฮูหยิน ท่านต้องยกตำแหน่งนี้ให้หลินอี้เฟ่ย อืม... ข้าพอรู้เพราะว่าท่านไม่กล้าที่จะเอ่ยเช่นนี้กับท่านแม่ทัพเลยมาบอกข้าในเวลาที่ท่านแม่ทัพไม่อยู่ อย่าคิดว่าข้ากลัวท่านนะเจ้าคะต่อให้ท่านไม่ชอบข้าเพียงใดก็ต้องจำใจดูการมีอยู่ของข้าตลอดไปเลยนะเจ้าค่ะ เพราะไม่ว่าท่านไล่ข้าเช่นไรข้าไม่ยอมออกจากเรือนนี้ไปแน่ " หลี่มี่ยิ้มเยาะหยันไร้ความกลัวพร้อมรับมือกับสตรีตรงหน้า"นี่เจ้าเอ่ยว่าจาเหิมเกริมยิ่งนัก! ข้าเป็นมารดาของท่านแม่ทัพแต่เจ้าหาเกรงกลัวไม่ " ฟางเหนียงชี้นิ้วใส่หน้าของหลี่มี่เอ่ยออกมาเสียงสั่นด้วยความโมโห"ท่านเป็นท่านแม่ของท่านแม่ทัพแต่มิใช่ท่านแม่ของข้านี่เจ้าคะ ในเมื่อท่านเอ่ยวาจาไม่ดีต่อข้าก่อนท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่านต่อว่าอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้น "คำพูดหยิ่งพยองไร้ความย
บทที่ 12 ตอบแทนอ้ายเยว่สนุกสนานกับลูกแมวที่เขาได้ช่วยลงมาจากต้นไม้ พูดคุยกับแม่นมจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของหลี่มี่ที่เดินผ่านมา"คุณชายเจ้าคะ ฮูหยินกำลังเดินมาทางนี้นำลูกแมวที่คุณชายได้ช่วยไว้ไปให้ฮูหยินดูดีมั้ยเจ้าคะ" อ้ายเยว่หันไปมองเยิ่นเม่ยเม่ยที่กำลังเดินผ่านพร้อมอุ้มลูกแมวเอาไว้ในอ้อมแขน"ทำไมต้องนำไปให้นางได้ดูด้วย ข้าไม่ชอบนางแม่นมเข้าใจหรือไม่""แต่ว่าฮูหยินได้รับบาดเจ็บที่หัวเพราะช่วยคุณชายเอาไว้นะเจ้าคะ หากฮูหยินมารับคุณชายไว้ไม่ทัน คุณชายอาจจะเจ็บตัวมากกว่านี้ก็เป็นได้""แม่นมพูดมาก ก็ได้แต่ที่ข้าทำเพราะไม่ใช่ข้าชอบนางหรอกนะ แต่เพราะนางช่วยข้าอย่างที่แม่นมกล่าวเท่านั้น" อ้ายเยว่ยังคงไม่อาจจะเปิดใจรับหลี่มี่ได้ แต่ก็ยังอุ้มลูกแมวดินไปหานางหลี่มี่เดินผ่านห้องของอ้ายเยว่แต่นางไม่คิดจะเข้าไปหาเพราะยังไม่พร้อมที่จะรับมือเพียงแค่ฟางเหนียงนางก็ปวดหัวพอแรงอยู่แล้ว แต่ทว่านางกลับเห็นว่าอ้ายเยว่กำลังอุ้มลูกแมวเดินตรงมาหานาง"ไป๋ลู่เจ้าดูสิว่านั้นใช่คุณชายอ้ายเยว่หรือไม่? หรือว่าข้าตาฝาด""นั้นคุณชายอ้ายเยว่จริง ๆ เจ้าค่ะ " หลี่มี่คิ้วขมวดเข้าหากัน ปกติเด็กชายไม่ชอบนางแต่วันนี้เ
บทที่ 13 เริ่มวางแผนตะวันคล้อยบ่ายเกี้ยวของหลิวอี้เฟ่ยมาที่เรือนของเทียนหลันเซ่อ นางดีใจที่ท่านพ่อเห็นชอบจึงรีบเดินทางมาปรึกษาหารือกับฟางเหนียง เกี้ยวหยุดนิ่งหลิวอี้เฟ่ยก้าวเท้าลงที่หน้าเรือนพร้อมเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย"นี่เจ้าฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนหรือไม่? " นางเห็นทหารที่ยืนเฝ้าประตูอยู่จึงเอ่ยถาม"อยู่ขอรับ ""ขอบใจเจ้ามาก " หลิวอี้เฟ่ยยิ้มแย้มแจ่มใสเดินตรงไปที่เรือนของฟางเหนียงแต่ทว่าระหว่างทางนางเห็นเยิ่นเม่ยเม่ยกำลังเดินอยู่กับสาวใช้"ทำไมต้องมาพบเจอนางด้วยข้าละไมชอบใจจริง ๆ แต่เอ๊ะที่หัวของนางทำไมถึงมีผ้าโพกหัวอยู่เช่นนั้น เข้าไปสำรวจการดูดีกว่า ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันนางจะเป็นสตรีที่อ่อนแอหรือไม่ หากนางอ่อนแอข้าจะได้จัดการอย่างง่ายดาย " หลิวอี้เฟ่ยจึงเปลี่ยนเส้นทางจากจะไปที่เรือนของฟางเหนียงแต่นางเลือกที่จะเข้ามาหาเยิ่นเม่ยเม่ยก่อนส่วนหลี่มี่นางเดินสำรวจจนแทบจะทั่วเรือนฟังไป๋ลู่ชี้แนะที่ต่างๆ จนตอนนี้นางเริ่มเหนื่อยอยากกลับห้องเสียแล้ว"ไป๋ลู่ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้วกลับห้องกันดีกว่า ข้าอยากนอนพักสักหน่อย ""ได้เจ้าค่ะฮูหยิน "ไป๋ลู่ผายมือให้หลี่มี่เดินนำหน้าตนเองมือข้างขวาถือร
บทที่ 14 ข้าจะนอนด้วยตะวันลาลับขอบฟ้าแสงสว่างของโคมไฟเริ่มทำหน้าที่ส่องสว่างตามทางเดิน เทียนหลันเซ่อกลับมาจากด้านนอกสะสางเรื่องที่เกิดขึ้นเรียบร้อยจึงกลับมาที่ห้องพักของตนแช่กายอยู่ในอ่างน้ำอุ่นพลางครุ่นคิดถึงเยิ่นเม่ยเม่ย“ไม่รู้ปานนี้บาดแผลที่หัวของเจ้าจะดีขึ้นหรือยัง งานที่มีก็ล้นมือแต่ทำไมหัวใจของข้ามันเรียกร้องไปหาเจ้าเช่นนี้นะเยิ่นเม่ยเม่ย เจ้าไม่เหมือนสตรีใดที่ข้าเคยพบเจอช่างแปลกยิ่งนักอยู่ใกล้เจ้าหัวใจของข้าเต้นแรงราวกับจะออกมาวิ่งโลดแล่นด้านนอก ท่านรองแม่ทัพท่านไม่ต้องเป็นห่วงนาง ครั้งนี้ข้าจะปกป้องนางด้วยชีวิตของข้าเอง " แม่ทัพมองไปด้านหน้าพลางลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำทหารคนสนิทคว้าผ้ามาคุมร่างกายให้แม่ทัพ "ข้าจะไปหาฮูหยินที่ห้องของนาง วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ดูแลข้า ไปพักเถิดส่วนงานที่เหลือรุ่งสางค่อยหารือกันอีกที " ทหารคนสนิทมองหน้าแม่ทัพอย่างสงสัย "ข้ามิรู้เลยนะขอรับว่าท่านแม่ทัพมีใจให้ฮูหยิน ข้าคิดว่าท่านแม่ทรงทำดีกับนางเพราะท่านรองแม่ทัพขอไว้เสียอีก" ทหารได้เอ่ยขึ้นเมื่อกำลังนำผ้ามาคุมกาย"ตอนนี้นางขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินของข้า แม้ว่าข้าจะมีใจหรือไม่มีใจข้าต้องทำหน้าที่ของตนเ
บทที่ 15 ความอบอุ่นใช้มือลูบบนอกแกร่งของเทียนหลันเซ่อ ยิ้มกว้างพร้อมใช้มารยาให้เขาเชื่อตนเอง"ข้ามิได้หนีท่านเสียหน่อยเจ้าค่ะ เพียงแค่ตอนนี้ข้าบาดเจ็บท่านเองก็เห็นนี่เจ้าคะ หากข้าร่วมหลับนอนกับท่านด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้กับร่างกายที่แข็งแกร่งของท่านแม่ทัพล่ะเจ้าคะ รอให้ข้าหายดีเมื่อไหร่ข้าจะทำให้ท่านสบายเนื้อสบายตัวแน่นอนเจ้าค่ะ " หลี่มี่บีบเสียงให้เล็กลงคล้ายยั่วยวนให้เทียนหลันเซ่อคล้อยตามคำพูดของนาง'เหอะ! เยิ่นเม่ยเม่ย เจ้าเรียนรู้การเอ่ยวาจาเช่นนี้มาตั้งแต่ที่ใดกัน หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไปอีกข้าอาจจะอดใจไม่ไหวที่จะแตะต้องเจ้า' เทียนหลันเซ่อคิดในใจมือขวาโอบเอวนางเอามากอดไว้แน่น"เฮ้อ! ข้าคิดว่าคืนนั้นข้าทำผิดพลาดจนเจ้าไม่พอใจเสียอีก หากเจ้าว่าเช่นนั้นข้าเองจะไม่เคลือบแคลงเจ้า เช่นนั้นต่อจากนี้เจ้าโปรดเรียกข้าว่าท่านพี่มิใช่ท่านแม่ทัพเข้าใจหรือไม่ฮูหยินของข้า " หลี่มี่โล่งอกที่เขาเชื่อในคำโกหกของตน"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านปล่อยข้าก่อนได้มั้ยเจ้าคะอีกเดี๋ยวอ้ายเยว่คงเข้ามา ข้าไม่อยากให้อ้ายเยว่เห็นว่าท่านมอบความรักให้ข้า เดี๋ยวเขาจะคิดว่าท่านไม่ได้รั
บทที่ 16 หารืองานเลี้ยงเทียนหลันเซ่อกลับห้องของตนเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์โดยมีทหารคนสนิทคอยช่วยหยิบจับทุกสิ่งทุกอย่างให้“ช่วงนี้ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะอารมณ์ดีนะขอรับ ใบหน้าชื้นบานตลอดเวลาไม่เหมือนเมื่อก่อนเอาแต่ทำหน้าราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ” ทหารคนสนิทเอ่ยขึ้นมาเมื่อมองแม่ทัพผ่านกระจกใหญ่ในห้องแต่งกาย“ข้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นะหรือสงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องให้ข้าต้องปวดหัวแต่งกายเสร็จออกเดินทางกันเถิด ข้าอยากกลับมากินอาหารเย็นพร้อมฮูหยิน”เขาพยักหน้าเดินนำแม่ทัพออกจากห้องแต่งกายเมื่อออกมาเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเดินเข้ามา“ท่านแม่ทัพอยู่หรือไม่? ข้าคงไม่ได้มาเสียเที่ยวหรอกใช่หรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยถามทหารเมื่อเห็นเขาเดินออกมาจากห้องของเทียนหลันเซ่อ“ท่านแม่ทัพอยู่ด้านในขอรับกำลังจะออกมา นายหญิงนั่งรอสักครู่นะขอรับข้าจะรินน้ำชาให้”“ถือว่าโชคดีที่ท่านแม่ทัพยังไม่ออกไป ส่วนเจ้าออกไปรอท่านแม่ทัพอยู่ด้านนอกเถิดข้ามีเรื่องหารือท่านแม่ทัพไม่นาน”“ขอรับนายหญิง” เทียนหลันเซ่อได้ยินเสียงของท่านแม่จึงรีบเดินออกมาจากห้อง“ท่านแม่มีเรื่องด่วนอันใดกันขอรับถึงมาหาข้าตั้งแต่เช้าตรู่” เขาเอ่ยถามทันทีที่เด
บทที่ 17 ข้อเสนอของหลี่มี่หลังมื้ออาหาร ไป๋ลู่เอ่ยชวนฮูหยินไปนั่งรับลมที่ศาลารับลมด้านนอก วันนี้อากาศเย็นสบายเหล่าผีเสื้อบินว่อนเต็มท้องฟ้า หลี่มี่ยอมตามออกมาหากอยู่แต่ในห้องนางเองรู้สึกเบื่อหน่ายไป๋ลู่ยกน้ำชาพร้อมขนมหวานมาวางบนโต๊ะเพื่อให้หลี่มี่ได้กินระหว่างนั่งชมบรรยากาศ แต่สายตาของหลี่มี่กลับมองเห็นผงสีขาวยังไม่ละลายในน้ำชาร้อนกรุ่นที่ไป๋ลู่ได้รินให้นางเมื่อครู่ ในใจของหลี่มี่รับรู้ทันทีว่าในน้ำชาต้องมีอะไรสักอย่างเป็นแน่ สายตาของไป๋ลู่เอาแต่จ้องมองจอกชาจนหลี่มี่สงสัยและมั่นใจว่าต้องมีอะไรในน้ำชาอย่างที่นางคิด“ไป๋ลู่ น้ำชาวันนี้ที่เจ้านำมาให้ข้าเป็นน้ำชามาจากอันใดหรือ”“ชาดอกเหมยเจ้าค่ะ ข้าเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามักกินจึงนำมาให้ฮูหยินได้ลิ้มลองเจ้าค่ะ”“อื้ม! ชาที่ท่านแม่ชอบดื่มนะหรือช่างมีกลิ่นหอมจริง ๆ ขนมพวกนี้ก็น่ากินทั้งนั้นเจ้านั่งกินเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” ไป๋ลู่ยิ้มกว้างไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้กินอาหารของเจ้านาย“ฮูหยินเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจนะเจ้าคะ”“นั่งลงสิ น้ำชาจอกนี้ข้ายกให้เจ้าแล้วกัน ข้าเห็นเจ้าจ้องมองตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เจ้าคงอยากลิ้มรสสินะชาดอกเหมยนั้นข้าดื่มบ่อยจนไม่อย
บทที่ 4 เขาคือคนที่ฉันคิดถึงมาตลอดไม่นานนักเซ่อเหลียนได้กลับมาพร้อมยาที่เขาตั้งใจไปซื้อมาให้เธอเขาเดินเข้ามาในห้องของหลี่มี่ได้ยินเสียงน้ำที่หยดลงพื้น เขาจึงเดินไปที่ห้องครัวของเธอเปิดตู้เย็นเพื่อดูของจะทำอาหารให้เธอได้กินเช้านี่แต่กลับไม่เห็นอาหารที่มีประโยชน์เลยมีเพียงอาหารสำเร็จรูปเท่านั้น"เธอใช้ชีวิตอย่างไรเนี้ยะ! ทำไมไม่มีอะไรกินเลย” เขาบ่นพึมพำอยู่หน้าตู้ก่อนจะคว้าอาหารสำเร็จรูปมาต้มให้เธอได้กินก่อนจะกินยาหลี่มี่อาบน้ำเสร็จเธอเดินออกมาจากห้องน้ำผมยังไม่แห้งดีกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ออกมาจากเธอทำให้เขาหันไปมองเพราะตอนนี้เธอมายืนดูเขาอยู่“ทำอะไรเหรอ”“หาอะไรทำให้คุณกินนะสิ ทำไมไม่มีอะไรเลยนอกจากอาหารสำเร็จรูปแบบนี้”“เฮ้อ! นายไม่ต้องสนใจการอยู่การกินของฉันหรอกนะ มานี่ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายมากมายเรื่องกินเอาไว้ก่อน” เธอดึงมือของเขาออกจากห้องครัวไปนั่งที่โซฟาเพื่อตกลงเรื่องที่เกิดขึ้น“เรื่องที่จะพูดคงไม่คิดผลักไสไล่ส่งผมหรอกนะ รู้มั้ยว่าคุณคือคนที่พรากความบริสุทธิ์ของผมไป” เซ่อเหลียนกลัวว่าเธอจะไม่ให้เขาได้เจอเธออีกเลยเอ่ยออกมาแบบนี้“เฮ้อ! ฉันไม่เข้าใจนายเลย เอาอย่างนี้หากเรื่องที่เก
บทที่ 3 ฉันจะรับผิดชอบเองเมื่อพาเธอเข้านอนเขาได้จัดแจงนำกระเป๋าของเธอวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง สายตาของเขาจ้องมองรอบ ๆ ห้องของหลี่มี่เห็นรูปที่เธอสั่งวาดช่างเหมือนเขาเหลือเกิน ยิ่งทำให้เขาดีใจที่เธอไม่เคยลืมเขาแม้แต่น้อย“ดีใจจังเลยที่เธอไม่เคยลืมฉัน ...คงเสียใจมากสินะที่กลับมาทั้งอย่างนี้ เธอเป็นคนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของฉัน ขอบคุณนะหลี่มี่” เขาหันมามองเธอที่หลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนที่เขาจะกลับบ้านของตัวเองได้เข้าไปนั่งข้างเธอยื่นมือไปลูบหน้าของเธอย่างอ่อนโยน“ดูสิไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้เธอยังคงงดงามเช่นเดิม” เขาลูบหน้าของเธอก่อนจะลุกเพื่อกลับบ้านแต่แล้วหลี่มี่กลับจับมือของเขาเอาไว้แน่นละเมอออกมาเสียงแผ่วเบา“อย่าไปนะ อย่าจากฉันไป อึก อึก ฉันเหงาเหงามากเหลือเกิน” แม้ว่าเธอจะไม่ลืมตาแต่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างช้า ๆ“เธอใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีใครมาตลอดอย่างนั้นเหรอ แล้วอย่างนี้ฉันจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้อยากโอบกอดเธอได้อย่างไร” เซ่อเหลียนใช้มืออีกข้างเช็ดหยาดน้ำตาให้หลี่มี่ส่วนมืออีกข้างของเขาตอนนี้ถูกเธอกอดเอาไว้แน่น เขาพยายามแกะมือของเธอออกอย่างแผ่วเบากลัวว่าเธอจะตื
บทที่ 2 เจอกันอีกครั้งหลังจากที่เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนจึงได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีการรับรางวัลมีรายชื่อของนักเขียนหลี่มี่ที่เขาต้องการพบ เซ่อเหลียนจึงตั้งใจจะไปพบเธอให้ได้ เขาเฝ้ารอการพบเจอจนกระทั่งได้เห็นเธอขึ้นไปบนเวทีรับรางวัล ใบหน้าของเธอช่างเหมือนเยิ่นเม่ยเม่ยอย่างไรอย่างนั้น ตอนที่เธอพูดถึงหนังสือเรื่องนี้ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลในครั้งนี้ เขายิ่งมั่นใจว่าเธอคือคนที่เขาตามหา"นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันรักมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครทุกเหตุการณ์ที่ฉันบรรจงแต่งออกมาแต่ละบทความฉันใช้ความรู้สึกของฉันเขียนไปด้วย เมื่อตัวละครมีความสุขฉันก็มีความสุขหากเมื่อไหร่ที่ตัวละครฉันเสียใจฉันเองก็เสียใจไม่น้อยร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันไม่คิดเลยว่านิยายของฉันเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกคน ขอบคุณนะคะสำหรับรางวัลนี้และขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนตัวน้อยได้มาโลดแล่นในวงการนี้ฉันขอสัญญาจะตั้งใจเขียนนิยายออกมาให้ดีที่สุด ขอบคุณค่ะ" รอยยิ้มแววตาที่เขาคุ้นเคยแม้กระทั่งน้ำเสียงของเธอเขาจดจำได้ทุกอย่าง น้ำตาแห่งความดีใจได้หลั่งไหลออกมา เขาที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดรีบเช็ดน้ำตาหัวใจของเขาเต้นแรงตึกตั
บทที่ 1 ทะลุมิติ"เฮือก!!! " ชายนอนอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงวย มองซ้ายมองขวาต้องตกใจเข้าไปใหญ่ สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยช่างแปลกตายิ่งนัก แม้แต่เตียงที่นอนอยู่ก็มิใช่เตียงที่เขานอนในทุกวัน"ที่นี่ที่ใดกัน!! หรือว่าข้าถูกศัตรูลักพาตัวมา ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ต้องหาผู้บงการในครั้งนี้เพื่อจัดการให้สิ้นซาก" เทียนหลันเซ่อลุกขึ้นจากเตียงมองพนังสีขาวเป็นห้องสี่เหลี่ยมเดินสำรวจก่อนจะเปิดประตูค่อย ๆ ย่องเพื่อหลบหนีเขาเดินออกมาต้องตกใจมากกว่าเดิม ด้านนอกมีสิ่งแปลกประหลาดมากกมาย เขามองซ้ายมองขวาไม่พบเจอผู้คนเขามองเห็นโต๊ะที่ไม่เคยเห็นจึงนั่งลงเพื่อครุ่นคิดแต่แล้วเขากลับนั่งทับรีโมททำให้ทวีต่อหน้าได้เปิดขึ้นเสียงดัง ทีวีได้ฉายข่าวเทียนหลันเซ่อไม่เคยเห็นเขาตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"นั่นใครกัน!! ออกมามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเป็นใคร" เขาชี้นิวไปด้านหน้าทีวีพลางกระโดดขึ้นโซฟา จู่ ๆ มีหญิงชราเดินเข้ามาในมือถือทัพทีใบหน้าคิ้วขมวด"อะไรของแกกันห่ะ!!! ตื่นมาโวยวายเช่นนี้ได้อย่างไร เวรกกรรมอะไรของฉันมีลูกโตขนาดนี้แล้วแต่ยังต้องคอยหาเลี้ยงอีก " เทียนหลันเซ่อคิ้วขมวดอย่างสงสัยสตรีด้าน
บทที่ 55 นักเขียนหน้าใหม่หลี่มี่ได้ถูกรับเชิญให้ไปรับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จในงานเลี้ยงฉลองนักเขียนดัง ๆ ระดับแถวหน้าของประเทศ เธอแต่งหน้าอยู่ที่กระจกแม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแต่เธอยังคงคิดถึงเทียนหลันเซ่อพระเอกนิยายตัวเองไม่จางหายเขาไม่เคยหายไปจากใจของเธอเลย แม้กระทั่งน้ำเสียงหรือใบหน้าเธอยังคงจำได้ดีแต่ทว่าตอนนี้เธอไม่ได้ร้องไห้เหมือนที่ผ่านมาเธอกลับยิ้มออกมาอย่างสุขใจ "เทียนหลันเซ่อปานนี้ท่านจะเป็นอย่างไรนะ รู้หรือไม่ว่าฉันคิดถึง วันนี้เป็นวันที่ฉันประสบความสำเร็จถ้ามีท่านอยู่เคียงข้างคงจะดี เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวสิยังไงทุกวันนี้ฉันก็มีเทียนหลันเซ่ออยู่ข้างกายอยู่แล้ว วันนี้เราไปรับรางวัลด้วยกันนะ" หลี่มี่หยิบหนังสือของตัวเองพร้อมถือออกจากห้องไปพร้อม ๆ กัน ฝั่งด้านเทียนหลันเซ่อหลังจากที่เขากลับมาจากทะเลวันนั้น เยิ่นเม่ยเม่ยดูอ่อนโยนมากกว่าเดิมวาจานิสัยไม่เหมือนเดิมแถมยังเหมือนสตรีที่สูงส่งแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่เหตุใดความรู้สึกของเขาเสมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป วันนี้เขามายืนจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าลมเย็นกระทบกาย จู่ ๆ รอยยิ้มใบหน้าที่เขาคิดถึงก็ปรากฎข
บทที่ 54 ลาจากด้วยความรักเทียนหลันเซ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างสุขใจ ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเขาย้อนเวลามาอีกครั้ง หากเป็นเช่นดั่งอดีตเขาก็คงไม่มีทางรู้ว่ามีสตรีที่เขารักและรักเขามาเพียงใด นางเข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตของเขาจริง ๆ หลี่มี่วางมือของเทียนหลันเซ่อพร้อมหันหลังไปมองพลุที่ยังคงถูกจุดอีกหลายดอกบนท้องฟ้า น้ำทะเลไหลมาสัมผัสที่เท้าจนหลี่มี่ต้องก้มมองดูแต่แล้วหัวใจของนางต้องหล่นวูบเมื่อบัดนี้ไม่ใช่แค่เท้าหรือขาของนางที่เลือนรางตอนนี้บนตัวของนางก็เริ่มเลือนรางขึ้นมาเรื่อย ๆ นางไม่เข้าใจทำไมคนอื่นไม่เห็นเหมือนนางหรือมีเพียงแค่นางผู้เดียวที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ นางไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นแค่คิดนางก็ใจหายรีบหันไปมองหน้าของเทียนหลันเซ่ออย่างลึกซึ้งอีกครั้ง "ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้ข้าอยากให้ท่านสัมผัสตัวข้าช่วยมอบจูบที่ลึกซึ้งให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ""ได้สิทำไมข้าจะให้เจ้าไม่ได้แค่เพียงจูบ" พูดจบเทียนหลันเซ่อโอบกอดหลี่มี่ก้มลงประทับจูบที่นุ่มนวลหอมหวานแต่ทว่านางกลับรู้สึกเสียใจ เพราะหากเป็นอย่างที่นางคิดนี่จะเป็นจูบสุดท้ายที่นางจะได้รับจากเขา ทั้งสองจูบกันท่ามกลางแสงพลุที่ส่องประ
บทที่ 53 น้ำตาแห่งความตื้นตันสาย ๆ ของวันหลี่มี่ได้ไปหาอ้ายเยว่ที่ห้องของเขาเพราะไม่รู้อะไรใจของนางถึงอยากไปหาอ้ายเยว่ในวันนี้นัก "คุณชายฮูหยินมาเจ้าค่ะ " แม่นมได้เอ่ยบอกคุณชายเมื่อเห็นฮูหยินเดินเข้ามาใกล้ ๆ อ้ายเยว่ยิ้มกว้างรีบวิ่งเข้ามาหาหลี่มี่อย่างดีใจ"ท่านแม่วันนี้ข้าว่าจะไปหาท่านที่ห้องนะขอรับไม่คิดเลยว่าท่านแม่จะมาหาข้าที่นี่ ข้ามีนิทานเรื่องใหม่จะเล่าให้น้องฟังขอรับ"เด็กชายรีบบอกหลี่มี่อย่างกระตือรือร้น นางลูบหัวของอ้ายเยว่ก่อนจะจับมือของเขาไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเรือนที่ถูกจัดวางไว้เพื่อนั่งเล่น"อย่างนั้นหรือ ? ช่างเป็นพี่ชายที่ดีจริง ๆ เพราะข้าคิดถึงเสียงของเจ้าล่ะมั่งเลยมาหาเจ้า" หลี่มี่ยิ้มบางจ้องมองเด็กชายด้วยความเอ็นดู "ท่านแม่รอข้าอยู่ที่นี่ก่อนนะขอรับ ข้าจะเข้าไปเอาของมาให้ท่านแม่นะขอรับ" หลี่มี่พยักหน้าให้อ้ายเยว่เข้ารีบเดินเข้าไปในห้องเพื่อเอาอะไรบางอย่างมาให้หลี่มี่ หลังจากวันที่ถูกจับตัวไปกลับมาอ้ายเยว่มีท่าทีเปลี่ยนไปแถมยังเรียกหลี่มี่ว่ามารดาอย่างเต็มปากเต็มคำ ความรู้สึกรักและผูกพันมากขึ้นทุกวัน ไม่นานเด็กชายได้เดินออกมาพร้อมกับตุ๊กตาปั้นที่เขาตั้งใจทำมาให้แก่ห
บทที่ 52 ความสุขหลายวันผ่านไป ช่วงนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเพราะใกล้หมดฤดูหนาว ฟางเหนียงได้เดินทางไปที่วัดตามที่นางเอ่ยไว้แม่ทัพฮูหยินพร้อมอ้ายเยว่ได้เดินทางไปส่ง และขอให้นางกลับมาที่เรือนในช่วงเวลาที่เยิ่นเม่ยเม่ยท้องแก่นางจึงสัญญาว่าจะกลับก่อนที่เยิ่นเม่ยเม่ยจะคลอด เพราะนางเองก็อยากเห็นหลานของตนเองเช่นกัน ช่วงนี้หลี่มี่มีความสุขมากจริง ๆ ทุกวันอยู่กับไป๋ลู่และมีอ้ายเยว่ที่มักจะมาอ่านตำราให้น้องในท้องได้ฟัง แถมตอนนี้มีลูกแมวแสนน่ารักหลงมาอยู่กับอ้ายเยว่หนึ่งตัวขนของมันหรือแม้แต่ใบหน้าเหมือนมูมูยิ่งนัก จึงคิดว่านี่คือน้องของมูมูที่หลงเข้ามาอยู่ด้วย อ้ายเยว่มีความสุขมาก ๆ ที่ทุกคนมอบความรักให้เขา ตอนนี้ท้องของหลี่มี่เริ่มโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดท่านแม่ทัพก็กลับมานอนกับนางในทุกค่ำคืน "ฮูหยินตอนนี้ท้องเริ่มใหญ่แล้วคุณหนูในท้องดิ้นหรือยังเจ้าคะ" หลี่มี่ยืนอยู่กลางสวนยืนมองเหล่าผีเสือบินไปมาเมื่อได้ยินไป๋ลู่เอ่ยถามเช่นนั้นจึงมองที่ท้องของตนพลางใช้มือลูบเบา ๆ "ไป๋ลู่ตอนนี้ข้าพึ่งท้องได้ไม่เท่าไหร่เองอีกนานกว่าลูกของข้าจะดิ้น ว่าแต่ตอนนี้ท่านแม่ของเจ้าสบายดีแล้วหรือน้องชายของเจ้าไปเรียนหรือไ
บทที่ 51 บทลงโทษของหลิวอี้เฟ่ย"ฝ่าบาทกระหม่อมขอประทานอภัยในครั้งนี้ขอให้ฝ่าบาทไตร่ตรองด้วยความยุติธรรม บุตรสาวของกระหม่อมเป็นสตรีที่นอบน้อมแม้แต่แมลงตัวน้อย ๆ ยังไม่กล้าเหยียบแล้วเรื่องนี้นางจะกล้าทำได้อย่างไรขอรับ กระหม่อมว่าเรื่องนี้ต้องมีผู้ที่หวังร้ายกับบุตรสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพมีฮูหยินใหญ่ที่เป็นบุตรสาวของท่านรองแม่ทัพผู้ก่อน นางชิงชังบุตรสาวของกระหม่อมที่เข้าไปเป็นอนุของท่านแม่ทัพ กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแผนของนางขอรับ "ฝ่าบาทครุ่นคิดตามที่ใต้เท้าหลิวเอ่ย จนเทียนหลันเซ่อต้องคุกเข่าลงมือประสานกันพร้อมทูลฝ่าบาทความจริงทั้งหมด "ทูลฝ่าบาทกระหม่อมมีฮูหยินเป็นบุตรสาวของรองแม่ทัพนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องนี้นางไม่ได้รู้เรื่องเลยพ่ะย่ะค่ะ บุตรสาวของท่านใต้เท้าต่างหากที่เป็นสตรีร้ายกาจนางหลอกลวงกระหม่อมหวังเป็นอนุ ในคืนงานเลี้ยงนางใส่ยาปลุกกำหนัดให้กระหม่อมดื่ม แต่คืนนั้นกระหม่อมรู้ทันจึงไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางแต่เมื่อตื่นเช้ามานางกลับหลอกลวงทุกคนว่ากระหม่อมนั้นเป็นผู้ล่วงเกินนางทั้ง ๆ ที่กระหม่อมไม่ได้แตะตัวนางแม้แต่น้อยเรื่องนี้ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมกับกระห